วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2562

ท่านเชคอุษัยมีน รอหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวในหนังสือ ชัรห์ อัลอะกีดะฮฺ อัสสะฟารีนียะฮฺ หน้าที่ 272 ว่าด้วย คุณลักษณะการนุซูล (การเสด็จลงมา) ของอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตาอาลา

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
ท่านเชคอุษัยมีน รอหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวในหนังสือ ชัรห์ อัลอะกีดะฮฺ อัสสะฟารีนียะฮฺ หน้าที่ 272 ว่าด้วย คุณลักษณะการนุซูล (การเสด็จลงมา) ของอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตาอาลา
ไว้ดังนี้ :
การนุซูล เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺได้ยืนยันไว้ เป็นสิ่งที่ชัดเจนและแน่นอน สำหรับอัลลอฮฺ โดยปราศจากการเปรียบเทียบกับมัคลูค ซึ่งในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็นหลายประเด็นได้แก่ :
ประเด็นที่ 1
อะไรคือความหมายของการนุซูล ? และอัลลอฮฺเสด็จลงมาด้วยกับตัวตนจริงๆของพระองค์หรือไม่?
การนุซูล หมายถึงการลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา เพราะมีการยืนยันด้วยหะดีษมุตะวาติร จากท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือที่เป็นหะดีษมัชฮูร มีใจความว่า อัลลอฮฺจะเสด็จลงมาอย่างจริงๆด้วยกับตัวตนของพระองค์เอง สู่ชั้นฟ้าดุนยา ในช่วงเวลา หนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน
ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า :

ينزل ربنا إلى السماء الدنيا حين يبقى ثلث الليل الآخر فيقول : من يدعوني فأستجيب له ، من يسألني فأعطيه ، من يستغفرني فأغفر له
(رواه البخاري 7494 ، ومسلم 758)
พระผู้อภิบาลของเรา จะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา ในช่วงเวลา หนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน แล้วพระองค์จะดำรัสว่า : ใครที่วิงวอนข้า ฉันจะตอบรับเขา ใครที่ขอข้า ข้าจะให้เขา ใครที่ขออภัยจากข้า ข้าจะอภัยให้แก่เขา
(รายงานโดย อัล-บุคอรี เลขที่ : 7494 และ มุสลิม เลขที่ 758)

แน่นอน ผู้ที่กล่าวข้างต้น คือตัวท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเอง และเรามีหน้าที่จะต้องเชื่อและศรัทธา เพราะท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือบุคคลที่รู้เรื่องราวต่างๆของอัลลอฮฺดีที่สุด ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือผู้ที่พูดจริงที่สุด เป็นผู้ที่วาจาฉะฉาน และชัดเจนที่สุด เป็นผู้ที่ให้คำชี้แนะดีที่สุด และไม่มีบุคคลใดบนหน้าแผ่นดินนี้เทียบเท่าท่าน คุณลักษณะทั้งสี่ประการนี้ เป็นคุณลักษณะเฉพาะคำ
วาจาของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงสรุปได้คือ ความรู้ ความสัตย์ การชี้แนะ วาจาฉะฉานและชัดเจน
ดังนั้นเมื่อท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเรา จะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา มันคือการเสด็จลงมาจริงๆด้วยกับตัวตนของพระองค์ ซึ่งชาวอะลิสสุนนะฮฺได้ยืนยันดังกล่าว และให้ความหมายว่า คำว่า ذاتซาต หรือ ตัวตน ของพระองค์ เราจะไม่เจาะลึกความหมายเข้าไป และอยู่บนกฎ ข้อพื้นฐาน ที่ว่า ทุกกริยา หรือทุกคำนาม ที่อัลลอฮฺได้เพิ่มโยงกับพระองค์มันคือสิ่งที่พระองค์เพิ่มโยงสู่ตัวตนของพระองค์นั่นเอง และนี่คือพื้นฐานในด้านคำพูด
ตัวอย่าง เช่นเมื่อคุณกล่าวกับสิ่งต่างๆว่า นี่คือหนังสือของคนๆหนึ่ง หมายความว่า หนังสือเล่มดังกล่าว หาใช่เล่มอื่นไม่ และเช่นกัน เมื่อเราพูดว่า คนๆหนึ่งได้มา ความหมายก็คือ บุคคลดังกล่าวได้มา หาใช่บุคคลอื่นไม่
และเช่นเดียวกัน ทุกๆสิ่งที่อัลลอฮฺได้เพิ่มโยงสู่ตัวพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็น กริยา หรือคำนามก็ตามแต่ มันย่อมหมายถึงตัวตนของพระองค์ และไม่ใช่ลักษณะที่บกพร่อง ดังเช่น พระผู้อภิบาลของเราจะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา เป็นสิ่งท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เพิ่มโยงเข้าสู่ ตัวตนของอัลลอฮฺ คำว่า ربنا พระผู้อภิบาลของเรา หมายถึง การเสด็จลงมาด้วยกับตัวตนของพระองค์จริงๆ และบรรดาศอหาบะฮฺได้มีทัศนะเห็นพ้องกัน อิจมาอ์ ในประเด็นนี้
ส่วนหลักฐานที่บ่งบอกถึงอิจมาอ์ของบรรดาศอหาบะฮฺได้แก่ การไม่มีการรายงานจากพวกเขาเลยแม้เพียงคำพูดเดียว ที่บ่งว่า การนุซูลในที่นี้หมายถึงการนุซูลสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การนุซูลของอัลลอฮฺ ทั้งๆที่พวกเขาอ่าน และรับรู้ถึงหะดีษนี้ และไม่มีผู้กล่าวว่า มันคือการลงมาของเราะหฺมะฮฺ หรือการลงมาของมะลาอิกะฮฺ พวกเขายืนยัน นั่นคือการเสด็จลงมาของอัลลอฮฺ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้พูดว่า เสด็จลงมาด้วยกับตัวตนของพระองค์ อันเนื่องจากในสมัยของพวกเขายังไม่มีผู้บิดเบือนที่อ้างว่ามันคือการลงมาของเราะห์มะฮฺ หรือมะลาอิกะฮฺ หรือคำสั่งจากพระองค์ จนกระทั้งจำเป็นต้องกล่าวว่า เสด็จลงมาด้วยกับตัวตนของพระองค์ แต่หลังจากมีผู้บิดเบือนเกิดขึ้นจึงเป็นเหตุให้บรรดาผู้รู้ต้องเน้นย้ำและอธิบายถึงการเสด็จลงมาด้วยกับตัวตนของพระองค์จริงๆ ทุกๆโรค ย่อมมียารักษาที่เหมาะสม ดังนั้นพระผู้อภิบาลของเราได้เสด็จลงมาจริงๆหาใช่
เราะหฺมะฮฺหรือมะลาอิกะฮฺแต่ประการใด และสิ่งที่ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว คือ ينزل ربنا พระผู้อภิบาลของเราจะเสด็จลงมา ดังนั้นผู้ลงมา ก็คืออัลลอฮฺ

ประเด็นที่ 2
การเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา มันหมายถึงการที่ชั้นฟ้าห้อมล้อมพระองค์หรือ?
คำตอบ : ไม่จำเป็นจะต้องมีความหมายดังกล่าว และเราก็รู้ว่า มันเป็นไปไม่ได้ หากพระองค์เสด็จลงมาแล้วชั้นฟ้ารองรับพระองค์ไว้ ก็หมายความว่าพระองค์พึ่งพาต่อมัน และหากมีชั้นฟ้าที่สองอยู่หนือพระองค์นั้นหมายถึงพระองค์อยู่ในมัคลูก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ อัลลอฮฺอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

ประเด็นที่ 3
อัลลอฮฺอยู่เหนืออะรัชหรือไม่ในขณะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา?
คำตอบ : ในประเด็นนี้ มี 3 ทัศนะของอุลามาอ์สุนนะฮฺด้วยกัน คือ
ทัศนะที่ 1 พระองค์ไม่ได้อยู่บนอะรัชในขณะที่เสด็จลงมา
ทัศนะที่ 2 พระองค์ยังคงอยู่บนอะรัชในขณะที่เสด็จลงมา
ทัศนะที่ 3 การหยุด ไม่พูด ไม่ล้วงลึกถึงสิ่งดังกล่าว 
สำหรับผู้ที่กล่าวว่า พระองค์ไม่ได้อยู่บนอะรัชในขณะที่เสด็จลงมา เป็นคำกล่าวที่ผิด อันเนื่องจากอัลลอฮฺได้ยืนยันถึงการ อิสตะวาอ์ อยู่หนืออะรัช ของพระองค์ หลังจากพระองค์ได้สร้างชั้นฟ้าต่างๆและแผ่นดินแล้ว ซึ่งคำกล่าวของท่านนะบีที่ว่า : 
ينزلُ ربنا إلى السماء الدنيا พระผู้อภิบาลของเราจะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา มันก็ไม่ได้ขัด หรือลบล้างกับการที่พระองค์ยังคงอยู่หนืออะรัชแต่ประการใด ดังนั้นจำเป็นต้องยืนยันดังเดิม พระองค์อัลลอฮฺไม่เหมือนมัคลูค ที่มัคลูกอย่างเราๆ เมื่อไปปรากฎตัวอยู่ในสถานที่หนึ่งแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันอีกที่หนึ่งก็จะไม่มีเรา ซึ่งไม่สามารถที่จะนำพระองค์มาเปรียบเทียบกับสิ่งใด ทัศนะนี้ย่อมผิด อย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงเหลืออีกสองทัศนะ นั่นคือ การหยุด ไม่พูด ไม่ล้วงลึกถึงมัน และอีกทัศนะ คือพระองค์ยังคงอยู่เหนืออะรัช ในขณะที่เสด็จลงมา

ผู้รู้กลุ่มหนึ่งให้ทัศนะว่า การหยุด ไม่พูด ไม่ล้วงลึกถึงมัน และมันก็ไม่ใช่คำถามที่เหมาะสม ในขณะที่บรรดาศอฮาบะฮฺไม่เคยถามท่านนะบี ถึงสิ่งดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งๆที่พวกเขาคือผู้ที่ทุ่มเท่และให้ความสำคัญกับความรู้เกี่ยวกับอัลลอฮฺมากกว่าพวกเราซะอีก ดังนั้นคำถามนี้มาจากไหน? และเราขอกล่าวแก่ผู้ที่ริเริ่มคำถามว่า คุณคือพวกบิดอะฮฺ จงอย่าถามฉันถึงประเด็นดังกล่าว!!
ซึ่งฉันมองว่า ทัศนะนี้ เป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด คือการที่เราไม่ถามถึงสิ่งใด ที่บรรดาศอฮาบะฮฺไม่เคยถาม และจำเป็นจะต้องปิดช่องทางคำถามดังกล่าวซะ หากเขากล่าวว่า ฉันต้องการ สิ่งที่กินกับสติปัญญา เราก็ตอบว่า จงทำให้สติปัญญาของคุณอยู่ในขอบเขต จงคิดใคร่ครวญในตัวคุณเอง ส่วนในประเด็นดังกล่าวจงอย่าได้คิด ถลำลึกตราบใดที่ไม่มีหลักฐานยืนยันมา
แต่เป็นที่น่าเสียใจเมื่อมีบางคนตอบโต้และกล่าวว่า ปล่อยให้ฉันมโนภาพการนุซูลจริงๆเพื่อความกระจ่างว่า พระองค์ยังคงอยู่เหนืออะรัช หรือไม่ในขณะที่เสด็จสู่ชั้นฟ้าดุนยา?
เรากล่าวว่า สุบหานั้ลลอฮฺ! สิ่งที่บรรดาศอหาบะฮฺเข้าใจ และถ่ายทอดมา ยังไม่เป็นที่กระจ่างแก่คุณอีกหรือ? จงนิ่งเงียบ และละทิ้งคำกล่าวนี้เถิดมันเป็นสิ่งที่บรรดาศอหาบะฮฺไม่ได้รายงานจากท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทั้งๆที่พวกเขาคือผู้ที่ใส่ใจต่อความรู้เกี่ยวกับอัลลอฮฺและรอบรู้มากกว่าพวกคุณ

ส่วนทัศนะที่ว่า พระองค์ยังคงอยู่หนืออะรัช ในขณะที่เสด็จลงมา เนื่องจากอัลลอฮฺได้ตรัสและยืนยันว่าพระองค์ อยู่เหนืออะรัช หลังเสร็จสิ้นจากการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้กล่าวว่า เมื่อขณะที่อัลลอฮฺเสด็จลงมา อะรัชจะว่างเปล่าจากพระองค์ ดังนั้นจำเป็นที่เราจะต้องยืนยันดังเดิม คือพระองค์อยู่เหนืออะรัช และยังคงอยู่ในสภาพดังกล่าว และจะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยาในเวลาที่บ่งบอกในหะดีษ ซึ่งพระองค์คือผู้ที่สามารถในทุกๆอย่าง และพระองค์ยิ่งใหญ่เกินที่จะเปรียบเทียบกับมัคลูคทั้งหลาย
ซึ่งเราขอเน้นย้ำว่าการที่พระองค์เสด็จสูชั้นฟ้าดุนยา พระองค์ไม่ได้เสด็จลงบนสิ่งถูกสร้าง แต่พระองค์สูงส่งและเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะพระองค์จะไม่ถูกเปรียบเทียบกับสิ่งถูกสร้าง
ทั้งหลายแหล่ และนี่คือทัศนะของท่าน ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ รอหิมะฮุลลอฮฺ ที่ว่าการที่พระองค์ยังคงอยู่บนอะรัชในขณะที่เสด็จสู่ชั้นพ้าดุนยา แต่ทว่าฉัน เอียงเอน และให้น้ำหนักแก่ ทัศนะที่สอง ที่ว่า การหยุด ไม่พูด และไม่ล้วงลึกถึงมัน และไม่อนุญาตให้ถามดังกล่าว ครั้นเมื่ออิหม่าม มาลิก รอหิมะฮุลลอฮฺ ถูกถามเกียวกับวิธีการ อิสตะวาอ์ ของอัลลอฮฺ ท่านกล่าวแก่ผู้ถามว่า : การถามถึงมันเป็น บิดอะฮฺ ดังนั้นเราขอกล่าวในประเด็นที่เราคุยกันว่า คำถามถึงมัน คือ บิดอะฮฺ เช่นกัน

ประเด็นที่ 4
เป็นประเด็นที่ค้างคาใจแก่ผู้คนมากมาย เมื่อพวกเขาถามถึง การที่อัลลอฮฺเสด็จมาสู่ชั้นฟ้าดุนยาในช่วงเวลา หนึ่งส่วนสามของกลางคืน ได้อย่างไร ทั้งๆที่เรารู้ว่า เวลานี้จะยังโคจรอยู่ตลอดเวลาในพื้นที่ต่างๆบนโลก จึงมีความหมายว่า อัลลอฮฺจะเสด็จสู่ชั้นฟ้าดุนยาตลอดเวลา กระนั้นหรือ ?
คำตอบ ประเด็นดังกล่าวมันไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด การที่พระองค์จะเสด็จสู่ชั้นฟ้าดุนยาในเวลาดังกล่าวถึงแม้ว่าเวลานั้นจะหมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ต่างๆบนโลก เราเชื่อและศรัทธาต่อคำกล่าวของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า ينزل حتى يطلع الفجر คือ พระองค์จะเสด็จลงมาจนกระทั้ง เวลาอัลฟัจร์ได้ขึ้น ดังนั้นจำเป็นที่เราจะไม่ล่วงเกินสิ่งดังกล่าว และตราบใดที่ เวลาหนึ่งส่วนสามของกลางคืนเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่ง การนุซูลก็จะเกิดขึ้น และเมื่ออัลฟัจร์ได้ขึ้น เกิดนุซูลก็จะสิ้นสุดในสถานที่นั้น พระองค์อัลลอฮฺคือผู้ที่สามารถในทุกสิ่ง และจะไม่ถูกเปรียบเที่ยบกับมัคลูค ดังนั้น อัลลอฮฺจะเสด็จลงมาในเวลาหนึ่งส่วนสามของกลางคืนในสถานที่ ที่เกิดเวลานั้น และจะไม่เสด็จลงมาในสถานที่อื่นที่ยังไม่เกิดเวลาดังกล่าว
ตามความเป็นจริง หากมนุษย์มีมารยาทกับอัลลอฮฺแล้วไซร้ หัวใจเขาก็จะมีความสงบ แต่เมื่อใดเขาได้ตั้งคำถามดังกล่าว ปัญหาคาใจก็จะเกิดขึ้น จากปัญหาหนึ่งสู่ปัญหาอื่นต่อไป เกรงว่าจะเกิดการสงสัยในอัลลอฮฺ ขออัลลอฮฺให้ปลอดภัยจากสิ่งดังกล่าว และโปรดประทานความเชื่อมั่นแก่เราด้วยเถิด
เช่นนี้เอง บรรดาชาวสลัฟรุ่นก่อน ได้กล่าวว่า :

أكثر الناس شَكاً عند الموت أهل الكلام ، لأنهم فتحوا هذه المشاكل على أنفسهم وعجزوا عن حلها ، لكن لو لزموا الأدب وقالوا ما قال الله ورسوله ، وسكتوا عما سكت عنه الله ورسوله ، لسلموا من هذا كله
ความว่า:
บุคคลที่จะเกิดข้อสงสัยมากที่สุดในขณะที่จะสิ้นชีพ คือ พวกอะฮฺลุลกะลาม (นักวิภาษวิทยา) เพราะพวกเขาได้เปิดประตูปัญหาต่างๆเหล่านี้แก่ตัวพวกเขา และไม่สามารถที่จะหาหนทางแก้ได้ แต่ทว่า เมื่อใดพวกเขาได้ใช้มารยาทต่ออัลลอฮฺ กล่าวตามคำตรัสของอัลลอฮฺและรอสูล และนิ่งเงียบต่อสิ่งที่อัลลอฮฺและรอสูลไม่ได้กล่าวแล้วไซร้ พวกเขาจะปลอดภัยจากปัญหาดังกล่าวอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่ง อาศัยในสถานที่ทางทิศตะวันออก และถึงเวลาอะซาน อัลฟัจร์แล้ว และอีกบุคคลหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก และเพิ่งเกิดเวลาหนึ่งส่วนสามของกลางคืน เราขอกล่าวว่า สำหรับทางทิศตะวันตกมันคือเวลาของการนุซูล และส่วนทางทิศตะวันออก ถึงได้เวลาสิ้นสุดการนุซูลแล้ว
จะไม่เกิดปัญหาใดเลย สำหรับผู้ที่อยู่ในเวลาหนึ่งส่วนสามของกลางคืน เขาจงขยัน พยายามวิงวอนขอดุอาอ์ เพราะมันเป็นเวลาแห่งการตอบรับ และอีกส่วนหนึ่ง เวลาการตอบรับได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นข้อคลางใจจากปัญหาดังกล่าว ก็จะหมดลง และคงรอคอยเวลาดังกล่าวในทุกๆคืนเพื่อทำการขอพร ส่วนปัญหาต่างๆเหล่านี้แน่นอน ในความเป็นจริง มันเกิดจากพวกคนเขลาทั้งหลาย ขาดความรู้ และขาดมารยาทต่ออัลลอฮฺและรอสูล คำกล่าวที่สำคัญของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า اسلم تسلم จงตอบรับ แล้วคุณจะปลอดภัย และเราก็ขอกล่าวเช่นกันว่า اسلم تسلم จงตอบรับ แล้วคุณจะปลอดภัย แต่การตอบรับในที่นี้ ไม่ใช่การเข้ารับอิสลาม เหมือนคำกล่าวของท่านนะบี แต่มันคือ จง ตอบรับตัวบทต่างๆ และคุณจะปลอดภัยนั่นเอง
ประเด็นที่ 5 
การนุซูลเป็น الصفات الفعلية คุณลักษณะด้านการกระทำ หรือ الصفات الذاتيةเป็นคุณลักษณะด้านตัวตน ?

คำตอบ การนุซูล เป็นคุณลักษณะด้านการกระทำ เพราะมันคือ การกระทำที่ขึ้นกับความประสงค์ และทุกๆการกระทำที่ขึ้นกับความประสงค์ มันคือคุณลักษณะทางด้านกระทำ
มีผู้คนบางส่วนปฏิเสธคุณลักษณะด้านการกระทำ ของอัลลอฮฺ โดยอ้างว่า คุณลักษณะด้านการกระทำของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ไม่มี ใช่ไม่ได้และไม่เหมาะสม เราไม่สามารถที่จะยืนยันการกระทำที่ขึ้นกับความประสงค์ให้แก่อัลลอฮฺอย่างเด็ดขาด อัลลอฮฺจะไม่เสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา พระองค์จะไม่มาในวันกิยามะฮฺ และพระองค์จะไม่ตรัสด้วยกับคำพูดใหม่ๆ พวกเขาให้เหตุผลต่างๆนานา สร้างข้อคลุมเครือแก่มุสลิม โดยกล่าวว่า การกระทำนี้ หรือคำพูดนี้ หากมันเป็นคุณลักษณะที่สำบูรณ์แบบ เราต้องยืนยันว่ามันคือคุณลักษณะของอัลลอฮฺอย่างจีรัง และจะไม่ขึ้นกับความประสงค์
ค์ แต่หากมันคือคุณลักษณะที่บกพร่อง มันไม่สามารถที่จะเป็นคุณลักษณะแก่อัลลอฮฺได้ เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องต่างๆ ดังนั้นทุกการกระทำที่ขึ้นกับความประสงค์เราจะต้องปฏิเสธมัน ตามความเชื่อของพวกเขา และอัลลอฮฺจะไม่เลือกกระทำเด็ดขาด เพราะการกระทำดังกล่าว หากว่าเป็นสิ่งที่สำบูรณ์แบบจะต้องมีอยู่กับพระองค์อย่างจีรัง แต่นี่เป็นคุณลักษณะที่บกพร่องจะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างเด็ดขาด
คำตอบ สำหรับข้อคลุมเครือนี้ เรากล่าวว่า มันคือคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบในตำแหน่งของมัน ซึ่งหิกมะฮฺจะไม่เกิดขึ้นหากไม่ใช่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง หากคุณลักษณะไม่ถูกตั้งในตำแหน่งของมันก็ย่อมเป็นสิ่งที่บกพร่อง คุณลองคิดสิว่า ถ้าหากลูกของคุณทำความผิด คุณได้ตีและลงโทษเขาในเวลานั้น มันย่อมเป็นหิกมะฮฺ เหตุผลที่สมบูรณ์ แต่เมื่อไหร่ที่คุณตีเขาทั้งๆที่เขาเชื่อฟังคุณ มันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ผิด บกพร่อง ดังนั้น ในประเด็นนี้คือการกระทำตามความประสงค์ของอัลลอฮฺที่สำบูรณ์แบบในตำแหน่งที่ถูกต้องและมีหิกมะฮฺ และหากไม่ใช่ในตำแหน่งของมัน ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮฺได้ เพราะถ้าผิดตำแหน่งแล้วไซร้ หิกมะฮฺก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งการกระทำของอัลลอฮฺจะควบคู่กับหิกมะฮฺเสมอ ด้วยเห็นนี้เองข้อคลุมเครือนี้ก็จะสิ้นสุดลง
และโปรดทราบเถิดว่า ในประเด็นนี้มีประโยชน์ยิ่ง ทุกสิ่งที่พวกหลงผิดนำมาลบล้างความถูกต้อง มันคือ ข้อคลุมเครือหาใช่หลักฐานไม่ ดั่งในดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า :
هُوَ الَّذِي أَنزَلَ عَلَيْكَ الْكِتَابَ مِنْهُ آيَاتٌ مُّحْكَمَاتٌ هُنَّ أُمُّ الْكِتَابِ وَأُخَرُ مُتَشَابِهَاتٌ فَأَمَّا الَّذِينَ فِي قُلُوبِهِمْ زَيْغٌ فَيَتَّبِعُونَ مَا تَشَابَهَ مِنْهُ ابْتِغَاءَ الْفِتْنَةِ وَابْتِغَاءَ تَأْوِيلِهِ ...﴿٧﴾
(ال عمران: الآية 7)
ความว่า :
ฉะนั้น บรรดาผู้ที่ในหัวใจของเขาเรรวน พวกเขาปฏิบัติตามโองการที่เป็นนัย เพื่อก่อการปั่นป่วน (ทำให้ผู้อื่นหลงผิด) และอธิบายโองการ (อย่างไม่ถูกต้อง)
(อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 7)
ตัวอย่างเช่น พวกปรัชญากล่าวว่า : การขอดุอาอ์เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และเราจะไม่ขอดุอาอ์จากอัลลอฮฺ เนื่องว่าหากอัลลอฮฺกำหนดสิ่งใดให้แก่เรา มันก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่เกี่ยวข้องกับดุอาอ์เลย และสิ่งใดที่ไม่ถูกกำหนด มันย่อมไม่เกิดขึ้นแม้ว่าเราจะขอดุอาอ์ ฉะนั้นมันย่อมไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
เราจะตอบโต้พวกเขาด้วยสิ่งง่ายๆ คือ อัลลอฮฺได้กำหนดสิ่งต่างๆด้วยกับการขอดุอาอ์ และทำให้ดุอาอ์เป็นสาเหตุแห่งการเกิดขึ้น หรือไม่เช่นนั้นคุณจงพูดว่า : ฉันจะไม่แต่งงาน หากอัลลอฮฺกำหนดให้ฉันมีลูก เขาก็จะออกมาจากพื้นดิน หากว่าอัลลอฮฺไม่ได้กำหนดให้ฉันมีลูก ถึงแม้ว่าฉันจะแต่งงานกับผู้หญิงหนึ่งร้อยคนก็ไม่เกิดผล ...ไม่มีผู้ใดที่จะพูดเช่นนี้อย่างแน่นอน
และเช่นเดียวกัน การขอดุอาอ์เป็นสาเหตุที่จะทำให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ หากว่าคุณหยุดที่จะขอดุอาอ์ แน่นอนคุณปิดกั้นการตอบรับ อัลลอฮฺได้ดำรัสว่า :
وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ
(غافر: الآية : 60)
ความว่า:
และพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้ตรัสว่า พวกเจ้าจงวอนขอจากข้า แล้วข้าจะตอบรับจากพวกเจ้า
(ฆอฟีร อายะฮฺ : 60)
และอีกตัวอย่างหนึ่งจากคำกล่าวอ้างของพวกเขา ที่ว่า การกระทำที่ขึ้นกับความประสงค์ของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะหากว่าสิ่งที่สมบูรณ์แบบมันก็จะเป็นคุณลักษณะ

ของอัลลอฮฺที่จีรังและดังเดิม และนี่มันคือสิ่งที่บกพร่องแน่นอนมันย่อมไม่ใช่คุณลักษณะของอัลลอฮฺ 
เราขอตอบว่า คุณลักษณะของอัลลอฮฺที่ขึ้นกับความประสงค์มันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบในตำแหน่งของมัน แต่หากว่ามันอยู่ผิดตำแน่งย่อมไม่ทำให้เกิดหิกมะฮฺและไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ และการนุซูลนั้นเป็นคุณลักษณะที่ขึ้นกับความประสงค์ของอัลลอฮฺ
ประเด็นที่ 5
มีกลุ่มชนที่มีเข้าใจขัดแย้งกับการอธิบาย การนุซูลที่กล่าวมาหรือไม่ ?
ตอบ ใช่ มีบางกลุ่มกล่าวว่า ينزل ربنا ( พระผู้อภิบาลของเรา จะเสด็จลงมา) หมายถึง เราะหฺมะฮฺความเมตตาของพระองค์จะลงมา และบางกลุ่มก็กล่าวว่า มะลาอิกะฮฺของพระองค์จะลงมา กลุ่มเหล่านี้กล่าวอ้างดังกล่าวเนื่องจากพวกเขาปฎิเสธการเสด็จลงมาของอัลลอฮฺอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
เราจะตอบโต้พวกเขา ดังนี้ :
1.คำอ้างของพวกเขาเป็นสิ่งขัดแย้งกับตัวบทที่มีมา เพราะที่ปรากฏในตัวบทคือ ผู้ที่ลงมา คือ อัลลอฮฺ ตะอาลา
2. คำกล่าวอ้างของพวกเขาขัดแย้งกับความหมายที่ชัดเจนของตัวบทในคำดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า ใครวอนขอข้า ข้าจะตอบรับเขา ซึ่งแน่นอนว่า มะลาอิกะฮฺจะไม่สามารถพูดคำดังกล่าวได้ เพราะอัลลอฮฺคือผู้ที่สามารถเพียงองค์เดียว และหากเขาอ้างว่า เราะหฺมะฮฺเป็นสิ่งที่ลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา แน่นอนมันเป็นสิ่งที่ผิด เพราะเราะหฺมะฮฺจะลงมาสู่แผ่นดินและโปรยปรายแก่มัคลูคทั้งหลาย ซึ่งเราะหฺมะฮฺจะมีประโยชน์อันไดเล่าหากมันลงมาสิ้นสุดแค่เพียงชั้นฟ้าดุนยา
และเช่นกัน เราะหฺมะฮฺจะลงมาในทุกเวลา หาใช่เฉพาะเวลาหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืนไม่ ถ้าอ้างว่ามันลงมาเฉพาะเวลานี้ ก็หมายความว่า เวลาส่วนมากที่เหลือปราศจาก จากเราะหฺมะฮฺกระนั้นหรือ ?
อีกประการนึง เราะหฺมะฮฺไม่สามารถพูดว่า :ผู้ใดที่วอนขอข้า ข้าจะตอบรับเขา ผู้ใดที่ขอข้า ข้าจะให้เขา เนื่องจากเราะหฺมะฮฺเป็นคุณลักษณะหนึ่งของอัลลอฮฺ หากว่ามันกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมกลายเป็นภาคีหนึ่งคู่กับอัลลอฮฺ ดังนั้นการขอจากศิฟาตของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่ผู้ใดขอดังกล่าว ย่อมเป็นมุชริก

ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เช่นคำว่า : يا قدرة الله اغفرلي :โอ้ พลานุภาพของอัลลอฮฺ โปรดอภัยให้ฉัน 
يا مغفرة الله اغفر لي : โอ้การอภัยของอัลลอฮฺ โปรดอภัยให้ฉัน
يا عزة الله أعزيني :โอ้เกียรติของอัลลออฺ โปรดทำให้ฉันมีเกียรติ 
ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งไม่อนุญาตทั้งสิ้น มันเป็นการแยกคุณลักษณะอย่างเด็นชัดออกจากเจ้าของลักษณะนั้น และถูกขอนอกเหนือจากอัลลอฮฺ

ส่วนคำกล่าวของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า : برحمتك استغيث : ด้วยกับความเมตตาของพระองค์ ฉันขอความช่วยเหลือ นี่เป็นการตะวัสสุล ซึ่งหมายความว่า استغيث بك برحمتك ฉันขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ด้วยกับความเมตตาของพระองค์ อักษร ب ในประโยคนี้หมายถึง للإستغاثة والتوسل เพื่อขอความช่วยเหลือและการตะวัสสุล ไม่ได้หมายความว่าท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ขอความช่วยเหลือจากความเมตตาของอัลลอฮฺ แต่ทว่าท่านนะบี ขอจากอัลลอฮฺ เพราะพระองค์คือผู้ที่เมตตายิ่ง และนี่คือความหมายของหะดีษนี้....
وصلى الله على نبينا محمد وعلى آله وصحبه وسلم

แปลโดย : อับดุลอาซีซ สุนธารักษ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น