"มัสยิดใดยังมีหนังสือคุณค่าอาม้าล เล่มนี้อยู่ คณะกรรมการมัสยิดต้องรับผิดชอบ ในฐานที่ว่า ปล่อยให้ในมัสยิดมีเรื่องเลอะเทอะได้อย่างไร ปล่อยให้มัสยิดเป็นเเหล่งซ่องสุมเผยเเพร่ชีริกได้อย่างไร"
........................................................................................................
"กลุ่มญะมาอะหฺตับลีฆวัดดะอฺวะหฺ" ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มซูฟีย์นี่เเหละ เป็นหนึ่งในกลุ่มตอรีกัตนี่เเหละ น้องใหม่ล่าสุด
ส่วนใหญ่กลุ่มซูฟีย์ตอรีกัตสายต่างๆก็จะมีชื่อกลุ่มตามชื่อหัวหน้า เช่น กอดิรียะหฺ อะหฺมะดียะหฺ ริฟาอียะหฺ หรืออะไรต่อมิอะไร มีจำนวนเยอะมาก ส่วนที่ระบาดในบ้านเราก็มีพวก ชาซูลียะหฺ อะหฺมะดียะหฺ เป็นต้น
เเละตอรีกัตที่เเพร่หลายในประเทศ อินเดีย ปากีสถาน ก็คือ สาย"นักชะบันดียะหฺ"
เเละตอรีกัตที่เเพร่หลายในประเทศ อินเดีย ปากีสถาน ก็คือ สาย"นักชะบันดียะหฺ"
ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติของผู้เเต่งหนังสือคุณค่าอาม้าลเล่มเขียว(ซึ่งเป็นตำราชั้นยอดของกลุ่มตับลีฆ) เมาลานา ที่ขนานนามว่า"ชัยคุลหะดีษ" ปัญหาก็คือว่า ตัวของเขาเองเดิมก็เคยอยู่ในสายตอรีกัตนักชะบันดียะหฺ (ถ้าไม่เชื่อก็ลองเปิดประวัติของเขาดู) หมายความว่าตัวเมาลานาคือผู้ที่อยู่ในสายตอรีกัตนักชะบีนดียะหฺ มาเเต่เดิม
เเละเมื่อเขามาตั้งกลุ่มใหม่ เขาก็ไม่ได้ทิ้งคราบความเป็นซูฟีย์ตอรีกัตของเขาเลย (ในหนังสือเล่มเขียวนี่เเหละบอกตัวตนของเขาไว้อย่างชัดเจน) ถึงเเม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อจาก นักชะบันดียะหฺ มาเป็น ญะมาอะหฺตับลีฆวัดดะอฺวะหฺ เเต่เขาก็ยังคงความเป็นซูฟีย์ตอรีกัต เหมือนเดิม (เเม้จะมาเปลี่ยนชื่อกลุ่มอย่างสวยหรูก็ตาม)
เเละเมื่อเขามาตั้งกลุ่มใหม่ เขาก็ไม่ได้ทิ้งคราบความเป็นซูฟีย์ตอรีกัตของเขาเลย (ในหนังสือเล่มเขียวนี่เเหละบอกตัวตนของเขาไว้อย่างชัดเจน) ถึงเเม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อจาก นักชะบันดียะหฺ มาเป็น ญะมาอะหฺตับลีฆวัดดะอฺวะหฺ เเต่เขาก็ยังคงความเป็นซูฟีย์ตอรีกัต เหมือนเดิม (เเม้จะมาเปลี่ยนชื่อกลุ่มอย่างสวยหรูก็ตาม)
ส่วนประเด็นสำคัญที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือ คุณค่าอาม้าล เล่มเขียว คือเรื่องที่ว่าด้วย "อะลุลกัชฟี้ (หรือที่บ้านเราเรียกว่าอะลุ้ลกะชัฟ)"
ต้องทำความเข้าใจตามลำดับดังต่อไปนี้
คำว่า"อะหฺลุล" แปลว่า พวก เเปลว่า ชาว
ส่วนคำว่า"กัชฟฺ" แปลว่า เผย เเจ้ง เเละถุกนำมาใช้ในกลุ่มซูฟีย์ตอรีกัต หมายถึง ญาณทิพย์ (มีบอกในตำราอย่างชัดเจน) แปลว่า ผู้ประจักษ์ทางด้านจิตวิญญาณ
คำว่า"อะหฺลุล" แปลว่า พวก เเปลว่า ชาว
ส่วนคำว่า"กัชฟฺ" แปลว่า เผย เเจ้ง เเละถุกนำมาใช้ในกลุ่มซูฟีย์ตอรีกัต หมายถึง ญาณทิพย์ (มีบอกในตำราอย่างชัดเจน) แปลว่า ผู้ประจักษ์ทางด้านจิตวิญญาณ
กล่าวคือ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ญาณทิพย์ อยากเห็นหลับตาก็ได้เห็น เเม้กระทั่งเรื่องราวในอดีต หรือ อนาคต ในหลุมฝังศพ อยากจะฟังอะไร เเค่เงี่ยหูฟังก้ได้ยิน เพราะไม่ใช่บุคคลธรรมดา เป็นบุคคลที่พัฒนาจิตใจของตนเองให้ได้บรรลุโสดาบรรณ คือพวกเขาจะมีลำดับขั้นของเขาอยู่ เรียกว่า"มัรฺตะบัต" ใครที่พัฒนาลำดับขั้นจนกระทั่งไปถึงลำดับสูงสุด ก็จะกลายเป็นคนที่มี กัชฟฺ (มีญาณทิพย์ มีหูทิพย์) เเล้วคนพวกนี้ก็ถูกเรียกว่า อะลุลกัชฟฺ เป็นบุคคลหนึ่งที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน
ที่กล่าวมานี้(เรื่องกัชฟฺ) มันคือหลักหนึ่งของซูฟีย์ตอรีกัต ในเเต่ละสาย เเละกลุ่มญะมาอะหฺตับลีฆก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยของกลุ่มซูฟีย์เหล่านี้เลย สังเกตดูเวลาที่เปิดตำราเล่มเขียวอ่าน จะพบข้อความว่า "นักซูฟีย์กล่าวว่า" หรือ พบคำว่า "คัชฟ์" นี่เเหละคือร่องรอย ไม่ได้ทิ้งเลย
ส่วนหนึ่งจากเนืื้อหาในหนังสือคุณค่าอาม้าลเล่มเขียว ที่เราจะยกมาให้เห็น คือ
"เชค อบู ยะตี้ล กุรตุบีย์ (เราะมาตุลลอฮฺอลัยฮิ) ได้ยินมาจากบุคคลบางคนว่า บุคคลใดก็ตาม ที่อ่าน ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ จำนวนเจ็ดหมื่นครั้ง เขาทั้งหญิงเเละชายจะปลอดพ้นจากไฟนรก ท่านได้จัดทำบทฝึกให้กับภรรยาของท่านหนึ่งครั้ง เเละบทฝึกให้กับตนเองหลายครั้ง เพื่อเป็ความปลอดภัยเเก่ชีวิตในโลกหน้า มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มี คัชฟ์ คือผู้ที่มีความประจักษ์เเจ้งทางวิญญาณ(ได้มีการบอกเล่ากันอีกว่า เขาเป็นผู้มีความรู้ล่วงหน้าในเหตุการณ์ของสวรรค์เเละนรก) เชค กุรตุบีย์ กล่าวว่า ท่านมีความสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับการมี คัชฟ์ ของเขา วันหนึ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่ท่านกำลังรับประทานอาหารอยู่กับเขา ชายหนุ่มผู้นี้ได้ส่งเสียงร้องอันดังขึ้นมาในทันทีทันใด เเละเริ่มมีอาการหอบ เเละอุทานขึ้นว่า "มารดาของเขากำลังถูกเผาอยู่ในไฟนรก" เชค กุรตุบีย์ เป็นผู้ได้สังเกตดูอาการของชายหนุ่มผู้นี้อย่างสนใจยิ่ง จึงตัดสินใจที่จะทำ บทฝึกของการอ่านกะลีมะหฺ อุทิศให้กับมารดาของเขาอย่างลับๆ เพื่อท่านจะได้รับความกระจ่างในความจริงเกี่ยวกับคำพูดของเขา(ดังที่กล่าวข้างต้น) ท่านได้ทำเรื่องนี้ในทางที่ว่าไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ในทันทีนั้น(หลังจากทำการอุทิศ "บทฝึกกะลีมะหฺ"ของท่าน) ชายหนุ่มได้กล่าวขึ้นว่า คุณลุงครับ มารดาของผมได้รับการปลดเปลื้องจากไฟนรกเเล้ว เชคกุรตุบียื กล่าวว่า ท่านนั้นมิใช่ว่าได้รับความกระจ่างในเรื่องความจำเริญของ บทฝึกที่เกี่ยวกับการอ่านกะลีมะหฺเจ็ดหมื่นครั้งเท่านั้น เเต่ยังได้รู้ถึงความจริงของชายหนุ่มผู้นี้อีกด้วย"(หน้าที่ 495-496)
นี่คือข้อความส่วนหนึ่งที่เราหยิบยกมาให้ท่านพี่น้องได้เห็นว่าในหนังสือคุณค่าอาม้าลเล่มเขียวของกลุ่มตับลีฆ สามารถเปิดเผยตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจนเลยว่า พวกเขามีรากเหง้ามาจากกลุ่มซูฟีย์ตอรีกัต เพียงเเค่เปลี่ยนชื่อกลุ่มให้ดูสวยหรู เเต่ก็มิได้ละทิ้งคราบ ร่องรอย ของความเป็นซูฟีย์เลยเเม้เเต่น้อย
ในเรื่องที่เราได้หยิบยกมาข้างต้น เป็นเรื่องที่มีความร้ายเเรงมาก มันค้านกับอะกีดะหฺอิสลามียะหฺ อย่างเเรง เราดูว่าอย่างท่านนบี มูฮัมมัด ศ็อลฯ เป็นผู้ที่ได้รับการเเต่งตั้งให้เป็นรอซูล เเต่ท่านนบีเองก็ไม่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เลย ท่านเป็นเเค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
จากคำดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
จากคำดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
"จงกล่าวเถิด(มูฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันเป็นคนธรรมดาเยี่ยงพวกเจ้า มีวะฮีย์มายังฉัน....."(ซูเราะหฺ อัล-กะฮฺฟ)
เพราะฉนั้นการที่ท่านนบีนำเอาเรื่อง สวรรค์ นรก มาพูด ท่านไม่ได้พุดจากการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ญาณทิพย์ เเต่ท่านพูดด้วยกับวะฮีย์จากอัลลอฮฺ
เเต่คนกลุ่มนี้ที่อ้างว่าพวกเขามีญาณทิพย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ พวกเขาไม่ได้เป็นนบี ไม่ได้เป็นรอซูล ไม่ได้รับวะฮีย์จากอัลลอฮฺ เเละไม่ได้มีสิ่งพิเศษเหนือจากสิ่งที่นบีได้รับเลย เเล้วมาอ้างว่าตัวเองมีญาณทิพย์ พฤติกรรมอย่างนี้ บ่งบอกให้เห็นได้ว่า พวกเขากำลังตีตัวเสมออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองพวกเราด้วยเถิด) เพราะอัลลอฮฺ ทรงบอกไว้ในอัล-กุรอาน ว่า
"อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้เรื่อง ฆ็อยบฺ(สิ่งเร้นลับ) เเละพระองค์ไม่เผยเรื่องเร้นลับให้กับผู้หนึ่งผู้ใด ยกเว้นรอซูลของอัลลอฮฺบางคน "
คำว่า "ฆ็อยบฺ " คือ สิ่งที่ สมอง ปัญญา สายตา ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ไม่สามารถรับรู้ได้
ดังนั้นขอยืนยันคำพุดที่ว่า "กลุ่มญะมาอะหฺตับลีฆวัดดะอฺวะหฺ ก็คือ กลุ่มซูฟีย์ตอรีกัตนั่นเเหละ เเต่เป็นตอรีกัตน้องใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ ญะมาอะหฺตับลีฆวัดดะอฺวะหฺ"
สุดท้ายขอฝากว่า มัสยิดใดยังมีหนังสือคุณค่าอาม้าล เล่มนี้อยู่ คณะกรรมการมัสยิดต้องรับผิดชอบ ในฐานที่ว่า ปล่อยให้ในมัสยิดมีเรื่องเลอะเทอะได้อย่างไร ปล่อยให้มัสยิดเป็นเเหล่งซ่องสุมเผยเเพร่ชีริกได้อย่างไร
ถอดความจาก การให้ความรู้ของ อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ หะฟิซอฮุลลอฮฺ
credit อิสลามตามแบบฉบับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น