1. ซูฟี
"หลงไหลความเหนือธรรมชาติ"
ซูฟี ตามความหมายที่ถูกต้อง คือหนทางขัดเกลาจิตใจตนเอง ซูฟีมีหลายระดับ บางระดับยังไม่
นับเป็นนิกาย (ฟิร็อก) เราจึงพบซูฟีอยู่ในนิกายต่างๆ มากมาย ยกเว้นในสายสะละฟียฺ ที่ไม่นิยมใช้ค าว่า ซูฟี
เพราะคำนี้ถูกนำไปใช้จนแปดเปื้อนแล้ว แต่จะใช้คำว่า คุณธรรม (อิห์ซาน) หรือการขัดเกลาจิตใจ (ตัซกี
ยะฮฺนัฟส์) แต่บางระดับที่เลยเถิดไปมากก็ต้องนับเป็นอีกนิกายหนึ่ง
คำศัพท์ที่ควรรู้ (ตามความหมายของสลัฟ)
กะรอมะฮฺ คือ สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนความเป็นนบี เกิดกับบ่าวที่เป็นคนดีมีอะกีดะฮฺใส
สะอาด
วะลี หรือ คนรักของอัลลอฮฺ ตามหลักการหมายถึง มุสลิมที่มีความตักวา ปฏิบัติวาญิบ และละทิ้งหะรอมได้อย่างครบถ้วน และเมื่อใดพลาดพลั้งทำผิดก็รีบกลับมาสำนึกผิดทันที
ตามธรรมชาติคนเรามักหลงใหล และชื่นชมเรื่องปาฏิหาริย์ อิสลามไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของกะรอมะฮฺ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับบ่าวของพระองค์ได้ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ให้กำลังใจ หรือเพื่อช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ใน
ยามคับขัน แต่ไม่ได้ให้หมกมุ่นกับมัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลุ่มหลงอยากให้เกิดกะรอมะฮฺกับตน ทุ่มเทกับการซิ
กรุลลอฮฺ เป็นหมื่นๆ แสนๆ เพียงเพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์ จนบางคนถึงกับเป็นบ้าไปเลยก็มี บางคนเพ้อถึงขนาด
แยกแยะอะไรไม่ออก พูดอัลลอฮฺเป็นมัคลู๊ก พูดมัคลู๊กเป็นอัลลอฮฺ หรือพูดว่า "อัลลอฮฺอยู่ในแขนเสื้อฉัน" บางคน
ก็อ้างว่าตนเป็นซูฟีที่มีกะรอมะฮฺเพื่อให้ผู้คนนับถือให้เงินให้ทอง บางคนเลี้ยงญิน หรือข้องเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ขาวหรือบางคนก็เกินเลยจนถึงชีริกตะวุสสุลกับกุโบร์ของคนที่ตายไปแล้ว
คนที่เป็นวะลีจริงจะไม่อวดอ้างตน แต่วะลีปลอมมักอวดอ้างตนเอง บางคนก็อ้างว่า ตนเองได้รับความรู้
โดยตรงจากอัลลอฮฺ เมื่อเพ่งไปที่สิ่งใด ความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ไหลพุ่งออกมาให้ได้รับรู้และเข้าใจ และเรียกมันว่า
"อิลมุละดุนนียฺ" และเรียกผู้ได้รับความรู้นี้ว่า "อะฮ์ลิลกะชัฟ" (บุคคลที่อัลลอฮฺเผยความรู้ให้) และเชื่อว่าคำพูด
ของวะลีมักแฝงไปด้วยความเร้นลับ
บางคนก็อ้างว่า ตนถึงระดับชั้นที่ไม่ต้องทำอิบาดะฮฺทั่วไปแล้ว (คือไม่ต้องละหมาดแล้ว) ตนมีหน้าที่อ่าน
ซิกรุลลอฮฺตามที่ได้รับมาจากอัลลอฮฺโดยตรงเท่านั้น
บางคนก็อ้างว่า ระดับของวะลีนั้น เหนือกว่าระดับของนบี
วะลีบางคนก็เรียกตนเองว่า อัลเฆาษ์ (ผู้ช่วยให้รอดพ้น) และบางคนก็ตั้งชื่อข่มกันว่า อัลเฆาษุลอักบัร
(ผู้ช่วยให้รอดพ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) ซึ่งเป็นชื่อที่มุสลิมที่ดีไม่นำมาตั้งกัน
บางคนก็เล่นของ ทำของ เลี้ยงญิน เหมือนเป็นซูฟีสายเกจิ รับทำอาศิมัต หรือตาบีส แขวนคอ หรือผูก
ข้อมือเด็กเพื่อป้องกันภัย หรือเอากระดาษมาเขียนตารางและตัวเลขภาษาอาหรับลงไปแล้วให้นำไปติดหน้าร้าน
เพื่อให้ขายของได้ดี หรือทำของให้ผู้หญิงรักผู้หญิงหลง หรือมอบแหวนให้ใส่ติดตัวยามไม่สบายให้ดูแหวนแล้ว
คิดถึงอาจารย์แล้วโรคที่เป็นก็จะหาย
สถานะ (มะกอม) ฟะนาอ์ และบะกออ์ของซูฟี
ฟะนาอ์ คือ สูญ คือการเพ่งมองทุกสิ่งทุกอย่างว่า ไม่มี ไม่มีสิ่งใดมีอยู่จริง ทุกอย่างต้องสูญสลายหมด
เพื่อให้ตนเองหลุดพ้น
บะกออ์ คือ อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวที่มีอยู่จริง ทุกอย่างหายไปเหลือแต่พระองค์ ขั้นที่ 1 เห็นสิ่งใดก็คิดไป
ถึงอัลลอฮฺ ขั้นที่ 2 เห็นอัลลอฮฺก่อนเห็นสิ่งอื่น
ความเชื่อแบบนี้หากอธิบายไม่ดี จะทำให้คนบางคนแยกไม่ออกระหว่างคำว่า "ทุกอย่างมาจากอัลลอฮฺ"
กับ "ทุกอย่างคืออัลลอฮฺ" จึงเป็นที่มาที่ว่า อัลลอฮฺสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งของซูฟีบางกลุ่ม หรือบางคนก็เพ้อ
ออกมาว่า "กูคืออัลลอฮฺ" "กูกึ่งอัลลอฮฺกึ่งกู" การใช้คำที่หมิ่นเหม่แบบนี้เป็นทางถนัดอย่างหนึ่งของชัยฏอน ดังที่
เราพบในชีอะฮฺ คำว่า "ยา ฮูเซน" ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยผูกพันกับคำนี้ถึงขั้นชีริกโดยไม่รู้ตัว
ประเภทของซูฟี
ประเภทที่ 1 กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตสมถะ ทุ่มเทประกอบอิบาดะฮฺ
ประเภทที่ 2 มีบิดอะฮฺเข้ามา แต่ไม่ถึงขั้นตั้งภาคี (ชิริก) หรือปฏิเสธ (กุโฟร)
ประเภทที่ 3 ซูฟีสุดโต่ง ถึงขั้นชิริก บอกว่าอัลลอฮฺสถิตในตัวของมัคลู๊ก หรืออยู่ทุกหนทุกแห่ง เช่น ซูฟี
ของอิบนุ อะเราะบียฺ ตะรีกัตสายตีจานียฺ
ซูฟี ตามความหมายที่ถูกต้อง คือหนทางขัดเกลาจิตใจตนเอง ซูฟีมีหลายระดับ บางระดับยังไม่
นับเป็นนิกาย (ฟิร็อก) เราจึงพบซูฟีอยู่ในนิกายต่างๆ มากมาย ยกเว้นในสายสะละฟียฺ ที่ไม่นิยมใช้ค าว่า ซูฟี
เพราะคำนี้ถูกนำไปใช้จนแปดเปื้อนแล้ว แต่จะใช้คำว่า คุณธรรม (อิห์ซาน) หรือการขัดเกลาจิตใจ (ตัซกี
ยะฮฺนัฟส์) แต่บางระดับที่เลยเถิดไปมากก็ต้องนับเป็นอีกนิกายหนึ่ง
คำศัพท์ที่ควรรู้ (ตามความหมายของสลัฟ)
กะรอมะฮฺ คือ สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนความเป็นนบี เกิดกับบ่าวที่เป็นคนดีมีอะกีดะฮฺใส
สะอาด
วะลี หรือ คนรักของอัลลอฮฺ ตามหลักการหมายถึง มุสลิมที่มีความตักวา ปฏิบัติวาญิบ และละทิ้งหะรอมได้อย่างครบถ้วน และเมื่อใดพลาดพลั้งทำผิดก็รีบกลับมาสำนึกผิดทันที
ตามธรรมชาติคนเรามักหลงใหล และชื่นชมเรื่องปาฏิหาริย์ อิสลามไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของกะรอมะฮฺ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับบ่าวของพระองค์ได้ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ให้กำลังใจ หรือเพื่อช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ใน
ยามคับขัน แต่ไม่ได้ให้หมกมุ่นกับมัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลุ่มหลงอยากให้เกิดกะรอมะฮฺกับตน ทุ่มเทกับการซิ
กรุลลอฮฺ เป็นหมื่นๆ แสนๆ เพียงเพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์ จนบางคนถึงกับเป็นบ้าไปเลยก็มี บางคนเพ้อถึงขนาด
แยกแยะอะไรไม่ออก พูดอัลลอฮฺเป็นมัคลู๊ก พูดมัคลู๊กเป็นอัลลอฮฺ หรือพูดว่า "อัลลอฮฺอยู่ในแขนเสื้อฉัน" บางคน
ก็อ้างว่าตนเป็นซูฟีที่มีกะรอมะฮฺเพื่อให้ผู้คนนับถือให้เงินให้ทอง บางคนเลี้ยงญิน หรือข้องเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ขาวหรือบางคนก็เกินเลยจนถึงชีริกตะวุสสุลกับกุโบร์ของคนที่ตายไปแล้ว
คนที่เป็นวะลีจริงจะไม่อวดอ้างตน แต่วะลีปลอมมักอวดอ้างตนเอง บางคนก็อ้างว่า ตนเองได้รับความรู้
โดยตรงจากอัลลอฮฺ เมื่อเพ่งไปที่สิ่งใด ความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ไหลพุ่งออกมาให้ได้รับรู้และเข้าใจ และเรียกมันว่า
"อิลมุละดุนนียฺ" และเรียกผู้ได้รับความรู้นี้ว่า "อะฮ์ลิลกะชัฟ" (บุคคลที่อัลลอฮฺเผยความรู้ให้) และเชื่อว่าคำพูด
ของวะลีมักแฝงไปด้วยความเร้นลับ
บางคนก็อ้างว่า ตนถึงระดับชั้นที่ไม่ต้องทำอิบาดะฮฺทั่วไปแล้ว (คือไม่ต้องละหมาดแล้ว) ตนมีหน้าที่อ่าน
ซิกรุลลอฮฺตามที่ได้รับมาจากอัลลอฮฺโดยตรงเท่านั้น
บางคนก็อ้างว่า ระดับของวะลีนั้น เหนือกว่าระดับของนบี
วะลีบางคนก็เรียกตนเองว่า อัลเฆาษ์ (ผู้ช่วยให้รอดพ้น) และบางคนก็ตั้งชื่อข่มกันว่า อัลเฆาษุลอักบัร
(ผู้ช่วยให้รอดพ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) ซึ่งเป็นชื่อที่มุสลิมที่ดีไม่นำมาตั้งกัน
บางคนก็เล่นของ ทำของ เลี้ยงญิน เหมือนเป็นซูฟีสายเกจิ รับทำอาศิมัต หรือตาบีส แขวนคอ หรือผูก
ข้อมือเด็กเพื่อป้องกันภัย หรือเอากระดาษมาเขียนตารางและตัวเลขภาษาอาหรับลงไปแล้วให้นำไปติดหน้าร้าน
เพื่อให้ขายของได้ดี หรือทำของให้ผู้หญิงรักผู้หญิงหลง หรือมอบแหวนให้ใส่ติดตัวยามไม่สบายให้ดูแหวนแล้ว
คิดถึงอาจารย์แล้วโรคที่เป็นก็จะหาย
สถานะ (มะกอม) ฟะนาอ์ และบะกออ์ของซูฟี
ฟะนาอ์ คือ สูญ คือการเพ่งมองทุกสิ่งทุกอย่างว่า ไม่มี ไม่มีสิ่งใดมีอยู่จริง ทุกอย่างต้องสูญสลายหมด
เพื่อให้ตนเองหลุดพ้น
บะกออ์ คือ อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวที่มีอยู่จริง ทุกอย่างหายไปเหลือแต่พระองค์ ขั้นที่ 1 เห็นสิ่งใดก็คิดไป
ถึงอัลลอฮฺ ขั้นที่ 2 เห็นอัลลอฮฺก่อนเห็นสิ่งอื่น
ความเชื่อแบบนี้หากอธิบายไม่ดี จะทำให้คนบางคนแยกไม่ออกระหว่างคำว่า "ทุกอย่างมาจากอัลลอฮฺ"
กับ "ทุกอย่างคืออัลลอฮฺ" จึงเป็นที่มาที่ว่า อัลลอฮฺสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งของซูฟีบางกลุ่ม หรือบางคนก็เพ้อ
ออกมาว่า "กูคืออัลลอฮฺ" "กูกึ่งอัลลอฮฺกึ่งกู" การใช้คำที่หมิ่นเหม่แบบนี้เป็นทางถนัดอย่างหนึ่งของชัยฏอน ดังที่
เราพบในชีอะฮฺ คำว่า "ยา ฮูเซน" ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยผูกพันกับคำนี้ถึงขั้นชีริกโดยไม่รู้ตัว
ประเภทของซูฟี
ประเภทที่ 1 กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตสมถะ ทุ่มเทประกอบอิบาดะฮฺ
ประเภทที่ 2 มีบิดอะฮฺเข้ามา แต่ไม่ถึงขั้นตั้งภาคี (ชิริก) หรือปฏิเสธ (กุโฟร)
ประเภทที่ 3 ซูฟีสุดโต่ง ถึงขั้นชิริก บอกว่าอัลลอฮฺสถิตในตัวของมัคลู๊ก หรืออยู่ทุกหนทุกแห่ง เช่น ซูฟี
ของอิบนุ อะเราะบียฺ ตะรีกัตสายตีจานียฺ
++++++++
2. ตอรีกัต (สายซูฟี)
แปลว่า ทาง หมายถึง แนวทางไปสู่อัลลอฮฺ ประกอบด้วยอักษร 5 ตัว คือ
ฏอ หมายถึง เชื่อฟัง (ฏออัต)
รอ คือ พอใจ (ริฎอ)
ยา คือ ยะกีน (เชื่อมั่น)
กอฟ คือ เพียงพอ (เกาะนาอะฮฺ)
ตา คือ ยำเกรง (ตักวา)
คนซูฟีต้องมีครู และต้องมีการให้บัยอะฮฺจับมือระหว่างครูกับลูกศิษย์ โดยครูก็ต้องเป็นคนซูฟีที่มีการ
ให้บัยอะฮฺจับมือกับครูที่เป็นซูฟีของท่านอีกที และสามารถไล่เรียงย้อนกลับไปถึงท่านนบี (ตามคำกล่าวอ้าง) จึง
เรียกว่า สายซูฟี (ตุรุกซูฟียะฮฺ) ซึ่งมีหลายสาย แต่ละสายเรียกว่าตอรีกัต ตอรีกัตในยุคปัจจุบันมีมากกว่า 100
สาย แต่ในเมืองไทยพบเป็นทางการราว 4 สายคือ
1- สายกอดิรียะฮฺ
2- สายชาซุลลียะฮฺ (ผ้าเขียวอ้างว่า สีเขียวได้จากพรมเขียวที่ท่านนบีเหยียบตอนอยู่บนชั้นฟ้า)
3- สายอะห์มะดียะฮฺ
4- สายนักชะบันดียะฮฺ
สายที่ดังที่สุดคือ สายกอดิรียะฮฺ เป็นสายที่อ้างว่ามาจากอับดุลกอดิร อัล-ญิลานียฺ
คนตอรีกัต (มุรีด) ต้องยึดครู(เชค) เป็นสื่อกลาง (วะซีละฮฺ) อย่างเหนียวแน่น เพื่อชี้แนะในการ
รู้จักอัลลอฮฺ โดยต้องมีการให้สัตยาบันกันระหว่างศิษย์กับครูว่าจะเป็นศิษย์เป็นครูกันทั้งดุนยาและอาคีเราะฮฺ
เพื่อให้ครูชี้แนะขั้นตอนต่างๆ เพื่อจะที่บรรลุไปถึงขั้นวะลี และเพราะว่าครูสามารถช่วยลูกศิษย์ได้ในวันกิยามะฮฺ
จากนั้นศิษย์ก็ต้องเชื่อฟังครูโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถึงแม้จะเห็นว่าครูทำสิ่งหะรอม หรือพูดไม่ถูกต้องแค่ไหนก็
ตาม หากโต้แย้งหรือคัดค้าน อาจต้องขาดการเป็นศิษย์เป็นครูได้
การจะตามแนวทางของท่านนบีในทางตะรีกัตต้องเข้าใจใน 4 ความหมาย คือ
1- ชะรีอัต คือ วิชาภายนอก ด้านภาคปฏิบัติ ฟิกฮฺ เปรียบเหมือนเปลือกนอก
2- ฮะกีกัต คือ วิชาภายใน หรือตะเซาวุฟ ที่ใช้ควบคุมด้านจิตใจ จริยธรรม เปรียบเหมือนแก่น
แท้
3- ตอรีกัต แนวทางของครูฝ่ายวิชาตะเซาวุฟที่เน้นหนักไปในทางฮะกีกัต
4- มะอฺริฟัต การรู้จักอัลลอฮฺอย่างแท้จริง เมื่อผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจในคำว่า ชะรีอัต ตอรีกัต
ฮะกีกัตแล้ว ก็จะออกมาเป็นตัวมะอฺริฟัต
บุคคลที่เน้นหนักไปในด้านหลักวิชาฮะกีกัตนานเข้า พอได้รู้แจ้งเห็นจริง จะกลายเป็นคนซูฟี จากคนซูฟี
สูงขึ้นไปอีก เรียกว่า อาริฟบิลลาฮฺ (ผู้รู้จักอัลลอฮฺอย่างแท้จริง)
ตามหลักตะเซาวุฟ ความรู้มี 4 ระดับ
1- ตะเซาวุฟชั้นต้น รู้เรื่อง การโอ้อวด (ตะกั๊บบุร ริยาอ์ ซุมอะฮฺ)
2- ขั้นฮะกีกัต รู้เรื่องละหมาดนอก ละหมาดใน
3- ขั้นซูฟี สละโลก ชอบสันโดษ
4- ขั้นอาริฟบิลลาฮฺ ผู้ใกล้ชิดพระเจ้า ระดับวะลี
แบ่งการซิกรุลลอฮฺ เป็น 4 ลักษณะ
1- ซิเกรระดับชารีอัต กล่าว ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ
2- ซิเกรระดับตอรีกัต กล่าว อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ
3- ซิเกรระดับฮะกีกัต กล่าว ฮู ฮู ฮู
4- ซิเกรระดับมะอฺรีฟัต กล่าว ฮัก ฮัก หรือ อะฮฺ อะฮฺ
แนวคิดหลักที่เป็นปัญหาของกลุ่มนี้
ซูฟีมีหลายกลุ่มหลายระดับจึงไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และ
การปฏิบัติที่เลยเถิดแค่ไหน แต่หากไม่ได้เลยเถิดใดๆ เพียงแค่ใช้ชีวิตสมถะ และทุ่มเทท าอิบาดะฮฺอย่างถูกต้อง
ตามหลักศาสนาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือปัญหาบางประการที่หากพบในตัวซูฟีคนใดก็ถือว่า
เป็นข้อผิดพลาดของคนนั้น
1- เชื่อว่า อัลลอฮฺทรงสถิตย์ อยู่ในมัคลู๊ก
2- เชื่อว่า อัลลอฮฺทรงอยู่ทุกแห่ง
3- เชื่อว่า มีผู้ล่วงรู้เรื่องเร้นลับอื่นจากอัลลอฮฺและเชื่อว่ามีแหล่งความรู้อื่นที่เป็นบัญญัติศาสนาได้
นอกเหนือจากอัลกุรอานและฮะดีษ คือความรู้ที่อัลลอฮฺให้โดยตรง (อิลมุลละดุนนียฺ) หรือจากความ
ฝัน
4- เชื่อว่า มีผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามบัญญัติอิสลาม เหมือนที่อ้างว่านบีเคาะดีรไม่ต้อง
ปฏิบัติตามนบีมูซา
5- เชื่อว่านบีเคาะดีรยังไม่ตาย
6- อนุญาตให้ใช้สื่อ (ตะวัสสุล) ครู วลี และท่านนบีได้ ทั้งยามเป็นยามตายได้
7- การใช้ครูเป็นสื่อ และมีการมโนภาพครูที่จุดกลางหน้า ที่เรียกว่า แจ้งนอกแจ้งใน (กอบะเกาซัย)
ขณะทำการซิกรุลลอฮฺและขอความช่วยเหลือจากครูในใจผ่านไปยังท่านนบีผ่านไปถึงอัลลอฮฺ
8- เชื่อว่าความรู้มีสองอย่าง ความรู้เปิด (ความรู้สอนทั่วไปได้) ความรู้ปิด (ความรู้ที่ท่านนบีแอบสอน
กับเศาะฮาบะฮฺบางคน)
9- คลั่งไคล้จนถึงงมงายเรื่องปาฏิหาริย์
10-มีบางคนอ้างว่าท่านนบีมาหาบ่อยๆ ในยามตื่น และได้พบกับนบีเคาะดีรด้วย
11- การโยกตามจังหวะทำนองขณะทำซิกรุลลอฮฺและการทำซิกรุลลอฮฺหมู่
12-เชื่อว่า การซิกรุลลอฮฺด้วยคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" นั้นเป็นของคนธรรมดา (เอาวาม) คนที่
ระดับสูงกว่านั้นจะใช้คำว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ และสูงกว่านั้นอีก คือฮุ ฮุ และที่สูงที่สุด คือ อะฮฺ อะฮฺ
13-ต้องมีการปลีกวิเวก (คุลวะฮฺ) เพื่อฝึกตน โดยต้องทำตามขั้นตอนที่ครูบอกอย่างเข้มงวด โดย
บางครั้งจะเป็นการฝึกหักโหมในแบบที่อาจทำให้เป็นบ้าได้
14-ช่วงหักโหมมักพูดจาพร่ำเพ้อคำ--ที่เป็นชิริกออกมาโดยอ้างว่า มีความหมายนัยยะลึกซึ้งที่ไม่ใช่ชิริก
เช่น "ทุกคนกลัวชิริก แต่ฉันวายิบต้องชิริก" "กูคืออัลลอฮฺ" เป็นต้น
15-บางคนให้ผู้อื่นให้เกียรติโดยการจูบสะดือ บางคนก็ให้จูบเท้าตน เหมือนกับว่ากำลังสุญูดให้ตน
16-บางกลุ่มก็มีการเล่นของ หมกมุ่นกับการคำนวณตัวเลขเพื่อหาซูเราะฮฺที่เหมาะสมกับคนที่มาขอ
ความช่วยเหลือ หรือออกกระดาษเขียนข้อความแล้วให้นำไปแปะหน้าบ้านเพื่อให้เกิดสิริมงคลกับ
ชีวิตและการค้าขาย
* มุสลิมสะอาดแต่ภายในก็ไม่ได้ สะอาดแต่ภายนอกก็ไม่ได้ ต้องสะอาดทั้งภายในและภายนอกด้วยจึงถูกต้อง
สวยงาม สะอาดภายในคือมีอิคลาส (บริสุทธิ์ใจ) และสะอาดภายนอกคือมีมุตาบะอะฮฺ (ตามนบี)
ฏอ หมายถึง เชื่อฟัง (ฏออัต)
รอ คือ พอใจ (ริฎอ)
ยา คือ ยะกีน (เชื่อมั่น)
กอฟ คือ เพียงพอ (เกาะนาอะฮฺ)
ตา คือ ยำเกรง (ตักวา)
คนซูฟีต้องมีครู และต้องมีการให้บัยอะฮฺจับมือระหว่างครูกับลูกศิษย์ โดยครูก็ต้องเป็นคนซูฟีที่มีการ
ให้บัยอะฮฺจับมือกับครูที่เป็นซูฟีของท่านอีกที และสามารถไล่เรียงย้อนกลับไปถึงท่านนบี (ตามคำกล่าวอ้าง) จึง
เรียกว่า สายซูฟี (ตุรุกซูฟียะฮฺ) ซึ่งมีหลายสาย แต่ละสายเรียกว่าตอรีกัต ตอรีกัตในยุคปัจจุบันมีมากกว่า 100
สาย แต่ในเมืองไทยพบเป็นทางการราว 4 สายคือ
1- สายกอดิรียะฮฺ
2- สายชาซุลลียะฮฺ (ผ้าเขียวอ้างว่า สีเขียวได้จากพรมเขียวที่ท่านนบีเหยียบตอนอยู่บนชั้นฟ้า)
3- สายอะห์มะดียะฮฺ
4- สายนักชะบันดียะฮฺ
สายที่ดังที่สุดคือ สายกอดิรียะฮฺ เป็นสายที่อ้างว่ามาจากอับดุลกอดิร อัล-ญิลานียฺ
คนตอรีกัต (มุรีด) ต้องยึดครู(เชค) เป็นสื่อกลาง (วะซีละฮฺ) อย่างเหนียวแน่น เพื่อชี้แนะในการ
รู้จักอัลลอฮฺ โดยต้องมีการให้สัตยาบันกันระหว่างศิษย์กับครูว่าจะเป็นศิษย์เป็นครูกันทั้งดุนยาและอาคีเราะฮฺ
เพื่อให้ครูชี้แนะขั้นตอนต่างๆ เพื่อจะที่บรรลุไปถึงขั้นวะลี และเพราะว่าครูสามารถช่วยลูกศิษย์ได้ในวันกิยามะฮฺ
จากนั้นศิษย์ก็ต้องเชื่อฟังครูโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถึงแม้จะเห็นว่าครูทำสิ่งหะรอม หรือพูดไม่ถูกต้องแค่ไหนก็
ตาม หากโต้แย้งหรือคัดค้าน อาจต้องขาดการเป็นศิษย์เป็นครูได้
การจะตามแนวทางของท่านนบีในทางตะรีกัตต้องเข้าใจใน 4 ความหมาย คือ
1- ชะรีอัต คือ วิชาภายนอก ด้านภาคปฏิบัติ ฟิกฮฺ เปรียบเหมือนเปลือกนอก
2- ฮะกีกัต คือ วิชาภายใน หรือตะเซาวุฟ ที่ใช้ควบคุมด้านจิตใจ จริยธรรม เปรียบเหมือนแก่น
แท้
3- ตอรีกัต แนวทางของครูฝ่ายวิชาตะเซาวุฟที่เน้นหนักไปในทางฮะกีกัต
4- มะอฺริฟัต การรู้จักอัลลอฮฺอย่างแท้จริง เมื่อผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจในคำว่า ชะรีอัต ตอรีกัต
ฮะกีกัตแล้ว ก็จะออกมาเป็นตัวมะอฺริฟัต
บุคคลที่เน้นหนักไปในด้านหลักวิชาฮะกีกัตนานเข้า พอได้รู้แจ้งเห็นจริง จะกลายเป็นคนซูฟี จากคนซูฟี
สูงขึ้นไปอีก เรียกว่า อาริฟบิลลาฮฺ (ผู้รู้จักอัลลอฮฺอย่างแท้จริง)
ตามหลักตะเซาวุฟ ความรู้มี 4 ระดับ
1- ตะเซาวุฟชั้นต้น รู้เรื่อง การโอ้อวด (ตะกั๊บบุร ริยาอ์ ซุมอะฮฺ)
2- ขั้นฮะกีกัต รู้เรื่องละหมาดนอก ละหมาดใน
3- ขั้นซูฟี สละโลก ชอบสันโดษ
4- ขั้นอาริฟบิลลาฮฺ ผู้ใกล้ชิดพระเจ้า ระดับวะลี
แบ่งการซิกรุลลอฮฺ เป็น 4 ลักษณะ
1- ซิเกรระดับชารีอัต กล่าว ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ
2- ซิเกรระดับตอรีกัต กล่าว อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ
3- ซิเกรระดับฮะกีกัต กล่าว ฮู ฮู ฮู
4- ซิเกรระดับมะอฺรีฟัต กล่าว ฮัก ฮัก หรือ อะฮฺ อะฮฺ
แนวคิดหลักที่เป็นปัญหาของกลุ่มนี้
ซูฟีมีหลายกลุ่มหลายระดับจึงไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และ
การปฏิบัติที่เลยเถิดแค่ไหน แต่หากไม่ได้เลยเถิดใดๆ เพียงแค่ใช้ชีวิตสมถะ และทุ่มเทท าอิบาดะฮฺอย่างถูกต้อง
ตามหลักศาสนาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือปัญหาบางประการที่หากพบในตัวซูฟีคนใดก็ถือว่า
เป็นข้อผิดพลาดของคนนั้น
1- เชื่อว่า อัลลอฮฺทรงสถิตย์ อยู่ในมัคลู๊ก
2- เชื่อว่า อัลลอฮฺทรงอยู่ทุกแห่ง
3- เชื่อว่า มีผู้ล่วงรู้เรื่องเร้นลับอื่นจากอัลลอฮฺและเชื่อว่ามีแหล่งความรู้อื่นที่เป็นบัญญัติศาสนาได้
นอกเหนือจากอัลกุรอานและฮะดีษ คือความรู้ที่อัลลอฮฺให้โดยตรง (อิลมุลละดุนนียฺ) หรือจากความ
ฝัน
4- เชื่อว่า มีผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามบัญญัติอิสลาม เหมือนที่อ้างว่านบีเคาะดีรไม่ต้อง
ปฏิบัติตามนบีมูซา
5- เชื่อว่านบีเคาะดีรยังไม่ตาย
6- อนุญาตให้ใช้สื่อ (ตะวัสสุล) ครู วลี และท่านนบีได้ ทั้งยามเป็นยามตายได้
7- การใช้ครูเป็นสื่อ และมีการมโนภาพครูที่จุดกลางหน้า ที่เรียกว่า แจ้งนอกแจ้งใน (กอบะเกาซัย)
ขณะทำการซิกรุลลอฮฺและขอความช่วยเหลือจากครูในใจผ่านไปยังท่านนบีผ่านไปถึงอัลลอฮฺ
8- เชื่อว่าความรู้มีสองอย่าง ความรู้เปิด (ความรู้สอนทั่วไปได้) ความรู้ปิด (ความรู้ที่ท่านนบีแอบสอน
กับเศาะฮาบะฮฺบางคน)
9- คลั่งไคล้จนถึงงมงายเรื่องปาฏิหาริย์
10-มีบางคนอ้างว่าท่านนบีมาหาบ่อยๆ ในยามตื่น และได้พบกับนบีเคาะดีรด้วย
11- การโยกตามจังหวะทำนองขณะทำซิกรุลลอฮฺและการทำซิกรุลลอฮฺหมู่
12-เชื่อว่า การซิกรุลลอฮฺด้วยคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" นั้นเป็นของคนธรรมดา (เอาวาม) คนที่
ระดับสูงกว่านั้นจะใช้คำว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ และสูงกว่านั้นอีก คือฮุ ฮุ และที่สูงที่สุด คือ อะฮฺ อะฮฺ
13-ต้องมีการปลีกวิเวก (คุลวะฮฺ) เพื่อฝึกตน โดยต้องทำตามขั้นตอนที่ครูบอกอย่างเข้มงวด โดย
บางครั้งจะเป็นการฝึกหักโหมในแบบที่อาจทำให้เป็นบ้าได้
14-ช่วงหักโหมมักพูดจาพร่ำเพ้อคำ--ที่เป็นชิริกออกมาโดยอ้างว่า มีความหมายนัยยะลึกซึ้งที่ไม่ใช่ชิริก
เช่น "ทุกคนกลัวชิริก แต่ฉันวายิบต้องชิริก" "กูคืออัลลอฮฺ" เป็นต้น
15-บางคนให้ผู้อื่นให้เกียรติโดยการจูบสะดือ บางคนก็ให้จูบเท้าตน เหมือนกับว่ากำลังสุญูดให้ตน
16-บางกลุ่มก็มีการเล่นของ หมกมุ่นกับการคำนวณตัวเลขเพื่อหาซูเราะฮฺที่เหมาะสมกับคนที่มาขอ
ความช่วยเหลือ หรือออกกระดาษเขียนข้อความแล้วให้นำไปแปะหน้าบ้านเพื่อให้เกิดสิริมงคลกับ
ชีวิตและการค้าขาย
* มุสลิมสะอาดแต่ภายในก็ไม่ได้ สะอาดแต่ภายนอกก็ไม่ได้ ต้องสะอาดทั้งภายในและภายนอกด้วยจึงถูกต้อง
สวยงาม สะอาดภายในคือมีอิคลาส (บริสุทธิ์ใจ) และสะอาดภายนอกคือมีมุตาบะอะฮฺ (ตามนบี)
ที่มา www.daasee.com
โดย สะอัด วารีย์
โดย สะอัด วารีย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น