วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

วาทกรรมปลุกผีบิดอะฮ

 วาทกรรมปลุกผีบิดอะฮ

มาระยะหลังๆเริ่มมีทองชุบ หรือทองปลอมลอกให้เห็นเนื้อใน มีให้เห็นเรื่อยๆ อ้างเป็นผู้รู้และเป็นชาวซุนนะฮ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงได้รู้ว่า ปากซุนนะฮใจบิดอะฮ
สร้างวาทกรรม "ไม่มีหลักฐานจึงใช้การอิจญติฮาด"
สรุปคือ เรื่องใดไม่มีหลักฐาน ก็ใช้ความคิดเห็นกำหนดรูปแบบอิบาดะฮขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม
จากเคยสอนว่า ไม่มีหลักฐาน มันคือบิดอะฮ มาเป็นวาทกรรม ไม่มีหลักฐานก็ไม่ได้เป็นบิดอะฮเสมอไป ...ฯลฯ เป็นการเปิดช่องและปลุกผีบิดอะฮให้เฟื่องฟู แพร่หลายอีกครั้ง มาในนาม "บิดอะฮเห็นต่าง บิดอะฮเรา สุนนะฮเขาอะไรทำนองนี้
ท่านฮาซซาน บิน อาฏียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ما ابتدع قوم بدعة في دينهم إلا نزع الله من سنتهم مثلها ثم لا يعيدها إليهم إلى يوم القيامة
ไม่มีกลุ่มชนใดอุตริบิดอะฮใดๆ ในศาสนา นอกจากอัลลอฮทรงถอดถอน บรรดาสุนนะฮของพวกเขา เท่าๆกับมัน หลังจากนั้น มันก็จะไม่กลับไปยังพวกเขาอีก จนถึงวันกิยามะฮ -ชัรหเอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮ 1/93
และตอนนี้หมู่บ้าน และชุมชุนหลายแห่งที่เคยยืนหยัดในสุนนะฮ ที่เคยต่อต้านบิดอะฮอย่างเอาเป็นเอาตายในอดีตเริ่ม อ่อนลง เริ่มเลียตามสังคม เริ่มโลกสวย กลัวสังคมแตกแยก บางคนสร้างวาทกรรมว่า "อย่าใช้เกียร์เดียวต้องเปลี่ยนเกียร์บ้าง" -นะอูซุบิลละฮ
ผู้รู้หลายคนเสพแนวคิดอิควานจนหน้ามืดตามัว กลายเป็นมนุษย์ครึ่งบกครึงน้ำ อยู่บนบกก็ได้ อยู่บนน้ำก็ได้ มโนอยากให้โลกเป็นรัฐเคาะลิฟะฮ ฝันไปเถิดโต๊ะครูจ๋า
จิ้งจกมันเปลี่ยนสีให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมฉันใด โต๊ะครูประเภทนี้ก็เป็นฉันนั้น น่าสงสารโต๊ะครูเก่าในอดีต ที่อุตส่าห์บุกเบิกทางให้สะดวก พวกนี้กลับขี้ใส่หัว
ปราชญ์สอนกันมาว่า "อิบาดะฮเตากีฟียะฮ" ซึ่งหมายถึง
معناها أنها لا تثبت إلا بالشرع، لا بآراء الناس، لا يكون القول عبادة، ولا الفعل عبادة، إلا بنص من الله، أو من رسوله، من القرآن أو السنة، أما قول الناس هذه عبادة توقيفية يعني لا بد أن يكون فيها نص شرعي، كما قال صلى الله عليه وسلم في الحديث الصحيح: «من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد (1)
ความหมายของมันคือ แท้จริง มันจะไม่ถูกรับรอง นอกจากด้วยบทบัญญัติ ไม่ใช่ด้วยบรรดาความคิดเห็นมนุษย์ คำพูดจะไม่เป็นอิบาดะฮ และการกระทำจะไม่เป็นอิบาดะฮ นอกจากด้วยตัวบทจากอัลลอฮ หรือจากรอซูลของพระองค์ ,จากอัลกุรอ่านหรือจากสุนนะฮ ,สำหรับคำพูดของบรรดาผู้คนที่ว่า นี้คือ อิบาดะฮเตากีฟียะฮ หมายความว่า "จำเป็นจะต้องมีตัวบททางศาสนบัญญัติในมัน ดังที่ท่านนบี ศ็อลฯ ได้กล่าวในหะดิษเศาะเฮียะว่า "ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมา ในกิจการศาสนาของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่ได้มาจากมันมันคือสิ่งที่ถูกปฏิเสธ (ไม่ถูกตอบรับ) - ฟะตาวานูรอะลัดดัรบิ 3/34-35
..........
สรุปคือ
1. อิบาดะฮนั้นจะไม่ถือว่าเป็นอิบาดะฮในศาสนา นอกจาก นอกจากด้วยตัวบทจากอัลลอฮ หรือจากรอซูลของพระองค์ ,จากอัลกุรอ่านหรือจากสุนนะฮ
2. อิบาดะฮจะไม่ถูกรับรองนอกจากด้วยศาสนบัญญัติ ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็น
3. คำว่าอิบาดะฮเตากีฟียะฮ คือจะต้องมีตัวบททางศาสนาบัญญัติในสิ่งนั้น
แปลก...มายุคนี้ บอกไม่มีหลักฐาน ต้องอาศัยอิจญติฮาด.....นะอูซูบิลละฮ ไม่มีหลักฐานก็ใช้ความคิดเห็นปราชญ์ ความคิดเห็นปราชญ์คือบัญญัติศาสนา-วัลอิยาซุบิลละฮ เพราะปราชญ์จำอัลกุรอ่าน จำหะดิษมากกว่าเรา นี่คือการปลุกผีบิดอะฮให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
อย่าเป็นอะฮลุลบิดอะฮแอบอยู่ในภาพชาวสุนนะฮ เพราะสักวันอัลลอฮจะเปิดโปงให้สังคมได้รู้
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/3/63
อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น