201682: อิจมาอฺ(มติเอกฉันท์ทางวิชาการ):
นิยาม ประเภท และเงื่อนไข
ฉันอยากทราบว่าอิจมาอฺ คืออะไร,และมีประเภทและเงื่อนไขอะไรบ้าง?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์
ชัยคฺ อุไซมีน(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวว่า:
ในกรอบทางภาษา,อิจมาอฺ หมายถึง
ข้อตัดสินใจและข้อตกลง
ในกรอบชารีอะห์,มันหมายถึง ความเห็นพ้องของมุจตาฮีดของอุมมัตนี้ภายหลังการเสียชีวิตของนบีมุฮัมมัด ﷺ ในเรื่องกฎระเบียบของชารีอะห์.
โดยการกล่าว"ความเห็นพ้อง"เราไม่รวมความแตกต่างของความเห็น; ถ้ามีความแตกต่างของความเห็น,แม้ว่ามาจากคนคนเดียว,ถ้างั้นเราไม่สามารถกล่าวว่ามีอิจมาอฺ.
โดยการกล่าว"มุจตาฮีด" เรายกเว้นชาวบ้านและผู้ที่ปฏิบัติตามหรือผู้ที่เลียนแบบนักวิชาการ; มันไม่สำคัญว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
โดยการกล่าว"อุมมัตนี้" เราไม่รวมฉันทามติของผู้อื่นซึ่งไม่มีน้ำหนัก.
โดยการกล่าว"ภายหลังการเสียชีวิตของนบีมุฮัมมัด ﷺ " เราไม่รวมข้อตกลง(การเห็นพ้อง)ของพวกเขาในช่วงเวลาของนบีมุฮัมมัด ﷺ ; อิจมาอฺ หรือเอกฉันท์(ฉันทามติ)ในเวลานั้นไม่นับว่าเป็นหลักฐานเพราะหลักฐานถูกกำหนดโดยซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัดﷺ แล้ว ,
ไม่ว่าโดยคำพูด หรือการกระทำ หรือการยอมรับ. ดังนั้นถ้าซอฮาบัตกล่าวว่า"เราเคยทำ"หรือว่าพวกเขา(เช่น ประชาชน) เคยทำเช่นนั้นและเช่นนั้นในช่วงเวลาของท่านนบีมุฮัมมัดﷺ ,นี่เป็นข้อบ่งชี้ถึงการอนุมัติของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ,ตามฉันทามติ.
โดยการกล่าว"บนกฎชารีอะห์",เราไม่รวมข้อตกลงของพวกเขาในการพิจารณากฎตามเหตุผลหรือของมนุษย์ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อยู่ภายใต้การถกเถียง,เพราะเรากำลังพูดถึงการมองไปที่อิจมาอฺในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในประเภทของพยานหลักฐานของชารีอะห์.
อิจมาอฺ นับว่าเป็นพยานหลักฐานบนรากฐานของจำนวนหนึ่งจากหลักฐาน ที่รวมอยู่ในสิ่งต่อไปนี้:
1. โองการที่อัลลอฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ ตรัสในสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮโองการที่ 143
وَكَذَٰلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِّتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنتَ عَلَيْهَا إِلَّا لِنَعْلَمَ مَن يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّن يَنقَلِبُ عَلَىٰ عَقِبَيْهِ وَإِن كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَءُوفٌ رَّحِيمٌ ( 143 )
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย.....[2:143]
คำว่า"เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย"รวมถึงการเป็นพยานเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขาและการตัดสินการกระทำของพวกเขาและคำพูดของการเป็นพยานอาจได้รับการยอมรับ.
2. โองการที่อัลลอฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ,ตรัสสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ โองการที่ 59
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا ( 59 )
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง"
ถ้อยดำรัสที่ว่า "แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด"
บ่งชี้ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นด้วย อยู่บนความดีและความถูกต้อง.
3. ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺได้กล่าวว่า: "อุมมัตของฉันจะไม่เป็นเอกฉันท์เห็นด้วยในทางหลงผิด."
4. เรากล่าวว่า: ถ้าอุมมัตนี้ เห็นสอดคล้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์บนบางสิ่ง,ต้องเป็นจริงหรือเท็จ. ถ้ามันเป็นจริง,แล้วก็ต้องมีพยานพิสูจน์.
ถ้ามันเป็นเท็จ, เป็นไปได้อย่างไร ที่อุมมัตนี้ ซึ่งเป็นประชาชาติที่รักที่สุดของอัลลอฮ์มาตั้งแต่ท่านศาสนฑูตมุฮัมมัดﷺ จนกระทั่งถึงการเริ่มต้นของวันสิ้นโลก, ที่เห็นพ้องกับเรื่องที่เป็นเท็จซึ่งอัลลอฮ์ไม่พึงพระทัย? นี่เป็นการบ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง.
ประเภทของอิจมาอฺ:
อิจมาอฺแบ่งเป็นสองประเภท คือ แบบสรุปและสันนิษฐาน
1. แบบสรุป เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นที่ยอมรับ,เช่น เอกฉันท์ ว่า ละหมาดห้าเวลาเป็นภาระผูกพัน(วอญิบ)และซีนา(การผิดประเวณีการล่วงประเวณี)ฮาราม(ต้องห้าม).
ไม่มีใครปฏิเสธว่าชนิดนี้ของอิจมาอฺถูกพิสูจน์และกำหนด,หรือว่ามันเป็นหลักฐานที่สอดคล้องกับตัวมันเอง,หรือผู้ที่ปฏิเสธมันจะกลายเป็นกาเฟรฺ(ผู้ปฏิเสธศรัธทา),เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่รู้ตัวและอาจถูกขอโทษด้วยความโง่เขลาของเขา.
2. แบบสันนิษฐาน คือสิ่งที่สามารถรู้ได้จากการค้นคว้าและการศึกษา,ที่นักวิชาการอาจมองเห็นที่แตกต่างว่าเป็นอิจมาอฺหรือไม่.ความเห็นทางวิชาการที่ถูกต้องมากที่สุดเกี่ยวกับประเด็นนั้นคือมุมมองของชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์(รอฮีมาฮุลลอฮ์),เมื่อเขากล่าวใน อัลอากีดะห์ อัลวาซีตียะห์: อิจมาอฺประเภทนี้ต้องถูกยอมรับคือของคนรุ่นก่อน ๆ ที่ชอบธรรม(สะลัฟฟุซซอและห์), เพราะภายหลังจากช่วงเวลาของพวกเขา(300 ปีแรก) มีความขัดแย้งกันมากและอุมมัตนี้กระจายไปไกลและกว้างขวาง.จบอ้าง.
ควรตั้งข้อสังเกตว่าอุมมัตนี้ไม่สามารถเห็นด้วยบนบางสิ่งที่มันไปขัดแย้งกับตัวบทที่ถูกยกเลิก ตัวบทที่ชัดเจน ตัวบทที่ซอเฮียะ(ถูกต้อง),เพราะมันสามารถเห็นด้วยกับสิ่งที่เป็นความจริงเท่านั้น. ถ้าคุณเห็นฉันทามติที่คุณคิดว่าขัดแย้งกับเรื่องนั้น,ถ้างั้นจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
หลักฐานไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้อง(ไม่ซอเฮียะ)หรือถูกยกเลิกหรือมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณไม่ทราบ.
เงื่อนไขของอิจมาอฺ':
มีเงื่อนไขที่แน่นอนสำหรับอิจมาอฺ,เช่น:
1. ควรได้รับการพิสูจน์อย่างถูกต้องในความหมายที่ว่าเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักวิชาการ หรือถูกส่งโดยผู้รายงานที่น่าเชื่อถือที่ได้อ่านอย่างมากมาย.
2. ความแตกต่างของความเห็นที่มีชื่อเสียงไม่ควรออกหน้าหรือสำคัญกว่า. ถ้าสิ่งนั้นเป็นประเด็น,ถ้างั้นไม่มีอิจมาอฺ, เพราะความเห็นทางวิชาการไม่ได้เป็นโมฆะโดยการตายของผู้เขียนของพวกเขา.
อิจมาอฺ(ฉันทามติ)ไม่ได้ยกเลิกความเห็นที่แตกต่างก่อนหน้านี้; แต่มากกว่าที่มันจะป้องกันไม่ให้ความแตกต่างของความเห็นเกิดขึ้น
นี่เป็นมุมมองที่ถูกต้องที่สุด,เพราะความแข็งแกร่งของการโต้เถียง.
และมันถูกกล่าวว่าเงื่อนไขที่สองไม่ได้ถูกกำหนด, ดังนั้นจึงมีผลบังคับใช้ในภายหลังเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ(อิจมาอฺ)ในความคิดเห็นก่อนหน้านี้และเพื่อเป็นหลักฐานสำหรับผู้ที่มาภายหลัง.
ตามเสียงส่วนใหญ่,ไม่จำเป็นว่าผู้ที่เห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ทุกคนเสียชีวิต ขณะที่ยังถือมุมมองนี้สำหรับอิจมาอฺที่ถูกกำหนดแล้ว; แต่อิจมาอฺถูกกำหนดทันทีที่พวกเขา(นักวิชาการในศักราชหนึ่งที่เฉพาะเจาะจง)มีความเห็นสอดคล้องกัน,และไม่อนุญาตสำหรับพวกเขาหรือใครคนใดคนหนึ่งอีกไปขัดแย้งกับมันหลังจากนั้น,เพราะเงื่อนไขของการก่อตั้งอิจมาอฺไม่รวมกับข้อกำหนดที่คนยุคก่อน(นักวิชาการผู้ได้ไปถึงข้อสรุปฉันทามติ)ควรจะสิ้นสุดลงด้วยการที่ผ่านหน้าของพวกเขาแล้ว.
เพราะอิจมาอฺถูกกำหนด ณ ช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นด้วย(บนปัญหาเฉพาะอันใดอันหนึ่ง),ไม่มีอะไรที่สามารถยกเลิกได้.
ถ้ามุจตาฮิดคนหนึ่งของมุจตาฮิด(นักวิชาการ)กล่าว หรือกระทำบางสิ่งและสิ่งนั้นกลายเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่มุจตาฮิด,และพวกเขาไม่ได้ติเตียนมัน ถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถทำได้,ด้วยเหตุนี้ มันถูกกล่าวว่ามีอิจมาอฺ. ได้มีการกล่าวว่าสิ่งนี้กำหนดว่ามีอิจมาอฺ;
และบุคคลอื่นๆได้กล่าวว่ามันไม่เป็นทั้งอิจมาอฺหรือหลักฐาน. และได้มีการกล่าวว่าถ้าพวกเขาทั้งหมดได้ล่วงลับไปก่อนที่จะมีการติเตียนมันก็เป็นอิจมาอฺ,เพราะความเงียบของพวกเขาจนกระทั่งถึงเวลาของการเสียชีวิตของพวกเขา,แม้ว่าพวกเขาสามารถที่จะติเตียนมันได้,เป็นหลักฐานของการเห็นด้วยของพวกเขา.นี่เป็นมุมมองที่ใกล้เคียงความถูกต้องมากที่สุด.
แหล่งอ้างอิง
" الأصول من علم الأصول " ( 62 – 64 )
Al-Usool min ‘Ilm al-Usool, 62-64
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
เขียนโดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ซอและห์ อัลมุนัจจิด
แปลโดย Firdaus Msd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น