_______________________________________
หะดีษ กุดสียฺที่ อบู ฮุร็อยเราะฮฺ ได้รายงานจากท่านนบี -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-ว่า :
«قَالَ اللَّهُ تبارك وتعالى يَا ابْنَ آدَمَ أَنْفِقْ أُنْفِقْ عَلَيْكَ» [مسلم برقم 993]
ความว่า : พระองค์อัลลอฮฺได้กล่าวว่า : โอ้ ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย เจ้าจงบริจาคเถอะ แล้วฉันก็จะให้ทรัพย์สินแก่เจ้า
(เศาะฮีหฺมุสลิม เล่มที่ 2 หน้า 289 หมายเลข 993)
_______________________________________
«ومَا يَزَالُ عَبْدِي يَتَقَرَّبُ إِلَيَّ بِالنَّوَافِلِ حَتَّى أُحِبَّهُ»
ความว่า “และบ่าวของข้าจะยังคงใกล้ชิดข้าด้วยการปฏิบัติอามัลสุนนะฮฺต่าง ๆ จนกระทั่งข้ารักเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6502)
_______________________________________
อัลลอฮฺทรงตรัสในหะดีษกุดซีย์[i] ว่า
«أَنَا أَغْنَى الشُّرَكَاءِ عَنْ الشِّرْكِ، فَمَنْ عَمِلَ لِي عَمَلاً أَشْرَكَ فِيهِ غَيْرِي فَأَنَا مِنْهُ بَرِيءٌ وَهُوَ لِلَّذِي أَشْرَكَ»[ii]
ความว่า “ฉันเป็นผู้ที่เหนือกว่าในบรรดาผู้ที่พวกเขาตั้งภาคีทั้งหลาย บุคคลใดก็ตามที่ปฏิบัติกิจการต่างๆ โดยตั้งภาคีพร้อมกับฉัน ดังนั้น ฉันห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี และสิ่งดังกล่าวก็เพื่อสิ่งที่เขาตั้งภาคี”
[i] หะดีษกุดซีย์ คือหะดีษที่ท่านนบีพาดพิงถึงอัลลอฮฺโดยระบุว่า อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ดำรัส
(ดูอัฏเฏาะฮาน ตัยสีรอัลมุศเฏาะละฮฺ หน้า 20)
[ii] หะดีษบันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 5300
_______________________________________
عَنْ أَبِيْ هُرَيْرَة رَضِىَ اللهُ عَنْهُ قَالَ . قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلّىَ اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ . قَالَ اللهُ عَزَّوَجَلَّ .
يُؤْذِينِي ابْنُ آدَمَ يَسُبُّ الدَهْرَ وَأنَا الدَهْرُ بِيَدِي الأمْرُ أُ قَلِّبُ اللَيْلَ وَالنَهَارَ
รายงานจากอบีฮุรอยเราะห์ว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์ อัซซะวะญัล ได้กล่าวว่า “ลูกหลานของอาดัมได้ให้ร้ายข้า เขาด่ากาลเวลา ขณะที่ข้าเป็นผู้
บริหารกาลเวลา กิจการต่างอยู่ในกรรมสิทธิ์ของข้า ข้าได้สับเปลี่ยนกลางวันและกลางคืน” บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี
_______________________________________
عن أبي هريرة - رضي الله عنه - قال : قال رسول الله - صلى الله عليه وسلم - : قال الله تبارك وتعالى : أنا أغنى الشركاء عن الشرك ، من عمل عملا أشرك فيه معي غيري تركته وشركه ) رواه مسلم(
ความว่า
รายรานจากท่านอะบีฮูรัยเราะห์ “ท่านรอซูล (ซ.ล.) อัลลอฮทรงตรัสว่า “ ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งจากการมีหุ้นส่วนใดๆ บุคคลที่จะทำการงานหนึ่ง โดยมีผู้อื่นจากข้ามาร่วมหุ้นส่วน ข้าจะละทิ้งเขาและหุ้นส่วนของเขาไว้ ” (บันทึกโดยมุสลิม)
_______________________________________
عن ابن عباس رضي الله عنهما عن رسول الله صلى الله عليه وسلم فيما يرويه عن ربه تبارك وتعالى قال : إن الله كتب الحسنات والسيئات ثم بيّن : فمن همّ بحسنة فلم يعملها كتبها الله عنده حسنة كاملة ، وإن همّ بها فعملها كتبها الله عنده عشر حسنات إلى سبعمئة ضعف ، وإن همّ بسيئة فلم يعملها كتبها الله عنده حسنة كاملة ، وإن همّ بها فعملها كتبها الله سيئة واحدة ) رواه البخاري ومسلم في صحيحيهما(
ความว่า
รายงานจากท่านอิบนูอับบาส เล่าจากท่านรอซูล(ซ.ล.) ตามที่พระเจ้าของท่านได้ดำรัสว่า “ แท้จริงอัลลอฮได้บันทึกไว้ซึ่งความดี และความชั่ว และพระองงค์ได้อธิบายเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ผู้ใดมีความประสงค์จะทำความดี แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน อัลลอฮจะบันทึกไว้สำหรับเขาหนึ่งความดี และหากเขาได้ปฏิบัติมันอัลลอฮจะบันทึกให้แก่เขา 10 ความดีจนถึง 700 ความดี หรือมากกว่านั้น ,และผู้ใสประสงค์จะปฏิบัติความชั่ว แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมันอัลลอฮจะบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความดี และหากเขาได้ปฏิบัติมันอัลลอฮจะบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความชั่วเท่านั้น” (บันทึกโดย บุคคอรี และมัสลิม )
_______________________________________
عن أبي هريرة رضي الله عنه قال : قال رسول الله - صلى الله عليه وسلم - : ( قال الله عز وجل : يؤذيني ابن آدم يسب الدهر ، وأنا الدهر بيدي الأمر ، أقلب الليل والنهار) رواهالبخاري ومسلم (
ความว่า
รายงานจากท่านอะบีฮูรัยเราะห์ ท่านรอซูล (ซ.ล.) กล่าวว่า อัลลอฮตรัสว่า “ลูกหลานของนบีอาดัมได้ให้ร้ายแก่ข้า เขาด่าทอการเวลา ขณะที่ข้าเป็นผู้บริหารกาลเวลา กิจการงานต่างๆอยู่ภายในกรรมสิทธิ์ของข้า ข้าได้เป็นผู้สับเปลี่ยนเวลากลางคืนและกลางวัน.” ( บันทึกโดยบุคคอรี )
_______________________________________
عن أبي هريرة قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: إِنَّ اللَّهَ قَالَ مَنْ عَادَى لِي وَلِيًّا فَقَدْ آذَنْتُهُ بِالْحَرْبِ وَمَا تَقَرَّبَ إِلَيَّ عَبْدِي بِشَيْءٍ أَحَبَّ إِلَيَّ مِمَّا افْتَرَضْتُ عَلَيْهِ وَمَا يَزَالُ عَبْدِي يَتَقَرَّبُ إِلَيَّ بِالنَّوَافِلِ حَتَّى أُحِبَّهُ فَإِذَا أَحْبَبْتُهُ كُنْتُ سَمْعَهُ الَّذِي يَسْمَعُ بِهِ وَبَصَرَهُ الَّذِي يُبْصِرُ بِهِ وَيَدَهُ الَّتِي يَبْطِشُ بِهَا وَرِجْلَهُ الَّتِي يَمْشِي بِهَا وَإِنْ سَأَلَنِي لَأُعْطِيَنَّهُ وَلَئِنِ اسْتَعَاذَنِي لَأُعِيذَنَّهُ..... الحديث ( رواه البخاري (
ความว่า
รายงานจากท่านอบูฮูรัยเราะห์ ท่านรอซูล(ซ.ล.) ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮทรงตรัส “ว่าผู้ใดที่ทรยศต่อผู้นำของเขา แท้จริงฉันอนุญาตให้ทำสงครามกับเขาได้.และไม่มีสิ่งใดที่บ่าวได้นำเสนอต่อฉันซึ่งเป็นที่รักยิ่งแก่ฉันนอกเหนือจากสิ่งที่ฉันได้บัญญัติแก่และเขาพยายามปฏิบัติความดีอื่นๆเป็นเนื่องนิจจนกระทั่งเขาเป็นผู้ที่ฉันรักที่สุด. และเมื่อเขาเป็นผู้ที่ฉันรักยิ่ง ฉันเสหมือนการได้ยินของเขาการมองของเขา มือของเขาขณะยื่นออกไป และเท้าของเขาขณะที่เขาก้าวเท้าไป. และเมื่อเขาขอต่อฉัน ฉันจะให้แก่เขาและหากเขาขอความคุ้มครองต่อฉัน ฉันจะคุ้มครองเขา ( บันทึกโดยบุคคอรี )
_______________________________________
จากหะดีษอัล-กุดซีย์ ซึ่งรายงานโดยท่าน อะบู ฮุร็อยเราะฮฺ(ร.ด.) เล่าว่า ท่านรสูล(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า ..
وما تقرب إلى عبد بشيء أحب إلي مما افترضته عليه ولا يزال عبدي يتقرب إليَ بالنوافل حتى أحبه
“และไม่มีสิ่งใดที่บ่าวได้นำเสนอต่อฉัน ซึ่งเป็นที่รักยิ่ง นอกเหนือจากสิ่งที่ฉันได้กำหนดไว้แล้ว และตลอดเวลาเขาพยายามที่จะปฏิบัติความดีอื่นๆ เป็นเนืองนิจ จนเขาเป็นผู้ที่ฉันรักยิ่งในที่สุด” (บันทึกโดย บุคอรีย์ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น