3043: พ่อคนหนึ่งทอดทิ้งครอบครัวของเขาและออกไปกับญามาอะห์ตับลีฆ
อะไรคือกฎในเรื่องที่พ่อผู้หนึ่งซึ่งเขาเพิกเฉยต่อครอบครัวของเขา? เขาไม่ได้ค้ำจุนครอบครัวเพื่อความเป็นอยู่และเขารับเงินจากสวัสดิการสำหรับตัวเขาเอง. เขาเก็บเงินเกือบทั้งหมดจากสวัสดิการที่เขาได้รับ.เงินคุณแม่ของฉันใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร. เธอทำเงินได้น้อยมากจากการเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
ฉันทำบาปใหญ่หรือไม่,ถ้าพ่อของฉันไม่ได้พูดกับฉันและตะคอกใส่ฉันในเรื่องเงิน.
ถ้าแม่ของฉันและฉันคุยกันลับหลังพ่อของฉัน จะเป็นบาปใหญ่หรือไม่?
ฉันทำบาปใหญ่หรือไม่,ถ้าพ่อของฉันไม่ได้พูดกับฉันและตะคอกใส่ฉันในเรื่องเงิน.
ถ้าแม่ของฉันและฉันคุยกันลับหลังพ่อของฉัน จะเป็นบาปใหญ่หรือไม่?
พ่อของฉันติดตามญามาอะห์ตับลีฆ เขาชอบทำดะวะห์และทำอีบาดัตแต่เขาไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว.เป็นความจริงหรือไม่ในช่วงชีวิตของท่านรอซูลที่ซอฮาบัตออกไปดะวะห์และทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังให้อัลลอฮ์ดูแล? ฉันเสียใจที่ถ้าคำถามของฉันส่งผลเสียหายต่อเรื่องส่วนตัวหรือญามาอะห์ตับลีฆ.
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
ไม่มีข้อสงสัยต่อสาเหตุของปัญหาเช่นนี้ และคนอื่นๆที่เพิกเฉยต่อชารีอะห์อิสลาม, และการขาดความเข้าใจของความรับผิดชอบของชายคนหนึ่งต่อผู้ที่เขาต้องค้ำจุนดูแล,และภาระหน้าที่ต่อครอบครัวที่อัลลอฮ์กำชับเหนือเขา.
หนึ่งในสิทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ภรรยาที่มีลูกๆคือหัวหน้าครอบครัวควรใช้จ่ายเงินกับพวกเขา แท้จริงนี้เป็นหนึ่งในการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเคารพสักการะและการอุทิศตนเพื่ออัลลอฮ์ที่บุคคลสามารถทำได้. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพวกเขาครอบคลุมอาหารเครื่องดื่มเสื้อผ้าและที่พักพิงและทุกสิ่งทุกอย่างที่ภรรยาและลูก ๆ ต้องการเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขามีสุขภาพที่ดี.
อัลลอฮ์ได้บอกเราว่าผู้ชายเป็นผู้ที่จ่ายให้ผู้หญิง, และด้วยเหตุนี้พวกเขาอยู่ในสถานะของการเป็นผู้ดูแลและผู้ปกป้อง(qawwaamoon) และเป็นผู้ที่อยู่เหนือพวกเธอ,เพราะพวกเขาใช้จ่ายบนพวกเธอเมื่อพวกเขาให้สินสอดทองหมั้น(mahr)และค่าเลี้ยงดู.อัลอฮ์ตรัสในสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ โองการที่ 34
الرِّجَالُ قَوَّامُونَ عَلَى النِّسَاءِ بِمَا فَضَّلَ اللَّهُ بَعْضَهُمْ عَلَىٰ بَعْضٍ وَبِمَا أَنفَقُوا مِنْ أَمْوَالِهِمْ فَالصَّالِحَاتُ قَانِتَاتٌ حَافِظَاتٌ لِّلْغَيْبِ بِمَا حَفِظَ اللَّهُ وَاللَّاتِي تَخَافُونَ نُشُوزَهُنَّ فَعِظُوهُنَّ وَاهْجُرُوهُنَّ فِي الْمَضَاجِعِ وَاضْرِبُوهُنَّ فَإِنْ أَطَعْنَكُمْ فَلَا تَبْغُوا عَلَيْهِنَّ سَبِيلًا إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلِيًّا كَبِيرًا
บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา บรรดากุลสตรีนั้นคือผู้จงรักภักดี ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลังสามี เนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้ และบรรดาหญิงที่พวกเจ้าหวั่นเกรงในความดื้อดึงของนางนั้น ก็จงกล่าวตักเตือนนางและทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังในที่นอน และจงเฆี่ยนนาง แต่ถ้านางเชื่อฟังพวกเจ้าแล้ว ก็จงอย่าหาทางเอาเรื่องแก่นาง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร"
ข้อเท็จจริงนั้น การจ่ายนี้เป็นพันธะที่ถูกบ่งบอกในกุรอาน,ซุนนะห์และอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)ของบรรดานักวิชาการและประชาชนที่ใช้ปัญญาทั้งหลาย.
الرِّجَالُ قَوَّامُونَ عَلَى النِّسَاءِ بِمَا فَضَّلَ اللَّهُ بَعْضَهُمْ عَلَىٰ بَعْضٍ وَبِمَا أَنفَقُوا مِنْ أَمْوَالِهِمْ فَالصَّالِحَاتُ قَانِتَاتٌ حَافِظَاتٌ لِّلْغَيْبِ بِمَا حَفِظَ اللَّهُ وَاللَّاتِي تَخَافُونَ نُشُوزَهُنَّ فَعِظُوهُنَّ وَاهْجُرُوهُنَّ فِي الْمَضَاجِعِ وَاضْرِبُوهُنَّ فَإِنْ أَطَعْنَكُمْ فَلَا تَبْغُوا عَلَيْهِنَّ سَبِيلًا إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلِيًّا كَبِيرًا
บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา บรรดากุลสตรีนั้นคือผู้จงรักภักดี ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลังสามี เนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้ และบรรดาหญิงที่พวกเจ้าหวั่นเกรงในความดื้อดึงของนางนั้น ก็จงกล่าวตักเตือนนางและทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังในที่นอน และจงเฆี่ยนนาง แต่ถ้านางเชื่อฟังพวกเจ้าแล้ว ก็จงอย่าหาทางเอาเรื่องแก่นาง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร"
ข้อเท็จจริงนั้น การจ่ายนี้เป็นพันธะที่ถูกบ่งบอกในกุรอาน,ซุนนะห์และอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)ของบรรดานักวิชาการและประชาชนที่ใช้ปัญญาทั้งหลาย.
หลักฐานของกุรอานที่รวมทั้งอายัตในสูเราะฮฺ อัฏ-เฏาะลากโองการที่ 7
لِيُنفِقْ ذُو سَعَةٍ مِّن سَعَتِهِ وَمَن قُدِرَ عَلَيْهِ رِزْقُهُ فَلْيُنفِقْ مِمَّا آتَاهُ اللَّهُ لَا يُكَلِّفُ اللَّهُ نَفْسًا إِلَّا مَا آتَاهَا سَيَجْعَلُ اللَّهُ بَعْدَ عُسْرٍ يُسْرًا
ควรให้ผู้มีฐานะร่ำรวยจ่ายตามฐานะของเขา ส่วนผู้ที่การยังชีพของเขาเป็นที่คับแค้นแก่เขาก็ให้เขาจ่ายตามที่อัลลอฮฺทรงประทานมาให้แก่เขา อัลลอฮฺมิได้ทรงให้เป็นที่ลำบากแก่ชีวิตใด เว้นแต่ตามที่พระองค์ทรงประทานมาแก่ชีวิตนั้น หลังจากความยากลำบาก อัลลอฮฺจะทรงทำให้เกิดความสะดวกสบาย"
لِيُنفِقْ ذُو سَعَةٍ مِّن سَعَتِهِ وَمَن قُدِرَ عَلَيْهِ رِزْقُهُ فَلْيُنفِقْ مِمَّا آتَاهُ اللَّهُ لَا يُكَلِّفُ اللَّهُ نَفْسًا إِلَّا مَا آتَاهَا سَيَجْعَلُ اللَّهُ بَعْدَ عُسْرٍ يُسْرًا
ควรให้ผู้มีฐานะร่ำรวยจ่ายตามฐานะของเขา ส่วนผู้ที่การยังชีพของเขาเป็นที่คับแค้นแก่เขาก็ให้เขาจ่ายตามที่อัลลอฮฺทรงประทานมาให้แก่เขา อัลลอฮฺมิได้ทรงให้เป็นที่ลำบากแก่ชีวิตใด เว้นแต่ตามที่พระองค์ทรงประทานมาแก่ชีวิตนั้น หลังจากความยากลำบาก อัลลอฮฺจะทรงทำให้เกิดความสะดวกสบาย"
และในสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะโองการที่ 233
وَالْوَالِدَاتُ يُرْضِعْنَ أَوْلَادَهُنَّ حَوْلَيْنِ كَامِلَيْنِ لِمَنْ أَرَادَ أَن يُتِمَّ الرَّضَاعَةَ وَعَلَى الْمَوْلُودِ لَهُ رِزْقُهُنَّ وَكِسْوَتُهُنَّ بِالْمَعْرُوفِ لَا تُكَلَّفُ نَفْسٌ إِلَّا وُسْعَهَا لَا تُضَارَّ وَالِدَةٌ بِوَلَدِهَا وَلَا مَوْلُودٌ لَّهُ بِوَلَدِهِ وَعَلَى الْوَارِثِ مِثْلُ ذَٰلِكَ فَإِنْ أَرَادَا فِصَالًا عَن تَرَاضٍ مِّنْهُمَا وَتَشَاوُرٍ فَلَا جُنَاحَ عَلَيْهِمَا وَإِنْ أَرَدتُّمْ أَن تَسْتَرْضِعُوا أَوْلَادَكُمْ فَلَا جُنَاحَ عَلَيْكُمْ إِذَا سَلَّمْتُم مَّا آتَيْتُم بِالْمَعْرُوفِ وَاتَّقُوا اللَّهَ وَاعْلَمُوا أَنَّ اللَّهَ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
..........และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้น คือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนางโดยชอบธรรม ไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าที่ชีวิตนั้นมีกำลังความสามารถเท่านั้น............. "
وَالْوَالِدَاتُ يُرْضِعْنَ أَوْلَادَهُنَّ حَوْلَيْنِ كَامِلَيْنِ لِمَنْ أَرَادَ أَن يُتِمَّ الرَّضَاعَةَ وَعَلَى الْمَوْلُودِ لَهُ رِزْقُهُنَّ وَكِسْوَتُهُنَّ بِالْمَعْرُوفِ لَا تُكَلَّفُ نَفْسٌ إِلَّا وُسْعَهَا لَا تُضَارَّ وَالِدَةٌ بِوَلَدِهَا وَلَا مَوْلُودٌ لَّهُ بِوَلَدِهِ وَعَلَى الْوَارِثِ مِثْلُ ذَٰلِكَ فَإِنْ أَرَادَا فِصَالًا عَن تَرَاضٍ مِّنْهُمَا وَتَشَاوُرٍ فَلَا جُنَاحَ عَلَيْهِمَا وَإِنْ أَرَدتُّمْ أَن تَسْتَرْضِعُوا أَوْلَادَكُمْ فَلَا جُنَاحَ عَلَيْكُمْ إِذَا سَلَّمْتُم مَّا آتَيْتُم بِالْمَعْرُوفِ وَاتَّقُوا اللَّهَ وَاعْلَمُوا أَنَّ اللَّهَ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
..........และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้น คือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนางโดยชอบธรรม ไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าที่ชีวิตนั้นมีกำลังความสามารถเท่านั้น............. "
สูเราะฮฺ อัฏ-เฏาะลากโองการที่ 6
أَسْكِنُوهُنَّ مِنْ حَيْثُ سَكَنتُم مِّن وُجْدِكُمْ وَلَا تُضَارُّوهُنَّ لِتُضَيِّقُوا عَلَيْهِنَّ وَإِن كُنَّ أُولَاتِ حَمْلٍ فَأَنفِقُوا عَلَيْهِنَّ حَتَّىٰ يَضَعْنَ حَمْلَهُنَّ فَإِنْ أَرْضَعْنَ لَكُمْ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ وَأْتَمِرُوا بَيْنَكُم بِمَعْرُوفٍ وَإِن تَعَاسَرْتُمْ فَسَتُرْضِعُ لَهُ أُخْرَىٰ
........ และหากพวกนางตั้งครรภ์ ก็จงเลี้ยงดูพวกนาง จนกว่าพวกนางจะคลอดทารกที่อยู่ในครรภ์ของพวกนาง ......"
أَسْكِنُوهُنَّ مِنْ حَيْثُ سَكَنتُم مِّن وُجْدِكُمْ وَلَا تُضَارُّوهُنَّ لِتُضَيِّقُوا عَلَيْهِنَّ وَإِن كُنَّ أُولَاتِ حَمْلٍ فَأَنفِقُوا عَلَيْهِنَّ حَتَّىٰ يَضَعْنَ حَمْلَهُنَّ فَإِنْ أَرْضَعْنَ لَكُمْ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ وَأْتَمِرُوا بَيْنَكُم بِمَعْرُوفٍ وَإِن تَعَاسَرْتُمْ فَسَتُرْضِعُ لَهُ أُخْرَىٰ
........ และหากพวกนางตั้งครรภ์ ก็จงเลี้ยงดูพวกนาง จนกว่าพวกนางจะคลอดทารกที่อยู่ในครรภ์ของพวกนาง ......"
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานในซุนนะห์,หลายฮาดิษถูกรายงานซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นภาระผูกพันต่อผู้เป็นสามีในการใช้จ่ายเพื่อภรรยาและลูกๆ,และผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา.
ญาบีร อิบนุ อับดุลลอฮ์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านนบีมูฮำหมัด ﷺ ได้กล่าวในการเทศน์ของท่านในช่วงแสวงบุญ(ฮัจย์)อำลาของท่าน:
ญาบีร อิบนุ อับดุลลอฮ์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านนบีมูฮำหมัด ﷺ ได้กล่าวในการเทศน์ของท่านในช่วงแสวงบุญ(ฮัจย์)อำลาของท่าน:
"จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ที่เกี่ยวกับผู้หญิง,เพราะพวกเธอเป็นเชลยของพวกท่าน.
พวกท่านได้รับความไว้วางใจจากอัลลอฮ์,และพวกเธอได้เป็นที่อนุญาตสำหรับพวกท่านโดยผ่านคำดำรัสของอัลลอฮ์,และสิทธิของพวกเธอจากท่านคือการแสวงหาปัจจัยยังชีพและเสื้อผ้าตามสมเหตุสมผล."(รายงานโดยมุสลิม,8/183).
พวกท่านได้รับความไว้วางใจจากอัลลอฮ์,และพวกเธอได้เป็นที่อนุญาตสำหรับพวกท่านโดยผ่านคำดำรัสของอัลลอฮ์,และสิทธิของพวกเธอจากท่านคือการแสวงหาปัจจัยยังชีพและเสื้อผ้าตามสมเหตุสมผล."(รายงานโดยมุสลิม,8/183).
'อุมัร อิบนุ อัลอะห์วาซ(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าเขาได้ยินท่านรอซูลุลลอฮﷺ์ ในระหว่างพิธีแสวงบุญอำลา:
"โดยแท้จริง พวกท่านมีสิทธิเหนือพวกนาง,และพวกนางของพวกท่านก็มีสิทธิเหนือพวกท่าน.สำหรับสิทธิของพวกท่านเหนือพวกนาง,พวกนางจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดนั่งบนเตียงของพวกท่านผู้ที่ท่านไม่ชอบ,หรืออนุญาตให้เข้าบ้านท่านผู้ที่ท่านไม่ชอบ,โดยแท้จริง,สิทธิของพวกนางเหนือพวกท่านคือ พวกท่านต้องดูแลพวกนางให้ดีในเรื่องที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าและอาหารของพวกนาง."
(รายงานโดยตีรมีซี,1163,และอิบนุ มาญะห์,1851).
(รายงานโดยตีรมีซี,1163,และอิบนุ มาญะห์,1851).
มุอาวียะห์ อิบนุ ฮัยดะห์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าว:
"ฉันได้กล่าวว่า,โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ,อะไรคือสิทธิของภรรยาของคนใดคนหนึ่งของเราเหนือเรา?' ท่านได้กล่าว,'ท่านให้อาหารต่อนางเมื่อท่านให้อาหารกับตนเองและหาเสื้อผ้าให้นางเมื่อท่านหาเสื้อผ้าให้กับตนเอง,ท่านอย่ากล่าวกับนางว่า,"ขอให้อัลลอฮ์ทำให้หน้าของเธอน่าเกลียด!",และอย่าได้ตีนาง."
(รายงานโดยอาบู ดาวูด,2/244;อิบนุ มาญะห์,1850;อะห์มัด,4/446).
"ฉันได้กล่าวว่า,โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ,อะไรคือสิทธิของภรรยาของคนใดคนหนึ่งของเราเหนือเรา?' ท่านได้กล่าว,'ท่านให้อาหารต่อนางเมื่อท่านให้อาหารกับตนเองและหาเสื้อผ้าให้นางเมื่อท่านหาเสื้อผ้าให้กับตนเอง,ท่านอย่ากล่าวกับนางว่า,"ขอให้อัลลอฮ์ทำให้หน้าของเธอน่าเกลียด!",และอย่าได้ตีนาง."
(รายงานโดยอาบู ดาวูด,2/244;อิบนุ มาญะห์,1850;อะห์มัด,4/446).
อีมาม อัลบักฮาวี ได้กล่าว:"อัลคัตตาบี ได้กล่าว: นี่เป็นคำสั่งที่ต้องจ่ายให้กับผู้หญิง และสวมใส่เสื้อให้กับพวกนาง ตามกำลังความสามารถของผู้ที่เป็นสามี.ตามที่ท่านนบีมูฮำหมัด ﷺ ได้ทำให้สิ่งนี้เป็นสิทธิของผู้หญิง,มันเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าสามีจะอยู่หรือไม่อยู่.ถ้าสามีไม่สามารถทำได้ก็จะกลายเป็นหนี้สินที่เขาเป็นหนี้เช่นเดียวกับหน้าที่อื่น ๆ ทั้งหมด ไม่ว่ากอดี(ผู้พิพากษา) (qaadi) จะออกคำสั่งให้มีผลดังกล่าวหรือไม่."
มันถูกรายงานว่าท่านวะฮับ ได้กล่าว:
"ทาสอิสระของ อับดุลลอฮ์ อิบนุ อามร์ ได้กล่าวกับเขา,'ฉันต้องไปและใช้เวลาหนึ่งเดือนที่นั่นในเยรูซาเลม.'เขากล่าว,'เจ้าเหลือ(เงินหรือปัจจัยยังชีพ)เพียงพอสำหรับครอบครัวของเจ้าที่จะใช้จ่ายในช่วงเดือนนี้หรือไม่? เขากล่าว,'ไม่ครับ.'เขากล่าว,'ถ้างั้นเจ้าต้องกลับไปยังครอบครัวของเจ้าและจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาที่ต้องใช้หรือกิน,เพราะฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ กล่าว:"ชายคนหนึ่งมีบาปพอที่เขาไม่ได้จัดหาอาหารแก่ผู้ที่เขาควรให้."
(รายงานโดยอะห์มัด,2/160; อาบูดาวูด,1692).
(รายงานโดยอะห์มัด,2/160; อาบูดาวูด,1692).
รายงานต้นฉบับอยู่ในบันทึกมุสลิม,ที่มีสำนวนว่า,"เป็นบาปพอสำหรับชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้อาหารจากผู้ที่เขาควรให้."
#จากฮาดิษ
มันถูกรายงานว่าท่านวะฮับ ได้กล่าว:
มันถูกรายงานว่าท่านวะฮับ ได้กล่าว:
"ทาสอิสระของ อับดุลลอฮ์ อิบนุ อามร์ ได้กล่าวกับเขา,'ฉันต้องไปและใช้เวลาหนึ่งเดือนที่นั่นในเยรูซาเลม.'เขากล่าว,'เจ้าเหลือ(เงินหรือปัจจัยยังชีพ)เพียงพอสำหรับครอบครัวของเจ้าที่จะใช้จ่ายในช่วงเดือนนี้หรือไม่? เขากล่าว,'ไม่ครับ.'เขากล่าว,'ถ้างั้นเจ้าต้องกลับไปยังครอบครัวของเจ้าและจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาที่ต้องใช้หรือกิน,เพราะฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ กล่าว:"ชายคนหนึ่งมีบาปพอที่เขาไม่ได้จัดหาอาหารแก่ผู้ที่เขาควรให้."
(รายงานโดยอะห์มัด,2/160; อาบูดาวูด,1692).
(รายงานโดยอะห์มัด,2/160; อาบูดาวูด,1692).
อนัส(รอดียัลลอฮูฮันฮู)ได้รายงานว่าท่านนบีมูฮำหมัดﷺได้กล่าว:"อัลลอฮ์จะถามทุกคนที่ถูกให้ความรับผิดชอบต่ออะไรก็ตามที่เขามีความรับผิดชอบ,จนกระทั่งพระองค์ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มีต่อครอบครัวของเขา."
(รายงานโดยอิบนุ ฮิบบาน).
(รายงานโดยอิบนุ ฮิบบาน).
อาบู ฮูรอยเราะห์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าว:
"ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮﷺ์ กล่าว,'ด้วยนามของอัลลอฮ์,ถ้าคนหนึ่งจากพวกท่านต้องลุกขึ้นในตอนเช้าและแบกไม้ฟืนบนหลังของเขา,และขายมันและพบการขาดแคลนเงินของตนเองและบริจาค(การกุศล)บางส่วน,สิ่งนี้ยังดีต่อเขามากกว่าที่มีชายคนหนึ่งมาขอทานจากเขา,และไม่ว่าจะให้บางสิ่งหรือไม่ก็ตาม.มือที่เหนือกว่า(ผู้ให้)ดีกว่ามือล่าง(ผู้ขอ),และเริ่มต้นกับผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่าน."
(รายงานโดยมุสลิม,3/96).
ตามรายงานหนึ่งที่ถูกรายงานโดยอะห์มัด(2/524),มันถูกกล่าวว่า:"ฉันต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ใด,โอ้ท่านรอซูลุลลอฮﷺ์ ?" ท่านได้กล่าวว่า,"ภรรยาของท่านเป็นคนหนึ่งในผู้ที่ท่านต้องรับผิดชอบ."
(รายงานโดยมุสลิม,3/96).
ตามรายงานหนึ่งที่ถูกรายงานโดยอะห์มัด(2/524),มันถูกกล่าวว่า:"ฉันต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ใด,โอ้ท่านรอซูลุลลอฮﷺ์ ?" ท่านได้กล่าวว่า,"ภรรยาของท่านเป็นคนหนึ่งในผู้ที่ท่านต้องรับผิดชอบ."
ตามฮาดิษหนึ่งที่ถูกรายงานโดยญาบิร อิบนุ ซามูราฮ์(รอดียัลลอฮูอันฮู),ท่านรอซูล ﷺได้กล่าวว่า:"ถ้าอัลลอฮ์ให้บางสิ่งที่ดีต่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน,ให้เขาเริ่มต้นที่ตัวเขาเองและครอบครัวของเขา."(รายงานโดยมุสลิม,1454).
ที่เกี่ยวกับอิจมาอฺ(เอกฉันท์)ของเหล่านักวิชาการ:
อีมาม อิบนุ คุดามะฮ์(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวในอัลมุกฮ์นี(al-Mughni)(7/564):
"นักการศาสนาเห็นตรงกันว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของสามีที่ต้องใช้จ่ายเพื่อภรรยาของพวกเขา ถ้าหากพวกเขา(สามี)ได้ไปถึงอายุวัยแรกรุ่น,ยกเว้นในกรณีที่ภรรยาที่กระด้างกระเดื่อง. สิ่ง นี้ถูกอ้างโดยอิบนุ อัลมุนด์ฮีร(Ibn al-Mundhir ) และท่านอื่นๆ.'
การอ้างอิงถึงตำราของอิสลามระบุว่าจำเป็นต้องให้ผู้ชายใช้จ่ายเงินเพื่อครอบครัวและดูแลผลประโยชน์ของตน.
หลายฮาดิษทีารายงานจากท่านนบีมูฮำหมัด ﷺ แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของการกระทำนี้และแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ชอบธรรมในสายตาของอัลลอฮ์.
อาบู มัซอู๊ด อัลอันซารี(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านนบีมูฮำหมัดﷺ ได้กล่าวว่า:"เมื่อมุสลิมใช้จ่ายในครอบครัวของเขาด้วยความหวังในการได้รับรางวัล นี่คือการกระทำเพื่อการกุศล(ศอดาเกาะฮ์)สำหรับเขา."(รายงานโดยบุคอรี,1/136).
หลายฮาดิษทีารายงานจากท่านนบีมูฮำหมัด ﷺ แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของการกระทำนี้และแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ชอบธรรมในสายตาของอัลลอฮ์.
อาบู มัซอู๊ด อัลอันซารี(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านนบีมูฮำหมัดﷺ ได้กล่าวว่า:"เมื่อมุสลิมใช้จ่ายในครอบครัวของเขาด้วยความหวังในการได้รับรางวัล นี่คือการกระทำเพื่อการกุศล(ศอดาเกาะฮ์)สำหรับเขา."(รายงานโดยบุคอรี,1/136).
อัลฮาฟิซ อิบนุ ฮาญาร(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวในฟัตฮุลบารี (9/498):"การใช้จ่ายในครอบครัวของคนใดคนหนึ่งเป็นภาระจำเป็นตามมติเอกฉันท์(อิจมาอฺ)ของเหล่านักวิชาการศาสนา. อิสลามเรียกมันว่าซอดาเกาะฮ์(การกุศล)เพื่อไม่ให้คนคิดว่าพวกเขากำลังทำตามหน้าที่ที่ไม่มีผลรางวัลตอบแทน,
เพราะพวกเขารู้ว่ามีรางวัลมากมายในการทำซอดาเกาะฮ์ เพื่อพวกเขาจะไม่ให้การกุศลแก่ผู้อื่น จนกว่าพวกเขาจะให้แก่ครอบครัวของพวกเขามากพอ นี่คือการสนับสนุนให้พวกเขาให้ความสำคัญกับ ครอบครัวซึ่งจำเป็นก่อน การที่พวกเขาจะให้การกุศลโดยสมัครใจ."
เพราะพวกเขารู้ว่ามีรางวัลมากมายในการทำซอดาเกาะฮ์ เพื่อพวกเขาจะไม่ให้การกุศลแก่ผู้อื่น จนกว่าพวกเขาจะให้แก่ครอบครัวของพวกเขามากพอ นี่คือการสนับสนุนให้พวกเขาให้ความสำคัญกับ ครอบครัวซึ่งจำเป็นก่อน การที่พวกเขาจะให้การกุศลโดยสมัครใจ."
สะอีด อิบนุ มาลิก(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านรอซูล ﷺได้กล่าวกับเขา: "อะไรก็ตามที่ท่านใช้จ่ายเพื่อครอบครัวของท่าน,ท่านจะได้รับรางวัลสำหรับมัน, แม้แต่อาหารคำหนึ่งที่ท่านยกขึ้นและใส่ในปากภรรยาของท่าน."(รายงานโดยบุคอรี,3/164,และมุสลิม,1628).
อาบูฮูรอยเราะห์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้รายงานว่าท่านรอซูล ﷺได้กล่าวว่า:"หนึ่งดีนาร์(เงิน)ที่ท่านใช้จ่ายในทางของอัลลอฮ์,หนึ่งดีนาร์ที่ท่านปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ,หนึ่งดีนาร์ที่ท่านให้แก่คนยากจน,และหนึ่งดีนาร์ที่ท่านใช้จ่ายในครอบครัวของท่าน - สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากเหล่านี้คือการที่ท่านใช้จ่ายในครอบครัวของท่าน."(รายงานโดยมุสลิม,2/692).
กะอับ อิบนุ อุญาเราะห์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าว: ชายคนหนึ่งที่นบีมูฮัมหมัด ﷺ
ได้ผ่านมาพบ และเหล่าซอฮาบัต(รอดียัลลอฮูอันฮู)ของท่านประทับใจในความแข็งแรงและการมีพละกำลังของเขา.พวกเขากล่าว,'โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ถ้าสิ่งนี้อยู่บนทางของอัลลอฮ์!' ท่านรอซูลได้กล่าวว่า:'ถ้าเขาได้ออกไปทำงานเพื่อประโยชน์ของลูกๆที่ยังอ่อนเยาว์ของเขา,เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อประโยชน์ต่อบิดามารดาที่ชราภาพของเขา เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อรักษาตัวเองจากการไม่ต้องขอทาน,เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; แต่ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อจุดประสงค์ในการแสดงออกและโอ้อวด,ถ้างั้นเขากำลังมุ่งมั่นในทางของไซตอน."
(ถูกรายงานโดย อัลฏอบารอนี,ซอเฮียะอัลญาเมียะ,2/8).
ได้ผ่านมาพบ และเหล่าซอฮาบัต(รอดียัลลอฮูอันฮู)ของท่านประทับใจในความแข็งแรงและการมีพละกำลังของเขา.พวกเขากล่าว,'โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ถ้าสิ่งนี้อยู่บนทางของอัลลอฮ์!' ท่านรอซูลได้กล่าวว่า:'ถ้าเขาได้ออกไปทำงานเพื่อประโยชน์ของลูกๆที่ยังอ่อนเยาว์ของเขา,เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อประโยชน์ต่อบิดามารดาที่ชราภาพของเขา เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อรักษาตัวเองจากการไม่ต้องขอทาน,เขากำลังมุ่งมั่นในทางของอัลลอฮ์; แต่ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อจุดประสงค์ในการแสดงออกและโอ้อวด,ถ้างั้นเขากำลังมุ่งมั่นในทางของไซตอน."
(ถูกรายงานโดย อัลฏอบารอนี,ซอเฮียะอัลญาเมียะ,2/8).
ชาวสะลัฟ,ขออัลลอฮ์เมตตาต่อพวกเขา,เข้าใจหน้าที่นี้อย่างถูกต้อง. มันเป็นแนวทางของพวกเขาในชีวิตประจำวันกับครอบครัวของพวกเขา.ไม่มีใครกล่าวมันได้ดีกว่า อีมาม อัล รอบบานี อับดุลลอฮ์ อิบนุ อัลมุบาร๊าค(ขออัลลอฮ์เมตตาเขา),ผู้ที่กล่าว: "ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการหาเลี้ยงชีพของตัวเอง,ไม่ใช่แม้กระทั่งการญิฮาดเพื่อประโยชน์(ทางศาสนา)ของอัลลอฮ์(หมายถึงการหาเลี้ยงชีพเพื่อตนเองดีกว่าการญีฮาด)."(อัล-ซียาร์,8/399)
ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมละเลยครอบครัวของเขา แม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขากำลังเดินทางเพื่อจุดประสงค์ในการเคารพกราบไหว้(อัลลอฮ์)และการกระทำที่ดีมีคุณธรรม,เพราะการละเลยครอบครัวของตนและการไม่ใช้จ่ายเงินให้กับพวกเขาคือฮาราม(มีความผิดในทางศาสนา). เราได้ยกคำแนะนำด้านบนจากอับดุลลอฮ์ อิบนุ อามร์(รอดียัลลอฮูอันฮู) ต่อชายคนหนึ่งที่ต้องการไปพักอยู่ที่เยรูซาเล็มเขาต้องจัดเตรียมอาหารหรือปัจจัยยังชีพสำหรับครอบครัวเขาก่อน. ดังนั้นคุณต้องให้คำแนะนำแก่บิดาของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เราพูดในคำตอบ(ของคำถาม)นี้และอธิบายเรื่องนี้ให้สุภาพและละเมียดละไม. หากคุณสามารถเติมเต็มช่องว่างที่เหลือจากการที่บิดาของคุณเพิกเฉยโดยการใช้จ่ายเงินของคุณเองกับครอบครัวของคุณเท่าที่คุณทำได้,คุณจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่,
อิงชาอัลลอฮ์(หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์) เราขออัลลอฮ์ให้ทุกกิจการของเราเป็นไปอย่างถูกต้อง. ขอให้อัลลอฮ์อวยพรท่านนบีมูฮัมหมัดﷺ ของเรา.
อิงชาอัลลอฮ์(หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์) เราขออัลลอฮ์ให้ทุกกิจการของเราเป็นไปอย่างถูกต้อง. ขอให้อัลลอฮ์อวยพรท่านนบีมูฮัมหมัดﷺ ของเรา.
@@@@@
เขียนโดย Sheikh Muhammed Salih Al-Munajjid
แปลโดย Firdaus Msd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น