วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

ชี้แจงกรณีวาทกรรมนักลัทธิดูถูกนิยม


ชี้แจงกรณีวาทกรรมนักลัทธิดูถูกนิยม
โต๊ะครูสะละฟีย์บางจำพวกดูถูกครูไทยว่า
"ชาวบ้านบางคนก็ตัดสินเอาดื้อๆ ว่าครูไหนทับศัพท์ได้มากพูดได้งงสุด ผู้นั้นอาเล่มสุด หรือบางคนก็ตัดสินเอาดื้อๆ ว่าใครยกตัวบทภาษาอาหรับได้มากสุด ผู้นั้นอาเล่มสุด หรือบางคนก็ทึกทักเอาว่าใครแต่งเนื้อแต่งตัวกุโกะห์(ดูน่าเชื่อถือสุด) ผู้นั้นอาเล่มที่สุด หรือไม่ใครพูดคล่องสุด ผู้นั้นอาเล่มที่สุด บางคนเอาจำนวนโต๊ะครูร่วมเวทีมาวัดความรู้โต๊ะครูนั้นๆว่าอาเล่มสุด
โต๊ะครูในเมืองไทยส่วนใหญ่หากจะไปสมัครสอนระดับประถมหรือมัธยมในประเทศมุสลิมหลายๆประเทศ เขาก็คงไม่รับเพราะความสามารถไม่ถึง แต่พอพูดได้พูดเป็นและอยู่เมืองไทยก็กลายเป็นปราชญ์ไปเสียฉิบ
และแม้แต่จะจบปริญาตรีกลับมา (ไม่ว่าสาขาไหน) หากจะไปขอสอนในระดับปริญญาตรีเขาก็ยังไม่รับเลย
@@@
ที่ผ่านมาปีกว่าๆ ลูกศิษย์บางสำหนักสร้างวาทกรรมดูถูกเหยียดหยามโต๊ะครูไทย ต่างๆนานาๆ แค่การเห็นต่างกับครูตัวเอง ทั้งๆแต่ละคนที่เข้าใจศาสนา เรียนพื้นฐานทางศาสนา ก็เพราะเรียนจากโต๊ะครูไทย แต่คนประเภทนี้เป็น"วัวลีมตีน" จึงดูถูกโต๊ะครูไทย คงเพราะมีเบ้าหลอมที่ชอบดูถูก เหยียดหยามผู้อื่น
อย่าเอาคำว่า ปริญญาตรี โท และเอก มาอวด เพราะไม่ว่าจะจบระดับใหน ถ้าให้คนญาเฮลจูงจมูก ตอบปัญหาศาสนา สอนศาสนาแบบลิ้นสองแฉก หรือรักพี่เสียดายน้อง นี่ก็ได้นั้นก็ดี อย่าไปว่าเขา" วาทกรรมตอบปัญหาแบบเอาใจคนแบบนี้ ไม่มีค่า เพราะเขาคือ "อาลิมอุมมะฮ(ผู้รู้มวลชนที่สอนศาสนาเอาใจมนุษย์)ตามที่ชัยค์อุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวไว้ดังนี้
وأما عالم الأمة: فهو الذي ينظر ماذا يرضي الناس، إذا رأى الناس على شيء أفتى بما يرضيهم، ثم يحاول أن يحرف نصوص الكتاب والسنة من أجل موافقة أهواء الناس.
และสำหรับผู้รู้แห่งอุมมะฮ(ผู้รู้มวลชน) คือ ผู้ที่เขาดูว่า อะไรที่บรรดาผู้คนพอใจ เมื่อเขาเห็นว่า ผู้คนอยู่บนสิ่งใด เขาก็ตอบปัญหาศาสนา(ฟัตวา) ด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขาพอใจ หลังจากนั้นเขาพยายามที่จะบิดเบือนบรรดาตัวบทแห่งอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ เพื่อให้สอดรับกับอารมณ์ของบรรดาผู้คน -ชัรหริยาฎอัศศอลิฮีน 4/307-308
คนในยุคเศาะหาบะฮ และยุคสะลัฟรุ่นต่อมา ไม่มีใครมีใบ ปริญาตรี โทและเอก สักคน เพราะไม่ว่าใครจะรู้น้อยรู้มาก สิ่งที่เขานำมาเป็นหลักความเชื่อ หลักปฏิบัติอิบาดะฮและใช้การตัดสินถูกผิดคือ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ค่าของเขาอยู่ที่การอยู่บนหลักการทั้งสองนี้
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) ปราชญ์ผู้มีชือเสียงท่านหนึ่งกล่าวว่า
العِلْمُ لَيْسَ هُوَ بِكَثْرَةِ ِالرِّوَايَةِ، وَلَكِنَّهُ نُورٌ يَقْذِفُهُ اللهُ فِي القَلْبِ، وَشَرْطُهُ الاِتِّبَاعُ وَالفِرَارُ مِنَ الهَوَى والاِبْتِدَاعِ،
แท้จริงความรู้นั้น ไม่ใช่ด้วยการรายงานหะดิษเป็นจำนวนมาก แต่มันคือรัศมีที่อัลลอฮใส่มันในหัวใจ(ของคน) และเงื่อนไขของมันคือ การปฏิบัติตามสุนนะฮ และหนีห่างจากการตามอารมณ์และการอุตริบิดอะฮ -สิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 13/313
.............
ในมุมมองของผม ต่อให้มีใบปริญญา ตรี โทและเอก ทางศาสนาสักกีใบ แต่ไม่มีจุดยืนบนกิตาบุลลอฮและอัสสุนนะฮ แล้วไหลตามกระแสสังคม อีกทั้งปรมมือให้กับการกระทำบิดอะฮ เขาก็ไม่มีค่าใดๆ
อะสัน หมัดดั้ม
2/4/64

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น