วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

อันตรายของบิดอะหฺ (อุตริกรรมในศาสนา) อันตรายของบิดอะหฺ (อุตริกรรมในศาสนา) เรียบเรียงโดย อ. อับดุลบารีย์ นาปาเลน

อันตรายของบิดอะหฺ (อุตริกรรมในศาสนา)
อันตรายของบิดอะหฺ (อุตริกรรมในศาสนา) เรียบเรียงโดย อ. อับดุลบารีย์ นาปาเลน -------------------------------
النَّهْيُ عَنِ الابْتِدَاعِ فِيْ الدِّيْنِ

عَنْ اُمِّ المُؤْمِنِيْنَ اُمِّ عَبْدِ اللهِ عَائِشَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهَا قَالَتْ : قَالَ رَسُوْلُ اللهِ ﷺ :" مَنْ أَحْدَثَ فِيْ أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ " رَوَاهُ البُخَارِيُّ وَمُسْلِمٌ.وَفِيْ رِوَايَةٍ لِمُسْلِمٍ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلاً لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَرَدٌّ " .


ความว่า: จากมารดาของศรัทธาชนทั้งหลาย อุมมุ อับดิลลาฮฺ นั่นคือท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า “ใครก็ตามที่อุตริในกิจการศาสนาของเรานี้ ซึ่งสิ่งที่เราไม่ได้สั่งใช้ ดังนั้นสิ่งที่อุตริขึ้นมานั้นย่อมถูกปฏิเสธ” บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม และในการบันทึกของมุสลิมมีสำนวนว่า: “ใครก็ตามที่ปฏิบัติกิจการใดกิจการหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้สั่งใช้ ดังนั้นกิจการนั้นจะถูกปฏิเสธ

จากอันตรายของบิดอะหฺ
(1)ผู้ที่ทำบิดอะห์จะถูกสาปแช่งจากพระองค์อัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตาอาลา):ดังที่ท่านนบีได้กล่าวว่า" المَدِينَةُ حَرَمٌ مَا بَيْنَ عَيْرٍ إِلَى ثَوْرٍ، فَمَنْ أَحْدَثَ فِيهَا حَدَثًا، أَوْ آوَى مُحْدِثًا، فَعَلَيْهِ لَعْنَةُ اللَّهِ وَالمَلاَئِكَةِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِينَ، لاَ يُقْبَلُ مِنْهُ يَوْمَ القِيَامَةِ صَرْفٌ وَلاَ عَدْلٌ."“ เมืองมาดีนะหฺเป็นดินแดนสงวน(เป็นเขตที่ต้องห้าม) ระหว่างภูเขาอัยรฺจนถึงผู้เขาศูรฺ ดังนั้นผู้ใดที่ได้ทำสิ่งอุตริกรรมในนั้น หรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ทำอุตริกรรม แน่นอน เขาจะถูกสาปแช่งจากอัลลอฮ์ และมาลาอีกะหฺ และมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์จะไม่รับการการกระทำความดีของเขาใดๆในวันกียามะหฺ “(รายงานโดย บุคคอรีย์ / ๖๗๕๕, ๑๘๗๐)ฮาดิษนี้ได้เจาะจงเฉพาะเมืองมาดีนะหฺ แต่แน่นอนในสถานที่อื่นก็โดนสาปแช่งด้วย แต่ที่จงจงในเมืองมาดีนะหฺ เพราะถือว่าเป็นบาปใหญ่ที่เพิ่มความทวีคูณ และผู้ที่ให้การพักพิงก็ยังถูกสาปแช่งตามไปด้วย เพราะร่วมช่วยกันในสิ่งที่เป็นความผิดและในหลายโองการ ที่พระองค์ได้ทรงสาปแช่งพวกบนีอิสรออีล จากที่พวกเขาได้เปลียนแปลงศาสนาของพระองค์" فَبِمَا نَقْضِهِم مِّيثَاقَهُمْ لَعَنَّاهُمْ وَجَعَلْنَا قُلُوبَهُمْ قَاسِيَةً يُحَرِّفُونَ الْكَلِمَ عَن مَّوَاضِعِهِ وَنَسُوا حَظًّا مِّمَّا ذُكِّرُوا بِهِ وَلَا تَزَالُ تَطَّلِعُ عَلَىٰ خَائِنَةٍ مِّنْهُمْ إِلَّا قَلِيلًا مِّنْهُمْ.. "“ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความกรุณาเมตตาของเรา(คือได้สาปแช่ง) และให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือน บรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน และลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ และเจ้า ก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น “ (อัลมาอีดะหฺ / ๑๓)ในฮาดิษข้างต้นยังบ่งบอกถึงการยกย่องชมเชยต่อผู้ทำสิ่งอุตริกรรมว่า พวกเขาได้ร่วมช่วยกันทำลายศาสนา โดยมีข้อเสียอยู่สองประการด้วยกันประการแรก หากคนธรรมดามาเห็นการให้เกียรติของเขาต่อพวกบิดอะหฺ คนธรรมดาเหล่านั้นจะคิดว่า ผู้ทำบิดอะหฺนั้นอยู่ในทางที่ถูกต้อง และเป็นคนที่มีให้เกียรติ และสุดท้ายก็จะปฏิบัตตามจากพวกบิดอะหฺนั้น ประการที่สอง การยกย่องพวกเขาถือเป็นการสนับสนุนในบิดอะหฺของพวกเขา หรือส่งเสริมในการให้เขาได้ทำบิดอะหฺต่อไป และนั่นก็ถือเป็นการทำลายอิสลามในทางอ้อมอีกด้วย--------------------

จากอันตรายของบิดอะหฺ
(2)บิดอะหฺเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก ตรงข้ามกับซุนนะหฺที่มีเเค่ทางเดียว ที่จะทำให้เกิดความสามัคคี เพราะบิดอะหฺออกมาจากความคิด และฮาวา(อารมณ์)ของคน มันจึงออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปดั่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสว่า.. وَأَنَّ هَٰذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلَا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَٰلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ ( 153 )“ และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแตกแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง “ (อัลอันอาม / ๑๕๓)إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُوا دِينَهُمْ وَكَانُوا شِيَعًا لَّسْتَ مِنْهُمْ فِي شَيْءٍ إِنَّمَا أَمْرُهُمْ إِلَى اللَّهِ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُوا يَفْعَلُونَ ( 159 )“ แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน “ (อัลอันอาม / ๑๕๙)فَتَقَطَّعُوا أَمْرَهُم بَيْنَهُمْ زُبُرًا كُلُّ حِزْبٍ بِمَا لَدَيْهِمْ فَرِحُونَ ( 53 )“ พวกเขาได้แตกแยกกันในเรื่องของพวกเขา(เป็นเล่มๆ) ระหว่างพวกเขากันเอง แต่ละฝ่ายก็พอใจในสิ่งที่ตนเองยึดถือ “จนกระทั้งยุคนี้ พวกเขาก็แตกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มก็เห็นว่าตัวเองนั้นถูกต้อง และกลุ่มอื่นเป็นกลุ่มที่หลงผิด แถมยังประนามฝ่ายตรงข้าม ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกัน และเกิดรบราฆ่าฟันกันในที่สุด ฉนั้น การเงียบจากสิ่งที่บิดอะหฺ และไม่ช่วยกันห้ามปราม แน่นอน มันเป็นสาเหตุที่จะให้เกิดความแตกแยกในสังคมมุสลิม หากเราย้อนมองกลับไปมองในยุคของศอฮาบะห์ และตาบีอีน ยุคแห่งความประเสริฐ พวกเขามีการยึดมั่นในซุนนะหฺ โดยปราศจากการกระทำบิดอะหฺแต่อย่างใด พระองค์อัลลอฮ์จึงให้พวกเขาสืบทอดในแผ่นดินนี้ จากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกตามที่พระองค์ทรงสัญญา وَلَيَنصُرَنَّ اللَّهُ مَن يَنصُرُهُ إِنَّ اللَّهَ لَقَوِيٌّ عَزِيزٌ ( 40 ) الَّذِينَ إِن مَّكَّنَّاهُمْ فِي الْأَرْضِ أَقَامُوا الصَّلَاةَ وَآتَوُا الزَّكَاةَ وَأَمَرُوا بِالْمَعْرُوفِ وَنَهَوْا عَنِ الْمُنكَرِ وَلِلَّهِ عَاقِبَةُ الْأُمُورِ ( 41 )“และแน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาตและใช้กันให้กระทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว และบั้นปลายของกิจการทั้งหลายย่อมกลับไปหาอัลลอฮ์ “ (อัลหัจญ์ / ๔๐-๔๑)------------------------------------------------------------
จากความอันตรายของบิดอะหฺ
(3)ท่านนบี( ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้ตำหนิผู้ทำบิดอะหฺมากกว่าผู้ทำบาปทั่วไป เช่นในฮาดิษที่มีสามคนจากบรรดาศอฮาบะหฺ ที่พวกเขาจะเริ่มออกจากซุนนะหฺของท่านนบี โดยพวกตั้งใจจะไม่หลับนอนในเวลากลางคืน อีกคนจะไม่แสวงหาภรรยา และอีกคนไม่ยอมรับประทานอาหารโดยจะถือศิลอดตลอด เมื่อท่านนบีรู้ดังกล่าว ท่านกล่าวว่า..لَكِنِّي أُصَلِّي وَأَنَامُ وَأَصُومُ وَأُفْطِرُ وَأَتَزَوَّجُ النِّسَاءَ، فَمَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي»แต่ทว่าฉันละหมาดและฉันก็นอน ฉันถือศีลอดแล้วก็ฉันก็ละศีลอด และฉันก็แต่งงานกับสตรี ดังนั้น ผู้ใดที่ปราถนาอื่นจากแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ใช่พวกของฉัน” (รายงานโดยบุคอรีย์ / 2487)คือ ท่านนบีปฏิเสธการเป็นพวกด้วย หรือในบิดอะหฺของพวกคอวาริจ ที่ท่านนบีตั้งใจที่จะฆ่าพวกเขา หากว่าท่านได้พบเจอพวกเขา ซึ่งมีหลายสายรายงานด้วยกันในฮาดิษซอเฮียะห์บุคอรีย์ ที่รายงานว่า ในขณะที่ท่านนบีกำลังแจกทรัพย์เชลยอยู่ ได้มีผู้ชายคนหนึ่งกลับไม่พอใจ จึงกล่าวขึ้นว่า ..فَقَالَ: اتَّقِ اللَّهَ يَا مُحَمَّدُ، فَقَالَ: «مَنْ يُطِعِ اللَّهَ إِذَا عَصَيْتُ؟ أَيَأْمَنُنِي اللَّهُ عَلَى أَهْلِ الأَرْضِ فَلاَ تَأْمَنُونِي» فَسَأَلَهُ رَجُلٌ قَتْلَهُ، - أَحْسِبُهُ خَالِدَ بْنَ الوَلِيدِ - فَمَنَعَهُ، فَلَمَّا وَلَّى قَالَ: " إِنَّ مِنْ ضِئْضِئِ هَذَا، أَوْ: فِي عَقِبِ هَذَا قَوْمًا يَقْرَءُونَ القُرْآنَ لاَ يُجَاوِزُ حَنَاجِرَهُمْ، يَمْرُقُونَ مِنَ الدِّينِ مُرُوقَ السَّهْمِ مِنَ الرَّمِيَّةِ، يَقْتُلُونَ أَهْلَ الإِسْلاَمِ وَيَدَعُونَ أَهْلَ الأَوْثَانِ، لَئِنْ أَنَا أَدْرَكْتُهُمْ لَأَقْتُلَنَّهُمْ قَتْلَ عَادٍ "“ ชายผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า จงยำเกรงอัลลอฮฺ โอ้มูฮัมมัด ท่านนบีได้กล่าวว่า “ จะมีใครเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ อีก หากฉันได้ฝ่าฝืนพระองค์ พระองค์ได้ให้ความไว้วางใจต่อฉันในแผ่นดินนี้ แล้วพวกท่านไม่ไว้วางใจต่อฉันหรือ “ และมีคนได้ขออนุญาติสังหารผู้นั้น และฉัน(นักรายงาน)คิดว่า ผู้นั้นคือ ท่านคอลิด บินวลีด แล้วท่านนบีก็ห้ามเขาไว้ เมื่อเขาผู้นั้นกลับไป ท่านนบีกล่าวว่า จะออกมาจากไขสันหลังผู้นี้ หรือ เป็นผู้สืบทอดของผู้นี้ ซึ่งกลุ่มชนหนึ่ง พวกเขาจะอ่านอัลกุรอาน แต่การอ่านนั้นไม่ได้ผ่านลูกกระเดือกของพวกเขา (คืออ่านแต่ไม่เข้าใจ) พวกเขาจะพุ่งออกจากศาสนา เสมือนกับลูกศรที่ได้พุ่งออกจากคันธนู (มีผู้รู้บางท่านเห็นว่า พวกคอวาริจได้ตกเป็นกาเฟร) พวกเขาจะมาเข่นฆ่าชาวมุสลิม และละทิ้งผู้ตั้งภาคี (คือละทิ้งการสู้รบกับพวกมุชริก) หากฉันมีโอกาศอยู่ทันพวกเขา ฉันจะสังหารพวกเขาเหมือนการสังหารอ้าด(โดยเปรียบพวกเขาเหมือนพวกอ้าด)” (รายงานโดยบุคอรีย์ / ๓๓๔๔)และมีอีกฮาดิษที่ท่านนบีได้ส่งเสริมให้ผู้ศรัทธาสังหารพวกเขา«سَيَخْرُجُ قَوْمٌ فِي آخِرِ الزَّمَانِ، أَحْدَاثُ الأَسْنَانِ، سُفَهَاءُ الأَحْلاَمِ، يَقُولُونَ مِنْ خَيْرِ قَوْلِ البَرِيَّةِ، لاَ يُجَاوِزُ إِيمَانُهُمْ حَنَاجِرَهُمْ، يَمْرُقُونَ مِنَ الدِّينِ، كَمَا يَمْرُقُ السَّهْمُ مِنَ الرَّمِيَّةِ، فَأَيْنَمَا لَقِيتُمُوهُمْ فَاقْتُلُوهُمْ، فَإِنَّ فِي قَتْلِهِمْ أَجْرًا لِمَنْ قَتَلَهُمْ يَوْمَ القِيَامَةِ»“ ในยุคสุดท้าย จะมีกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา เป็นบรรดาผู้อายุน้อย เป็นกลุ่มที่มีความเพ้อฝัน จะกล่าวจากคำพูดของอัลลอฮฺ แต่อีหม่านพวกเขาไม่ได้เข้าไปในหัวใจ พวกเขาจะพุ่งออกจากศาสนา เสมือนกับลูกศรที่ได้พุ่งออกจากคันธนู ดั้งนั้น หากพวกเจ้าทั้งหลายได้พบเห็นพวกเขา ก็จงสังหารพวกเขาเสีย เพราะการสังหารพวกเขาจะได้รับผลบุญมหาศาลในวันกียามะหฺ “ (รายงานโดยบุคอรีย์ /๖๙๓๐)ทั้งหมดนี้ ถือเป็นสำนวนจากตัวบทหลักฐานที่ได้ตำหนิแรงต่อพวกบิดอะหฺ ส่วนผู้ทำบาป(มะอฺซียะหฺ)ทั่วไป ท่านนบีไม่ได้กล่าวตำหนิแรงแบบนี้ ดั่งเช่น ผู้ดื่มสุรา ที่ท่านนบีสั่งให้ลงโทษเขา จนมีศอฮาบะหฺผู้หนึ่งได้สาปแช่งเขา จากการที่เขาผู้นั้นชอบดื่มสุรา ท่านนบีจึงห้ามศอฮาบะหฺผู้นั้น ท่านได้กล่าวว่า..«لاَ تَلْعَنُوهُ، فَوَاللَّهِ مَا عَلِمْتُ إِنَّهُ يُحِبُّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ»“พวกท่านจงอย่าสาปแช่งเขา และฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาผู้นี้ นอกเสียจาก ฉันรู้ว่าเขานั้นมีความรักต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ “ (รายงานโดย บุคอรีย์ / ๖๗๘๐)และอีกเหตุการณ์ ที่ท่านนบีได้ลงโทษต่อสตรี ที่ได้มาสารภาพผิดต่อท่านนบีและขอให้ท่านนบีได้ลงโทษหรือทำการลบบาปให้แก่นาง จนสุดท้ายท่านนบีได้กล่าวเกียวกับนางว่า.. «لَقَدْ تَابَتْ تَوْبَةً لَوْ قُسِمَتْ بَيْنَ سَبْعِينَ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَوَسِعَتْهُمْ " “ นางคนนี้ได้ทำการสารภาพผิด โดยที่การสารภาพผิดนี้ แน่นอน หากได้เอามันไปแจกจ่ายให้แก่ชาวมาดีนะหฺราวหกสิบคนก็คงพอให้แก่พวกเขา(คือเป็นการสารภาพผิดที่ จะได้รับความเมตตาเป็นอย่างมาก) “ (รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด และติรมีซีย์ และอื่นๆ)ดังกล่าวนี้ บ่งบอกว่า การกระทำบิดอะหฺ อันตรายมากยิ่งกว่าการกระทำบาปอื่นๆ------------------------------------------------------------

จากอันตรายของบิดอะหฺ(4)
---------------------------ผู้ทำบิดอะหฺจะไม่ได้รับการอภัยโทษ จนกว่าเขาจะทิ้งบิดอะหฺนั้น ดั่งในฮาดิษ" إِنَّ اللهَ حَجَبَ التَّوْبَةَ عَنْ صَاحِبِ كُلِّ بِدْعَةٍ "“แท้จริง อัลลอฮฺจะทรงปิดประตูการสารภาพผิด ของผู้ทำอุตริกรรมทุกคน” (รายงานโดยบัยฮากีย์ ใน ชูอะบุลอีมาน และต็อบรอนีย์ ในอัลอัวซอฏ ท่านอัลบานีย์กล่าวว่า เป็นสายรายงานที่ถูกต้อง )และในฮาดิษได้หมายถึงอีกความหมาย คือ อัลลอฮฺนั้นจะปกปิดหัวใจของพวกที่ทำบิดอะหฺ จากการเตาบะหฺกลับไปสู่อัลลอฮฺ เพราะพวกเขาจะอยู่ในความหลงผิดโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว กลับมองว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงถูกการปิดกันระหว่างพวกเขากับการเตาบะหฺ และในทำนองนี้ ท่านซุฟยาน อัสเซารีย์ ได้กล่าวว่า "البدعة أحب إلى إبليس من المعصية، المعصية يتاب منها، والبدعة لا يتاب منها"“ บิดอะหฺ จะถูกรักไปยังอิบลีส มากกว่ามะซียะหฺ เพระการทำมะอฺชียะหฺจะมีการกลับตัวสารภาพผิด ส่วนการกระทำบิดอะหฺนั้นจะไม่การกลับตัวสารภาพผิด “ (รายงานโดย อัลลาละกาอีย์ ในซุนนะหฺ)ดังนั้น เป็นที่หน้าห่วงใยมาก ของผู้ที่ได้ตายกลับไปหาอัลลอฮฺ ในสภาพที่ยังไม่ได้เตาบะหฺตัว-------------------------------------------------------

จากอันตรายของบิดอะหฺ(5)-----------------------------บิดอะหฺทำให้สติเสีย ตรงข้ามกับซุนนะหฺที่ทำให้เกิดความฉลาด ดั่งที่ในหลายโองการในอัลกุรอาน คำว่า ฮิกมะหฺ ในหลายสายรายงานหรือในหนังสือตัฟซีรทั้งหลายจะหมายถึงซุนนะหฺของท่านนบี( ซอลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม ) ทั้งที่ความหมายเดิมของมันหมายถึง ความฉลาด หรือวิทยปัญญา ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า.. هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ ( 2 )“ พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งร่อซูลขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีร์ภาพ(หมายถึง อัซซุนะหฺ)แก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม “ (อัลญุมอะหฺ)และโองการที่ว่า لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ ( 164 )“แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และวิทยปัญญาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง “ (อาละอิมรอน )ตรงกันข้ามที่บิดอะหฺ กลับมาทำให้ผู้กระทำมันนั้นเปลียนเป็นคนเสียสติ หลงทาง เห็นผิดเป็นถูก หรือทำให้มีความคิดที่เพี้ยน ตัวอย่างในบิดอะหฺแรก นั่นคือบิดอะหฺคอวาริญ ที่พวกเขาได้โยนการเป็นกาเฟรแก่ท่านอุสมาน ผู้ที่ท่านนบีได้ยกลูกสาวสองคนแก่ท่านจนกระทั้งได้สมยานามว่า ศุนนูรัยนฺ (ผู้ที่มีสองรัสมี) และท่านนบีมักจะให้เกียรติแก่ท่านมาก และยังบอกว่า บรรดามลาอีกะหฺยังมีความละอายแก่ท่าน และได้ซื้อดินเพื่อขยายมัสญิดให้ท่านนบี แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้ร่วมกันฆ่าท่านอุสมาน ในขณะที่กำลังอ่านอัลกุรอานอยู่หรือพวกคอวาริญที่ได้ฆ่าท่านอาลีก็เช่นเดียวกันที่พวกเขามองผิดเป็นถูก จนกระทั่งมีคนหนึ่งจากพวกเขาได้กล่าวว่าขึ้นว่าيا ضربة من تقى ما أراد بها ... إلا ليبلغ من ذي العرش رضواناًإني لأذكره يوما فأحسبه ... أوفى البرية عند الله ميزاناً“ โอ้(ความปริศนา)จากการสังหารของผู้ที่ยำเกรง ที่เขาไม่ต้องการอะไรนอกจากเพื่อต้องการบรรลุสู่ความพึงพระทัยของพระผู้ทรงเจ้าบัลลังก์และแท้จริง วันหนึ่งฉันก็ได้นึกถึงเขาขึ้นมา และคิดได้ว่าในบรรดามนุษย์นั้นเขาเป็นผู้ทรงกตัญญูมากที่สุดแล้ว ณที่อัลลอฮ” ( อัลมิลัล วันนิฮัล ของ ชะหฺริสตานี / ๑/๑๒๐)เช่นเดียวกับพวกรอฟิเฏาหฺ (พวกชีอะหฺ) ที่ปฏิเสธอาบูบักร และอูมัร ได้ด่าทอและสาปแช่งต่อบรรดาศอฮาบะหฺ หรือมิตรสหายของท่านนบี และกล่าวว่า ทำสิ่งนี้แล้วจะได้บุญ หรือการที่พวกเขากระทำกันในวันอาชูรอ ที่ได้เฆี่ยนตีหลังและกรีดเนื้อตัวเองเพื่อให้หลั่งเลือด แสนที่จะหน้าอับอายต่อหน้าศาสนิก หากพวกเขาได้คิดว่า สิ่งนี้หรือที่มาจากอิสลาม หรือเหมือนกับพวกตอรีกัต ซูฟีย์ ที่พวกเขาได้ย่อคำรำลึกถึงอัลลอฮฺ จาก กาลีมะตุตเตาฮีด ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ให้เหลือแค่ อัลลอฮู หรือลดเหลือแค่คำว่า “ ฮู ฮู “ .ด้วยเหตนี้ที่ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ได้กล่าวว่าقال الشافعي: لو أن رجلا تصوف أول النهار لا يأتي الظهر حتى يصير أحمق. وما لزم أحد الصوفية أربعين يوما فعاد عقله إليه أبدا "“ หากมีผู้ชายคนหนึ่งได้กลายเป็นซูฟีย์ในตอนเช้าตรู่ เขาจะไม่มาอีกทีในตอนเที่ยงนอกจากว่าเขาได้กลายเป็นคนโง่ไปแล้ว และไม่มีใครสักคนที่ได้อยู่ร่วมกับพวกซูฟีย์ถึงสี่สิบวัน นอกจากสติปัญญาของเขาจะไม่กลับมาอีก “(หนังสือ ตัลบีส อิบลีส / ๓๗๐)----------------------------------------------------------

จากอันตรายของบิดอะหฺ(6)--------------------------------ผู้ที่กระทำบิดอะหฺ จะถูกตีแผ่บนพวกเขาซึ่งความอัปยศ และความตกต่ำในโลกนี้ และความโกรธของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาดั่งที่ได้เกิดขึ้นแก่กลุ่มชนบางส่วนของท่านนบีมูซา( อะลัยฮิสสลาม) จากที่พวกเขาได้อุตริกรรมได้อุปโลกน์เท็จขึ้นในศาสนา إِنَّ الَّذِينَ اتَّخَذُوا الْعِجْلَ سَيَنَالُهُمْ غَضَبٌ مِّن رَّبِّهِمْ وَذِلَّةٌ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَكَذَٰلِكَ نَجْزِي الْمُفْتَرِينَ ( 152 )“แท้จริงบรรดาผู้ที่ยึดลูกวัวนั้น(โดยยึดเอามาเป็นพระเจ้า) จะได้แก่พวกเขา ซึ่งความกริ้วโกรธจากพระเจ้าของพวกเขา และความต่ำช้าในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ และในทำนองเดียวกัน เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้อุปโลกน์ความเท็จขึ้น” (อัลอะร็อฟ / ๑๕๒)ในคำว่า “ในทำนองเดียวกัน เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้อุปโลกน์ ความเท็จขึ้น” ในที่นี้ก็ได้รวมไปยังผู้ทำบิดอะหฺด้วย เพราะพวกเขาได้อุปโลกน์ความเท็จขึ้นในศาสนาและนั่นก็กลัวว่าจะเข้าไปในข้อห้ามในการพูดโกหกใส่ศาสนา หรือโกหกให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาقُلْ إِنَّمَا حَرَّمَ رَبِّيَ الْفَوَاحِشَ مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَمَا بَطَنَ وَالْإِثْمَ وَالْبَغْيَ بِغَيْرِ الْحَقِّ وَأَن تُشْرِكُوا بِاللَّهِ مَا لَمْ يُنَزِّلْ بِهِ سُلْطَانًا وَأَن تَقُولُوا عَلَى اللَّهِ مَا لَا تَعْلَمُونَ ( 33 )“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามนั้น คือ บรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ(หรือสิ่งลามก) ทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย และสิ่งที่เป็นบาป และการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม และการที่พวกเจ้าให้เป็นภาคีแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ ลงมาแก่สิ่งนั้น และการที่พวกเจ้ากล่าวให้ภัย แก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” ( อัลอะร็อฟ / ๓๓ )หรือจะเขาไปในโองการที่ว่าوَلَا تَقُولُوا لِمَا تَصِفُ أَلْسِنَتُكُمُ الْكَذِبَ هَٰذَا حَلَالٌ وَهَٰذَا حَرَامٌ لِّتَفْتَرُوا عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ إِنَّ الَّذِينَ يَفْتَرُونَ عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ لَا يُفْلِحُونَ ( 116 )“ และพวกเจ้าอย่ากล่าวตามที่ลิ้นของพวกเจ้ากล่าวเท็จขึ้นว่า “นี่เป็นที่อนุมัติและนี่เป็นที่ต้องห้าม” เพื่อที่พวกเจ้าจะกล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์นั้น พวกเขาจะไม่ได้รับความสำเร็จ” (อันนะหฺลู / ๑๑๖)และนั้นก็ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาแอบอ้างว่า ทำสิ่งนี้แล้วจะได้ผลบุญ ทั้งๆที่สิ่งนั้นไม่ได้มาจากศาสนาแต่อย่างใด เป็นการกล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาและการทำบิดอะหฺก็ถือเป็นการปฏิเสธต่อซุนนะหฺ และเป็นการกระทำที่ไม่ยอมเชื่อฟังต่ออัลลอฮ และไม่ยอมเชื่อฟังต่อรอซูล และพระองค์ก็ได้เตรียมการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮและรอซูลว่าالَّذِينَ كَذَّبُوا بِالْكِتَابِ وَبِمَا أَرْسَلْنَا بِهِ رُسُلَنَا فَسَوْفَ يَعْلَمُونَ ( 70 )“บรรดาผู้ปฏิเสธต่อคัมภีร์ และต่อสิ่งที่เราได้ส่งมาพร้อมกับรรดาร่อซูลของเราแล้วพวกเขาก็จะได้รู้กัน ” إِذِ الْأَغْلَالُ فِي أَعْنَاقِهِمْ وَالسَّلَاسِلُ يُسْحَبُونَ ( 71 ) فِي الْحَمِيمِ ثُمَّ فِي النَّارِ يُسْجَرُونَ ( 72 )“เมื่อห่วงคล้องคออยู่บนต้นคอของพวกเขา และโซ่ตรวนถูกลากไป”“ในน้ำเดือดพล่าน แล้วในไฟนรกพวกเขาจะถูกเผาไหม้”(บท ฆอฟิร / ๖๙-๗๒)-----------------------------------------------------------

จากอันตรายของบิดอะหฺ(7)บรรดาผู้ที่ริเริ่มทำบิดอะหฺ ได้ถือตนเองมาเทียบเท่ากับอัลลอฮฺและรอซูล โดยที่เขาได้มาวางกฏเกณใหม่ หรือเพิ่มเติมสิ่งใหม่ในศาสนา เท่ากับเขาได้อ้างว่า ศาสนาของอัลลอฮฺยังไม่สมบูรณ์ จำเป็นจะต้องมาเพิ่มสิ่งใหม่ๆอีก ทั้งที่ศาสนาของพระองค์นั้นสมบูรณ์แล้ว" الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الْإِسْلَامَ دِينًا "“ วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว “ ( อัลมาอีดะหฺ / ๓)และในฮาดิษعن الْعِرْبَاضَ بْنَ سَارِيَةَ، يَقُولُ: وَعَظَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَوْعِظَةً ذَرَفَتْ مِنْهَا الْعُيُونُ، وَوَجِلَتْ مِنْهَا الْقُلُوبُ، فَقُلْنَا: يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنَّ هَذِهِ لَمَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ، فَمَاذَا تَعْهَدُ إِلَيْنَا؟ قَالَ: «قَدْ تَرَكْتُكُمْ عَلَى الْبَيْضَاءِ لَيْلُهَا كَنَهَارِهَا، لَا يَزِيغُ عَنْهَا بَعْدِي إِلَّا هَالِكٌ، مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا، فَعَلَيْكُمْ بِمَا عَرَفْتُمْ مِنْ سُنَّتِي، وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ الْمَهْدِيِّينَ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ، وَعَلَيْكُمْ بِالطَّاعَةِ، وَإِنْ عَبْدًا حَبَشِيًّا، فَإِنَّمَا الْمُؤْمِنُ كَالْجَمَلِ الْأَنِفِ، حَيْثُمَا قِيدَ انْقَادَ»“ จากท่านอิรบาฏ บิน ซารียะหฺ กล่าวว่า ท่านนบี(ซอลลอลลอฮูอาลัยฮีวาซัลลัม)ได้ตักเตือนแก่เรา ชึ่งมันทำให้น้ำตาต้องหลั่งไหล และทำให้หัวใจต้องหวั่นเกรง และเราจึงกล่าวขึ้นมาว่า โอ้ท่านรอซูลลุลลอฮฺ แท้จริงการตักเตือนนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นท่านจะมีอะไรสั่งเสียแก่เรา ท่านได้กล่าว่า แน่นอน ฉันได้ทอดทิ้งไว้แก่พวกท่าน(ศาสนานี้) บนหนทางที่ขาว(สว่าง) กลางคืนของมันนั้นชัดเจนเสมือนกลางวันของมัน จะไม่มีผู้ใดเบี่ยงเบนออกจากมันนอกจากผู้ที่หายนะ และหากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป เขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดไว้ซึ่งซุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน และซุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำ จงกัดมันด้วยฟันกราม และพวกท่านจงเชื่อฟังตาม(ผู้นำ) ถึงแม่ว่าเขาจะเป็นทาสจากฮาบาชีย์(ทาสจากเอทิโอเปีย) และแท้จริง ผู้ศรัทธานั้น เปรียบเสมือนกับอูฐที่ถูกพูกจมูก เมื่อสั่งให้ไปทางไหนก็ไปตาม (คือ จะเชื่อฟังและปฏิบัตตามอัลลอฮฺและรอซูล)”(รายงานโดยอิบนูมาญะหฺและอะหฺมัด ท่านอัลบานีย์กล่าวว่า ซอเฮียะ )และท่านอีหม่ามมาลิก(รอฮีมาฮุลลอฮฺ)ได้กล่าวว่า..قال الإمام مالك رحمه الله: "مَن ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أنَّ محمداً خان الرسالة؛ لأنَّ الله يقول: {الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ} ، فما لَم يكن يومئذ ديناً فلا يكون اليوم ديناً" الاعتصام للشاطبي (1/28) .“ ผู้ใดที่ได้อุตริกรรมขึ้นในอิสลาม โดยมองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แน่นอน เขาได้อ้างว่า ท่านนบี(ซอลลอลลอฮูอาลัยฮีวาซัลลัม)ได้ทุจริตต่อสานศ์ เพราะอัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า “ ดั้งนั้น ถ้าวันนั้นมันไม่ได้เป็นศาสนา วันนี้มันก็ไม่ใช่ศาสนา “(หนังสือ อัลอิอฺติศอม ของท่านอีหม่าม อัชชาฏีบีย์ )-----------------------------------------------------------
จากอันตรายของบิดอะหฺ(8)--------------------------------ผู้ที่ทำบิดอะหฺจะไม่ถูกตอบรับการงานของพวกเขา และจะมาในวันกียามะหฺอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน ดั่งที่มีกล่าวในหลายๆโองการقُلْ هَلْ نُنَبِّئُكُم بِالْأَخْسَرِينَ أَعْمَالًا ( 103 ) الَّذِينَ ضَلَّ سَعْيُهُمْ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَهُمْ يَحْسَبُونَ أَنَّهُمْ يُحْسِنُونَ صُنْعًا( 104 )จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด เราจะแจ้งแก่พวกท่านไหม ถึงบรรดาผู้ที่ขาดทุนยิ่งในการงานคือบรรดาผู้ที่หลงไปกับการขวนขวายของพวก ในการมีชีวิตในโลกนี้ และพวกเขาคิดว่าแท้จริงพวกเขาปฏิบัติความดีแล้ว(อัลกะหฺฟี)โองการนี้ได้รวมไปถึงผู้ที่หลงผิดทั้งหมดعن عَائِشَةُ، أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: «مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ»ผู้ใดปฏิบัติการงานหนึ่งโดยที่ไม่มีแบบอย่างจากเรา(นบีและบรรดาศอฮาบะห์) การงานนั้นย่อมถูกปฏิเสธ(รายงานโดยบุคอรีย์ / ๒๖๙๗. และมุสลิม / ๑๗๑๘)-----------------------------------------------------------
จากอันตรายของบิดอะหฺ(9)--------------------------------ผู้ที่อุตริกรรมขึ้นในอิสลาม ถือเป็นแบบอย่างที่ออกจากซุนนะหฺ และถูกเรียกว่าผู้ที่หลงผิด ดังในฮาดิษที่ท่านนบีได้กล่าวว่าوَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ "และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด(หะดีษนี้บันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ)เป็นเช่นเดียวกับบรรดาพวกนะศอรอที่พวกเขาได้เสริมแต่งและเปลียนแปลงหลักการศาสนา พระองค์จึงเรียกพวกเขาเป็นพวกที่หลงผิด اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُسْتَقِيمَ ( 6 ) صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغْضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا الضَّالِّينَ( 7 )“ ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง (คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด “(อัลฟาตีฮะหฺ / ๖-๗)-----------------------------------------------------------
จากอันตรายของบิดอะหฺ(10)--------------------------------ผู้ที่ได้คิดค้นประดิษฐ์หลักการศาสนาขึ้นมาใหม่ หรือเป็นที่เรียกว่าบิดอะห์นั้น เขาจะได้รับบาปในสิ่งที่เขากระทำอันนั้น และรับบาปจากบรรดาผู้ที่ตามเขาอีกในวันกียามะหฺ พระองค์ทรงตรัสว่า.. لِيَحْمِلُوا أَوْزَارَهُمْ كَامِلَةً يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَمِنْ أَوْزَارِ الَّذِينَ يُضِلُّونَهُم بِغَيْرِ عِلْمٍ أَلَا سَاءَ مَا يَزِرُونَ( 25 )“ พวกเขาจงแบกความผิดอย่างครบครันในวันกิยามะฮ์ และ(จะแบก) ความผิดของบรรดาผู้ที่พวกเขาทำให้เขาเหล่านั้นหลงผิดโดยไม่รู้ พึงทราบเถิด! สิ่งที่พวกเขาทำผิดนั้นชั่วช้ายิ่ง “ (อันนะหลฺ / ๒๕ )โองการนี้ได้รวมไปกับทุกๆผู้ที่ทำให้คนอื่นหลงทาง( กลับไปดูหนังสือ ตัฟซีร อัตตะหฺรีรู วัตตันวีรฺ ของอิบนูอาชูรฺ)และท่านนบีได้กล่าวในฮาดิษที่ซอเฮียะหฺว่า..«مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً، فَلَهُ أَجْرُهَا، وَأَجْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا بَعْدَهُ، مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْءٌ، وَمَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً سَيِّئَةً، كَانَ عَلَيْهِ وِزْرُهَا وَوِزْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا مِنْ بَعْدِهِ، مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ»" ผู้ใด ที่ได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม ซึ่งแนวทาง(แบบฉบับ)ที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม ซึ่งแนวทาง(แบบอย่าง)ที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย มุสลิม /1017)وعَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: «مَنْ دَعَا إِلَى هُدًى، كَانَ لَهُ مِنَ الْأَجْرِ مِثْلُ أُجُورِ مَنِ اتَّبَعَهُ، لَا يَنْقُصُ ذَلِكَ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْئًا، وَمَنْ دَعَا إِلَى ضَلَالَةٍ، فَعَلَيْهِ مِنَ الْإِثْمِ مِثْلُ آثَامِ مَنِ اتَّبَعَهُ، لَا يَنْقُصُ ذَلِكَ مِنْ آثَامِهِمْ شَيْئًا»“ผู้ใดเชิญชวนผู้อื่นไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง เขาก็จะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบุญของเขาเหล่านั้นไม่ได้ขาดหายไปแต่ประการใด และผู้ใดที่เชิญชวนผู้อื่นสู่ทางหลงผิด เขาก็จะได้รับผลบาปเท่ากับผลบาปของผู้ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบุญของเขาเหล่านั้นไม่ได้ขาดหายไปแต่ประการใด และผู้ใดที่เชิญชวนผู้อื่นสู่ทางหลงผิด เขาก็จะได้รับผลบาปเท่ากับผลบาปของผู้ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบาปของเขาเหล่านั้นไม่ได้ขาดหายไปแต่ประการใด” (รายงานโดย มุสลิม / ๒๖๗๔)-----------------------------------------------------------
จากอันตรายของบิดอะหฺ(11)--------------------------------บิดอะหฺ เป็นไปรษณีย์ ที่จะนำพาไปสู่การทำชีริกต่ออัลลอฮฺ เพราะไม่มีผู้ใดที่ได้ทำชีริกต่ออัลลอฮฺจากอุมมะหฺนี้ นอกจากจะต้องผ่านประตู บิดอะหฺ ดั่งที่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยนบีนุห(อาลัยฮิสสลาม) ที่กลุ่มชนของท่านได้วาดภาพ และได้ปั้นรูปบรรดาผู้ทรงคุณธรรมที่ได้ตายจากไปในสมัยนั้น และวางไว้ในสถานที่ที่พวกเขาได้เคยทำอีบาดะหฺ(ในมัสญิด) เพื่อเป็นที่ระลึก ให้คนรุ่นหลังรักที่จะทำความเหมือนกับพวกเขาได้กระทำ และนี่แหละคือบิดอะหฺแรกที่พวกเขาได้คิดค้นทำขึ้น จนกระทั้งเวลาได้ผ่านไป ความรู้เริ่มหดหาย จึงทำให้คนรุ่นหลังได้กราบไหว้รูปภาพและรูปปั้นเหล่านั้น และพวกเขาได้กล่าวในขณะที่นบีนุหฺได้เรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺ ว่า وَقَالُوا لَا تَذَرُنَّ آلِهَتَكُمْ وَلَا تَذَرُنَّ وَدًّا وَلَا سُوَاعًا وَلَا يَغُوثَ وَيَعُوقَ وَنَسْرًا( 23 )“ และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งวัดดฺ และสุวาอฺ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซรฺ เป็นอันขาด “ (ซูเราหฺ นุห / ๒๓)นี่คือบรรดาชื่อของผู้ทรงคุณธรรมในยุคของท่านนบีนุห ดั่งที่รายงานมาโดย อิบนูอับบาส ( ตัฟซีร อิบนูกาซีรฺ )เช่นเดียกับพวกที่ยึดติดกับการกระทำอีบาดะหฺในสุสาน หรือชอบยึดติด หรือเลยเถิดต่อบรรดาคนดีทั้งหลายที่ได้ตายไป สุดท้ายก็ไปขอวิงวรดุอาอ์จากพวกเขา หรือได้ตอว้าฟรอบสุสานของพวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น