วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

โทษการทิ้งหะดิษไปยึดความคิดเห็นปราชญ์



โทษการทิ้งหะดิษไปยึดความคิดเห็นปราชญ์

อิหม่ามอะหมัด(ร.ฮ)กล่าวว่า ...

عَجِبْتُ لِقَوْمٍ عَرَفُوا اَلْإِسْنَادَ وَصِحَّتَهُ، وَيَذْهَبُونَ إِلَى رَأْيِ سُفْيَانَ، وَاَللَّهُ تَعَالَى يَقُولُ: ”فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَن تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ“ النُّورُ، ٦٣؛ أَتَدْرِي مَا اَلْفِتْنَةُ؟ اَلْفِتْنَةُ اَلشِّرْكُ لَعَلَّهُ إِذَا رَدَّ بَعْضَ قَوْلِهِ أَنْ يَقَعَ فِي قَلْبِهِ شَيْءٌ مِنَ اَلزَّيْغِ فَيَهْلَكَ

ข้าพเจ้าประหลาดใจกับคนพวกหนึ่งพวกเขารู้จักบรรดาสายรายงานและความถูกต้อง(เศาะเฮียะ)ของมัน แล้วพวกเขาไปเอาความคิดเห็นของซุฟยานทั้ง ๆ ที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา(มุฮัมมัด)จงระวังตัวด้วยเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาหรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่เขาเช่นกัน” (อันนูร : 63) 

ท่านรู้ไหมว่า "ฟิตนะฮคืออะไร? ฟิตนะฮคือ ชิริก บางที่เมื่อเขาปฏิเสธบางส่วนของคำพูดของเขา(หมายถึงของนบี) จะมีมีสิ่งหนึ่งจากการเบี่ยงเบน เกิดขึ้นในหัวใจของเขา แล้วเขาก็จะหายนะ 

- สะบีลุุรรอชาด ฟี ค็อยริลอิบาด ของ อับดุลกอเดร อัลฮิลาลี 3/294


การละทิ้งหะดิษที่เศาะเฮียะ ทั้งที่รู้ แล้วไปยึดเอาความคิดเห็นปราชญ์ ก็จะนำไปสู่การชิริกเกิดการเบี่ยงเบนในหัวใจที่จะนำพาไปสู่ความหายนะ โปรดระวังการคลั่งปราชญ์ จนเชื่อว่าความเห็นปราชญ์คือ ศาสนาบัญญัติ มีซ่อนเร้น ออกมาวิจารณ์ ที่ใช้คำว่า "บูชาปราชญ์" ซึ่ง ไม่แปลกเลย เพราะคำว่าบูชาที่หมายถึงคือ ยกย่องจนเลยเถิด 

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64


เอาภาษาไทยไปเทียบอาหรับแล้วกล่าวหาว่าผมโง่



เอาภาษาไทยไปเทียบอาหรับแล้วกล่าวหาว่าผมโง่

ผมใช้คำว่า "พวกบูชาปราชญ์ ไม่ได้เจาะจงใคร แต่ตัวนี้เดือดจัด คำว่า "บูชา มีความหมายสองความหมายคือ บูชา

คำกริยา
1. แสดงความเคารพด้วยเครื่องสักการะ.
"บูชาพระ บูชาครู"

2. ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใส.
"บูชาฝีมือ"


ผมต้องการสื่อกับผู้ที่เทิดทูนปราชญ์จนเลยเถิด เกินฐานะ แถมกล่าวหาว่าเราไม่เอาปราชญ์ ทั้งที่ปราชญ์สะลัฟเช่นท่านมุญาฮิด (ร.ฮ)สอนว่า

عن عبدالكريم عن مجاهد قال ليس أحد إلا يؤخذ من قوله ويترك إلا النبي صلى الله عليه وسلم

จากอับดุลการีม จากมุญาฮิด เขากล่าวว่า ไม่มีคนใด นอกจาก คำพูดของเขาถูกเอามาและถูกทิ้ง นอกจากท่านนบี ศ็อลฯ

- ดูอัลมัดค็อลอิลาอัสสุนันกุบรอ ของ อิหมามอัลบัยฮะกีย์1/107


คนที่ตามปราชญ์ในเรื่องศาสนาที่อัลลอฮและนบี ศ็อลฯ ไม่ได้สอนไม่ได้บัญญัติไว้ เท่ากับเขา ยกปราชญ์มาเป็นหุ้นส่วน(الشركاءْกับอัลลอฮในการบัญญัติศาสนา

أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ

หรือพวกเขา มีบรรดาภาคี พวกนั้นกำหนดศาสนบัญญัติแก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้อนุญาต

ชัยค์มุหัมหมัด บิน ศอลิห บิน อุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า

البدعة شرعاً: ضابطها التعبد لله بما لم يشرعه الله، وإن شئت فقل: التعبد لله تعالى بما ليس عليه النبي صلى الله عليه وسلم، ولا خلفاؤه الراشدون. فالتعريف الأول مأخوذ من قوله تعالى: {أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ}[الشّـورى: 21]،

บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติความหมายของมันคือ การอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ด้วยสิ่งที่อัลลอฮไม่ได้ทรงกำหนดบทบัญญัติไว้ และหากท่านประสงค์(ที่จะกล่าว)ก็จงกล่าวว่า "หมายถึงการอิบาดะฮต่ออัลลอฮตาอาลา ด้วยสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลฯและบรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดูน ของท่าน ไม่ได้ดำเนินอยู่บนสิ่งนั้น เพราะนิยาม(คำว่าบิดอะฮ )นิยามแรก คือสิ่งที่ถูกเอามาจากคำตรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า"(หรือพวกเขามีบรรดาภาคี พวกนั้นกำหนดบทบัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้ทรงอนุญาต - อัชชูรอ/๒๑

- อัลฟะตาวาชัรอียะฮ ฟี มะสาอิลอัลอัศรียะฮ มิน ฟะตาวาอัลอุลามาอฺ อัลบะละดิลหะรอม หน้า 3 เรื่องความหมายบิดอะฮ


เราใช้ภาษาไทย มันเอาไปเทียบกับภาษาอาหรับ แล้วให้ร้ายว่าผมกล่าวหาว่าอิบาดะฮหรือกราบไหว้ปราชญ์ แล้ว บอกว่า เราโง่ และมีการกล่าวว่าอ่านหนังสือไม่ชัด ไปตำหนิปราชญ์
ถ้าไม่ชี้แจง บ้างก็ดูกะไรอยู่

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) 
10/3/64

เอาข้อมูลผมและชื่อไปนินทาเยาะเย้ย แต่พอผมจะเอ่ยชื่อบ้าง บอกว่า ไม่มาอัฟ



เอาข้อมูลผมและชื่อไปนินทาเยาะเย้ย แต่พอผมจะเอ่ยชื่อบ้าง บอกว่า ไม่มาอัฟ

เข้ามาดูถูกเหยียดหยามว่าเคย สอนโรงเรียน อิสลาม หรือ ปอเนาะ ที่ไหน มั่งม่าย นิ แล้วยกหะดิษบทนี้มา สอนผม

ท่านนบีﷺกล่าวว่า :

إِنَّ اللَّهَ لَا يَقْبِضُ الْعِلْمَ انْتِزَاعًا يَنْتَزِعُهُ مِنَ الْعِبَادِ، وَلَكِنْ يَقْبِضُ الْعِلْمَ بِقَبْضِ الْعُلَمَاءِ، حَتَّى إِذَا لَمْ يُبْقِ عَالِمًا اتَّخَذَ النَّاسُ رُءُوسًا جُهَّالًا، فَسُئِلُوا فَأَفْتَوْا بِغَيْرِ عِلْمٍ، فَضَلُّوا وَأَضَلُّوا .

"แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงเก็บคืนวิชาความรู้ออกไปจากหัวอกของบรรดาปวงบ่าว เเต่พระองค์จะทรงเก็บคืนความรู้ด้วยการเก็บคืนชีวิตของบรรดาผู้รู้ จนกระทั่งเมื่อพระองค์ไม่เหลือผู้รู้เอาไว้เเล้ว บรรดามนุษย์ก็จะยึดเอาบรรดาคนโง่เขลามาเป็นผู้รู้ เเละพวกเขาก็ถูกถาม เเล้วได้พากันตอบปัญหา(ฟัตวา)ไปโดยที่ไม่มีความรู้ สุดท้ายพวกเขาเองก็หลงผิด เเละยังทำให้ผู้อื่นหลงผิดด้วย"

(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ : 100)

__________

ขอชี้แจงว่า

หะดิษบทนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผม เพราะผมสอนให้ตามกิตาบุลลอฮและอัสสุนนะฮ ไม่ได้สอนให้หลง แต่จงนำไปไปสอนหัวหน้าของท่านและบริวาร ที่ปิดตาตามปราชญ์ แล้ว เชิญชวนให้ชาวบ้านปิดตาตาม นี่คือที่ควรเอาหะดิษข้างต้นไปสอน

ส่วนที่ถามว่า ผมสอนปอเนาะบ้างไหม ผมไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะศาสนาสอนให้ดูที่เนื้อหาและหลักฐาน ไม่ใช่ดูที่ตัวคนขอมาอัฟพี่น้องผู้อ่าน ที่ต้องตอบกับเรื่องไร้สาระ ช่วงนี้คงเป็นเทศกาลปล่อยผี เห็น มาหลอกมาหลอนผมยั้วเยี้ยไปหมด พี่น้องรู้บ้างใหม? ว่าเป็นพวกผีของหมอผีตนใด?

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/3/64

สิ่งที่วาญิบเหนือผู้ศรัทธา และผู้ที่ตักลิดโดยปราศจากหลักฐานไม่ถือเป็นนักวิชาการ



สิ่งที่วาญิบเหนือผู้ศรัทธาและผู้ที่ตักลิดโดยปราศจากหลักฐานไม่ถือเป็นนักวิชาการ

ชัยค์อัลลามะฮ สุลัยมาน อิบนิอับดิลละฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า

ﺑﻞ ﺍﻟﻔﺮﺽ ﻭﺍﻟﺤﺘﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻤﺆﻣﻦ ﺇﺫﺍ ﺑﻠﻐﻪ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻠﻪ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﻟﻠﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻋﻠﻢ ﻣﻌﻨﻰ ﺫﻟﻚ ، ﻓﻲ ﺇﻱ ﺷﻲﺀ ﻛﺎﻥ ، ﺃﻥ ﻳﻌﻤﻞ ﺑﻪ ، ﻭﻟﻮ ﺧﺎﻟﻔﻪ ﻣﻦ ﺧﺎﻟﻔﻪ ، ﻓﺒﺬﻟﻚ ﺃﻣﺮﻧﺎ ﺭﺑﻨﺎ ﺗﺒﺎﺭﻙ ﻭﺗﻌﺎﻟﻰ ، ﻭﻧﺒﻴﻨﺎ ﺻﻠﻰ ﺍﻟﻠﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ، ﻭﺃﺟﻤﻊ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻗﺎﻃﺒﺔ ، ﺇﻻ ﺟﻬﺎﻝ ﺍﻟﻤﻘﻠﺪﻳﻦ ﻭﺟﻔﺎﺗﻬﻢ ، ﻭﻣﺜﻞ ﻫﺆﻻﺀ ﻟﻴﺴﻮ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻛﻤﺎ ﺣﻜﻰ ﺍﻹﺟﻤﺎﻉ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻬﻢ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺒﺮ ﻭﻏﻴﺮﻩ

ยิ่งไปกว่านั้นวาญิบและจำเป็นเหนือผู้ศรัทธาเมื่อ คัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศ็อลฯ ได้มาถึงเขา และเขารู้ความหมายดังกล่าวนั้น ในสิ่งใดก็ก็ตามที่มันมี เขาจะต้องปฏิบัติด้วยมัน และแม้จะมีผู้ขัดแย้งกับมันขัดแย้งกับเขาก็ตามเพราะด้วยดังกล่าวนั้น พระเจ้าของเรา ผู้ทรงจำเริญและทรงสูงส่ง และ นบีของเรา ศ็อลฯ ได้สั่งเรา และบรรดาอุลามาอฺทั้งหมดได้มีมติบนดังกล่าวนั้น นอกจากบรรดาผู้โง่เขลา ที่ตักลิดตามและความแห้งกร้านของพวกเขา และที่เหมือนกับพวกเขาเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่นักวิชาการ ดังที่ อบูอุมัร บิน อิบดิลบัร และคนอื่นจากเขา ได้รายงานว่า แท้จริงพวกเขาไม่ใช่ ส่วนหนึ่งจากนักวิชาการ 

- ตัยสีร อัลอะซีซอัลหะมีด หน้า 546

1.วาญิบและจำเป็นเหนือผู้ศรัทธาเมื่อคัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศ็อลฯ ได้มาถึงเขา และเขารู้ความหมายดังกล่าวนั้น ในสิ่งใดก็ก็ตามที่มันมีเขาจะต้องปฏิบัติด้วยมัน และแม้จะมีผู้ขัดแย้งกับมันขัดแย้งกับเขาก็ตาม

2.พวกโง่เขลาที่ตักลิดตามโดยปราศจากหลักฐานไม่นับว่าเป็นนักวิชาการ

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64





เขากลัวไม่มีพลังเถียง เพราะไม่มีใครช่วย.....



เขากลัวไม่มีพลังเถียง เพราะไม่มีใครช่วย.....

ศิษย์หัวหน้าสายห่างอ้อนวอนว่า #ขออนุญาต อาจารย์ นะ ว่า อย่าได้เอาคอมเมนท์ของข้าพเจ้าไป ประจานหน้าเฟส เพราะ ในเฟสของท่าน ผมไม่มีพลังและความสามารถพอที่จะเถียง เพราะ มีแต่คนของท่านเกือบทั้งหมดเมื่อโต้อย่างไร ผมก็ไม่มีใครมาช่วย เหมือนว่าจะโดนยำหรือถล่มฝ่ายเดียว

@@@@@

ชี้แจง

อุตสาห์ แอดเข้ามาเป็นเพื่อน เพราะให้เกียรติและนับถือว่า เป็นพี่น้องในอิสลาม เพื่อจะได้โต้แย้งผมด้วยหลักฐาน ผู้อ่านจะได้ ศึกษาคู่ขนาน เพราะเป็นครูบาอาจารย์คงจะมีวิชาแก่กล้า แต่อ้างว่า "ไม่มีพลังเถียง" ช่างน่าเอ็นดู  เรื่องศาสนาเขาให้คุยด้วยหลักฐาน ไม่ใช่เอาตรรกมาเถียง เถียงเพื่อเอาชนะ แล้วมันได้อะไร

รักนะครับ หยุดทำตัวปกป้องตัวบุคคล และ กลุ่มตน เสียเถอะ แล้วมาปกป้องศาสนาของอัลลอฮจะดีกว่า หากยังศรัทธาในวันอาคีเราะฮ
ท่านนบี ศ็อลฯ เตือนเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวก ต่อสู้ บนการเล่นพรรคเล่นพวกยอมตายบนการเล่นพรรคเล่นพวก ว่า

مَنْ قُتِلَ تَحْتَ رَايَةٍ عِمِّيَّةٍ، يَدْعُو عَصَبِيَّةً، أَوْ يَنْصُرُ عَصَبِيَّةً، فَقِتْلَةٌ جَاهِلِيَّةٌ

“บุคคลใดถูกฆ่าภายใต้ธงแห่งพวกพ้องของตน (ยึดแต่เฉพาะพวกพ้องตน), เรียกร้องไปสู่พรรคพวกของตน (อะเศาะบียะฮฺ) หรือช่วยเหลือเฉพาะพวกพ้องของตน เช่นนี้การเสียชีวิตของเขา เฉกเช่นการเสียชีวิตในสภาพญาฮิลียะฮฺ (ตายในสภาพประหนึ่งอยู่ในยุคงมงาย,ไร้ทางนำ)” 
[หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 1850]

และหะดิษอีกบทหนึ่ง เป็นหะดิษเฎาะอีฟ แต่ความหมายถูกต้องเพราะสอดคล้องกับหะดิษเศาะเฮียะคือ
لَيْسَ مِنَّا مَنْ دَعَا إِلَى عَصَبِيَّةٍ

ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวกเรา ผู้ที่เรียกร้องไปสู่การถือพรรคถือพวก

ท่านอันมะนาวีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า ...
أَيْ مَنْ يَدْعُو النَّاس إِلَى الِاجْتِمَاع عَلَى عَصَبِيَّة وَهِيَ مُعَاوَنَة الظَّالِم

หมายถึง ผู้ที่เรียกร้องบรรดาผู้คน ไปสู่การรวมตัวกัน บนการถือพรรคถือพวก และเขาคือผู้ที่สนับสนุนผู้อธรรม/ผู้ที่ทำผิด 

- ดูฟัยฎุลเกาะดิร ชัรหอัลญามิอิศเศาะฆีร 5/386

ผู้ที่ยึดสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของท่านรอซูลนั้น ต้องรู้จักแยกถูกแยกผิด ไม่สนับสนุนช่วยเหลือในทางที่ผิดแม้คนทำผิดนั้นจะเป็นญาติพี่น้องหรือพรรคพวกตัวเองก็ตาม

"การถือพรรคถือพวก แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายไม่ใช่ส่วนหนึ่งอัลอิสลาม"

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/11/64

ศาสนาตรรก



ศาสนาตรรก

ครูอาจารย์กำมะลอย่อมสอนศิษย์ให้ใช้ตรรกโต้แย้งหลักฐานศาสนา และใช้วิธีการอันธพาลในการเอาชนะคะคานเรื่องศาสนา ต้องอ้างอิงหลักฐาน ไม่ใช่ ใช้ศาสนาตรรก

والحق ما وافق الدليل من غير التفات إلى كثرة المقبلين، أو قلتهم،

และความจริงนั้น คือ สิ่งที่สอดคล้องกับหลักฐาน โดยไม่ใส่ใจจำนวนมากของบรรดาผู้ที่ยอมรับ หรือจำนวนน้อยของพวกเขา

- มะสาอิลอัลเอียะติกอด อินดัลอะมีรอัศศ็อนอานีย์ หน้า 56

อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า ...

ليس لأحد دون رسول الله أن يقول إلا بالاستدلال.......ولا يقول بما استحسن ، فإن القول بما استُحسِن شيء يُحدِثه لا على مثالٍ سابق .

ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด อื่นจากรซูลุลลอฮ ต่อการที่เขาจะกล่าว นอกจากด้วยการแสดงหลักฐาน .... และเขาจะไม่กล่าว สิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดี เพราะแท้จริง คำกล่าว ด้วยสิ่งที่คิดเห็นว่าดี คือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน 
- อัรริสาละฮ /29

อ้างปราชญ์ว่า

เป็นผู้พาไปหาหลักฐาน พาไปหาอัลกุรอานและอัสสุนนะฮ เหยียดหยามว่าครูไทย ไม่ใช่ปราชญ์ เชื่อไม่ได้ เป็นพวกไม่เอาปราชญ์ 

ณ วันนี้ หลักฐานจากปราชญ์ไม่มี ไม่สามารถเอามาแสดงได้นอกจากหลักฐานชงด้วยตรรก แต่กลัวเสียหน้า จึงสร้างหมาไว้กัดคน เพื่อให้ตนมีที่ยืน

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/4/64

ความหมายอัลอิบาดะฮ



ความหมายอัลอิบาดะฮ 

สืบเนื่องมาจาก ผมได้ใช้คำว่า "พวกบูชาปราชญ์" คือผมหมายถึง การให้การเทิดทูนปราชญ์จนเลยเถิด เอาคำพูดที่เป็นความเห็นปราชญ์ มาเป็นศาสนบัญญัติ

ในปทานุกรมวิกีพิเดีย ได้ให้ความหมายว่า บูชา คือ การแสดงความเคารพ การกราบไหว้ การยกย่องนับถือบุคคลที่ควรเคารพนับถือ เช่น พระพุทธรูป พระสงฆ์ บิดามารดา คณุอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ ถือเป็นเหตุนำความสุข ความเจริญ และความก้าวหน้าในชีวิตมาให้แก่ผู้ทำ
และในปทานุกรม Oxford Languages and Google คือ

คำกริยา
1. แสดงความเคารพด้วยเครื่องสักการะ. "บูชาพระ บูชาครู"
2. ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใส.

จะเห็นได้ว่า คำว่าบูชา ไม่ใช่หมายถึง การสักการะกราบไหว้ อย่างเดียว แต่หมายถึง การยกยอ่งนับถือ บุคคล ที่เคารพนับถือ

แต่มี 2 ท่านเข้ามาโจมตีผม ว่าผมกล่าวหาว่า "มุสลิมทำชิริก กราบไหวสักการระปราชญ์ โดยเอาคำว่า "บูชา" ไปเทียบกับภาษาอาหรับที่แปลว่า "عبد (อะบะดะ) يعبد (ยะอบุดุ) แปลว่าเคารพภักดี

ได้ทีขี่แพะไล่ กล่าวหาว่า "ผมโง่ และดูถูกว่า อ่านหนังสือไม่ชัดจะเถียงปราชญ์ ไม่มีความรู้ ไม่มีมารยาท เรียกไลค์จากลูกสมุน
ขอบอก ว่า คำว่าอิบาดะฮ ไม่ใช้การเคารพ สักการะกราบไหว้อย่างเดียวนะท่าน มาดูครับ

وقال الزجاج (ومعنى العبادة في اللغة: الطاعة مع الخضوع)

และอัซซัจญาจญ์ ได้กล่าวว่า " ความหมายอิบาดะฮ ในทางภาษาคือ การภักดี(เชื่อฟัง) พร้อมกับการนอมน้อม/ยอมจำนน 
-ดูลิซานุลอัรบ 3/273 หมวดคำศัพท์ อะบะดะ

وقال الجوهري (أصل العبودية: الخضوع والتذلل)

อัลเญาฮะรีย์ ได้กล่าวว่า รากศัพท์ของคำว่าอุบูดียะฮคือ การนอบน้อมและการยอมจำนน

- ลิซานุลอัรบ 3/271

ومن التعريف اللغوي السابق يمكن أن يقال عن العبادة الشرعية إنها: الانقياد والخضوع لله تعالى على وجه التقرب إليه بما شرع مع المحبة

และจากนิยามทางภาษา ที่กล่าวมาก่อนแล้ว สามารถจะถูกกล่าวเกี่ยวกับคำว่าอิบาดะฮในทางศาสนบัญญัติว่า " คือ การยอมเชื่อฟังและการจำนนต่ออัลลอฮตาอาลา บนจุดประสงค์ของการกระทำตนให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติ พร้อมกับความรัก (ต่อพระองค์) - ที่มาข้างล่าง
نهج أهل السنة والجماعة ومنهج الأشاعرة في توحيد الله تعالى لخالد عبد اللطيف– 1/55


จะเห็นได้ว่า ในทางภาษา ความหมายคำว่าอิบาดะฮ" ไม่ใช่ การเคารพสักการะหรือการกราบไหว้อย่างเดียว แต่หมายถึงการยอมจำนนและยอมเชื่อฟัง ด้วยในทำนองเดียวกัน คำว่า "ยึดปราชญ์เป็นพระเจ้า" ไม่ได้หมายถึง การกราบไหว้ เสมอไปเช่น 

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِّن دُونِ اللَّهِ

พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮ์ 
(อัตเตาบะฮฺ 9 : 31)

คำว่า "ยึดปราชญ์"เป็นพระเจ้าในที่นี้คือ

عَنْ عَدِيِّ بْنِ حَاتِمٍ ، قَالَ : أَتَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَفِي عُنُقِي صَلِيبٌ مِنْ ذَهَبٍ ، فَقَالَ : " يَا عَدِيُّ اطْرَحْ هَذَا الْوَثَنَ مِنْ عُنُقِكَ " ، فَطَرَحْتُهُ ، فَانْتَهَيْتُ إِلَيْهِ وَهُوَ يَقْرَأُ سُورَةَ بَرَاءَةٌ ، فَقَرَأَ هَذِهِ الآيَةَ : اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِنْ دُونِ اللَّهِ سورة التوبة آية 31 حَتَّى فَرَغَ مِنْهَا ، فَقُلْتُ : إِنَّا لَسْنَا نَعْبُدُهُمْ ، فَقَالَ : " أَلَيْسَ يُحَرِّمُونَ مَا أَحَلَّ اللَّهُ فَتُحَرِّمُونَهُ وَيُحِلُّونَ مَا حَرَّمَ اللَّهُ ، فَتَسْتَحِلُّونَهُ ؟ " قُلْتُ : بَلَى ، قَالَ : " فَتِلْكَ عِبَادَتُهُمْ

รายงานจากอาดีย์ บิน หาติม กล่าวว่า 
ข้าพเจ้าไปหาท่านนบี ศอ็ลฯ โดยทีคอของข้าพเจ้ามีรูปกางเขนทองคำ แล้วท่านนบี กล่าวว่า "โอ้อาดีย์ ท่านจงเอาเจว็ดนี้ออกจากคอของท่านเสีย, แล้วข้าพเจ้าก็โยนมันทิ้ง แล้วข้าพเจ้าก็ ได้ได้มายังท่านนบี ในขณะที่ท่านอ่านซูเราะฮบะรออะฮ แล้วท่านนบีได้อ่านอายะฮนี้ "พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮ์ "
- ซูเราะฮเตาบัต/31 

จนกระทั่งท่านได้อ่านเสร็จ แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า "พวกเราไม่ได้เคารพภักดี(อิบาดะฮ)ต่อพวกเขาเลยนะ แล้วท่านนบีกล่าวว่า " พวกเขาห้ามในสิ่งที่อัลลอฮอนุมัติ แล้วพวกท่านก็ถือมันให้เป็นสิ่งต้องห้ามมิใช่หรือ? และพวกเขาอนุมัติสิ่งที่อัลลอฮทรงห้าม แล้วพวกท่าน ได้ถือว่าเป็นสิ่งอนุมัติมิใช่หรือ ? ข้าพเจ้าตอบว่า "ครับ ,ท่านนบีจึงกล่าวว่า " นั้นแหละคือการอิบาดะฮต่อพวกเขา 

- ตัฟสีรอัลวะสีฏ 2/491 أخرجه الترمذي (3020) و الطبراني في الكبير (13673) وصححه الألباني في الصحيحة برقم ( 3293
_____ 


สรุปคือ 

การยอมเชื่อฟังปราชญ์ในสิ่งที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ คือ การยึดปราชญ์เป็นพระเจ้า เช่น เมื่อปราชญ์ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮอนุมัติ พวกเขาก็ยอมตามปราชญ์ และปราชญ์อนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮห้าม พวกเขาก็ยอมตามปราชญ์

นี่คือความหมายหนึ่งของคำว่าอิบาดะฮ ไม่ใช่หมายถึง เคารพสักระอย่างเดียว ตามที่เอามาอ้าง แล้วกล่าวหาว่า ผมโง่ ไม่มีความรู้ จึงถามว่า "ตกลงใครโง่ครับ ผมนั่งทนมานาน คิดว่าจะหยุด แต่มาด่าซ้ำเติมผมเป็นรอบที่สอง จึงขอชี้แจง ให้บางจำพวกหายโง่

อะสัน หหมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64



จงยืนหยัดอยู่บนการศรัทธา



จงยืนหยัดอยู่บนการศรัทธา

ผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนการศรัทธาเมื่อใกล้จะตายมลาอิกะฮลงมาปลอบใจและแจ้งข่าวดีแก่เขา

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า ...

إِنَّ الَّذِينَ قَالُوا رَبُّنَا اللَّهُ ثُمَّ اسْتَقَامُوا تَتَنَزَّلُ عَلَيْهِمُ الْمَلَائِكَةُ أَلَّا تَخَافُوا وَلَا تَحْزَنُوا وَأَبْشِرُوا بِالْجَنَّةِ الَّتِي كُنتُمْ تُوعَدُونَ

แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่าอัลลอฮฺคือ พระเจ้าของพวกเราแล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น มะลากิกะฮฺจะลงมาหาพวกเขา (โดยกล่าวกับพวกเขาว่า) พวกท่านอย่าหวาดกลัวและอย่าเศร้าสลดใจแต่จงต้อนรับข่าวดี คือสวนสวรรค์ซึ่งพวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้

- ฟุศิลัต/30

โอ้อัลลอฮโปรดให้บ่าวเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเขาด้วยเถิด-อามีน

แปลก...ในเรื่องอิบาดะฮไม่มีหลักฐานก็ไม่บิดอะฮ



แปลก...ในเรื่องอิบาดะฮไม่มีหลักฐานก็ไม่บิดอะฮ

การรู้จักบิดอะฮ 2 ข้อคือ

قاعدة الثانية (2)
كل عبادة تستند إلى الرأي المجرد والهوى فهي بدعة؛ كقول بعض العلماء أو العُبَّاد أو عادات بعض البلاد أو بعض الحكايات والمنامات

กฏเกณฑ์ข้อที่ 2

ทุกๆอิบาดะฮที่อ้างถึง ความคิดเห็นเพียว ๆ และอารมณ์ มันคือบิดอะฮ เช่น คำพูด(ทัศนะ)บางส่วนของบรรดาปราชญ์ หรือ บรรดานักอิบาดะฮ หรือประเพณีบางประเทศ หรือ บางส่วนของเรื่องเล่า หรือความฝัน
- เกาวาอิดมะริฟะฮอัลบิดอิ ของอัลญิซานีย์ หน้า 6

القاعدة الرابعة: كل عبادة من العبادات ، ترك فعلَها السلف الصالح من الصحابة والتابعين وتابعيهم ، أو نقلَها ، أو تدوينها في كتبهم ، أو التعرض لها في مجالسهم : فإنها تكون بدعة ؛ بشرط أن يكون المقتضي لفعل هذه العبادة قائمًا ، والمانع منه منتفيًا" انتهى من "قواعد معرفة البدع" ص79.

กฏเกณฑ์ข้อที่ 4 :
ทุก ๆ อิบาดะฮจากบรรดาอิบาดะฮ ที่สะลัฟผู้ทรงธรรม จากบรรดาเศาะหาบะฮ ,บรรดาตาบิอีนและบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ไม่ได้ปฏิบัติมัน หรือไม่ได้รายงานมัน หรือ ไม่ได้จดมันไว้ในบรรดาตำราของพวกเขา หรือไม่ได้นำเสนอในที่ประชุมของพวกเขา แท้จริงมัน(อิบาดะฮนั้น)คือ บิดอะฮ โดยมีเงื่อนไขว่า ความต้องการที่จะทำอิบาดะฮนี้มีอยู่(ในยุคนั้น) และอุปสรรค์ขัดขวางจากมันไม่มี
 
- เกาะวาอิดมะริฟะฮติลบิดอิ หน้า 79 ของ ดร.มุหัมหมัด บิน อัลหุสัยนฺอัลญิซานีย์
انظر الترغيب عن صلاة الرغائب الموضوعة 9) ، والباعث 47)

สรุป
1.ทุก ๆ อิบาดะฮที่ไม่ปรากฏว่า สะลัฟผู้ทรงธรรม จากบรรดาเศาะหาบะฮ ,บรรดาตาบิอีน ไม่ได้ปฏิบัติมัน หรือไม่ได้รายงานมัน หรือ ไม่ได้จดมันไว้ในบรรดาตำราของพวกเขา หรือไม่ได้นำเสนอในที่ประชุมของพวกเขา แท้จริงมัน(อิบาดะฮนั้น)คือ บิดอะฮ

2. และที่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติอิบาดะฮดังกล่าว ทั้งๆที่มีความต้องการ และไม่มีอุปสรรคใดมาขัดข้าง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพวกเขาได้ปฏิบัติ แสดงว่าสิ่งนั้นคือบิดอะฮ

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/3/64

ตัวอย่างการทำบิดอะฮอุทิศให้คนตาย

 ตัวอย่างการทำบิดอะฮอุทิศให้คนตาย

มีผู้ถามชัยค์บินบาซ (ร.ฮ) เกี่ยวกับการชุมนุมกันที่บ้านผู้ตาย 3 วัน 7 วัน เพิ่อ ทำการตะฮลีล และอ่านอัลกุรอ่านอุทิศให้ดวงวิญญานผู้ตายว่ามีหุกุมอย่างไร
ชัยค์บินบาซ ตอบดังนี้
الجواب:
هذا -يا أخي- بدعة ما يجوز هذا، هذا منكر وبدعة لا أصل له من الشرع، بل يجب تركه، إذا مات ميت يعزون يدعى لهم بالصبر والاحتساب، ولميتهم بالمغفرة إذا كان مسلمًا، أما هذه الأعمال فهي منكرة، كلها بدعة، لا أصل لها في الشرع، ولم يفعلها الرسول ﷺ ولا أصحابه ، فهي بدعة منكرة. نعم.
โอ้พี่น้องของฉัน นี่คือบิดอะฮ ไม่อนุญาต กรณีนี้ ,นี้คือ สิ่งที่น่ารังเกียจ(ในศาสนา) และบิดอะฮ มันไม่มีที่มาจากศาสนบัญญัติ ยิ่งไปกว่านั้นวาญิบให้ละทิ้งมัน เมื่อมัยยิตใดเสียชีวิต พวกเขาจะถูกปลอบใจ ขอให้พวกเขาอดทนและหวังผลตอบแทนจากอัลลอฮ และขอให้ผู้ตายของพวกเขาได้รับการอภัยโทษ เมื่อเขาเป็นมุสลิม สำหรับการกระทำเหล่านี้ คือสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งหมดของมันคือบิดอะฮ ไม่มีที่มาในศาสนบัญญัติ และท่านรอซูล ศ็อลฯ และบรรดาเศาะหาบะฮของท่านไม่ได้ปฏิบัติมัน มันคือบิดอะฮทีน่ารังเกียจ ครับ
المقدم: أحسن الله إليكم.
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/3/64
อาจเป็นรูปภาพของ หนึ่งคนขึ้นไป
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

กฏเกณฑ์เรื่องเฎาะรูเราะฮ(การอยู่ในภาวะคับขัน)

 กฏเกณฑ์เรื่องเฎาะรูเราะฮ(การอยู่ในภาวะคับขัน)

นำเรื่องกฏเกณในการใช้ หลักการ"เฎาะรูเราะฮ มาอธิบายเพิ่มเติม เนื่องจากมีคนดูถูกว่า หลักฐานของคนญาเฮลหน้าเฟส เอามาตัดสินไม่ได้ เพราะฉะนั้น ณ วันนี้หากใครที่สนับสนุนคนบ้านเราให้เปลี่ยนแปลงแถวละหมาดด้วยการยืนห่าง 1.5 เมตร ถ้าไม่ชอบด้วยศาสนบัญญัติ ขอให้รับผิดชอบการปฏิบัติของพี่น้องประชาชนในวันกิยามะฮ
ขอให้พี่น้องมาอ่านและทำความเข้าใจรายละเอียดข้างล่างนี้
วะฮบะฮ อัซซุฮัยลีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
والضرورة هي بلوغ الحد الذي إذا لم يتناول معه
الممنوع حصل الهلاك للمضطر أو قريب منه، كفقد عضو أو حاسة من الحواس، فهذه هي الضرورة الشرعية
และเฎาะรูเราะฮ คือ การบรรลุถึงขอบเขตที่ว่าถ้าเขาไม่ได้รับสิ่งที่ถูกห้ามนั้น พร้อมกับเขา ความหายนะ(ความตาย) หรือใกล้เคียงกับมัน ก็เกิดแก่ผู้ที่อยู่ในภาวะคับขัน/จำเป็น เช่นสูญเสียอวัยวะ หรือสูญเสียโสดประสาท จากบรรดาโสดประสาทต่างๆ นี้คือ เฎาะรูเราะฮชัรอียะฮ(เฏาะรูเราะฮในทางศาสนบัญญัติ)......ดู เกาะวาอิดอัลฟิกฮียะฮ ของมุหัมหมัดมุศเฏาฟาอัซซุฮัยลี 1/276
มุหัมหมัด ซะกะรียา อัลกันดะฮละวีย(ร.ฮ) กล่าวว่า
فالضرورة : بلوغه حد إن لم يتناول الممنوع هلك أو قارب ، وهذا يبيح تناول الحرام
และเฎาะรูเราะฮ คือ การบรรลุถึงขอบเขตที่ว่าถ้าเขาไม่ได้รับสิ่งที่ถูกห้ามนั้น เขาก็หายนะ(เสียชีวิต) หรือใกล้เคียงกัน และนี้คือ ถูกอนุญาตให้รับสิ่งที่ต้องห้ามได้ - ดู เอาญัซ อัลมาสาลิก อิลามุวัฏเฏาะอมาลิก 9/237
..........
สรุปคือ
คำว่าเฎาะรูเราะฮในทางศาสนา คือ หากไม่ได้รับสิ่งที่ต้องห้ามนั้น ผู้ที่อยู่ในภาวะคับขันหรือีความจำเป็นอย่างยิ่งนั้น จะทำให้เกิดเสียชีวิต หรือใกล้เคียงกับการเสียชีวิต เช่นสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียประสาทความรู้สึก
การยืนเว้นระยะห่างในแถวละหมาด 1.5 เมตร หรือ 2 เมตร ไม่ได้เข้าค่ายเฎาะรูเราะฮที่หากไม่ปฏิบัติ จะต้องเสียชีวิตหรืออันตรายแก่อวัยวะ อีกทั้งยังมีทางเลือกอื่น คือ เมื่อเกิดความกลัวว่าจะอันตรายแก่ชีวิต ก็ให้งดการละหมาดญุมอัตและละหมาดวันศกร์ที่มัสยิด
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวไว้ว่า
قال المصنف رحمه الله * (ومنها ان يخاف ضررا في نفسه أو ماله أو يكون به مرض يشق معه القصد والدليل عليه ما روى ابن عباس ان النبي صلى الله عليه وسلم قال " من سمع النداء فلم يأته فلا صلاة له الا من عذر قالوا يا رسول الله وما العذر قال خوف أو مرض
"
ผู้เรียบเรียงหนังสือ(หมายถึงอัชชิรอซีย์) ร.ฮ ได้กล่าวว่า และส่วนหนึ่งจากมัน(หมายถึงอุปสรรคที่อนุญาตให้ทิ้งละหมาดญุะมาอะฮที่มัสยิด) คือ เขากลัวอันตราย เกี่ยวกับตัวของเขา หรือทรัพย์สินของเขา หรือ เขามีความเจ็บป่วยที่สร้างความลำบาก ต่อการที่จะไป และหลักฐานที่แสดงบอกบนมันคือ สิ่งที่อิบนุอับบาสได้รายงาน ว่าท่านนบี ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า " ผู้ใดได้ยินเสียงเรียกร้อง(มาสู่การละหมาด) เขาไม่ได้มา(ละหมาดที่มัสยิด) ไม่มีการละหมาด(การละหมาดไม่สมบูรณ์) สำหรับเขา เว้นแต่ผู้ที่มีอุปสรรค พวกเขากล่าวว่า
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ อะไรคืออุปสรรค ?ท่านได้ตอบว่า ความกลัว หรือความเจ็บป่วย”- อัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ 1/100 (ดูสำเนาที่แนบมา
อิบนุกุดามะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فصل) ويعذر في تركهما الخائف لقول النبي صلى الله عليه وسلم " العذر خوف أو مرض " والخوف ثلاثة أنواع: خوف على النفس، وخوف على المال، وخوف على الأهل
(ฟัศลุน) และผู้ที่กลัว ได้รับอนุญาตในการทิ้งมันทั้งสอง (ละหมาดญุมอัตและญะมาอะฮ) เพราะคำพูดของท่านนบี ศ็อลฯ ที่ว่า อุปสรรค์ คือ การกลัวหรือป่วย และการกลัวนั้น มี 3 ประเภทคือ กลัวจะอันตรายต่อตนเอง ,กลัวอันตรายต่อทรัพย์สิน และกลัวอันตรายต่อครอบครัว - ดูอัลมุฆนีย์ 1/656
...........
การเว้นระยะห่างในแถวละหมาด 1.5และ 2 เมตร ไม่สามารถที่จะป้องกันการระบาดของโรคได้เลย อย่างที่เราเห็นกันอยู่ว่า มีการติดเชื้อโควิด ในบรรดาผู้ละหมาด ทางการซาอุดีจึงมีการปิดมัสยิดบางส่วน ตามข่าวที่เราเคยเสนอไปแล้ว
เพราะฉะนั้นในสถานการในประเทศเราที่ได้มีการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนระเบียบแถวละหมาดตามคำสอนนบี ศ็อลฯ มาให้ยืนเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร โดยอ้างเฎาะรูเราะฮนั้น หากไม่ชอบด้วยศาสนา ครูบาอาจารย์ที่สนับสนุนชาวบ้านจะต้องรับผิดชอบในวันอาคีเราะฮ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/3/64
อาจเป็นรูปภาพของ ‎ข้อความพูดว่า "‎:قلت فيه أيضًا اختلاف كما سيأتي في المبحث السابع وفي الأشباه ، عن فتح القدير هاهنا خمسة مراتب ضرورة وحاجة ومنفعة وزينة وفضول؛ فالضرور بلوغه غه حد إن لم يتناول الممنوع هلك أو قارب وهذا يبيح تناول الحرام والحاجة كالجائع الذي لو لم يجد ما يأكله لميهلك غير أنه يكون في جهد ومشقة وهذا لا يبيح الحرام والمنفعة كالذي يشتهي خبز البر ولحم الغنم والطعام الدسم والزينة کالمشتهى بحلوى والسكر والفضول التوسع بأكل الحرام والشبهة انتهى‎"‎

ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์