1. อะชาอิเราะฮฺ
"คณะเก่า สายชาฟิอี"
ก่อนปี ฮ.ศ. 324
เป็นหนึ่งในกลุ่มที่นิยมวิพากษ์ศาสตร์ และเชื่อว่าเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุด กลุ่มนี้เชื่อตามแนวคิดของ
ท่าน อลี บินอิสมาอีล อะบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ (ฮ.ศ.260-324) คำว่า อะชาอิเราะฮฺ ก็ได้มาจากคำว่า
อัชอะรียฺ ซึ่งชีวิตของท่านแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
ระยะที่ 1 เป็นมุอฺตะซิละฮฺ เดิมทีท่านเป็นมุอฺตะซิละฮฺ พ่อตาคืออบู อลี อัล-ญุบบาอียฺ เป็นผู้รู้แนวหน้า
ของมุอฺตะซะละฮฺ และตัวท่านก็อยู่ในระดับแถวหน้าเช่นกันถึง 40 ปี
ระยะที่ 2 เป็นอะชาอิเราะฮฺ แล้ววันหนึ่งเมื่อท่านไม่สามารถหาค าตอบกับบางเรื่องได้ ท่านจึงหมกตัว
ครุ่นคิดทบทวนใหม่และอิสติคอเราะฮฺอยู่ในบ้านเป็นเวลา 15 วัน แล้วท่านก็ออกมาประกาศว่าตนไม่เกี่ยวข้อง
ใดๆ กับมุอฺตะซิละฮฺ และได้นำเสนอแนวคิดใหม่ของท่านที่ได้รับอิทธิพลแนวคิดของกลุ่มกุลลาบียะฮฺ เป็นระยะที่
เรียกว่า อะชาอิเราะฮฺ
ระยะที่ 3 เป็นอะฮ์ลุสสุนนะฮฺ ในช่วงท้ายของชีวิตท่านได้เขียนสาส์นไปถึงชาวแบกแดดชื่อหนังสือว่า
"อัลอิบานะฮฺ ฟี อุศูลิล-ดิยานะฮฺ" ในนั้นท่านได้เขียนในคำนำหนังสือว่า ท่านขอกลับไปใช้ทัศนะตามอิหม่าม
อะห์มัด บินฮัมบัล แต่กลุ่มอะชาอิเราะฮฺปฏิเสธเรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง โดยอ้างว่าสายรายงานของหนังสือมี
ความสับสน ไม่สามารถตรวจสอบว่าเล่มใดเป็นของจริงได้ ทั้งที่เป็นลูกศิษย์แต่กลับไม่ยอมเก็บสำเนาต้นฉบับที่
ถูกต้องไว้ จึงถูกตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด?
สรุปเรื่องของศิฟัต ตามทัศนะของอะชาอิเราะฮฺพอสังเขปดังนี้
ศิฟัตของอัลลอฮฺมี 3 ประเภท
1- ต้องมี (วาญิบะฮฺ)
2- มีไม่ได้ (มุสตะฮีละฮฺ)
3- จะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ (ญาอิซะฮฺ)
ประเภทที่ 1 ศิฟัตที่ต้องมี (วาญิบะฮฺ) หากไม่มีถือเป็นความบกพร่องทำให้เป็นพระเจ้าไม่ได้ มี 20 ศิฟัต
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1- ศิฟัตนัฟซียะฮฺ (องค์ของอัลลอฮฺ) มี 1 คุณลักษณะ คือ ทรงมี (อัล-วุญูด)
2- ศิฟัตสัลบียะฮฺ มี 5 คุณลักษณะ คือ 1- องค์เดียว (วะห์ดานียะฮฺ) 2- เดิม (อัล-กิดัม) 3- ถาวร
(อัล-บะกออ์) 4- ต่างกับมัคลู๊ก (อัล-มุคอละฟะฮฺ ลิล-หะวาดิษ) 5- ดำรงด้วยพระองค์เอง (อัล-กิ
ยาม บินนัฟส์)
3- ศิฟัตมะอานี (ศิฟัตที่สามารถรับรู้ได้ด้วยปัญญา) มี 7 คุณลักษณะ คือ 1- การเป็น (อัล-หะยาอุ)
2-ความรู้ (อัล-อิลมุ) 3- เจตนา (อัล-อิรอดะฮฺ) 4- ก าลัง (อัล-กุดเราะฮฺ) 5-การได้ยิน (อัส-สัมอุ)
6-การเห็น (อัล-บะศ็อร) 7-การพูด (อัลกะลามุ)
4- ศิฟัตมะอฺนะวียะฮฺ มี 7 คุณลักษณะ คือ
1-พระองค์ทรงมีชีวิต
2-พระองค์ทรงรอบรู้
3-พระองค์
ทรงมีเจตนารมณ์
4-พระองค์ทรงมีพลานุภาพ
5-พระองค์ทรงได้ยิน
6-พระองค์ทรงมองเห็น
7-
พระองค์ทรงพูด
ก่อนปี ฮ.ศ. 324
เป็นหนึ่งในกลุ่มที่นิยมวิพากษ์ศาสตร์ และเชื่อว่าเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุด กลุ่มนี้เชื่อตามแนวคิดของ
ท่าน อลี บินอิสมาอีล อะบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ (ฮ.ศ.260-324) คำว่า อะชาอิเราะฮฺ ก็ได้มาจากคำว่า
อัชอะรียฺ ซึ่งชีวิตของท่านแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
ระยะที่ 1 เป็นมุอฺตะซิละฮฺ เดิมทีท่านเป็นมุอฺตะซิละฮฺ พ่อตาคืออบู อลี อัล-ญุบบาอียฺ เป็นผู้รู้แนวหน้า
ของมุอฺตะซะละฮฺ และตัวท่านก็อยู่ในระดับแถวหน้าเช่นกันถึง 40 ปี
ระยะที่ 2 เป็นอะชาอิเราะฮฺ แล้ววันหนึ่งเมื่อท่านไม่สามารถหาค าตอบกับบางเรื่องได้ ท่านจึงหมกตัว
ครุ่นคิดทบทวนใหม่และอิสติคอเราะฮฺอยู่ในบ้านเป็นเวลา 15 วัน แล้วท่านก็ออกมาประกาศว่าตนไม่เกี่ยวข้อง
ใดๆ กับมุอฺตะซิละฮฺ และได้นำเสนอแนวคิดใหม่ของท่านที่ได้รับอิทธิพลแนวคิดของกลุ่มกุลลาบียะฮฺ เป็นระยะที่
เรียกว่า อะชาอิเราะฮฺ
ระยะที่ 3 เป็นอะฮ์ลุสสุนนะฮฺ ในช่วงท้ายของชีวิตท่านได้เขียนสาส์นไปถึงชาวแบกแดดชื่อหนังสือว่า
"อัลอิบานะฮฺ ฟี อุศูลิล-ดิยานะฮฺ" ในนั้นท่านได้เขียนในคำนำหนังสือว่า ท่านขอกลับไปใช้ทัศนะตามอิหม่าม
อะห์มัด บินฮัมบัล แต่กลุ่มอะชาอิเราะฮฺปฏิเสธเรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง โดยอ้างว่าสายรายงานของหนังสือมี
ความสับสน ไม่สามารถตรวจสอบว่าเล่มใดเป็นของจริงได้ ทั้งที่เป็นลูกศิษย์แต่กลับไม่ยอมเก็บสำเนาต้นฉบับที่
ถูกต้องไว้ จึงถูกตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด?
สรุปเรื่องของศิฟัต ตามทัศนะของอะชาอิเราะฮฺพอสังเขปดังนี้
ศิฟัตของอัลลอฮฺมี 3 ประเภท
1- ต้องมี (วาญิบะฮฺ)
2- มีไม่ได้ (มุสตะฮีละฮฺ)
3- จะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ (ญาอิซะฮฺ)
ประเภทที่ 1 ศิฟัตที่ต้องมี (วาญิบะฮฺ) หากไม่มีถือเป็นความบกพร่องทำให้เป็นพระเจ้าไม่ได้ มี 20 ศิฟัต
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1- ศิฟัตนัฟซียะฮฺ (องค์ของอัลลอฮฺ) มี 1 คุณลักษณะ คือ ทรงมี (อัล-วุญูด)
2- ศิฟัตสัลบียะฮฺ มี 5 คุณลักษณะ คือ 1- องค์เดียว (วะห์ดานียะฮฺ) 2- เดิม (อัล-กิดัม) 3- ถาวร
(อัล-บะกออ์) 4- ต่างกับมัคลู๊ก (อัล-มุคอละฟะฮฺ ลิล-หะวาดิษ) 5- ดำรงด้วยพระองค์เอง (อัล-กิ
ยาม บินนัฟส์)
3- ศิฟัตมะอานี (ศิฟัตที่สามารถรับรู้ได้ด้วยปัญญา) มี 7 คุณลักษณะ คือ 1- การเป็น (อัล-หะยาอุ)
2-ความรู้ (อัล-อิลมุ) 3- เจตนา (อัล-อิรอดะฮฺ) 4- ก าลัง (อัล-กุดเราะฮฺ) 5-การได้ยิน (อัส-สัมอุ)
6-การเห็น (อัล-บะศ็อร) 7-การพูด (อัลกะลามุ)
4- ศิฟัตมะอฺนะวียะฮฺ มี 7 คุณลักษณะ คือ
1-พระองค์ทรงมีชีวิต
2-พระองค์ทรงรอบรู้
3-พระองค์
ทรงมีเจตนารมณ์
4-พระองค์ทรงมีพลานุภาพ
5-พระองค์ทรงได้ยิน
6-พระองค์ทรงมองเห็น
7-
พระองค์ทรงพูด
ประเภทที่ 2 ศิฟัตที่มีไม่ได้ (มุสตะฮีล) คือทุกลักษณะที่ตรงกันข้ามกับศิฟัตที่ต้องมี เช่น อ่อนแอตรง
ข้ามกับพลานุภาพ ไม่รู้ตรงข้ามกับรู้ ถูกบังคับตรงข้ามกับทำตามประสงค์
ประเภทที่ 3 ศิฟัตที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ (ญาอิซะฮฺ) ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ถือว่าเป็น
ข้อบกพร่องแต่อย่างใด หรือเรียกอีกชื่อว่า ศิฟัตการกระทำ (อัฟอาล) อาทิ สร้าง ให้เป็น ให้ตาย ให้ริสกี ให้
รางวัล ลงโทษ เป็นต้น ศิฟัตนี้มีมากมายเกินกว่าจะรู้ได้หมด
มีศิฟัตอีกประเภทที่เรียกว่า เคาะบะรียะฮฺ หรือเรียกอีกอย่างว่าศิฟัตที่อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นการ
เปรียบเทียบกับมัคลู๊กได้ เช่น พอใจ หัวเราะ โกรธ อยู่เหนือ ลงมา มา มือ นิ้วมือ หน้า ตา สีข้าง หน้าแข้ง เท้า
เป็นศิฟัตที่อะชาอิเราะฮฺไม่ยอมรับ พวกเขาจะตีความ(ตะวีล) หรือไม่ก็มอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺ(ตัฟวีฎ)
แทน
คนที่ได้ศึกษาอะชาอิเราะฮฺจะพบว่า
อะชาอิเราะฮฺผ่านการปรุงแต่งหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากการเป็น
กลุ่มใหญ่ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นอะชาอิเราะฮฺ แล้วนำไปพัฒนาสอดแทรกแนวคิดใหม่ๆ ของตนเองเข้าไป
ยกตัวอย่างเช่น ท่านอบุลหะสัน ได้กล่าวถึง ศิฟัตไว้ 8 คุณลักษณะ คือมี ศิฟัตการรับรู้ (อิดรอก) ด้วย
แต่ต่อมาในภายหลัง ท่านฟัครุดดีน-รอซียฺ ก็ได้คัดศิฟัตนี้ออกไปเหลือเพียง 7 ศิฟัตเท่านั้น และเช่นกันท่าน
ฟัครุดดีน-อัร-รอซียฺ เป็นผู้เพิ่มศิฟัตวาญิบประเภทที่ 4 คือ ศิฟัตมะอฺนะวียะฮฺ
หรือในเรื่องศิฟัตเคาะบะรียะฮฺ อะชาอิเราะฮฺมีหลายระยะ
ในช่วงแรกอะชาอิเราะฮฺจะมีทัศนะให้ตีความ (ตะอ์วีล) เช่น อิสตะวาอ์ (ทรงอยู่เหนือ) ตีความ
เป็นครอบครอง มือตีความเป็นอำนาจ ลงมาตีความเป็นความเมตตาลงมา เป็นต้น
แต่ในช่วงต่อมาอิหม่ามญุวัยนียฺ ได้เพิ่มทัศนะการมอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺ (ตัฟวีฎ)
คือไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร มอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺและไม่ให้แปลโดยเด็ดขาด โดย
อ้างอิงว่าเป็นทัศนะของสลัฟ
และในช่วงท้ายก็เพิ่มทัศนะ การยืนยันศิฟัตในภาพรวม (อิษบาต) แต่ปฏิเสธบางศิฟัต เข้ามา
ในมัซฮับ
ผู้รู้คนสำคัญสายอะชาอิเราะฮฺมีมากมายแต่ขอยกมาเพียงบางท่าน
ข้ามกับพลานุภาพ ไม่รู้ตรงข้ามกับรู้ ถูกบังคับตรงข้ามกับทำตามประสงค์
ประเภทที่ 3 ศิฟัตที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ (ญาอิซะฮฺ) ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ถือว่าเป็น
ข้อบกพร่องแต่อย่างใด หรือเรียกอีกชื่อว่า ศิฟัตการกระทำ (อัฟอาล) อาทิ สร้าง ให้เป็น ให้ตาย ให้ริสกี ให้
รางวัล ลงโทษ เป็นต้น ศิฟัตนี้มีมากมายเกินกว่าจะรู้ได้หมด
มีศิฟัตอีกประเภทที่เรียกว่า เคาะบะรียะฮฺ หรือเรียกอีกอย่างว่าศิฟัตที่อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นการ
เปรียบเทียบกับมัคลู๊กได้ เช่น พอใจ หัวเราะ โกรธ อยู่เหนือ ลงมา มา มือ นิ้วมือ หน้า ตา สีข้าง หน้าแข้ง เท้า
เป็นศิฟัตที่อะชาอิเราะฮฺไม่ยอมรับ พวกเขาจะตีความ(ตะวีล) หรือไม่ก็มอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺ(ตัฟวีฎ)
แทน
คนที่ได้ศึกษาอะชาอิเราะฮฺจะพบว่า
อะชาอิเราะฮฺผ่านการปรุงแต่งหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากการเป็น
กลุ่มใหญ่ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นอะชาอิเราะฮฺ แล้วนำไปพัฒนาสอดแทรกแนวคิดใหม่ๆ ของตนเองเข้าไป
ยกตัวอย่างเช่น ท่านอบุลหะสัน ได้กล่าวถึง ศิฟัตไว้ 8 คุณลักษณะ คือมี ศิฟัตการรับรู้ (อิดรอก) ด้วย
แต่ต่อมาในภายหลัง ท่านฟัครุดดีน-รอซียฺ ก็ได้คัดศิฟัตนี้ออกไปเหลือเพียง 7 ศิฟัตเท่านั้น และเช่นกันท่าน
ฟัครุดดีน-อัร-รอซียฺ เป็นผู้เพิ่มศิฟัตวาญิบประเภทที่ 4 คือ ศิฟัตมะอฺนะวียะฮฺ
หรือในเรื่องศิฟัตเคาะบะรียะฮฺ อะชาอิเราะฮฺมีหลายระยะ
ในช่วงแรกอะชาอิเราะฮฺจะมีทัศนะให้ตีความ (ตะอ์วีล) เช่น อิสตะวาอ์ (ทรงอยู่เหนือ) ตีความ
เป็นครอบครอง มือตีความเป็นอำนาจ ลงมาตีความเป็นความเมตตาลงมา เป็นต้น
แต่ในช่วงต่อมาอิหม่ามญุวัยนียฺ ได้เพิ่มทัศนะการมอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺ (ตัฟวีฎ)
คือไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร มอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺและไม่ให้แปลโดยเด็ดขาด โดย
อ้างอิงว่าเป็นทัศนะของสลัฟ
และในช่วงท้ายก็เพิ่มทัศนะ การยืนยันศิฟัตในภาพรวม (อิษบาต) แต่ปฏิเสธบางศิฟัต เข้ามา
ในมัซฮับ
ผู้รู้คนสำคัญสายอะชาอิเราะฮฺมีมากมายแต่ขอยกมาเพียงบางท่าน
1- ท่านผู้พิพากษา อบูบักร อัล-บากิลลานียฺ (ฮ.ศ. 328-402)
2- อบูอิสหาก อัช-ชีรอซียฺ (ฮ.ศ. 393-478)
3- อบู ฮามิด อัล-เฆาะซาลียฺ (ฮ.ศ. 450-505)
4- อบู อิสหาก อัล-อิสฟิรอยีนียฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 418)
5- อิหม่ามสองหะร็อม อบุลมะอาลี อัล-ญุวัยนียฺ (ฮ.ศ.419-478)
6- ฟัครุดดีน อัร-รอซียฺ (ฮ.ศ.544-606)
7- อิบนุฮะญัร อัล-อัสเกาะลานียฺ
นักรบที่ยิ่งใหญ่คนสำคัญ
สายอะชาอิเราะฮฺ
1- เศาะลาฮุดดีน อัล-อัยยูบียฺ
เนื่องจากในช่วงหลังลูกศิษย์ลูกหาของอะชาอิเราะฮฺ มุ่งเน้นการเลียนแบบ (ตักลีด) ให้แก่คนในมัซฮับ
มากเสียจนสูญเสียความเป็นอะชาอิเราะฮฺที่เป็นนักคิดวิเคราะห์ไป จึงกลายเป็นเหมือนกับที่ท่านอบูฮะซัน อัน-
นัดวียฺ กล่าวว่า "ความมีชีวิตชีวา และความกระตื้นรือร้นของกลุ่มนี้หายไป และผลิตผล (ทางวิชาการ)
ในช่วงหลังก็อ่อนลงอย่างหนัก และริ้วรอยความแก่ชราก็เริ่มเผยให้เห็น"
แนวคิดหลักของอะชาอิเราะฮฺที่แตกต่างจากแนวคิดของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺ
1- ใช้ปัญญา(ผ่านวิชาวิพากษ์ศาสตร์)นำตัวบทในเรื่องเตาฮีดและศิฟัต
2- กล่าวว่า "วิถีของชนรุ่นแรก (สะลัฟ) ปลอดภัยกว่า แต่วิถีของชนรุ่นหลัง (เคาะลัฟ) เข้าใจศาสนา
ลึกซึ้งกว่า" อันสื่อได้ว่าชาวสลัฟฉลาดน้อยกว่าพวกตน
3- ไม่ใช้ฮะดีษอาฮาด (ฮะดีษที่มีสายรายงานไม่เกิน 10 สาย) ในเรื่องความเชื่อ(อะกีดะฮฺ) ทั้งที่อัลลอฮฺก็
ส่งนบีมาสอนประชาชาติ(อุมมะฮฺ)เพียงคนเดียว
4- เตาฮีด คือ เชื่อว่าอัลลอฮฺมีองค์เดียวในองค์ (ซาต) ของพระองค์ (มีโครงสร้าง มีส่วนประกอบ หรือ
แบ่งย่อยไม่ได้) เตาฮีดของอะชาอิเราะฮฺจะมุ่งเน้นเพื่อการโต้แย้งจึงครอบคลุมบางแง่มุมของเตาฮีด
ในอิสลามเท่านั้น คือมีเพียงเตาฮีดภาคศรัทธาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงเตาฮีดภาคปฏิบัติ ที่เป็น
เป้าหมายของการประกาศเผยแพร่ของบรรดานบี
5- ปฏิเสธศิฟัตเคาะบะรียะฮฺ คือ การอยู่เหนือ(อะรัช) การลงมา(ในช่วงสุดท้ายของกลางคืน) การมา
(ในวันกิยามะฮฺเพื่อสอบสวน) การพูดเป็นเสียง(ที่ได้ยิน) พอพระทัย การโกรธกริ้ว มือ นิ้วมือ หน้า
ตา สีข้าง หน้าแข้ง เท้า แล้วไปใช้การตีความ หรือการมอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺแทน
6- เชื่อว่าหากยืนยันศิฟัตเคาะบะรียะฮฺเหล่านี้ จะกลายเป็นการเปรียบเทียบ(ตัชบีฮฺ)กับมัคลู๊กได้กรณี
เดียวเท่านั้นเพราะเอาตรรกะของมัคลู๊กไปครอบกับอัลลอฮฺ คือหากอัลลอฮฺจะมีศิฟัตเหล่านี้จะต้อง
เหมือนกับมัคลู๊กได้อย่างเดียว จะไม่เหมือนกับมัคลู๊กไม่ได้
7- กล่าวว่า คำพูดของอัลลอฮฺ คือ คำพูดที่อยู่ในใจ ไม่ใช่เสียงอักษรที่จะได้ยิน
8- ตีกรอบนิยามคำว่า อีมานคือ "ยอมรับด้วยวาจา และเชื่อด้วยใจ" แต่บางกลุ่มก็กล่าวว่า "อีมาน" อยู่
ที่ใจเท่านั้น แม้จะไม่กล่าวชะฮาดะฮฺ ก็ถือว่าเป็นมุอ์มินรอดพ้นในวันกิยามะฮฺแล้ว
9- การแบ่งบิดอะฮฺ (ศาสนกิจที่คิดค้นขึ้นมาเองในภายหลังการจากไปของท่านนบี) เป็น 5 ประเภท คือ
บิดอะฮฺที่ต้องทำ บิดอะฮฺที่ควรทำ บิดอะฮฺที่ห้ามทำ บิดอะฮฺที่ควรทิ้ง บิดอะฮฺที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ทำ
ให้บิดอะฮฺหลายอย่างได้รับการปกป้อง หรือฉวยโอกาสมาซุกใต้ปีกของคำว่าบิดอะฮฺที่ดี รวมทั้งยังมี
การต่อต้านการฟื้นฟูวิถีปฏิบัติของนบีอีกด้วย
10-นำเรื่องซูฟีเข้ามาในศาสนา และได้เปิดประตูเพิ่มแหล่งความรู้พื้นฐานของศาสนาใหม่
(นอกเหนือจากอัลกุรอานและฮะดีษ) คือ ความรู้ที่รับจากอัลลอฮฺโดยตร (อิลมุลละดุนนียฺ) ความรู้
จากความฝัน ความรู้จากการเข้าถึงอรรถรสของการปฏิบัติ และเรื่องของตอรีกัตต่างๆ
11-ไม่ได้แยกความเข้าใจระหว่าง พระประสงค์ทางโลก (อิรอดะฮฺเกานียะฮฺ) และพระประสงค์ทางธรรม
(อิรอดะฮฺชัรอียะฮฺ)
12-คนที่บรรลุศาสนภาวะ(อากิล บาลิฆ)แล้ว วาญิบแรกของเขาคือ ต้องรู้จักอัลลอฮฺ หรือพินิจ
พิเคราะห์เรื่องอัลลอฮฺ หรือตั้งเจตนาพินิจพิเคราะห์เรื่องอัลลอฮฺ (บางคนกล่าวว่าต้องสงสัยก่อน
ว่าอัลลอฮฺมีจริงหรือเปล่า) หากเป็นมุสลิมตั้งแต่เด็กอยู่แล้วก็ต้องมาคิดทบทวนอีกครั้ง
2- อบูอิสหาก อัช-ชีรอซียฺ (ฮ.ศ. 393-478)
3- อบู ฮามิด อัล-เฆาะซาลียฺ (ฮ.ศ. 450-505)
4- อบู อิสหาก อัล-อิสฟิรอยีนียฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 418)
5- อิหม่ามสองหะร็อม อบุลมะอาลี อัล-ญุวัยนียฺ (ฮ.ศ.419-478)
6- ฟัครุดดีน อัร-รอซียฺ (ฮ.ศ.544-606)
7- อิบนุฮะญัร อัล-อัสเกาะลานียฺ
นักรบที่ยิ่งใหญ่คนสำคัญ
สายอะชาอิเราะฮฺ
1- เศาะลาฮุดดีน อัล-อัยยูบียฺ
เนื่องจากในช่วงหลังลูกศิษย์ลูกหาของอะชาอิเราะฮฺ มุ่งเน้นการเลียนแบบ (ตักลีด) ให้แก่คนในมัซฮับ
มากเสียจนสูญเสียความเป็นอะชาอิเราะฮฺที่เป็นนักคิดวิเคราะห์ไป จึงกลายเป็นเหมือนกับที่ท่านอบูฮะซัน อัน-
นัดวียฺ กล่าวว่า "ความมีชีวิตชีวา และความกระตื้นรือร้นของกลุ่มนี้หายไป และผลิตผล (ทางวิชาการ)
ในช่วงหลังก็อ่อนลงอย่างหนัก และริ้วรอยความแก่ชราก็เริ่มเผยให้เห็น"
แนวคิดหลักของอะชาอิเราะฮฺที่แตกต่างจากแนวคิดของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺ
1- ใช้ปัญญา(ผ่านวิชาวิพากษ์ศาสตร์)นำตัวบทในเรื่องเตาฮีดและศิฟัต
2- กล่าวว่า "วิถีของชนรุ่นแรก (สะลัฟ) ปลอดภัยกว่า แต่วิถีของชนรุ่นหลัง (เคาะลัฟ) เข้าใจศาสนา
ลึกซึ้งกว่า" อันสื่อได้ว่าชาวสลัฟฉลาดน้อยกว่าพวกตน
3- ไม่ใช้ฮะดีษอาฮาด (ฮะดีษที่มีสายรายงานไม่เกิน 10 สาย) ในเรื่องความเชื่อ(อะกีดะฮฺ) ทั้งที่อัลลอฮฺก็
ส่งนบีมาสอนประชาชาติ(อุมมะฮฺ)เพียงคนเดียว
4- เตาฮีด คือ เชื่อว่าอัลลอฮฺมีองค์เดียวในองค์ (ซาต) ของพระองค์ (มีโครงสร้าง มีส่วนประกอบ หรือ
แบ่งย่อยไม่ได้) เตาฮีดของอะชาอิเราะฮฺจะมุ่งเน้นเพื่อการโต้แย้งจึงครอบคลุมบางแง่มุมของเตาฮีด
ในอิสลามเท่านั้น คือมีเพียงเตาฮีดภาคศรัทธาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงเตาฮีดภาคปฏิบัติ ที่เป็น
เป้าหมายของการประกาศเผยแพร่ของบรรดานบี
5- ปฏิเสธศิฟัตเคาะบะรียะฮฺ คือ การอยู่เหนือ(อะรัช) การลงมา(ในช่วงสุดท้ายของกลางคืน) การมา
(ในวันกิยามะฮฺเพื่อสอบสวน) การพูดเป็นเสียง(ที่ได้ยิน) พอพระทัย การโกรธกริ้ว มือ นิ้วมือ หน้า
ตา สีข้าง หน้าแข้ง เท้า แล้วไปใช้การตีความ หรือการมอบความหมายกลับไปให้อัลลอฮฺแทน
6- เชื่อว่าหากยืนยันศิฟัตเคาะบะรียะฮฺเหล่านี้ จะกลายเป็นการเปรียบเทียบ(ตัชบีฮฺ)กับมัคลู๊กได้กรณี
เดียวเท่านั้นเพราะเอาตรรกะของมัคลู๊กไปครอบกับอัลลอฮฺ คือหากอัลลอฮฺจะมีศิฟัตเหล่านี้จะต้อง
เหมือนกับมัคลู๊กได้อย่างเดียว จะไม่เหมือนกับมัคลู๊กไม่ได้
7- กล่าวว่า คำพูดของอัลลอฮฺ คือ คำพูดที่อยู่ในใจ ไม่ใช่เสียงอักษรที่จะได้ยิน
8- ตีกรอบนิยามคำว่า อีมานคือ "ยอมรับด้วยวาจา และเชื่อด้วยใจ" แต่บางกลุ่มก็กล่าวว่า "อีมาน" อยู่
ที่ใจเท่านั้น แม้จะไม่กล่าวชะฮาดะฮฺ ก็ถือว่าเป็นมุอ์มินรอดพ้นในวันกิยามะฮฺแล้ว
9- การแบ่งบิดอะฮฺ (ศาสนกิจที่คิดค้นขึ้นมาเองในภายหลังการจากไปของท่านนบี) เป็น 5 ประเภท คือ
บิดอะฮฺที่ต้องทำ บิดอะฮฺที่ควรทำ บิดอะฮฺที่ห้ามทำ บิดอะฮฺที่ควรทิ้ง บิดอะฮฺที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ทำ
ให้บิดอะฮฺหลายอย่างได้รับการปกป้อง หรือฉวยโอกาสมาซุกใต้ปีกของคำว่าบิดอะฮฺที่ดี รวมทั้งยังมี
การต่อต้านการฟื้นฟูวิถีปฏิบัติของนบีอีกด้วย
10-นำเรื่องซูฟีเข้ามาในศาสนา และได้เปิดประตูเพิ่มแหล่งความรู้พื้นฐานของศาสนาใหม่
(นอกเหนือจากอัลกุรอานและฮะดีษ) คือ ความรู้ที่รับจากอัลลอฮฺโดยตร (อิลมุลละดุนนียฺ) ความรู้
จากความฝัน ความรู้จากการเข้าถึงอรรถรสของการปฏิบัติ และเรื่องของตอรีกัตต่างๆ
11-ไม่ได้แยกความเข้าใจระหว่าง พระประสงค์ทางโลก (อิรอดะฮฺเกานียะฮฺ) และพระประสงค์ทางธรรม
(อิรอดะฮฺชัรอียะฮฺ)
12-คนที่บรรลุศาสนภาวะ(อากิล บาลิฆ)แล้ว วาญิบแรกของเขาคือ ต้องรู้จักอัลลอฮฺ หรือพินิจ
พิเคราะห์เรื่องอัลลอฮฺ หรือตั้งเจตนาพินิจพิเคราะห์เรื่องอัลลอฮฺ (บางคนกล่าวว่าต้องสงสัยก่อน
ว่าอัลลอฮฺมีจริงหรือเปล่า) หากเป็นมุสลิมตั้งแต่เด็กอยู่แล้วก็ต้องมาคิดทบทวนอีกครั้ง
2. มาตุรีดียะฮฺ
"คู่แฝดอะชาอิเราะฮฺ สายฮานาฟี"
ก่อนปี ฮ.ศ. 333
กลุ่มที่นิยมวิพากษ์ศาสตร์ (อะฮ์ลุลกะลาม) อีกกลุ่มหนึ่ง ที่อ้างอิงถึง มุฮัมมัด บินมะห์มูด อบูมันศูร
อัล-มาตุรีดียฺ (เสียชีวิต 333) เกิดที่หมู่บ้าน มาตุรีด ในเขตของเมืองสะมัรก็อนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่สาม
ของปีฮิจเราะฮฺ สังกัดอยู่รุ่นที่สี่ของมัสฮับฮานาฟียฺ ได้รับการยอมรับอย่างมากในเมืองคุรอซาน และเมืองมาวะ
รออันนะฮ์รฺ ปัจจุบันสถาบันที่เผยแพร่แนวคิดนี้ที่โด่งดังที่สุดคือ มหาวิทยาลัยเดียวบันดี ประเทศอินเดีย
กลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับอะชาอิเราะฮฺ เหมือนเป็นกลุ่มพี่กลุ่มน้อง เพราะได้รับอิทธิพล
ความคิดมาจากกลุ่มกุลลาบียะฮฺเหมือนกัน แตกต่างกันบ้างในบางประเด็น อาทิ เช่น
มาตุรีดียะฮฺ กล่าวว่าศิฟัตที่ใช้ปัญญาพิสูจน์ (ษุบูตียะฮฺ) มี 8 ศิฟัต คือ 7 ศิฟัตมะอานีของอะชาอิเราะฮฺ
และเพิ่มศิฟัตการสร้าง (ตักวีน) อีกหนึ่งรวมเป็น 8 ศิฟัต
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ทุกสิ่งที่อัลลอฮฺทำวายิบต้องมีเหตุผล (หิกมะฮฺ) ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ไม่มี
อะไรวายิบกับอัลลอฮฺ หากทรงประสงค์ก็ทำโดยไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอัลลอฮฺทรง
ทำแต่สิ่งที่มีเหตุผลเท่านั้น
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า อัลลอฮฺไม่ทำสิ่งผิดเป็นอันขาด และบอกว่าคำกล่าวของอะชาอิเราะฮฺที่บอกว่า
"อนุญาตให้อัลลอฮฺลงโทษคนดี หรือจับนบีเข้านรกตลอดกาลได้" เป็นเรื่องไม่อนุญาต ขณะที่อะชาอิ
เราะฮฺเห็นว่า อัลลอฮฺทรงมีกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์จะทำอย่างไรกับบ่าวของพระองค์ก็ได้ แม้กระ
ทั้งจะทรงอภัยให้กาเฟรก็ยังได้
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ปัญญาอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะรู้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี และสามารถใช้ปัญญา
รู้จักอัลลอฮฺได้ หากใช้ปัญญาพิสูจน์การมีอยู่ของอัลลอฮฺกับใครแล้ว คนๆนั้นก็ยังไม่เชื่อ ก็ถือว่าเป็น
กาเฟรที่จะต้องเข้านรกตลอดกาลโดยไม่มีข้ออ้างแล้ว ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ยังไม่ถือว่าเป็นกา
เฟรจนกว่าจะมีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษไปถึงก่อน
- การรู้จักอัลลอฮฺ ใช้ปัญญาหรือตัวบทในการพิสูจน์ อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าใช้ตัวบทพิสูจน์ และเห็นว่า
ไม่จำเป็นต้องอีมานก่อนที่จะมีตัวบทมาถึง ขณะที่มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ใช้ปัญญาพิสูจน์ก็ได้แล้ว
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า จำเป็นต้องอีมานด้วยปัญญา ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า จำเป็นต้องอีมานด้วย
ตัวบท
- มาตุรีดะยะฮฺเห็นว่าอีมานไม่มีเพิ่มหรือลด ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า อีมานมีเพิ่มมีลด
มาตุรีดียะฮฺห้ามการกล่าวว่า "ฉันเป็นผู้ศรัทธาอินชาอัลลอฮฺ" (อิสติสนาอ์) ใครกล่าวอย่างนี้ถือเป็น
กาเฟร เพราะเขาสงสัยในศรัทธาของตัวเอง ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า "อนุญาตให้พูดว่า ฉันเป็นผู้
ศรัทธาอินชาอัลลอฮฺ" ได้
- เห็นว่า อิสลามกับอีมานเป็นอันเดียวกัน และขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าอีมานกับอิสลามไม่ใช่อย่าง
เดียวกัน
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า อีมาน ไม่ใช่มัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง) ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า อีมาน เป็นมัคลู๊ก
ตามทัศนะนี้มาตุรีดียะฮฺบางคนเห็นว่า ไม่อนุญาตให้ละหมาดตามหลังอีหม่ามที่เชื่อว่า อีมาน
เป็นมัคลู๊กได้ ในขณะที่ตัวของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺเองก็เป็นคนแรกที่บอกว่า อีมาน เป็นมัคลู๊ก
- ทั้งสองกลุ่มเชื่อว่า การมองเห็นอัลลอฮฺ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ต่างกันที่มาตุรีดียะฮฺใช้ตัวบทกุ
รอานและฮะดีษเป็นข้อพิสูจน์ ในขณะที่อะชาอิเราะฮฺใช้ปัญญาเป็นข้อพิสูจน์ และอิหม่ามรอซีก็
ตามมาตุรีดียะฮฺในเรื่องนี้
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า คนที่ถูกบันทึกไว้แล้ว ตอนอยู่ในท้องแม่ว่าจะได้เป็นชาวสวรรค์หรือนรก ยัง
สามารถเปลี่ยนแปลงกอดัรได้อยู่ ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่าคำว่า จงเป็น (กุน) เป็นเพียงคำเปรียบเปรยถึงความรวดเร็วในการสร้าง ไม่ใช่
เป็นคำจริงๆ ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า การมีขึ้นของสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องกับคำพูด (ในใจ) ของอัลลอ
ฮฺที่มีมาแต่เดิม และคำๆ นี้เชื่อมโยงไปถึงคำพูดในใจของพระองค์นั้น
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า คำว่า ความสำเร็จ (เตาฟีก) คือการช่วยเหลือ หรือทำให้เกิดความง่ายดาย
ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า คือการสร้างความสามารถให้ทำได้
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า ผู้ชายเป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งของการเป็นนบี ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ไม่ใช่
เงื่อนไข
ก่อนปี ฮ.ศ. 333
กลุ่มที่นิยมวิพากษ์ศาสตร์ (อะฮ์ลุลกะลาม) อีกกลุ่มหนึ่ง ที่อ้างอิงถึง มุฮัมมัด บินมะห์มูด อบูมันศูร
อัล-มาตุรีดียฺ (เสียชีวิต 333) เกิดที่หมู่บ้าน มาตุรีด ในเขตของเมืองสะมัรก็อนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่สาม
ของปีฮิจเราะฮฺ สังกัดอยู่รุ่นที่สี่ของมัสฮับฮานาฟียฺ ได้รับการยอมรับอย่างมากในเมืองคุรอซาน และเมืองมาวะ
รออันนะฮ์รฺ ปัจจุบันสถาบันที่เผยแพร่แนวคิดนี้ที่โด่งดังที่สุดคือ มหาวิทยาลัยเดียวบันดี ประเทศอินเดีย
กลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับอะชาอิเราะฮฺ เหมือนเป็นกลุ่มพี่กลุ่มน้อง เพราะได้รับอิทธิพล
ความคิดมาจากกลุ่มกุลลาบียะฮฺเหมือนกัน แตกต่างกันบ้างในบางประเด็น อาทิ เช่น
มาตุรีดียะฮฺ กล่าวว่าศิฟัตที่ใช้ปัญญาพิสูจน์ (ษุบูตียะฮฺ) มี 8 ศิฟัต คือ 7 ศิฟัตมะอานีของอะชาอิเราะฮฺ
และเพิ่มศิฟัตการสร้าง (ตักวีน) อีกหนึ่งรวมเป็น 8 ศิฟัต
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ทุกสิ่งที่อัลลอฮฺทำวายิบต้องมีเหตุผล (หิกมะฮฺ) ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ไม่มี
อะไรวายิบกับอัลลอฮฺ หากทรงประสงค์ก็ทำโดยไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอัลลอฮฺทรง
ทำแต่สิ่งที่มีเหตุผลเท่านั้น
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า อัลลอฮฺไม่ทำสิ่งผิดเป็นอันขาด และบอกว่าคำกล่าวของอะชาอิเราะฮฺที่บอกว่า
"อนุญาตให้อัลลอฮฺลงโทษคนดี หรือจับนบีเข้านรกตลอดกาลได้" เป็นเรื่องไม่อนุญาต ขณะที่อะชาอิ
เราะฮฺเห็นว่า อัลลอฮฺทรงมีกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์จะทำอย่างไรกับบ่าวของพระองค์ก็ได้ แม้กระ
ทั้งจะทรงอภัยให้กาเฟรก็ยังได้
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ปัญญาอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะรู้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี และสามารถใช้ปัญญา
รู้จักอัลลอฮฺได้ หากใช้ปัญญาพิสูจน์การมีอยู่ของอัลลอฮฺกับใครแล้ว คนๆนั้นก็ยังไม่เชื่อ ก็ถือว่าเป็น
กาเฟรที่จะต้องเข้านรกตลอดกาลโดยไม่มีข้ออ้างแล้ว ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ยังไม่ถือว่าเป็นกา
เฟรจนกว่าจะมีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษไปถึงก่อน
- การรู้จักอัลลอฮฺ ใช้ปัญญาหรือตัวบทในการพิสูจน์ อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าใช้ตัวบทพิสูจน์ และเห็นว่า
ไม่จำเป็นต้องอีมานก่อนที่จะมีตัวบทมาถึง ขณะที่มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า ใช้ปัญญาพิสูจน์ก็ได้แล้ว
- มาตุรีดียะฮฺเห็นว่า จำเป็นต้องอีมานด้วยปัญญา ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า จำเป็นต้องอีมานด้วย
ตัวบท
- มาตุรีดะยะฮฺเห็นว่าอีมานไม่มีเพิ่มหรือลด ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า อีมานมีเพิ่มมีลด
มาตุรีดียะฮฺห้ามการกล่าวว่า "ฉันเป็นผู้ศรัทธาอินชาอัลลอฮฺ" (อิสติสนาอ์) ใครกล่าวอย่างนี้ถือเป็น
กาเฟร เพราะเขาสงสัยในศรัทธาของตัวเอง ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า "อนุญาตให้พูดว่า ฉันเป็นผู้
ศรัทธาอินชาอัลลอฮฺ" ได้
- เห็นว่า อิสลามกับอีมานเป็นอันเดียวกัน และขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าอีมานกับอิสลามไม่ใช่อย่าง
เดียวกัน
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า อีมาน ไม่ใช่มัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง) ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า อีมาน เป็นมัคลู๊ก
ตามทัศนะนี้มาตุรีดียะฮฺบางคนเห็นว่า ไม่อนุญาตให้ละหมาดตามหลังอีหม่ามที่เชื่อว่า อีมาน
เป็นมัคลู๊กได้ ในขณะที่ตัวของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺเองก็เป็นคนแรกที่บอกว่า อีมาน เป็นมัคลู๊ก
- ทั้งสองกลุ่มเชื่อว่า การมองเห็นอัลลอฮฺ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ต่างกันที่มาตุรีดียะฮฺใช้ตัวบทกุ
รอานและฮะดีษเป็นข้อพิสูจน์ ในขณะที่อะชาอิเราะฮฺใช้ปัญญาเป็นข้อพิสูจน์ และอิหม่ามรอซีก็
ตามมาตุรีดียะฮฺในเรื่องนี้
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า คนที่ถูกบันทึกไว้แล้ว ตอนอยู่ในท้องแม่ว่าจะได้เป็นชาวสวรรค์หรือนรก ยัง
สามารถเปลี่ยนแปลงกอดัรได้อยู่ ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่าคำว่า จงเป็น (กุน) เป็นเพียงคำเปรียบเปรยถึงความรวดเร็วในการสร้าง ไม่ใช่
เป็นคำจริงๆ ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า การมีขึ้นของสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องกับคำพูด (ในใจ) ของอัลลอ
ฮฺที่มีมาแต่เดิม และคำๆ นี้เชื่อมโยงไปถึงคำพูดในใจของพระองค์นั้น
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า คำว่า ความสำเร็จ (เตาฟีก) คือการช่วยเหลือ หรือทำให้เกิดความง่ายดาย
ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า คือการสร้างความสามารถให้ทำได้
- มาตุรีดียะฮฺ เห็นว่า ผู้ชายเป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งของการเป็นนบี ขณะที่อะชาอิเราะฮฺเห็นว่า ไม่ใช่
เงื่อนไข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น