ความรู้เกี่ยวกับหะดีษ
(มาเรียนพกันครับ เอาเท่าที่ได้ อินชา อัลลอฮฺ)
โดย อ.อันวา สะอุ
Assabikoon กลุ่มชนแนวหน้า
______
#ความหมายทางภาษา
#คำว่าหะดีษในภาษาอาหรับมีความหมายดังนี้
1. แปลว่า ใหม่ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า เกาะดีม قديم ซึ่งแปลว่า เก่า
.
2. แปลว่า คำพูด เช่น หะดีษของอับดุลลอฮฺ หมายถึง คำพูดของอับดุลลอฮฺ เป็นต้น
.
#ความหมายทางวิชาการ
.
หะดีษ คือ คำพูด การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)
.
อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า “ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)”
.
คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับหะดีษ
.
1. อัซซุนนะฮฺ السنة
2. อะษัร أثر
3. เคาะบัร خبر
.
1. อัซซุนนะฮฺ السنة เดิมนั้นแปลว่า แนวทาง หรือ แบบอย่าง ส่วนความหมายทางวิชาการนั้นมีหลายนิยาม
.
นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮ์ให้ความหมายอัซซุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ
นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ)
นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัซซุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่าบิดอะฮฺ (อุตริกรรม)
.
2. อะษัร أثر ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ
.
นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ
นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน
.
3. เคาะบัร خبر ความหมายเดิมคือ ข่าว เรื่องราว
.
นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายเคาะบัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ
นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า หะดีษคือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล ส่วนเคาะบัรคือสิ่งที่มาจากผู้อื่น
.
*ปราชญ์ บางท่านก็จำแนกคำที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้
.
หะดีษ حديث คือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล
อะษัรأثر คือสิ่งที่มาจากเศาะหาบะฮฺ ตาบีอีนและผู้ที่มาหลังจากพวกเขา
ส่วนเคาะบัร خبر คือ ชีวประวัติของบรรดากษัตริย์สมัยโบราณและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
.
ความแตกต่างระหว่างอัลกุรอานกับหะดีษ
.
1. อัลกุรอานคือ كلام الله(คำดำรัสของอัลลอฮฺ)ทั้งถ้อยคำและความหมาย ส่วนหะดีษเป็น- وحي วะห์ยู(วิวรณ์)จากอัลลอฮฺในด้านความหมายเพียงอย่างเดียว
.
2. อัลกุรอานมีความเป็นมหัศจรรย์ และความท้าทาย إعجاز و تحدى ทั้งถ้อยคำและความหมายซึ่งต่างกับหะดีษ
.
3. ผู้อ่านอัลกุรอานจะได้รับผลบุญถึง 10 เท่าในทุกพยัญชนะของการอ่าน
.
4. ผู้หญิงที่มาประจำเดือน ผู้หญิงมีเลือดหลังคลอด(นิฟาส) ผู้มีหะดัษ (คือยังไม่อาบน้ำละหมาดหลังจากได้เสียน้ำละหมาดไม่ว่ากรณีใดๆ) หรือผู้มีญุนุบ (คือยังไม่อาบน้ำยกหะดัษหลังจากหลับนอนกับภรรยาหรือฝันเปียก)พวกเขาเหล่านั้นไม่อนุญาตให้แตะต้องคัมภีร์อัลกุรอานเด็ดขาด (บางทัศนะก็อนุญาตให้ผู้มีญุนูบ และผู้มีรอบเดือนอ่าน หรืสัมผัส อัลกุรฺอานได้เช่นกัน) ส่วนตำราหะดีษไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด
.
5. อัลกุรอานนั้นถูกบัญญัติให้นำมาอ่านในละหมาด ส่วนหะดีษไม่อนุญาตนำมาอ่านในละหมาด
.
6. อัลกุรอานถูกถ่ายทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าด้วยกระบวนการ متواتر มุตะวาติรฺ(มีบุคคลจำนวนมากรายงาน)ซึ่งต่างกับหะดีษบางส่วนเป็นมุตะวาติรฺ บางส่วนเป็นآحاد อาหาด(หะดีษไม่ถึงระดับมุตะวาติรฺ)
.
7. ไม่อนุญาตให้รายงานอัลกุรอานด้วยความหมาย แต่หะดีษสามารถรายงานด้วยความหมายได้ตามเงื่อนไขที่มุหัดดิษีน(ปราชญ์หะดีษ)วางไว้
.
#ประเภทของหะดีษ
.
การจำแนกประเภทของหะดีษนั้นนักวิชาการได้จำแนกหะดีษเป็นดังนี้
.
1. จำแนกตามลักษณะของกระแสรายงาน
2. จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง
3. จำแนกตามลักษณะของผู้สืบ
#จำแนกตามลักษณะของกระแสรายงาน
แบ่งออกเป็นได้ สองประเภทคือ
.
1. หะดีษมุตะวาติรฺمتواتر
2. หะดีษอาหาด آحاد
.
หะดีษมุะวาติรฺمتواتر คือหะดีษที่มีบุคคลจำนวนมากในทุกสมัยได้รายงานสืบทอดกันมายังต่อเนื่อง โดยไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าบุคคลจำนวนมากเหล่านั้นจะสมคบกันกล่าวเท็จ
.
โดยจำนวนผู้รายงานในแต่ละช่วงนั้นนักวิชาการได้กำหนดว่าอย่างน้อยต้องมี 10 คนขึ้นไป
.
สถานภาพของหะดีษมุตะวาติร ถือว่าเป็นสุดยอดของความถูกต้องโดยไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลงใดๆ ผู้ใดที่ปฏิเสธหะดีษมุตะวาติรผู้นั้นจะตกศาสนาเป็นกาฟิรฺ
.
ตัวอย่างหะดีษมุตะวาติร
.
من كذب علي متعمدا فليتبوأ مقعده من النار
.
“ผู้ใดที่กล่าวเท็จแก่ฉัน(กุหะดีษนบีมาอ้าง)เขาผู้นั้นจงเตรียมที่นั่งของเขาในนรกเถิด”
.
ตัวบทหะดีษนี้มีศอหาบะฮ์มากกว่า 70 คนได้รานงานสืบทอดกันมา
.
ข้อสังเกตุ หะดีษประเภทนี้มีจำนวนน้อยกว่าหะดีษอาหาด
.
หะดีษอาหาด آحاد คือหะดีษที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร แม้จะเป็นเพียงช่วงเดียวของสายรายงาน
.
สถานภาพของหะดีษอาหาดนั้นมีผลเพียงคาดคะเนตามหลักเหตุผล คือยังไม่แน่นอนว่าถูกต้องหรือไม่ การที่จะนำหะดีษประเภทนี้มาอ้างต้องตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน
.
หะดีษอาหาด آحاد แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
.
1. หะดีษมัชฮูรฺمشهور (หะดีษที่มีผู้รายงานในแต่ละช่วงตั้งแต่สามคนขึ้นไป แต่ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร)
.
เช่นหะดีษ العجلة من الشيطان (رواه الترمذي حسنه)
.
“การรีบร้อนมาจากชัยฏอน”
.
2. หะดีษอะซีซ عزيز (หะดีษที่มีผู้รายงานไม่น้อยกว่าสองคน)
.
เช่นหะดีษ لايؤمن أحدكم حتى أكون أحب إليه من والده وولده والناس أجمعين ( رواه الشيخان)
.
“คนหนึ่งจากพวกท่านจะไม่เป็นผู้มีศรัทธาที่สมบูรณ์จนกว่าฉันจะเป็นที่รักแก่เขายิ่งกว่าพ่อของเขา ลูกของเขา และคนทั้งหมด”
.
หะดีษนี้มีศอหาบะฮฺสองท่านรายงานจากท่านนบี คือท่านอะนัส กับท่าน อบูฮุรัยเราะฮ์ สายของท่านอะนัสมีผู้รายง
.
ต่อจากเขาสองคน คือ เกาะตาดะฮฺ กับ อับดุลอะซีซ
.
3. หะดีษฆอรีบغريب (หะดีษที่มีผู้รายงานเพียงคนเดียว โดเดี่ยว ตลอดสายรายงาน หรือในบางช่วงของสายรายงาน
.
เช่นหะดีษ إنما الأعمال بالنيات (رواه البخاري)
.
“แท้จริงกิจการทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับเจตตนา”
#จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง(1)
.
จำแนกหะดีษออกเป็นสองประเภท คือ
.
1. หะดีษที่นำมาเป็นหลักฐานได้
2. หะดีษที่ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้
.
หะดีษที่นำมาเป็นหลักฐานได้แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
.
1. หะดีษศอหี้หฺصحيح
2. หะดีษหะซัน حسن
.
หะดีษศอหี้หฺصحيح คือหะดีษที่มีสายรายงานติดต่อกันอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ต้นสายจนถึงปลายสาย โดยผู้รายงานแต่ละคนต้องเป็นผู้มีคุณธรรม มีความจำเป็นเลิศ หะดีษนั้นต้องไม่ขัดแย้งกับผู้สายรายงานอื่นที่น่าเชื่อถือกว่า และไม่มีความบกพร่องที่ซ่อนเร้น
.
ตัวอย่างหะดีษศอหี้หฺ
.
ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ได้รายงานหะดีษบทหนึ่งไว้ในตำราหะดีษศอหี้หฺของท่านดังนี้
.
حَدَّثَنَا آدَمُ بْنُ أَبِي إِيَاسٍ قَالَ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَبِي السَّفَرِ وَإِسْمَاعِيلَ بْنِ أَبِي خَالِدٍ عَنْ الشَّعْبِيِّ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: الْمُسْلِمُ مَنْ سَلِمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ وَالْمُهَاجِرُ مَنْ هَجَرَ مَا نَهَى اللَّهُ عَنْهُ
.
“มุสลิม คือผู้ที่ไม่รังแกบรรดาพี่น้องมุสลิมด้วยลิ้นและมือของเขา และอัลมุฮาญิรฺ (ผู้อพยพ) คือผู้ที่อพยพจากสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงห้าม
.
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษที่ศอหี้หฺเนื่องจากมีคุณสมบัติห้าประการครบถ้วน คือ
.
1. มีสายรายงานติดต่อกันไม่ขาดตอน
2. ผู้รายงานทุกคนมีคุณธรรม
3. ผู้รายงานทุกคน มีความจำดีเลิศ
4. ไม่ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า
5. ไม่มีความบกพร่องอันซ่อนเร้นใดๆในหะดีษ
.
#ประเภทของหะดีษศอหี้หฺ
หะดีษศอหี้หฺแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
.
1. ศอหี้ห ลิษฺาติฮฺ صحيح لذاته คือหะดีษที่มีคุณสมบัติห้าประการครบถ้วน (ศอหีหฺ ด้วยตังเอง)
.
2. ศอหี้หฺ ลิฆอยริฮฺصحيح لغيره คือ หะดีษที่แต่เดิมเป็นหะดีษหะซัน แต่มีกระแสรายงานอื่นซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่ามาสนับสนุน จึงได้ยกระดับขึ้นเป็นศอหี้หฺ ลิฆอยริฮฺ (ศอหี้หฺ โดยอาศัยสายรายงานอื่นมาสนับสนุน)
.
#ตำรารวบรวมหะดีษศอหี้หฺ
.
นักปราชญ์หะดีษคนแรกที่รวบรวมหะดีษที่ศอหี้หฺเป็นตำรา คือ ท่านอิมาม มุฮัมหมัด บิน อิสมาอีล อัลบุคอรีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 194-256) ตำราหะดีษของท่านมีชื่อว่า
.
المسند المختصر من حديث رسول الله صلى الله عليه وسلم وسننه وأيامه الجامع الصحيح
.
หรือเรียกสั้นๆว่า ศอหี้หฺ อัล-บุคอรีย์ صحيح البخاري ต่อมาท่าน อิมามมุสลิม บิน หัจญาจ(มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ.204-261) ศิษย์ของท่านอัลบุคอรีย์ได้รวบรวมหะดีษศอหี้หฺเป็นตำราอีก ซึ่งมีชื่อว่าศอหี้หฺมุสลิม صحيح مسلم
.
ตำราหะดีษของท่านทั้งสองถือว่าเป็นตำราที่ถูกต้องที่สุดหลังจากอัลกุรอาน นอกจากท่านทั้งสองแล้วยังมีปราชญ์คนอื่นๆที่พยายามรวบรวมหะดีษศอหี้หฺ เช่น อิบนุคุซัยมะฮฺ , อิบนุหิบบาน เป็นต้น แต่ตำราของท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าตำราศอหี้หฺของอิมามบุคอรีย์และมุสลิม
.
#หะดีษหะสัน حديث حسن
.
หะดีษหะสัน คือหะดีษที่มีสายรายงานติดต่อกันอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ต้นสายจนถึงปลายสาย โดยผู้รายงานต้องเป็นผู้มีคุณธรรม แต่สมรรถภาพการจำหย่อน (กว่าหะดีษผู้รายงานหะดีษศอหี้หฺ) ไม่ขัดแย้งกับผู้สายรายงานอื่นที่น่าเชื่อถือกว่า และไม่มีความบกพร่องที่ซ่อนเร้น
.
หะดีษหะสันมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับหะดีษศอหี้หฺ แต่จะต่างกันตรงที่สายรายงานบางคนมีความจำไม่ดีเลิศ เหมือนสายรายงานของหะดีษศอหี้หฺ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน
.
ข้อแตกต่างระหว่างหะดีษหะสันกับหะดีษศอหี้หฺนั้น อยู่ที่การกำหนดเงื่อนไข ความจำของสายรายงาน หากสายรายงานมีความจำดีเลิศ ضبط تام ก็จัดอยู่ในระดับศอหี้หฺ ถ้าหากสายรายงานสมรรถภาพการจำหย่อนยาน قل ضبطه ก็จัดอยู่ในระดับหะสัน
.
#ตัวอย่างหะดีษหะสัน
.
หะดีษที่บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ ในกีตาบุ้ล อะด๊าบ เลขที่ 2693 ว่า
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ حَدَّثَنَا بَهْزُ بْنُ حَكِيمٍ حَدَّثَنِي أَبِي عَنْ جَدِّي قَالَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ عَوْرَاتُنَا مَا نَأْتِي مِنْهَا وَمَا نَذَرُ قَالَ احْفَظْ عَوْرَتَكَ إِلَّا مِنْ زَوْجَتِكَ أَوْ مَا مَلَكَتْ يَمِينُكَ فَقَالَ الرَّجُلُ يَكُونُ مَعَ الرَّجُلِ قَالَ إِنْ اسْتَطَعْتَ أَنْ لَا يَرَاهَا أَحَدٌ فَافْعَلْ قُلْتُ وَالرَّجُلُ يَكُونُ خَالِيًا قَالَ فَاللَّهُ أَحَقُّ أَنْ يُسْتَحْيَا مِنْهُ
قَالَ أَبُو عِيسَى: هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ وَجَدُّ بَهْزٍ اسْمُهُ مُعَاوِيَةُ بْنُ حَيْدَةَ الْقُشَيْرِيُّ….
( أخرجه الترمذي برقم 2693 كتاب الأدب/ باب:ماجاء في حفظ العورة)
.
ความหมายของหะดีษ (มุอาวิยะฮฺ บิน หัยดะฮฺ) กล่าวว่า “ฉันได้กล่าวถามท่านรอซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า เอาเราะฮฺของพวกเรานั้นเมื่อใดต้องปกปิด และเมื่อใดที่ถูกยกเว้น” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “จง ปกปิด เอาเราะฮฺของท่าน นอกเสียจากว่าเจ้าอยู่กับภรรยาหรือทาสีของเจ้า” เขาได้กล่าวอีกว่า “หากผู้ชายอยู่ต่อหน้าผู้ชายอีกคน ต้องปกปิดเอาเราะฮฺไหม” ท่านนบีตอบว่า “ถ้าหากว่าเจ้าสามารถที่จะปกปิดมิให้ใครเห็นมันแล้วก็จงทำ”เขาได้ถามอีกว่า “ถ้าหากเขาอยู่คนเดียวตามลำพังเขาต้องปกปิดเอาเราะฮฺหรือไม่”ท่านนบีตอบว่า “แท้จริงเขาควรละอายต่ออัลลอฮฺ มากกว่าตัวเขาเสียอีก”
.
อบูอีซา (อัตติรมีซีย์) กล่าวว่า “หะดีษบทนี้เป็นหะดีษ หะสัน ปู่ของบะฮฺซฺ มีชื่อว่า มุอาวิยะฮฺ บิน หัยดะฮฺ อัล-กุชัยรีย์….”
.
บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 2693/ กิตาบ อัล-อะด๊าบ/ บาบ เกี่ยวกับการปกปิดเอาเราะฮฺ
.
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษหะซัน เนื่องจากผู้รายงานทั้งหมดเป็นผู้เชื่อถือได้ทั้งสิ้น ثقة นอกจากบะฮฺซฺ บิน หะกีม เพราะนักวิจารณ์หะดีษได้จัดเขาอยู่ในระดับ เศาะดู๊ก صدوق( มีสัจจะ) แต่สายรายงานที่เขารายงานจากพ่อของเขา พ่อจากปู่ จัดอยู่ในระดับสุดยอดหะดีษหะซัน
#จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง(2)
#ประเภทของหะดีษ หะซัน
หะดีษหะสันนั้นแบ่งออกเป็น สองประเภท ดังนี้
.
1. หะดีษหะสัน ลิษฺาติฮฺ حسن لذاتهคือ หะดีษที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับหะดีษศอหี้หฺ แต่จะต่างกันตรงที่สายรายงานบางคนมีความจำไม่ดีเลิศ เหมือนสายรายงานของหะดีษศอหีหฺ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลื่อนหรือหะดีษศอหี้หฺลิฆอยริฮฺ ตามที่ได้นิยามมาแล้ว
.
ตัวอย่างหะดีษหะสัน ลิษฺาติฮฺ หะดีษที่บันทึกโดยอัตติรมิซีย์
.
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ إِسْمَعِيلَ حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ حَدَّثَنَا الْحُسَيْنُ بْنُ وَاقِدٍ حَدَّثَنَا أَبُو غَالِبٍ قَال سَمِعْتُ أَبَا أُمَامَةَ يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثَلَاثَةٌ لَا تُجَاوِزُ صَلَاتُهُمْ آذَانَهُمْ الْعَبْدُ الْآبِقُ حَتَّى يَرْجِعَ وَامْرَأَةٌ بَاتَتْ وَزَوْجُهَا عَلَيْهَا سَاخِطٌ وَإِمَامُ قَوْمٍ وَهُمْ لَهُ كَارِهُونَ
.
قَالَ أَبُو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ غَرِيبٌ مِنْ هَذَا الْوَجْهِ وَأَبُو غَالِبٍ اسْمُهُ حَزَوَّرٌ
.
(أخرجه الترمذي برقم :328 كتاب الصلاة /باب فيمن أم قوما وهم له كارهون)
.
ความหมายของหะดีษ สามจำพวกที่การละหมาดของพวกเขานั้นเสียเปล่าคือ ทาสที่หนีจนกว่าเขาจะกลับมาหานายของเขา, สตรีที่นอนในสภาพที่สามีของนางไม่พอใจต่อนาง และคนที่เป็นผู้นำในการละหมาดแต่ผู้ตามนั้นรังเกียจในตัวเขา
.
บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 328/ กิตาบ อัศ-เศาะลาฮฺ/ บาบ ผู้ทีเป็นอิหม่ามนำละหมาดในขณะที่มะอฺมูม(ผู้ตาม) รังเกียจตัวเขา
.
หะดีษนี้เป็นหะดีษหะสันเนื่องจากผู้รายงานทั้งสี่ต่างก็เป็นผู้ที่เชื่อถือได้ นอกจากอะบูฆอลิบ เพียงคนเดียว เพราะนักวิจารณ์หะดีษระบุว่าเป็น เศาะดู๊กยุคติ صدوق يخطئ (มีสัจจะและมีความผิดพลาดในการรายงานหะดีษในบางครั้ง)
.
2. หะดีษหะซันลิฆอยริฮฺ حسن لغيرهคือ หะดีษอ่อน(ฎออีฟ)แต่ได้รับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่น ซึ่งมีฐานะเดียวกันหรือเหนือกว่า จนสามารถเลื่อนฐานะเป็น หะสัน ลิฆอยริฮฺ ( เป็นหะสัน โดยมีสายรายงานอื่นมาสนับสนุน )
.
เงื่อนไขในการเลื่อนฐานะหะดีษ ฎออีฟเป็นหะสันลิฆอยริฮฺ
.
ผู้รายงานหะดีษนั้นต้องไม่ถูกระบุว่าเป็น กาซิบ كاذب (คนพูดโกหก) หรือฟาสิก فاسق (ผู้ทำบาปใหญ่หรือบาปเล็กบ่อยๆ)
มีสายรายงานอื่นมาสนับสนุนซึ่งมีฐานะเดียวกันหรือเหนือกว่า
ต้องไม่เป็นหะดีษ ชาษฺ شاذ (ขัดแย้งกับสายรายงานที่เหนือกว่า)
.
#ตัวอย่างหะดีษหะสันลิฆอยริฮฺ
.
ท่านอิมามอัตติรมิซีย์ ได้บันทึกว่า
.
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ وَعَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ وَمُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ قَالُوا حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عَاصِمِ بْنِ عُبَيْدِ اللَّهِ قَال سَمِعْتُ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَامِرِ بْنِ رَبِيعَةَ عَنْ أَبِيهِ أَنَّ امْرَأَةً مِنْ بَنِي فَزَارَةَ تَزَوَّجَتْ عَلَى نَعْلَيْنِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَرَضِيتِ مِنْ نَفْسِكِ وَمَالِكِ بِنَعْلَيْنِ قَالَتْ نَعَمْ قَالَ فَأَجَازَهُ
( أخرجه الترمذي برقم : 1031, كتاب النكاح/ باب: ماجاء من مهور النساء)
.
ความหมายของหะดีษ มีสตรีจากเผ่าฟะซาเราะฮนางหนึ่ง ได้แต่งงานโดยได้รับสินสอดเป็นรองเท้าหนึ่งคู่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่นางว่า เจ้ายินยอมที่แต่งงานด้วยสินสอดที่เป็นรองเท้าหนึ่งคู่หรือ นางตอบว่า ใช่ ดังนั้นท่านนบีจึงอนุญาตให้แต่งงานได้.
บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 1031/ กิตาบ อัน-นิกาหฺ /บาบ เกี่ยวกับค่าสินสอดของสตรี
.
* ข้อสังเกตุ อักษรที่พิมพ์ด้วยสีดำ คือ อิสน๊าดหรือสายรายงาน อักษรสีเขียวคือตัวบทหะดีษ ส่วนอักษรสีนำเงินคือ ที่มาของหะดีษ (ไม่มีสีในเฟส ขอมะอัฟ )
.
จากตัวอย่างหะดีษข้างต้น พบว่าในสายรายงานนั้น มีจุดบกพร่องอยู่ที่ อาศิม บิน อุบัยดิลลาฮฺ عَاصِمِ بْنِ عُبَيْدِ اللَّهِ นักวิจารณ์หะดีษได้กล่าวถึงตัวเขาว่า เป็นผู้มีความจำอยู่ในขั้นเลว سؤ الحفظ
.
ดังนั้นสายรายงานที่มี อาศิมบิน อุบัยดิลละฮฺ รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นสายรายงานที่อ่อน แต่เนื่องจากหะดีษนี้ยังมีกระแสรายงานอื่นอีกมาสับสนุนซึ่งได้แก่ กระแสของ ท่านอุมัร, อบูฮุรัยเราะฮฺ, สัหลฺ บิน สอัด, อบีสะอีด, อนัส, อาอิชะฮฺ, ญาบิร, และอบีหัดร็อด อัล-อัสละมีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุม หะดีษนี้จึงได้เลื่อนฐานะจากฎออีฟ (อ่อน) ขึ้นเป็น หะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ
.
#หุก่มของหะดีษหะซัน
.
บรรดาปราชญ์ไม่ขัดแย้งเลยว่า หะดีษหะสัน นั้นสามารถนำมาอ้างอิงได้ เหมือนหะดีษศอหี้หฺ ดังนั้นมีนักปราชญ์หะดีษบางคนเช่น อิบนุหิบบาน อิบนุคุซัยมะฮฺ อัลหากิม และอิบนุสะกัน เป็นต้นได้รวบรวมหะดีษศอหี้หฺกับหะสันในตำราเล่มเดียวกันและมีทัศนะว่าหะดีษทั้งสองประเภทนั้นเป็นหะดีษศอหี้หฺทั้งหมด
.
สำนวนการวินิจฉัยหะดีษของอัตติรมิซีย์
.
حديث حسن صحيح มี 2 ความหมาย
.
หากหะดีษมีสองกระแสรายงานหรือมากกว่า กระแสที่หนึ่งอยู่ในระดับหะสัน ส่วนอีกกระแสหนึ่งอยู่ในระดับศอหี้หฺหากหะดีษมีกระแสเดียว ก็หมายถึง บางปราชญ์ถือว่าหะสัน ส่วนอีกฝ่ายก็ว่าศอหี้หฺ
.
1. حسن غريب ولانعرفه إلا من هذا الوجه หมายถึงหะดีษนี้เป็นหะดีษหะสันลิษฺาติฮฺ
.
2. حسن غريب وإسناده ليس بمتصل หมายถึงนี้ฎออีฟ(อ่อน)
.
3. حسن صحيح غريب/صحيح حسن غريب หมายถึงหะดีษหะสันที่มีสายรายงานกระแสเดียว ซึ่งเกือบถึงขั้นหะดีษศอหี้หฺ
.
ตำราที่มีหะดีษหะสัน
.
หะดีษหะสันส่วนใหญ่แล้วเรามักจะพบใน ตำราดังต่อไปนี้
.
1. สุนัน السنن เช่น สุนัน อัตติรมิซีย์, สุนันอะบีดาวูด
.
2. มุสนั๊ด المسندเช่น มุสนั๊ด อิมามอัฮหมัด, มุสนั๊ด อัลหุมัยดีย์
.
3. มุศ็อนนั๊ฟ المصنف เช่น มุศ็อนนั๊ฟ อับดุรรอซาก, มุศ็อนนั๊ฟ อิบนุอะบีชัยบะฮฺ
#จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง (3)
.
หะดีษที่นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
.
1) หะดีษฎออีฟ حديث ضعيف (หะดีษอ่อน)
2) หะดีษเมาฎั๊วะ حديث موضوع (หะดีษที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา)
#หะดีษฎออีฟ حديث ضعيف
.
คือทุกๆหะดีษที่ขาดเงื่อนไขหรือคุณสมบัติของหะดีษหะซัน(ซึ่งรวมถึงคุณสมบัติของหะดีษศอหี้หฺด้วย)
.
องค์ประกอบที่ทำให้เป็นหะดีษฎออีฟ มีอยู่ 2 ประการ คือ
.
1) ผู้รายงานหะดีษนั้นถูกวิจารณ์ด้านความจำ หรือความประพฤติ
2) การขาดตอนหรือการตกหล่นของสายรายงาน
.
#ระดับของหะดีษฎออีฟ
หะดีษฎออีฟมีหลายระดับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบกพร่องมากหรือน้อย
.
เช่น ฎออีฟ ضعيف(อ่อนธรรมดา) , ฏออีฟ ญิดดั๊น ضعيف جدا (อ่อนมาก) , อัลวาฮี الواهي (อ่อน) อัลมุงกัรฺ المنكر (ถูกปฏิเสธิ)
.
#ตัวอย่างหะดีษ ฎออีฟ
.
حَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ وَسُفْيَانُ بْنُ وَكِيعٍ قَالَا حَدَّثَنَا حُمَيْدُ بْنُ عَبْدِ الرَّحْمَنِ الرُّؤَاسِيُّ عَنْ الْحَسَنِ بْنِ صَالِحٍ عَنْ هَارُونَ أَبِي مُحَمَّدٍ عَنْ مُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ عَنْ قَتَادَةَ عَنْ أَنَسٍ قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ لِكُلِّ شَيْءٍ قَلْبًا وَقَلْبُ الْقُرْآنِ يس وَمَنْ قَرَأَ يس كَتَبَ اللَّهُ لَهُ بِقِرَاءَتِهَا قِرَاءَةَ الْقُرْآنِ عَشْرَ مَرَّاتٍ
أخرجه الترمذي رقم الحديث2812 / كتاب فضائل القرآن /باب ماجاء في فضل يس
.
ความหมายหะดีษ
.
“แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างมีหัวใจ ส่วนหัวใจของอัลกุรอานก็คือสูเราะฮฺยาสีน ผู้ใดอ่านสูเราะฮฺยาสีน อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนผลบุญแก่เขาเท่ากับการอ่านอัลกุรอาน(จบเล่ม)สิบครั้ง”
บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ:2812 กิตาบ:ฟาเฎาะอิลุ้ล กุรอาน เรื่อง: ความประเสริฐของสูเราะฮฺยาสีน
หะดีษนี้เป็นหะดีษฎออีฟเพราะในสายรายงานมี ฮารูน อบูมุหัมมัด هَارُونَ أَبِي مُحَمَّدٍ ซึ่งนักวิจารณ์หะดีษระบุว่าเขานั้นมัญฮูล (ไม่เป็นที่รู้จัก )
.
#หุก่มรายงานหะดีษฎออีฟ
.
อนุญาตให้รายงาน หะดีษฎออีฟ(อ่อนธรรมดา) ได้โดยมีเงื่อนไข 2 อย่าง
.
1) ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องหลักการเชื่อถือ (อะกีดะฮฺ) เช่น หะดีษเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺ
2) ไม่เกี่ยวกับการกำหนดบทบัญญัติว่าเป็นสิ่งที่หะล้าลหรือหะรอม
.
ดังนั้นหะดีษเกี่ยวกับคุณค่าของอามั้ล เรื่องเล่าต่างๆ หรือหะดีษที่กระตุ้นให้ทำความดี เป็นต้น สามารถรายงานได้ถึงแม้ว่าจะเป็นหะดีษฎออีฟ แต่ต้องกล่าวสายรายงาน(อิสน๊าด)และระบุสถานภาพของหะดีษด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ฟังเข้าใจผิดว่านั้นคือหะดีษศอหี้หฺ
.
ในตำราหะดีษของอิมามหลายท่าน เช่น อิบนุมาญะฮฺ อะบูดาวูด ฯลฯ เราพบว่ามีหะดีษที่ฎออีฟปรากฏอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าเขาเหล่านั้นปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ ทั้งนี้การที่เขาเหล่านั้นบันทึกหะดีษฎออีฟก็เพื่อการไตร่ตรองและพิจารณาว่าหะดีษนั้นมีสายรายงานอื่นมาสนับสนุนหรือไม่ เผื่อว่าหะดีษนั้นจะได้ยกฐานะจากฎออีฟเป็นหะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ
.
ส่วน หะดีษฎออีฟญิดดัน (อ่อนมากๆ) ไม่อนุญาตให้รายงานโดยเด็ดขาด นอกจากจะชี้แจงถึงสถานภาพและผลเสีย ของหะดีษนั้นด้วย ถ้าหากรายงานหะดีษประเภทนี้โดยมิได้ระบุถึงสถานภาพอย่างละเอียดแล้ว ผู้รายงานหะดีษนั้นอาจถึงขั้นกล่าวเท็จต่อท่านนบี(ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้
.
ส่วน สำนวนในการรายงานหะดีษฎออีฟ ผู้รายงานไม่ควรใช้สำนวนฟันธงว่าหะดีษนั้นมาจากท่านรอซูล(ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เช่นกล่าวว่า “ท่านรอซูล(ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้กล่าวว่า…………………” แต่ควรกล่าวว่า “มีรายงานจากท่านรอซูล(ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ว่า……..”
.
#หุก่มปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ
.
การปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟนั้นบรรดาปราชญ์มีทัศนะแตกต่างกัน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ทัศนะดังนี้
.
1) ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ ไม่ว่าจะเป็นหะดีษที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของอะมั้ล หรือหะดีษเกี่ยวกับเรื่องเล่าต่างๆ เป็นทัศนะของ ยะหฺยา บินมะอีน อิมามอัลบุคอรีย์ อิมามมุสลิม อิบนุลหัซมฺ อิบนุลอะเราะบีย์ อิบนุลมุลั๊กกิน ฯลฯ ทัศนะนี้ใกล้เคียงความถูกต้องมากที่สุด
.
2) อนุญาตปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟเมื่อในปัญหานั้นไม่มีตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษที่ศอหี้หฺเลย เป็นทัศนะของอิมามอะหฺมัด และอบูดาวูด ทั้งนี้เพราะพวกเขาเห็นว่าหะดีษที่ฎออีฟ ดีกว่าการกียาส قياس (การเทียบเคียงปัญหาที่ไม่มีหลักฐานกับปัญหาที่มีหลักฐาน) อันที่จริงหะดีษฎออีฟตามทัศนะของอิมามอะหฺมัดนั้นมิใช่หะดีษฎออีฟที่รุนแรงนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ แต่เป็นฎออีฟที่มีส่วนความเป็นศอหี้หฺแฝงอยู่ เพราะว่าปราชญ์ยุคก่อนไม่ได้จำแนกหะดีษเป็นศอหีหฺ-หะสัน-ฎออีฟ เช่นยุคหลังแต่จะจำแนกหะดีษเป็น 2 ประเภทเท่านั้นคือ ศอหี้หฺกับฎออีฟ อาจเป็นไปได้ว่าหะดีษฎออีฟที่อิหมามอะหฺมัดหมายถึงคือ หะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ นั้นเอง
.
3) อนุญาตนำหะดีษฎออีฟที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของอะมั้ลมาปฏิบัติตามได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
.
ต้องเป็นหะดีษที่ไม่อ่อนมาก (ضعيف جدا)
ต้องอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปที่ได้รับการปฏิบัติ
ต้องไม่ยึดมั่นว่าหะดีษนั้นมาจากท่านรอซูลอย่างแน่นอน
.
#เป็นทัศนะของ ญุมฮูรฺ(ปราชญ์ส่วนใหญ่)
.
สรุป
#ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟทั้งนี้หะดีษที่ศอหี้หฺนั้นมีเพียงพอที่เราจะปฎิบัติตามศาสนบัญญัติการยึดถือหะดีษศอหี้หฺนั้นทำให้จิตใจของเรามั่นใจมากกว่ายึดถือกับหะดีษฎออีฟ
.
ส่วนเงื่อนไขที่นักปราชญ์บางท่านได้กำหนดในการปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟนั้นเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงน้อยคนที่จะทำตามเงื่อนไขเหล่านั้น เนื่องจากผู้คนทั่วไปนั้นไม่มีความสามารถพอในการที่จะพิจารณาว่าหะดีษไหนเป็นหะดีษฎออีฟธรรมดาและหะดีษไหนเป็นหะดีษฎออีฟมากๆ
.
#ตำรารวบรวมหะดีษฎออีฟ
.
ตำราที่รวบรวมหะดีษฎออีฟมีอยู่หลายเล่ม ดังเช่นตำราดังต่อไปนี้
.
1) กิตาบุ้ลมะรอสิล ของอะบูดาวูดكتاب المراسيل لأبي داود
2) กิตาบุ้ลอิลั้ล ของดารฺกอฏนีย์كتاب العلل للدار قطني
3) สิลสิละตุ้ล อะหาดีษุฎ ฎออีฟะฮฺ ของอัลอัลบานีย์ سلسلة الأحاديث الضعيفة للألباني เป็นต้น
4)
ตำรารวบรวมประวัติผู้รายงานที่ถูกระบุว่าฎออีฟ เช่น ตำราต่อไปนี้
1) الضعفاء لابن حبانอัฎฎุอาฟาอ์ โดยอิบนุหิบบาน
2) ميزان الإعتدال للذهبيมิซานุ้ล อิอฺติดาล โดยษะฮะบีย์
3) الضعفاء والمتروكون للدارقطنيอัฎฎุอาฟาอ์ วัล มัตรูกูน โดย อัด-ดารฺกุฏนีย์
4) الكامل في ضعفاء الرجال لابن عديอัลกามิล ฟีล ฎุอาฟาอิรฺ ริญาล โดยอิบนุ อะดีย์
5) الضعفاء الكبير للعقيليอัฎฎุอาฟอุ้ล กะบีรฺ โดย อัลอุก็อยลีย์ เป็นต้น
.
#จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง (4)
.
#ประเภทหะดีษฎออีฟ(ต่อ)
#มุรสัล เศาะหาบีย์ مرسل صحابي
.
คือหะดีษที่รายงานโดยเศาะหาบะฮฺจากท่านรสูล แต่ทว่าเขาไม่ได้ฟังจากท่านรสูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) โดยตรง เนื่องจากเขายังเด็กฟังยังไม่รู้เรื่อง หรือเข้าอิสลามในช่วงท้ายของชีวิตท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) แต่เขารายงานหะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขาไม่ได้รวมอยู่ด้วย หรือเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงตอนต้นของอิสลาม
.
#หุก่มหะดีษมุรสัล เศาะหาบีย์
.
ปราชญ์ส่วนใหญ่เห็นว่า หะดีษประเภทนี้สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้ เพราะผู้ที่มีฐานะเป็นเศาะหาบะฮฺ จะจัดอยู่ในหมู่ผู้ที่มีคุณธรรมทุกคน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพูดเท็จ และส่วนใหญ่เศาะหาบะฮฺจะรายงานหะดีษจากเศาะหาบะฮฺด้วยกัน น้อยมากที่พวกเขาจะรายงานจากตาบิอีน แต่ถ้ารายงานจากตาบิอีนแล้วพวกเขาจะระบุชื่อตาบิอีนนั้นเสมอ
.
#ตัวอย่างหะดีษมุรสัล เศาะหาบีย์
.
عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا أَنَّهُ أَخْبَرَهُ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَرَجَ عَامَ الْفَتْحِ فِي رَمَضَانَ فَصَامَ حَتَّى بَلَغَ الْكَدِيدَ ثُمَّ أَفْطَرَ
.
ความว่า “จากอิบนุอับบาส เขาได้เล่าว่า แท้จริงแล้วท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ออกเดินทาง ในปีที่มีการพิชิตนครมักกะฮฺ ในเดือนรอมฎอน ขณะนั้นท่านได้ถือศีลอดอยู่ เมื่อถึง อัลเกาะดีด ท่านบีก็ได้ละศีลอด”
.
หะดีษข้างต้นถือเป็นหะดีษมุรสัล เศาะหาบีย์ เนื่องจากอิบนุอับบาสได้รายงานหะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขามิได้ร่วมอยู่ด้วย เพราะตอนที่ท่านรสูลเดินทางนั้นเขายังอยู่ที่มักกะฮฺ ดังนั้นอิบนุอับบาส ต้องรับหะดีษนี้จากเศาะหาบะฮฺท่านอื่นอย่างแน่นอน
.
หะดีษที่เป็นมุรสัลเศาะหาบีย์ส่วนมากมาจากเศาะหาบะฮฺรุ่นเล็ก เช่น อิบนุอับบาส อิบนุซุเบรฺ เป็นต้น
.
#หะดีษ มุอฺ ฎ็อล المعضل
.
หะดีษ มุอฺฎ็อลคือ หะดีษที่มีผู้รายงานในอิสนาด(สายรายงาน)ตกหล่นในแห่งเดียวกันติดต่อกันสองคนหรือมากว่านั้น
.
มุอฺฎ็อล ทางภาษาหมายถึง สิ่งที่หายาก หรือสิ่งที่เข้าใจยาก
.
ตัวอย่างหะดีษ มุอฺฎ็อล
.
หะดีษที่บันทึกโดยอิมามมาลิกในตำรา อัลมุวัฏเฏาะ/กิตาบ อัลญามิอฺ/บาบ อัลอัมรุ บิลริฟกฺ บิล มัมลูก
.
حَدَّثَنِي مَالِك أَنَّهُ بَلَغَهُ أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِلْمَمْلُوكِ طَعَامُهُ وَكِسْوَتُهُ بِالْمَعْرُوفِ وَلَا يُكَلَّفُ مِنْ الْعَمَلِ إِلَّا مَا يُطِيقُ
.
ความว่า “มีรายงานมาถึงอิมามมาลิกว่า แท้จริงอบูฮุรัยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านรสูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง(ทาสหรือคนใช้)นั้นพึ่งได้รับอาหารและเครื่องนุ่งห่มที่ดี และไม่ควรใช้งานเกินความสามารถของเขา”
.
จะสังเกตุว่าสายรายงานของหะดีษนี้มีผู้รายงานตกหล่นติดต่อกันสองคนระหว่างมาลิก กับอบูฮุรัยเราะ เพราะอิหม่ามมาลิกเกิดไม่ทันกับยุคอบูฮุรัยเราะฮฺซึ่งเป็นเศาะหาบะฮฺ
.
ในตำราหะดีษเล่มอื่นๆนอกจากอัลมุวัฏเฏาะแล้ว อิหม่ามมาลิก จะรายงานหะดีษนี้ โดยระบุอิสนาดดังนี้ จากมาลิก จากมุหัมมัด บินอัจญลาน จากพ่อของเขา จากอบูฮุรัยเราะฮฺ………
.
ดังนั้นเราจึงทราบว่าสายรายงานที่ปรากฏในอัลมุวัฏเฏาะนั้น มีผู้รายงานตกหล่น 2 คนคือมุหัมมัด บินอัจญลาน และพ่อของเขา(อัลอัจญลาน เมาลา ฟาฏิมะฮฺ)
#หะดีษมุงเกาะฏิอฺ المنقطع
.
หะดีษมุงเกาะฏิอฺ คือหะดีษ ที่มีผู้รายงาน(ก่อนเศาะหาบะฮฺ)ตกหล่นหนึ่งหรือสองคน ไม่ว่าจะเป็นตรงจุดไหนก็ตาม และไม่จำเป็นต้องตกหล่นติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง
.
การขาดตอนของมุงเกาะฏิอฺนั้นแตกต่างกับการขาดตอนของ มุอัลลัก มุรซัล และมุอฺฎ็อล
.
คำว่ามุงเกาะฏิอฺ ทางภาษาหมายถึง สิ่งที่ขาด
.
ตัวอย่างหะดีษมุงเกาะฏิอฺ
.
หะดีษที่บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ หะดีษที่763 /กิตาบ อัลมะสาญิด วัลญะมาอาต /บาบ อัดดุอาอ์ อินดะ ดุคูลมัสญิด
.
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ وَأَبُو مُعَاوِيَةَ عَنْ لَيْثٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْحَسَنِ عَنْ أُمِّهِ عَنْ فَاطِمَةَ بِنْتِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَتْ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا دَخَلَ الْمَسْجِدَ يَقُولُ بِسْمِ اللَّهِ وَالسَّلَامُ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِي ذُنُوبِي وَافْتَحْ لِي أَبْوَابَ رَحْمَتِكَ وَإِذَا خَرَجَ قَالَ بِسْمِ اللَّهِ وَالسَّلَامُ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِي ذُنُوبِي وَافْتَحْ لِي أَبْوَابَ فَضْلِكَ
.
ความว่า “จากอบูบักรฺ บินอบี ชัยบะฮฺ จาก อิสมาอีล บินอิบรอฮีมและอบูมุอาวิยะฮฺ จาก ลัยษฺ จากอับดุลลอฮฺ บิน หะสัน จาก แม่ของเขา(ฟาฏิมะฮฺ บินตฺ อัลฮุเซน บิน อะลี)จากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่านรสูล นางกล่าวว่า เมื่อท่านรสูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เข้ามัสยิดท่านจะกล่าวว่า…
.
بِسْمِ اللَّهِ وَالسَّلَامُ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِي ذُنُوبِي وَافْتَحْ لِي أَبْوَابَ رَحْمَتِكَ
.
(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺและความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดอภัยโทษบาปของข้าฯด้วยเถิด และได้โปรดเปิดประตูแห่งความเมตตาของพระองค์แเก่ข้าฯด้วยเถิด) และเมื่อท่านออกจากมัสยิดท่านกล่าวว่า..
.
بِسْمِ اللَّهِ وَالسَّلَامُ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِي ذُنُوبِي وَافْتَحْ لِي أَبْوَابَ فَضْلِكَ
.
(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺและความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดอภัยโทษบาปของข้าฯด้วย และได้โปรดเปิดประตูแห่งความกรุณาของพระองค์แเก่ข้าฯด้วยเถิด)”
.
สังเกตุจากอิสนาดของหะดีษนี้มีผู้รายงานตกหล่นอยู่หนึ่งคน เนื่องจากฟาฏิมะฮฺ บินตฺ อัลหุเซน บิน อะลี ไม่ทันได้พบท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่านรสูลซึ่งเป็นยายของนางนั้นเอง ระหว่างนางทั้งสองนี้ต้องมีผู้รายงานอีกคนที่ตกหล่นอยู่ ดังนั้นหะดีษนี้จึงถือเป็นหะดีษเฎาะอีฟ
.
#หะดีษมุดัลลัส المدلس
คือหะดีษที่มีการปกปิดอำพรางในสายรายงานเพื่อให้เห็นว่าเป็นสายรายงานที่สมบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ
.
ในภาษาอาหรับเรียกการกระทำดังกล่าวว่า تدليس ตัดลีส(การอำพราง) เรียกคนที่กระทำดังกล่าวว่า مدلس มุดัลลิส(ผู้อำพราง) ส่วนหะดีษนั้นเราเรียกว่าحديث مدلس หะดีษมุดัลลัส(หะดีษที่ถูกอำพราง)
.
#เหตุที่ทำให้เกิดการตัดลีส
เหตุที่ทำให้ผู้รายงานหะดีษบางคนอำพรางกระบวนการรายงานมีหลายประการ ส่วนใหญ่แล้วทำไปเพื่อปกปิดข้อบกพร่องในสายรายงาน เช่นในสายรายงานนั้นมีผู้ที่อ่อนแอรวมอยู่ด้วย แต่อยากให้สายรายรายงานนั้นดูมีค่าก็เลยตัดผู้ที่อ่อนแอออกจากสายรายงานให้เหลือแต่ผู้ที่มีความเชื่อถือ
.
การตัดลีสนั้นมี 2 ประเภท
.
1. تدليس الإسناد ตัดลีส อัล-อิสนาด (ปกปิดอำพรางในกระบวนการรายงาน) ตัดลีส ประเภทนี้ มี 4 รูปแบบด้วย ดังต่อไปนี้
.
1.1 تدليس الإسقاط ตัดลีส อัลอิสกอฏ คือการที่ผู้รายงานได้รายงานหะดีษจากบุคคลที่เขาได้พบเจอกันและเคยฟังหะดีษแต่ทว่าเขาไปรายงานในสิ่งที่เขาไม่เคยฟังมา เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาได้ฟังหะดีษนั้นจากบุคคลดังกล่าว
.
หรืออีกนัยหนึ่ง การที่ผู้รายงานได้รายงานหะดีษจากบุคคลที่เขาได้เคยเจอกันแต่ไม่เคยฟังหะดีษจากบุคคลดังกล่าวเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาได้ฟังหะดีษนั้นจากบุคคลดังกล่าว
..
ตัวอย่าง หะดีษที่บันทึกโดยอบูอะวานะฮฺ
عن الأعمش عن إبراهيم التيمي عن أبيه عن أبي ذر رضي الله عنه أن النبي صلى الله عليه وسلم قال :فلان في النار ينادي ياحنان يامنان
.
ความว่า จากอัลอะอฺมัช จาก อิบรอฮีม อัตตัยมีย์ จาก พ่อของเขา จาก อะบีซัร รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ แท้จริงท่านนบีได้กล่าวว่า บุคคลหนึ่งอยู่ในนรกแล้วร้องเรียกอัลลอฮฺว่า ยาหันนาน! ยามันนาน!
.
อบูอะวานะฮฺถามอัลอะอฺมัชว่า ท่านได้ยินหะดีษมาจากอิบรอฮีมด้วยตัวท่านเองหรือ อัลอะอฺมัชตอบว่า เปล่า! หะกีม บิน ญุบัยรต่างหาก ที่รายงานหะดีษนี้แก่ฉัน
.
โดยทั่วไปแล้วสำนวนการรายงานที่ติดต่อต่อเนื่องการผู้รายงานจะใช้คำว่า أخبرني อัคบะเราะนี(ได้เล่าแก่ฉันว่า…) حدثنا หัดดะษะนา(ได้รายงานแก่ฉันว่า…..) سمعت สะมิอฺตุ(ฉันได้ยินว่า…)
..
ส่วนในการตัดลีสจะใช้สำนวนที่ไม่ชัดเจนและคลุมเครือเช่น عن อัน(จาก….) ซึ่งไม่สามารถเจาะจงได้ว่าเขารายงานจากสายสืบหะดีษจริงหรือว่าเขารายงานมาจากบุคคลอื่นอีกที่
1.2 تدليس التسوية ตัดลีส อัต-ตัสวียะฮฺ คือผู้รายงานได้รายงานข้ามคนเฎาะอีฟ(อ่อน) ซึ่งอยู่ระหว่างสองคนที่เชื่อถือได้(ศิเกาะฮฺ)และสองคนนี้อยู่ในสมัยเดียวกันเคยพบเจอกัน เพื่อให้ดูว่าสายรายงานนั้นเป็นสายรายงานที่ศอหี้ห ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
.
รูปแบบการรายงานก่อนการตัดลีส
.
ผู้รายงาน [ ผู้เชื่อถือได้[ ผู้ที่อ่อน[ ผู้เชื่อถือได้
.
รูปแบบการรายงานหลังการตัดลีสแล้ว(ผู้ที่อ่อนจะถูกตัดไป)
.
ผู้รายงาน [ ผู้เชื่อถือได้ [ ผู้เชื่อถือได้
.
นักรายงานหะดีษที่มักกระทำการตัดลีสประเภทนี้บ่อยมีท่าน บะกียะฮฺ บิน วะลีด อัลหิมศีย์ , อัลวะลีด บิน มุสลิม อัดดิมัชกีย์
.
1.3 تدليس القطع ตัดลีส อัลกอฏอฺ คือ การที่มุดัลลีสได้ตัดสำนวนการรายงานจากผู้รายงานหะดีษ ดังเช่นเหตุการณ์ที่ อะลี บิน ค็อชรอม ได้เล่าว่า “พวกเราได้นั่งฟัง อิบนุอุยัยนะฮฺ รายงานหะดีษ ทั่นใดนั้น อิบนุอุยัยนะฮฺกล่าวว่า อัซซุฮรีย์ มีคนหนึ่งถามเขาว่า อัซซุฮรีย์ได้เล่าหะดีษแก่ท่านหรือ? อิบนุอุยัยนะฮฺเงียบไปสักครู่ไม่ตอบคำถาม แล้วก็กล่าวอีกครั้งว่า อัซซุฮรีย์ ก็มีคนถามเขาอีกว่า อัซซุฮรีย์ได้เล่าหะดีษแก่ท่านหรือ? สุดท้ายอิบนุอุยัยนะฮฺตอบว่า ฉันไม่ได้ฟังหะดีษจากอัซซุฮรีย์หรอก ที่จริงแล้ว อับดุรรอซาก ต่างหากที่ได้เล่าหะดีษแก่ฉัน จาก มะอฺมัร จาก อัซซุฮรีย์”
.
1.4 تدليس العطف ตัดลีส อัลอัฏฟฺ คือ การที่ผู้รายงานได้ยืนยันชัดเจนว่าเขาได้ฟังหะดีษมาจากอาจารย์ของเขาจริง แต่ทว่าเขาไปผนวกเอาอาจารย์อีกคนมาใส่ในสายรายงานทั้งๆที่เขาไม่ได้ฟังหะดีษนั้นจากอาจารย์คนดังกล่าวเลย
.
ดังเหตุการณ์ที่อัลหากิมได้เล่าว่า “มีรายงานมาว่าบรรดาลูกศิษย์ของ ฮุชัยมฺ ได้ตกลงกันว่าในวันนี้พวกเขาจะไม่รับหะดีษที่ฮุชัยมฺผู้เป็นอาจารย์ ทำการตัดลีส แต่ทว่าฮุชัยมฺได้รู้ทันพวกเขา ครั้นเมื่อฮุชัยมฺได้รายงานหะดีษ เขาจะกล่าวสายรายงานว่า عن حصين ومغيرة عن إبراهيم (จากหุศ็อยนฺและมุฆีเราะฮฺ จากอิบรอฮีม) เมื่อฮุชัยมฺรายงานหะดีษเสร็จก็ถามลูกศิษย์ของเขาว่า วันนี้พวกเจ้าพบว่าฉันตัดลีสหรือเปล่า? บรรดาลูกศิษย์ต่างตอบว่า ไม่พบว่าท่านทำการตัดลีสแต่อย่างใด ฮุชัยมฺกล่าวว่า ที่จริงแล้วฉันไม่ได้ฟังหะดีษนี้จากมุฆีเราะฮฺเลยแม้คำเดียว”
.
2. تدليس الشيوخ ตัดลีส อัช-ชุยูค (ปกปิดอำพรางในตัวอาจารย์)
.
คือการที่ผู้รายงานได้รายงานหะดีษจากอาจารย์ที่เขาได้ฟังหะดีษมาด้วยตัวเอง โดยระบุชื่อ,ฉายา หรือชื่อเรียก ของอาจารย์ท่านนั้นด้วยชื่อที่คนทั่วไปไม่รู้จักมักคุ้นทั้งนี้เพื่ออำพรางในตัวอาจารย์ไม่ให้คนอื่นรู้
.
ตัวอย่าง เคาะฏีบ อัลบัฆดาดีย์ ได้บันทึกหะดีษบทหนึ่งในหนังสือ อัรริหละฮฺ ฟี เฏาะละบิล หะดีษ โดยมีสายรายงานดังนี้ عن الحسن بن محمد الخلال (จากอัลหะสัน บินมุหัมหมัด อัลค็อลล้าล) เคาะฏีบ อัลบัฆดาดีย์ได้ทำการตัดลีสชื่ออาจารย์ของเขาคนนี้ ว่า الحسن بن أبي طالب (อัลหะสัน บิน อะบีฏอลิบ) ที่จริงทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
.
สาเหตุที่นักรายงานบางคนอำพรางชื่ออาจารย์ของตน
.
1. เพื่อปกปิดสถานภาพของอาจารย์เพราะเขาเป็นผู้ที่อ่อน ผู้ใดที่ตัดลีสด้วยจุดประสงค์นี้ถือว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
.
2. เนื่องจากบุคลลที่เขารับหะดีษมานั้นมีความอวุโสน้อยกว่าเขา
.
3. เพื่อให้เห็นว่าเขามีอาจารย์หลายคน
.
4. เพื่องลองภูมิหรือทดสอบความไหวพริบของนักวิชาการหะดีษที่ครำหวอดกับสายรายงานว่ามีความละเอียดอ่อนเพียงใด
.
#หุก่มของการตัดลีส
.
การตัดลีสทุกประเภทถือว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ท่านชุอฺบะฮฺ บินหัจญาจ กล่าวว่า “ให้ฉันซินา(ผิดประเวณี)ดีกว่าให้ฉันทำการตัดลีส”และท่านยังกล่าวอีกว่า “การตัดลีสคือเพื่อนของการโกหก” รูปแบบของการตัดลีสที่เลวที่สุดคือ ตัดลีส อัตตัสวิยะฮฺ เนื่องจากเป็นการตัดลีสอำพรางผู้รายงานที่อ่อนแอ เพื่อให้สายรายงานนั้นดูเป็นสายรายงานที่ศอหี้หฺ
.
ส่วนการตัดลีสรูปแบบอื่น อุลามาอ์จะแยกว่า
.
หะดีษที่รายงานโดยมุดัลลีสด้วยสำนวนการรายงานที่ไม่ชัดเจนคลุมเครือและเขาก็ไม่ได้ยืนยันว่าหะดีษนั้นเขาฟังด้วยตนเอง สายรายงานถือว่าไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากเป็นสายรายงานที่ขาดตอน
หากผู้รายงานเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ และเขาได้ยืนยันว่าได้ฟังหะดีษด้วยตนเอง เขา สายรายงานนั้นก็ถือว่ารับได้
.
อุลามะอ์หะดีษบางท่านมีทัศนะว่า “หากการตัดลีสนั้นมีเจตนาที่จะปกปิดข้อบกพร่องบางอย่าง การกระทำของเขาถือว่าหะรอม(เป็นสิ่งต้องห้าม) แต่ถ้าหากเขามิได้มีเจตนาดังที่กล่าวมาก็ยังอนุโลมให้”
.
นักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูรฺ) เห็นว่า อนุญาตให้รับการตัดลีสของบุคคลที่เรารู้ว่าเขาไม่เคย ตัดลีส นอกจากผู้ที่เชื่อถือได้เท่านั้น เฉกเช่นท่าน สุฟยาน อัซเซารีย์, เกาะตาดะฮฺ, อัลอะอฺมัช, อิบนุอุยัยนะฮฺ เป็นต้น
#จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง (5)
.
#หะดีษมุรสัล เคาะฟีย์ المرسل الخفي
.
คือ หะดีษที่ผู้รายงานได้รายงานจากบุคคลที่มีชีวิตในสมัยเดียวกัน แต่ทว่าเขาไม่ได้ฟังหะดีษนั้นจากบุคคลดังกล่าวด้วยตัวเขาเอง และก็ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
.
หะดีษประเภทนี้เป็นชนิดหนึ่งของการขาดตอนในสายรายงานแต่เป็นการขาดตอนที่มองไม่เห็นเนื่องจากผู้รายงานทั้งสองมีชีวิตในสมัยเดียวกัน
.
ตัวอย่างหะดีษที่อัตติรมิซีย์ได้บันทึกใน หนังสือ อัลอิลัล อัลกะบีร
.
عن إبرهيم بن عبد الله الهروي نا هشيم أنا يونس بن عبيد الله عن نافع عن ابن عمر قال قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: مطل الغني ظلم وإذا أحلت على ملئ فاتبعه ولا تبع بيعتين في بيعة
.
ความว่า จากอิบรอฮีม บินอับดุลลอฮฺ อัลฮะเราะวีย์ (ได้เล่าแก่เรา) ฮุชัยมฺ (ได้เล่าแก่เรา) ยุนุส บินอุบัยดิลลาฮฺ จากนาฟิอฺ จาก อิบนุอุมัร ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้กล่าวว่า “การผลัดหนี้ของคนรวยนั้นถือเป็นการกระทำที่อธรรมดังนั้นเมื่อบุคคลใดถูกโอนหนี้ก็จงไปตามเก็บจากลูกหนี้ที่รวยและอย่าซื้อ-ขายที่มีข้อตกลงสองแบบในการซื้อขายเดียว”
.
#ความแตกต่างระหว่างมุรสัลเคาะฟีย์กับการตัดลีส
.
1. ในการตัดลีสผู้รายงานจะรายงานจากบุคคลที่เขาเคยพบเจอเคยได้ยินแต่ไปรายงานในสิ่งอื่นที่เขาไม่ได้ฟังมา และใช้สำนวนทีคลุมเครือ ส่วนมุรสัลเคาะฟีย์นั้นผู้รายงานจะรายงานจากบุคคลที่เขาไม่เคยพบเจอไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อยู่ในสมัยเดียวกันเท่านั้น
.
2. ในการตัดลีสผู้รายงานจะใช้สำนวนการรายงานที่คลุมเครือทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาฟังหะดีษมาด้วยตัวเอง แต่มุรสัลเคาะฟีย์จะใช้สำนวนการรายงานที่ชัดเจน หากในการตัดลีสผู้รายงานระบุชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังหะดีษนั้นด้วยตัวเอง หะดีษนั้นก็จะกลายเป็นมุรสัลทันที
.
เราจะรู้ว่าเป็นมุรสัลเคาะฟีย์ได้อย่างไร?
.
1. รู้ได้จากการที่อุละมาอ์ระบุว่าทั้งสองไม่เคยได้พบเจอกัน หรือจากการสืบปีที่เกิด-ตายของผู้รายงาน
.
2. รู้ได้จากการที่อุละมาอ์ระบุว่าผู้รายงานนั้นไม่เคยได้ยินจากบุคคลนั้นเลย
..
3. รู้ได้จากการที่อุละมาอ์ระบุว่าผู้รายงานนั้นไม่เคยได้ยินจากบุคคลนั้นเฉพาะหะดีษนั้นเท่านั้น
4. ในกระแสรายงานอื่นๆปรากฏว่ามีผู้รายงานหะดีษเพิ่มเติมจากสายรายงานแรก
________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น