วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

การเพิ่ม "บีซาตีฮี" เมื่อกำลังพูดเกี่ยวกับ อุลูว และ อิสตีวาของอัลลอฮ์ (ชุดที่ 2)

การเพิ่ม "บีซาตีฮี" เมื่อกำลังพูดเกี่ยวกับ อุลูว และ อิสตีวาของอัลลอฮ์ (ชุดที่ 2)
(جواب اعتراض في زيادة "بذاته" عند الحديث عن علو الله واستوائه على العرش)
รวบรวมโดย: อุม อับดุลลอฮ์ อัลมีสาวี
إعداد: أم عبد الله الميساوي
لموقع« عقيدة السلف الصالح »
การโต้แย้ง:
"ถ้อยคำเพิ่มเติม ด้วยซาตของพระองค์ (บีซาตีฮี ذاته بنفسه)
เมื่อพูดเกี่ยวกับ อุลูว และอิสตีวาของอัลลอฮ์, เช่น อัลลอฮ์ ทรงอิสตีวา เหนือบัลลังค์ ด้วยพระองค์เอง(ตัวตนของพระองค์)
(ذاته بنفسه)
และเช่นนั้น, คือไม่ถูกต้องและเป็นอุตริกรรมที่ว่าไม่มีการพบในกุรอานรวมทั้งซุนนะห์ รวมทั้งถ้อยแถลงของสะลัฟฟุซซอและห์."
ตอบ:
ประการที่หนึ่ง: ง่ายๆเลย เพราะ คำหนึ่งไม่ถูกใช้ในกุรอานและซุนนะห์ ไม่ได้หมายความว่ามันมีความผิดหรือไม่อาจยอมรับได้. ตราบใดที่ความหมายของมันถูกต้อง,สอดคล้องกับตัวบทหลักฐานในอิสลาม(กุรอานและซุนนะห์)ด้วยความเข้าใจของชาวสะลัฟฟุซซอและห์,ไม่รวมถึงความหมายเท็จ,และมีความจำเป็นที่ต้องมีการใช้ของมัน,ดังนั้นไม่ฮาราม(ห้าม)ในการใช้มัน.
มีคำหรือวลีที่ถูกถ่ายทอดมาจากสะลัฟ ที่เคร่งศาสนาในเรื่องที่เกี่ยวกับอากีดะห์ ซึ่งไม่พบในกุรอานและซุนนะห์แต่พวกมันมีความถูกต้องในความหมาย. ตัวอย่างหนึ่งคือคำกล่าวของพวกเขา:"กุรอานไม่ใช่สิ่งถูกสร้าง". "คำ"ไม่ถูกสร้าง" ไม่มีการอ้างถึงในกุรอานรวมทั้งไม่มีกล่าวในซุนนะห์ แต่เข้าใจและได้มาจากอัลกุรอานและซุนนะห์.
ประการที่สอง,คำว่า "บีซาตีฮี" หรือ "บีนัฟซีฮี" (ذاته بنفسه)
ถูกใช้โดยสะลัฟบางส่วน,และทั้งสองคำนั้นมีความหมายเหมือนกัน. เรามาดูตัวอย่างถ้อยแถลงของพวกเขา
1. มุฮัมมัด อาบู ญะฟาร บิน อาบี ชัยบะห์(เสีย ฮ.ศ 297) ได้กล่าวว่า:
قال محمد أبو جعفر بن أبي شيبة (ت. 297 هـ) : « فهو فوق السماوات وفوق العرش بذاته متخلصا من خلقه بائنا منهم، علمه في خلقه لا يخرجون من علمه.» (2)
(2) العرش وما رُوي فيه لأبي جعفر محمد بن أبي شيبة (ص291-292)
=======================
มุฮัมมัด อาบู ญะฟาร บิน อาบี ชัยบะห์(เสีย ฮ.ศ 297) ได้กล่าวว่า:
<<พระองค์(อัลลอฮ์)อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าและเหนือบัลลังค์ บีซาตีฮี(بذاته) ( โดยซาตของพระองค์) อิสระจากการสร้างของพระองค์แยกขาดจากพวกเขา(หรือพวกมัน)(สรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง). ความรู้ของพระองค์อยู่ในการทรงสร้างของพระองค์,พวกเขา(หรือพวกมัน)ไม่สามารถออกไปจากความรู้ของพระองค์ได้.>>(2)
แหล่งอ้างอิง
"อัลอารัช วามา รูวียะห์ ฟีฮี"โดย อาบู ญะฟาร์ บิน อาบี ชัยบะห์(หน้า 291-292)
===============
2. อาบู สะอี๊ด อุศมาน อัลดาริมี(เสีย ฮ.ศ 280) ได้กล่าว:
1. قال أبو سعيد عثمان الدارمي (ت. 280 هـ) : «لأنه قال في آي كثيرة ما حقق أنه فوق عرشه فوق سماواته فهو كذلك لا شك فيه فلما أخبر أنه مع كل ذي نجوى قلنا علمه وبصره معهم وهو بنفسه على العرش بكماله كما وصف.» (1)
(1) الرد على الجهمية للدارمي (ص44)
=================
<< เพราะพระองค์(อัลลอฮ์) ได้กล่าวในหลายโองการว่าพระองค์อยู่เหนือบัลลังค์ของพระองค์, เหนือบรรดาชั้นฟ้า. ดังนั้น มันเหมือนว่า,ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับมัน. ดังนั้นเมื่อพระองค์กล่าวว่าพระองค์อยู่กับทุกการพูดคุยในทางลับ,เรากล่าวว่าความรู้และการเห็นของพระองค์อยู่กับพวกเขาและพระองค์อยู่ด้วยซาต(ตัวที่เป็นพระองค์)(بنفسه) อยู่บนบัลลังค์ในความสมบูรณ์ดีเลิศของพระองค์ตามที่พระองค์พรรณนา.>>(1)
แหล่งอ้างอิง
(1) อัรรอด อาลา อัลญะห์มียะห์"(เป็นการตอบโต้ญะห์มียะห์)โดย อัดดาริมี(หน้า 44)
=================
จากนักวิชาการตามหลังสะลัฟ 3 ท่าน
และจำนวนหนึ่งของอีมามผู้ที่ตามมาหลังสะลัฟได้ให้เหตุผลถึงคำกล่าวนี้ในความหมายไปยังสะลัฟ:
1. อาบู อุมาร์ อัตตาลามางคี อัลมาลีกี(أبو عمر الطلمنكي المالكي)(เสีย ฮ.ศ 429) ได้กล่าวใน "อัลวูซุล อิลลา อะรีฟาต อัลอุศุล":
<<ชาวมุสลิมจากอะห์ลุซซุนนะห์อยู่บนมติเอกฉันท์ว่าความหมายของคำดำรัสของพระองค์(อัลลอฮ์):
สูเราะฮฺ อัล-หะดีดโองการที่ 4
وهو معكم أينما كنتم
.....และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด.....[57:4] และสิ่งที่คล้ายกันจากกุรอาน คือ โดยความรอบรู้ของพระองค์,และอัลลอฮ์ทรงอยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าด้วยซาต(بذاته),มุสตาวิน(مستو)(กระทำอิสตีวา,ได้ขึ้น เป็นต้น)เหนือบัลลังค์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์.>>(4)
2. อาบู นัสร์ อัซซิจซี อัลฮานาฟี (أبو نصر السجزي الحنفي) (เสีย ฮ.ศ 444)ได้กล่าวใน"อัลอิบานะห์": <<อีมามของเรา เช่น ซุฟยาน อัซเซารี,มาลิก,ฮามมัด บิน ซาลามะห์,ฮามมัด บิน ไซดฺ,อับดุลลอฮ์ บิน อัลมุบาราค,อัลฟุดัยลฺ บิน อิยาด,อะห์มัด บิน ฮีมบาล,และอิสฮาก บิน รอฮ์วียะห์ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานาวาตาอาลา อยู่ด้วยซาต(بذاته) เหนือบัลลังค์,และความรู้ของพระองค์อยู่ทุกแห่ง.>>(5)
3. ยะห์ยา อัลอัมรานี อัชชาฟีอี(يحيى العمراني الشافعي)(เสีย ฮ.ศ 558)ได้กล่าวว่า:
อัศฮาบ อัลฮาดิษ(أصحاب الحديث)และซุนนะห์ เชื่อว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานาวาตาอาลา อยู่ด้วยซาต แยกออกจากการสร้าง,บนบัลลังค์ของพระองค์ อิสตาวา(ขึ้น)เหนือบรรดาชั้นฟ้า,โดยไม่สัมผัส,และความรู้ของพระองค์ห้อมล้อมทุกสิ่ง.>>(6)
แหล่งอ้างอิง
(4) "อัลอุลูว"โดยอัดดาฮาบี(หน้า 246);"อิจติมาอฺ อัลญุยุช อัลอิสลามียะห์"โดย อิบนุ ก๊อยยิม(หน้า 142)ตะห์ฆีฆ: เอาวาด อัลมิติฆ.
(5) "กีตาบ อัลอะรัช"(2/341)และ"ซียาร อะลาม อันนุบาลา"(17/656) ทั้งสองโดย อัดซาฮาบี.
(6) "อัลอินติซาร ฟั อัรรอด อะลา อัลมุตาซีละ อัลก๊อดรียะห์ อัลอัชรอร์"โดย อัลอัมรานี(2/607)
=========================
وقد نسبها إلى السلف بالمعنى عدد من الأئمة ممن جاءوا بعدهم:
4. قال أبو عمر الطلمنكي المالكي (ت. 429 هـ) في كتابه "الوصول إلى معرفة الأصول": (أجمع المسلمون من أهل السنة على أن معنى قوله: {وهو معكم أينما كنتم} ونحو ذلك من القرآن: أنه علمه، وأن الله تعالى فوق السموات بذاته، مستو على عرشه كيف شاء.) (4)
5. قال أبو نصر السجزي الحنفي (ت. 444 هـ) في كتابه الإبانة: (أئمتنا كسفيان الثوري، ومالك، وحماد بن سلمة، وحماد بن زيد، عبد الله بن المبارك، والفضيل بن عياض، وأحمد بن حنبل، وإسحاق بن راهويه متفقون على أن الله سبحانه وتعالى بذاته فوق العرش، وعلمه بكل مكان) (5)
6. قال يحيى العمراني الشافعي (ت 558هـ) : (عند أصحاب الحديث والسنة أن الله سبحانه بذاته، بائن عن خلقه، على العرش استوى فوق السموات، غير مماس له، وعلمه محيط بالأشياء كلها) (6)
(4) العلو للعلي الغفار للذهبي (ص246)؛ واجتماع الجيوش الإسلامية لابن القيم (ص142) تحقيق: عواد عبد الله المعتق.
(5) كتاب العرش للذهبي (ج2 ص341)؛ سير أعلام النبلاء أيضا للذهبي (ج17 ص656)، وأيضا كتابه العلو.
(6) الانتصار في الرد على المعتزلة القدرية الأشرار للعمراني (ج2 ص607)
=============================
Firdaus Msd แปล

9566: อะไรคือความแตกต่างระหว่างอารัชและกุรซีของอัลลอฮ์?

9566: 
อะไรคือความแตกต่างระหว่างอารัชและกุรซีของอัลลอฮ์?

ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.

กุรซีคือที่วางพระบาท(موضع قدمي) ของผู้ทรงเมตตา,เป็นไปตามความถูกต้องมากที่สุดของมุมมองนักวิชาการในเรื่องนี้.
อารัช(บัลลังค์)เป็นสิ่งถูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหมดที่อัลลอฮ์ได้สร้าง,เหนือมันพระเจ้าของเราขึ้นไปในรูปแบบวิธีการที่เหมาะสมกับความสง่าผ่าเผยของผู้ทรงอำนาจ.มันมีเสาและถูกแบกโดยผู้แบกผู้เป็นมะลาอีกัตที่มีขนาดใหญ่มหึมา.

พยานหลักฐานสำหรับรายละเอียดด้านบนจะถูกอธิบายข้างล่างนี้,ตามความเห็นของบรรดานักวิชาการ.
มันถูกรายงานว่าอิบนุ มัสอู๊ด ได้กล่าว: ระหว่างฟ้าชั้นแรกและชั้นที่อยู่ด้านบนเป็น(ระยะทางของ) 500 ปี. ระหว่างแต่ละชั้นฟ้าเป็น(ระยะทางของ) 500 ปี.ระหว่างฟ้าชั้นที่ 7 และกุรซีเป็น(ระยะทางของ) 500 ปี. ระหว่างกุรซีและน้ำเป็น(ระยะทางของ) 500 ปี,และบัลลังค์อยู่เหนือน้ำ. อัลลอฮ์อยู่เหนือบัลลังค์,และไม่มีสิ่งใดเลยจากการกระทำของพวกท่านถูกซ่อนเร้นจากพระองค์.(รายงานโดย อิบนุ คุซัยมะห์ ใน อัลอัสมาอฺ วัลซีฟาต,หน้า 401).
รายงานนี้ถูกให้ระดับซอเฮียะโดย อิบนุ ก๊อยยิม ใน อิจติมาอฺ อัลญูยูช อัลอิสลามียะห์,หน้า 100; โดย อัลซาฮาบี ใน อัลอุลูว,หน้า 64).
ชัยคฺ อุไซมีน ได้กล่าว:
ฮาดิษนี้หยุดที่อิบนุ มัสอู๊ด(มันเป็นเมากูฟ),แต่นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่มีความเห็นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง,ดังนั้นมันมาภายใต้หัวเรื่องมัรฟูอฺ[ฮาดิษที่สายรางานกลับไปยังท่านนบีมูฮัมมัดﷺ,เพราะไม่เป็นที่ทราบว่าอิบนุ มัสอู๊ด ได้เอาสิ่งใดจากอิสราอีลียาต[รายงานที่ได้รับจากแหล่งของยิว].
" القول المفيد شرح كتاب التوحيد " ( 3 / 379 )
(al-Qawl al-Mufeed Sharh Kitaab al-Tawheed, 3/379)

อีมาม มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ ได้กล่าว,ในบัญชีสาระสำคัญที่บันทึกจากฮาดิษนี้:

.....(9) ขนาดใหญ่ของกุรซีสัมพันธ์กับบรรดาชั้นฟ้า.

(10) ขนาดใหญ่ของบัลลังค์สัมพันธ์กับกุรซี.

(11) บัลลังค์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กุรซีและน้ำ.

شرح كتاب التوحيد " ( ص 667 ، 668 )
(Sharh Kitaab al-Tawheed, p. 667, 668).

บัลลังค์ของผู้ทรงเมตตาสูงสุดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและกว้างใหญ่มากที่สุดในการสร้างของพระองค์.
อัลลอฮ์ตรัสในสูเราะฮฺ อัล-มุอ์มินูน โองการที่ 116
فَتَعَالَى اللَّهُ الْمَلِكُ الْحَقُّ لَا إِلَٰهَ إِلَّا هُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْكَرِيمِ ( 116 ) 
อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงสัจจะ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระเจ้าแห่งบัลลังก์อันทรงเกียรติ!

ในสูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ โองการที่ 129
....... وَهُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ ( 129 ) 
.....และพระองค์คือเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่”

ในสูเราะฮฺ อัล-บุรูจญ์โองการที่ 15
ذُو الْعَرْشِ الْمَجِيدُ ( 15 ) 
เจ้าของบัลลังก์อันรุ่งโรจน์

อัลกุตูบี ได้กล่าวว่า:
บัลลังก์ถูกกล่าวถึงเป็นของตัวเอง(พระองค์อัลลอฮ์)เพราะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อัลลอฮ์ได้สร้าง; ทุกสิ่งทุกอย่างยังรวมอยู่ในนี้
(Tafseer al-Qurtubi, 8/302, 303).
อิบนุ กาษิร ได้กล่าวว่า:
"และพระองค์คือเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่"[9:129] - อธิบายความหมาย หมายถึง พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง,เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นหลังคาของการสร้าง.

ทุกสิ่งที่สร้างไว้, 
ชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในพวกมันและระหว่างพวกมันอยู่ใต้บัลลังก์ของอัลลอฮ์และอยู่ในอำนาจของพระองค์. ความรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสิ่งและพลังอำนาจของพระองค์ควบคุมทุกสิ่ง,และพระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์ทุกสิ่งทุกอย่าง.
" تفسير ابن كثير " ( 2 / 405 )
(Tafseer Ibn Katheer, 2/405)

และเขาได้กล่าว(ขออัลลอฮ์เมตตาเขา):
"เจ้าของแห่งบัลลังก์"[อัลบุรูจ 85:15] หมายถึง,เจ้าของแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่เหนือสิ่งถูกสร้างทั้งหมด."ผู้ทรงรุ่งโรจน์" - มีสองคำอ่านของคำนี้ (อัลมาญีดالمجيد) ถ้าเป็นคำพูด (อัลมาญีดู) เป็นคำคุณศัพท์ที่อ้างถึงพระเจ้า,ผู้ทรงรุ่งโรจน์, และถ้าเป็นสัมพันธการก (อัลมาญีดี) มันเป็นคำคุณศัพท์หมายถึงบัลลังก์ ความหมายทั้งสองถูกต้อง
" تفسير ابن كثير " ( 4 / 474 )
(Tafseer Ibn Katheer, 4/474).

มาญีด หมายถึง กว้างใหญ่และมีอำนาจในพลัง
มันถูกรายงานจากอาบู สะอี๊ด ว่าท่านนบีมูฮัมมัด ﷺ ได้กล่าว:"ประชาชนจะสิ้นสติในวันฟื้นคืนชีพ; ฉันจะเป็นคนแรกที่จะมีสติ(ฟื้นคืนชีพ),และมูซาจะอยู่ที่นั่น,กำลังจับเสาหนึ่งของบัลลังค์. ฉันไม่รู้ว่าเขาตื่นขึ้นก่อนฉันหรือถ้าเขาได้รับการยกเว้นเพราะเขาได้หมดสติไปที่ภูเขาซีนาย"
(รายงานโดยบุคอรี,3217)

บัลลังค์มีผู้แบกผู้ที่แบกมัน.
อัลลอฮ์ตรัสในสูเราะฮฺ ฆอฟิรโองการที่ 7
الَّذِينَ يَحْمِلُونَ الْعَرْشَ وَمَنْ حَوْلَهُ يُسَبِّحُونَ بِحَمْدِ رَبِّهِمْ وَيُؤْمِنُونَ بِهِ وَيَسْتَغْفِرُونَ لِلَّذِينَ آمَنُوا رَبَّنَا وَسِعْتَ كُلَّ شَيْءٍ رَّحْمَةً وَعِلْمًا فَاغْفِرْ لِلَّذِينَ تَابُوا وَاتَّبَعُوا سَبِيلَكَ وَقِهِمْ عَذَابَ الْجَحِيمِ ( 7 ) 
บรรดาผู้แบกบัลลังก์ และผู้ที่อยู่รอบ ๆ บัลลังก์ ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขา และศรัทธาต่อพระองค์ และอภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา ข้าแต่พระเจ้าของเรา พระองค์ท่านทรงแผ่ความเมตตาและความรอบรู้ไปทั่วทุกสิ่ง ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยแก่บรรดาผู้ลุแก่โทษ และดำเนินตามแนวทางของพระองค์ท่าน และทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษแห่งไพนรก

พวกเขามีขนาดมึมา:
มันถูกรายงานจากญาบิร อิบนุ อับดุลลอฮ์ ว่าท่านรอซูลของอัลลอฮ์ﷺ ได้กล่าวว่า:
"ฉันถูกอนุญาตให้พูดเกี่ยวกับหนึ่งในมะลาอีกัตของอัลลอฮ์,หนึ่งของผู้แบกบัลลังก์. ระยะห่างระหว่างติ่งหูและหัวไหล่ของเขาเป็นระยะทางของ 700 ปีการเดินทาง."
(รายงานโดย อาบู ดาวูด,4727)
อัลฮาฟิซ อิบนุ ฮาญาร ได้กล่าวที่เกี่ยวข้องกับฮาดิษนี้: สายรายงานของมันตรงตามเงื่อนไขของการเป็น(ฮาดิษ)ซอเฮียะ.
" فتح الباري " ( 8 / 665 )
(Fath al-Baari, 8/665)

บัลลังก์อยู่เหนือกุรซี, และอยู่เหนือทั้งหมดของการสร้าง. อิบนุ อัลก๊อยยิม ได้กล่าวว่า:
ถ้าหากอัลลอฮ์อยู่แยกจากการสร้างของพระองค์,ถ้างั้นพระองค์ทรงห้อมล้อมพวกเขา(พวกมัน)หรือพระองค์ไม่ได้(ห้อมล้อมพวกเขา(พวกมัน)).
ถ้าพระองค์ห้อมล้อมพวกเขา(พวกมัน),ดังนั้นพระองค์ต้องอยู่เหนือพวกเขา(พวกมัน),เพราะว่าสิ่งที่ห้อมล้อมต้องมีความจำเป็น(ที่ต้อง)อยู่เหนือสิ่งที่ถูกห้อมล้อม.
ดังนั้นเนื่องจากชั้นฟ้าทั้งหลายล้อมรอบแผ่นดิน(โลก),พวกมัน(ชั้นฟ้าทั้งหลาย)ต้องอยู่เหนือมัน(โลก)และเพราะกุรซี ล้อมรอบชั้นฟ้าทั้งหลาย,มันต้องอยู่เหนือพวกมัน(ชั้นฟ้าทั้งหลาย). และเพราะบัลลังก์ล้อมรอบกุรซี, มัน(บัลลังก์)ต้องอยู่เหนือมัน(กุรซี).
อะไรก็ตามที่ห้อมล้อมทั้งหมดจำเป็นต้องอยู่เหนือมัน.นี้ไม่ได้หมายความว่ามีการสัมผัสทางกายภาพกับสิ่งที่พระองค์(อัลลอฮ์)ห้อมล้อม;ไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันระหว่างพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงห้อมล้อม.

" الصواعق المرسلة " ( 4 / 1308 )
(al-Sawaa’iq al-Mursalah, 4/1308)

บัลลังก์ไม่ได้เป็นทั้งอำนาจการปกครองและกุรซี
อิบนุ อะบิล อิซซัล ฮานาฟี ได้กล่าวว่า:
สิ่งที่ผู้บิดเบือนคำดำรัสของอัลลอฮ์และกล่าวว่าบัลลังก์เป็นการแสดงออกถึงอำนาจการปกครอง(หักล้าง)ด้วยอายัตต่อไปนี้ -
สูเราะฮฺ อัล-ห๊ากเกาะฮฺโองการที่ 17
وَالْمَلَكُ عَلَىٰ أَرْجَائِهَا وَيَحْمِلُ عَرْشَ رَبِّكَ فَوْقَهُمْ يَوْمَئِذٍ ثَمَانِيَةٌ ( 17 ) 
และมะลักก็จะปรากฏอยู่บนเวหาและ (มะลาอิกะฮฺ) จำนวนแปดท่านจะทูนบังลังก์แห่งพระเจ้าของเจ้าไว้เบื้องบนพวกเขาในวันนั้น

สูเราะฮฺ ฮูดโองการที่ 7
وَهُوَ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلًا وَلَئِن قُلْتَ إِنَّكُم مَّبْعُوثُونَ مِن بَعْدِ الْمَوْتِ لَيَقُولَنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا إِنْ هَٰذَا إِلَّا سِحْرٌ مُّبِينٌ ( 7 ) 
..... และบัลลังก์ของพระองค์อยู่เหนือน้ำ .....”

พวกเขาจะกล่าวว่ามะลาอีกัต 8 ท่าน จะแบกอำนาจการปกครองของอัลลอฮ์ และอำนาจการปกครองของอัลลอฮ์อยู่บนน้ำหรือ? มูซาจะจับบนเสาหนึ่งของอำนาจการปกครองของอัลลอฮ์หรืออย่างไร? 
บุคคลคนเดียวกันที่สามารถรู้ได้ว่าเขาพูดอะไรแบบนั้น?

ที่เกี่ยวข้องกับกุรซี,อัลลอฮ์ตรัสใน
สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮ โองการที่ 255
اللَّهُ لَا إِلَٰهَ إِلَّا هُوَ الْحَيُّ الْقَيُّومُ لَا تَأْخُذُهُ سِنَةٌ وَلَا نَوْمٌ لَّهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ مَن ذَا الَّذِي يَشْفَعُ عِندَهُ إِلَّا بِإِذْنِهِ يَعْلَمُ مَا بَيْنَ أَيْدِيهِمْ وَمَا خَلْفَهُمْ وَلَا يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِّنْ عِلْمِهِ إِلَّا بِمَا شَاءَ وَسِعَ كُرْسِيُّهُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ وَلَا يَئُودُهُ حِفْظُهُمَا وَهُوَ الْعَلِيُّ الْعَظِيمُ ( 255 ) 
....กุรซีของพระองค์นั้นกว้างขวางทั่วทั้งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน....

มันถูกกล่าวว่านี่คือบัลลังก์,แต่มุมมองที่ถูกต้องก็คือสิ่งอื่น.สิ่งนี้ถูกส่งมาจากอิบนุ อับบาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)และท่านอื่นๆ. อิบนุ อาบี ชัยบะห์ ได้รายงานในซีฟาตอัลอัรชฺ,และอัลฮากีลิม ได้รายงานใน มุสตัดราคของเขาว่า[รายงานนี้]เข้าเงื่อนไขของสองชัยคฺ[อัลบุคอรีและมุสลิม] ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้รายงานมัน:(มันถูกรายงานจาก)สะอี๊ด อิบนุ ญูเบร์ ว่าอิบนุ อับบาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าวว่า,เกี่ยวกับอายัต
สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮ โองการที่ 255
....กุรซีของพระองค์นั้นกว้างขวางทั่วทั้งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน....

กุรซีคือที่วางพระบาท,และไม่มีใครสามารถคำนวณขนาดบัลลังก์ถึงความใหญ่โตได้นอกจากอัลลอฮ์.
สิ่งนี้ถูกส่งในฐานะเป็นรายงานมันฟู(อ้างถึงท่านนบีมุฮัมมัดﷺ,แต่มุมมองที่ถูกต้องคือมันเป็นเมากูฟ,หยุดที่อิบนุ อับบาส...
อาบู ซาร (รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าวว่า: ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้กล่าว:"กุรซี เกี่ยวข้องกับบัลลังก์เปรียบเหมือนแหวนเหล็กที่ถูกโยนออกไปในดินแดนที่ว่างเปล่า."
และ,หนึ่งในสะลัฟได้กล่าว,(สิ่งที่อยู่)หน้าบัลลังค์มันเป็นเหมือนขั้น(a step).
(بين يدي العرش كالمرقاة إليه" انتهى)

" شرح العقيدة الطحاوية" ( ص 312 ، 313 )
(Sharh al-‘Aqeedah al-Tahhaawiyyah, p. 312, 313).

ชัยคฺ อิบนุ อุไซมีน ได้กล่าวว่า:
มีผู้ที่กล่าวว่ากุรซีเป็นบัลลังก์เพราะมีฮาดิษ,"อัลลอฮ์จะทรงจัดตั้งกุรซี ขึ้นในวันกิยามะฮ์." พวกเขาคิดว่ากุรซีเป็นบัลลังก์.
เช่นเดียวกัน,บางคนอ้างว่ากุรซีเป็นความรู้ของอัลลอฮ์,และกล่าวว่าอายัต
....กุรซีของพระองค์นั้นกว้างขวางทั่วทั้งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน....[2:255]
กล่าวถึงความรู้ของอัลลอฮ์.

มุมมองที่ถูกต้องคือกุรซีเป็นที่วางพระบาท,และบัลลังก์เป็นสิ่งซึ่งพระผู้ทรงเมตตาขึ้นไปเหนือ(อิสตีวา).และความรู้เป็นคุณลักษณะของผู้ทรงรอบรู้ ซึ่งพระองค์เข้าใจในสิ่งที่พระองค์รู้.
ที่มาของแหล่งอ้างอิง
القول المفيد شرح كتاب التوحيد " ( 3 / 393 ، 394 )
(al-Qawl al-Mufeed Sharh Kitaab al-Tawheed, 3/393, 394).

และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
Islam Q&A 
เขียนโดย Sheikh Muhammed Salih Al-Munajjid
แปลโดย Firdaus Msd

ภาพประกอบสวยๆจาก slideplayer.com/slide/4319880/

นิยามของบิดอะห์ อีหม่ามอัชชาฟีอี: บิดอะห์คือสิ่งที่ไม่มีรากฐานจากกุรอาน,ซุนนะฮ์,หรือคำพูดของเหล่าซอฮาบะห์

นิยามของบิดอะห์
อีหม่ามอัชชาฟีอี: บิดอะห์คือสิ่งที่ไม่มีรากฐานจากกุรอาน,ซุนนะฮ์,หรือคำพูดของเหล่าซอฮาบะห์
อิบนุล-เญาซี: บิดอะห์หนึ่งเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของอีบาดัตที่ไม่มีอยู่(ในช่วงเวลาของท่านนบีและซอฮาบะฮ์ของท่าน)แล้วต่อมามันถูกอุตริ
อิบนุ รอญับ: "บิดอะห์เป็นรูปแบบของอีบาดัตที่ไม่มีพื้นฐานในชารีอะห์ซึ่งจะรับประกันศาสนบัญญัตของมัน"
อัช-ชาตีบี: "บิดอะห์เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คล้ายอย่างเหนี่ยวแน่นกับชารีอะห์และถูกมุ่งหมาย(เจตนา)ให้เป็นวิธีหนึ่งของการอีบาดัตต่ออัลลอฮ์

จุดจบของไดโนเสาร์ - ความจริงที่ถูกเปิดเผยในที่สุด(ปี 2019)

จุดจบของไดโนเสาร์ - ความจริงที่ถูกเปิดเผยในที่สุด(ปี 2019)
End of Dinosaurs - Truth Has Been Finally Revealed (2019)
เครดิต Sense Islam
เผยแพร่เมื่อ 26 เม.ย. 2019
ไดโนเสาร์ปรากฏตัวครั้งแรกในช่วง Triassic ระหว่าง 243 ถึง 233.23 ล้านปีที่แล้ว .. ในวิดีโอนี้เราจะแสดงให้คุณเห็นว่าไดโนเสาร์ตายอย่างไรและความจริงที่อยู่เบื้องหลังมัน ... ตามการวิจัยไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อดาวหางขนาดใหญ่หรือดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ ชนโลก.เมื่อกระทบกับควันและฝุ่นปกคลุมทั่วทั้งโลก. ดาวหางเองไม่ได้พุ่งเข้าหาไดโนเสาร์ แต่มันเป็นควันและฝุ่นที่ปิดกั้นแสงอาทิตย์ซึ่งได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติมากมาย..
ซึ่งตามคลิป เขายกโองการนี้ เป็นหลักฐาน
أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّهَ يُزْجِي سَحَابًا ثُمَّ يُؤَلِّفُ بَيْنَهُ ثُمَّ يَجْعَلُهُ رُكَامًا فَتَرَى الْوَدْقَ يَخْرُجُ مِنْ خِلَالِهِ وَيُنَزِّلُ مِنَ السَّمَاءِ مِن جِبَالٍ فِيهَا مِن بَرَدٍ فَيُصِيبُ بِهِ مَن يَشَاءُ وَيَصْرِفُهُ عَن مَّن يَشَاءُ ۖ يَكَادُ سَنَا بَرْقِهِ يَذْهَبُ بِالْأَبْصَارِ ( 43 )
"เจ้ามิได้เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงให้เมฆลอย แล้วทรงทำให้ประสานตัวกันแล้วทรงทำให้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วเจ้าก็จำเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุ่มเมฆนั้น และพระองค์ทรงให้มันตกลงมาจากฟากฟ้า มีขนาดเท่าภูเขา ในนั้นมีน้ำแข็งในพวกมันแล้วพระองค์ทรงให้มันหล่นลงมาโดนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์จะทรงให้มันผ่านพ้นไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แสงประกายของสายฟ้าแลบเกือบจะเฉี่ยวสายตาผู้มอง"
ในสิ่งซึ่ง พระองค์อัลลอฮ์ได้เปิดเผย
ในส่วนที่ว่า
"...และพระองค์ทรงให้มันตกลงมาจากฟากฟ้า มีขนาดเท่าภูเขา ในนั้นมีน้ำแข็งในพวกมันแล้วพระองค์ทรงให้มันหล่นลงมาโดนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์จะทรงให้มันผ่านพ้นไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แสงประกายของสายฟ้าแลบเกือบจะเฉี่ยวสายตาผู้มอง'
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด
@@@@@
ดาวหาง คือ วัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเบิดเป็นแก๊สเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดชั้นฝุ่นและแก๊สที่ฝ้ามัวล้อมรอบ และทอดเหยียดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหาง นิวเคลียสหรือใจกลางดาวหางเป็น "ก้อนหิมะสกปรก" ประกอบด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนอยู่ด้วยกัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร

434 : ความเชื่อของชาวมุสลิมเกี่ยวกับปลายทางของผู้ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวที่ไม่ใช่มุสลิมในโลกหน้า

434 : ความเชื่อของชาวมุสลิมเกี่ยวกับปลายทางของผู้ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวที่ไม่ใช่มุสลิมในโลกหน้า
คำถาม
อะไรที่ชาวมุสลิมเชื่อ ที่จะเกิดในโลกหน้ากับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
ความสนใจของคุณในการศึกษาอิสลามเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ,ซึ่งเราชื่นชม.ทุกคนควรควรแสวงหาความจริงที่ไหนก็ตามที่มันอาจอยู่,และทำตามมัน แม้ว่ามันแตกต่างจากแนวทางของบรรพบุรุษของพวกเขาหรือศาสนาของประเทศหรือสังคมในที่พวกเขาอาศัย,เพราะการรอดพ้นภัยจากไฟนรกในวันฟื้นคืนชีพมีความสำคัญกว่าสิ่งใดๆ.
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่นักศึกษามุสลิมควรทำคือศึกษาข้อมูลอ้างอิงของอิสลามที่ถูกต้อง,เพื่อที่จะเข้าใจสภาพจริงของศาสนานี้.ตัวอย่างเช่น คนหนึ่งควรพิจารณาคำแปลความหมายของกุรอานและฮาดิษ(คำพูด)ของท่านนบี (ﷺ)ของอิสลาม,มุฮัมมัด.ให้แน่ใจว่าคำแปลถูกต้อง.แต่การอ่านหนึ่งสือที่ถูกเขียนโดยผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม,หรือโดยมุสลิมผู้ที่ไม่เข้าใจจริงหรือการปฏิบัติที่(ไม่)ถูกต้องในศาสนาของพวกเขา,ไม่ใช่วิธีการทางวิชาการหรือวิธีการที่ถูกต้องในการค้นหาความจริง.
กลับมาที่คำถามของคุณ,อะไรที่ชาวมุสลิมเชื่อ(ในสิ่งที่)จะเกิดกับเอทิสต์(ผู้ปฏิเสธพระเจ้า)?หรือสำหรับเรื่องนั้น,แล้วที่เกี่ยวกับผู้ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวผู้ที่ไม่ใช่เป็นมุสลิม? ชะตาของพวกเขาจะอยู่ในนรกในโลกหน้าหรือไม่? คำตอบคือ อัลลอฮ์นั้นได้สร้างทุกสิ่งอย่างชัดเจน,ได้ส่งความโปรดปรานของพระองค์บนการสร้างของพระองค์,และได้ส่งศาสนฑูตและได้เปิดเผยคัมภีร์เพื่อบอกพวกเขาว่า ใครก็ตามเชื่อและอีบาดัต(เคารพสักการะ)ในพระองค์เท่านั้น,ไม่ตั้งภาคีใดๆอีกนอกจากพระองค์,หรือเอาพระเจ้าอื่นๆมาแทนที่พระองค์,หรือกล่าวว่าพระองค์มีภรรยาหรือบุตร,หรือพูดว่าฑูตสวรรค์เป็นลูกสาวของพระองค์,หรือทำตามกฎหมายหนึ่งนอกจากสิ่งซึ่งพระองค์ได้เปิดเผยเพื่อตัดสินระหว่างประชาชนในความจริง,หรือหันหลังให้ศาสนาของพระองค์,จะถูกลงโทษในโลกหน้ากับการลงโทษในนรกตลอดกาล. นี่เป็นความยุติธรรมจริงๆ,และสิ่งนี้จะเป็นชะตากรรมที่สมควรได้รับโดยผู้ที่ไม่ได้ให้ผู้ทรงสร้างของเขาสิทธิที่ควรจะได้รับของพระองค์.
การเคารพสักการะแด่อัลลอฮ์,การเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์และการยึดมั่นในคำสั่งห้ามของพระองค์เป็นเรื่องพื้นฐาน,แต่พวกเขาสร้างปัจจัยของความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับการสร้างของพระองค์.อัลลอฮ์ตรัส:
وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالْإِنسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ ( 56 ) 
และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า

[อัซ-ซาริยาต 51:56]
บรรดาศาสนฑูตถูกส่งกับหนึ่งถ้อยคำ: เพื่อบอกประชาชนของพวกเขา"เคารพสักการะอัลลอฮ์,สำหรับพวกเจ้าไม่มีพระเจ้าใดๆนอกจากพระองค์."
ดังนั้น เราอาจเข้าใจว่าสั้น แต่แค่ไหนที่คนหนึ่งล้มเหลว ผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮ์มีเพียงหนึ่งเดียวและไม่ตั้งภาคีใดๆกับพระองค์,แต่แข็งขืนต่อพระองค์และล้มเหลวในการปฏิบัติตามศาสนาหรือกฎหมายของพระองค์,หรือการเปิดเผยและศาสนฑูตซึ่งพระองค์ได้ส่งสำหรับเขาและประชาชนชอบเขา.คนเช่นนี้ควรที่จะเข้าสวรรค์หรือนรก?
นี่คือคนที่กล่าว:"ฉันเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวผู้ที่ได้สร้างจักรวาล,แต่ฉันจะหยุดที่ตรงนั้น; ฉันจะไม่ละหมาดต่อพระองค์หรือถือศีลอดหรือกระทำฮัจญ์หรือจ่ายซากาตตามที่พระองค์สั่ง.ฉันจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ใดๆกับพระองค์; ฉันจะทำตามความประสงค์ของตนเองและกระทำอะไรก็ตามที่ฉันต้องการ,ไม่ว่าพระองค์อนุญาตหรือห้ามมัน."คนเช่นนี้ได้รับความรอดพ้นในวันฟื้นคืนชีพหรือไม่?
อัลลอฮ์ได้ส่งศาสนฑูตไปยังทุกประชาชาติ,ว่าพวกเขาอาจเคารพสักการะต่อพระองค์และหลีกเลี่ยงพระเจ้าจอมปลอม. ประชาชาติสุดท้ายคือ อุมมะห์นี้,และศาสนฑูตท่านสุดท้ายคือมุฮัมมัด (ﷺ). อัลลอฮ์ได้ส่งเขาสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด,โลกโดยสิ้นเชิง,และดังนั้นได้เลิกกฎหมายก่อนหน้านี้และได้ทำให้ศาสนานี้ดีที่สุดและสมบูรณ์มากที่สุด. ดังนั้นมันเป็นภาระจำเป็นสำหรับทุกคนที่จะเข้าสู่ศาสนานี้,เพราะอัลลอฮ์ตรัส:
وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ ( 85 ) 
และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน

[อาล อิมราน 3:85]
บนพื้นฐานนี้,ชะตาของคนที่กล่าวว่า"ฉันเชื่อในแนวคิดที่ว่าพระเจ้ามีองค์เดียว,แต่ฉันไม่ต้องการเป็นมุสลิม,หรือไม่ต้องการทำตามการเปิดเผยครั้งสุดท้าย(อัลกุรอาน)หรือศาสนฑูตท่านสุดท้าย(มุฮัมมัด," เป็นความชัดเจน.
นอกจากนี้ชะตากรรมของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าซึ่งปฏิเสธแม้แต่ความเชื่อในพระเจ้าก็ชัดเจนและชัดเจนมากขึ้น.
สุดท้ายนี้,ฉันหวังว่าเรื่อง ณ ตอนนี้ เป็นที่ชัดเจนกับคุณ. ฉันขออัลลอฮ์ให้นำทางเราทั้งหมดสู่ความจริงและช่วยเหลือเราให้ได้ปฏิบัติตามมัน,สำหรับพระองค์ คือ ผู้คำ้จุนที่ดีที่สุดและผู้ช่วยเหลือที่ดีที่สุด.
ผู้เขียน: Sheikh Muhammed Salih Al-Munajjid
แปลโดย Firdaus Msd

21124: อะไรคือเครื่องหมายของพ่อมด(หมอผี),หมอดูและนักทำนาย? เราสามารถบอกอย่างไรว่าพวกเขาคือใคร?

21124: อะไรคือเครื่องหมายของพ่อมด(หมอผี),หมอดูและนักทำนาย? เราสามารถบอกอย่างไรว่าพวกเขาคือใคร?
คำถาม
(1)เราสามารถรู้จักหมอผีและหมอกำมะลอ(คนล่อลวง),และเหล่าผู้ที่ใช้ กุรอานเป็นวิธการรักษาได้อย่างไร? 
(2)มันอนุญาตให้ขอความช่วยเหลือ(จากญินที่เป็นมุสลิมหรือไม่?
(3)ท่านสามารถส่งบางส่วนของบทดุอาที่ถูกเล่าจากท่านนบีสำหรับผู้ที่ได้รับความทุกข์จากความยากจนหรือคนที่หาเลี้ยงชีพที่ยากลำบากหรือไม่?
(4)ท่านสามารถบอกฉันเกี่ยวกับเวทมนต์ที่ทำให้เกิดความยากจน,และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะหลีกเลี่ยงมันและกำจัดมันด้วยตัวเอง?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
หมอผีและหมอกำมะลออาจถูกจำแนกออกโดยจำนวนหนึ่งของสิ่งต่างๆ,ในท่ามกลางสิ่งสำคัญมากที่สุดของสิ่งนั้นคือ: การอ้างของเขาว่ารู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น(الغيب); แม้ว่าเขาไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน,คุณจะพบว่าเขาพูดถึงเรื่องราวจากสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งอาจเป็นเรื่องโกหกและความเท็จทั้งหมด.บางอย่างของสิ่งที่เขาพูดอาจเป็นจริง แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง,แต่เรื่องโกหกจะถูกมองข้ามเพราะมีสองสามสิ่งที่กลายเป็นจริง. ในทำนองเดียวกัน,จะมีการขาดความชอบธรรม,เพราะคุณจะไม่พบว่าพวกเขามีความกระตือรือร้นในการทำอีบาดัต.บ่อยครั้งที่พวกเขาถูกเปิดเผย,โดยเฉพาะในเรื่องการโกหกของพวกเขา,และในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง.บ่อยครั้งที่พวกเขาทำในสิ่งที่ฮารอมเกี่ยวกับผู้หญิงเช่น การอยู่ตามลำพังกับพวกเธอหรือสัมผัสผู้หญิงโดยใช้ข้ออ้างในการรักษา.
ชัยค์ สะอัด อัล-ฮุมัยด์.
อีกเครื่องหมายของนักทำนาย,หมอผีและหมอดูคือ พวกเขาจะขอชื่อของบุคคลผู้ที่ได้มาที่พวกเขา; บ่อยครั้งที่พวกเขาใช้บุคฮูร(ธูป)และวัสดุที่แปลกๆ; พวกเขาอาจเขียนกุรอานกับสารที่ไม่บริสุทธ์(ผิดศีลธรรม)และเลือดประเดือน; พวกเขาอาจขอให้บุคคลหนึ่งถวายเครื่องบูชาแก่ผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮ์;พวกเขาใช้แหวนขนาดใหญ่; พวกเขาอาจไม่ทำฆุซล์(อาบน้ำฮาดัสใหญ่)หลังจากญานาบะห์(ความไม่สะอาดหลังมีเพศสัมพันธ์);พวกเขาอาจพึมพำคำที่แปลกและลึกลับ; พวกเขาอาจใช้สัญญาณลับและเสน่ห์;พวกเขาอาจแกล้งอ่านอัลกุรอานในตอนแรกเพื่อตบตาคนที่มาหาพวกเขา.
เราขออัลลอฮ์คุ้มครองเราจากเลห์เหลี่ยมของพวกเขา,สำหรับพระองค์เป็นผู้คุ้มครองที่ดีที่สุดและเมตตามากที่สุดจากบรรดาผู้ที่แสดงความเมตตา.
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd

286773: เขาควรทำประกันภัยที่ครอบคลุม(ประกันภาคสมัครใจ เช่นประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 เป็นต้น)สำหรับรถของเขาเพื่อที่ บริษัท จะชดเชย(จ่ายทดแทน)ให้เขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจ่ายหรือไม่?

286773: เขาควรทำประกันภัยที่ครอบคลุม(ประกันภาคสมัครใจ เช่นประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 เป็นต้น)สำหรับรถของเขาเพื่อที่ บริษัท จะชดเชย(จ่ายทดแทน)ให้เขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจ่ายหรือไม่?
ลงเผยแพร่ : 27-04-2019
คำถาม
ฉันมีสองคำถาม.
คำถามแรกคือ: ฉันมีรถยนต์หนึ่งคัน,และฉันจ่ายประกันภัยภาคบังคับเท่านั้น,ตามที่กฎหมายกำหนด; ฉันหลีกเลี่ยงประกันภัยที่กินกว้าง(ครอบคลุม).แต่หลายปีผ่านไป,ฉันพบว่าจำนวนที่ฉันได้จ่ายเป็นจำนวน(เงิน)ที่มาก,ประมาณ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ.ฉันไม่มีวิธีการเอาเงินคืนกลับจากบริษัทยกเว้นฉันทำประกันบ้าน,หรือฉันเอาประกันที่ครอบคลุม(ประกันภาคสมัครใจ เป็นต้น).เพื่อที่ฉันสามารถเอาเงินทดแทน(ค่าชดเชย)ได้เท่าเทียมกับจำนวน(เงิน)ที่ฉันได้จ่าย. อนุญาตสำหรับฉันที่จะกระทำสิ่งนี้หรือไม่?

ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
ประการที่หนึ่ง:
ประกันภัยรถยนต์เชิงพาณิชย์และทรัพย์สินคือฮารอม(ถูกห้าม)เพราะมีพื้นฐานมาจากเรื่องดอกเบี้ยขูดเลือดและการพนัน,ตามที่เราได้ชี้แจงมาก่อนหน้านี้ในคำตอบจากคำถามหมายเลข 8889.
ประการที่สอง:
หากว่าคนหนึ่งถูกบังคับให้เอาประกันภัยรถยนต์เชิงพานิชย์(ประกันภาคสมัครใจ เช่น ประกันชั้น 1 หรือ 2 และอื่นๆ),มันอนุญาตสำหรับเขาที่จะกระทำสิ่งนั้น(เช่น ซื้อรถป้ายแดง บริษัทมีโปรโมชั่นแถมประกันชั้น 1 เป็นต้น),แต่เขาควรจำกัดมันกับทางเลือกที่ต่ำสุด,และไม่ล้ำเส้นจุดหมายนั้น,เพราะสิ่งที่จำเป็นควรได้รับการประมาณการอย่างเหมาะสมโดยไม่ประมาณค่าสูงเกินไป.ดังนั้นเขาควรทำประกันภัยบุคคลที่สามที่เกี่ยวกับรถไม่ใช่ประกันที่ครอบคลุม(กินกว้าง)(เช่น ประกันชั้น 1 เป็นต้น).
ชัยค์ ยูซุฟ อัช-ชุบัยลี(ฮะฟิซฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ถ้าหากกฎหมายในประเทศนั้นที่ซึ่งบุคคลอยู่ ทำให้จำเป็น(ถูกบังคับตามกฎหมายเป็นต้น)ต้องทำประกันภัยรถยนต์,ไม่เช่นนั้น เขาจะถูกถือว่าทำผิดกฎหมาย,เมื่อนั้นอนุญาตให้ทำประกันภัยในกรณีนี้ได้เนื่องจากมีความจำเป็นที่บังคับให้ทำเช่นนั้น.
แต่เขาควรเข้าใจว่าหากกฎหมายใช้บังคับให้ประกันบุคคลที่สามเท่านั้น,หรือเป็นตัวเลือกที่ต่ำกว่านั้น,ดังนั้นมันไม่อนุญาตให้ทำมากกว่านั้น,
เพราะอะไรที่มากกว่านั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยความจำเป็น. หนึ่งในหลักการที่กำหนดในกฎหมายอิสลาม คือว่า
สิ่งที่จำเป็นควรถูกประมาณการอย่างเหมาะสม,โดยที่ไม่ประมาณการสูงเกินไป.จบอ้าง.

ประการที่สาม:
มันไม่อนุญาตให้คุณทำประกันบ้านของคุณได้หากไม่ได้ถูกใช้วิธีการบังคับให้ทำเช่นนั้น,และไม่อนุญาตให้คุณทำประกันครอบคลุม(กินกว้าง)เพื่อให้ได้ถูกชดเชยจำนวนเงินที่คุณจ่ายไป,เพราะดอกเบี้ย(ริบา)ไม่ได้รับอนุญาตยกเว้นในกรณีของความจำเป็น(เช่น ถูกบังคับ),และไม่มีความจำเป็นในกรณีนี้.
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เหวี่ยง(โยน,ขว้าง)เข้าสู่นรก


ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เหวี่ยง(โยน,ขว้าง)เข้าสู่นรก

นำมาจากซิลซิละห์ อะฮาดิษ อัซ-ซอฮีฮะห์ ของ ชัยค์ อัล-อัลบานี แปลโดย อับบาส อาบู ยะห์ยา

จาก อับดุลอาซิซ บิน อัล-มุฆตัร บิน อับดุลลอฮ์ อัด-ดานาจ ผู้ที่ได้กล่าว เขาสังเกตอาบู ซัลมะห์ บิน อับดุรรอฮ์มาน กำลังนั่งในมัสยิดหนึ่ง ในเวลาของคอลิด บิน อุสัยด์; เขาได้กล่าว อัล-ฮาซัน ได้มาและนั่งกับเขา,และอาบู ซัลมะห์ ได้เล่ากับเราว่าอาบู ฮูรอยเราะห์ ได้เล่าจากท่านนบี(ﷺ) ผู้ที่ได้กล่าว:

” الشمس والقمر ثوران مكوران في النار يوم القيامة “.

'ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทั้งสองจะม้วนและปะทุในไฟนรกในวันพิพากษา.'

ดังนั้นอัล-ฮาซัน ได้ถาม: 'อะไรคือบาปของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์?!'

อาบู ซัลมะห์ ได้กล่าว:'สิ่งที่ฉันทำคือการเล่าให้ท่านฟังจากรอซูลุลลอฮ์

ดังนั้น อัล-ฮาซัน คงไว้ซึ่งความเงียบ.'

ถูกรวบรวมโดย อีหม่าม ฏอฮาวี ใน มุชกิล อัล-อะซาร์ (1/66-67)

ถูกรวบรวมโดย อัล-บัยฮากี ใน หนังสืออัล-บาอฺ-อาด สา นาชูร.โดยบาซาร ด้วย,อัล-อิสมาอิลี และ อัล-คอตตาบี ทั้งหมดโดยวิธีของยุนุส บิน มุฮัมมัด ว่า อับดุลอาซิซ บิน อัล-มุฆตัร ได้เล่ากับเรา ด้วยคำรายงานนี้.

ฉัน(อัลบานี)กล่าว: อิสนัดนี้ ซอฮิฮ์ บนเงื่อนไขของอีหม่ามบุคอรี,และเขาได้เล่ามันในหนังสือของเขา เป็นซอฮิฮ์ ใน รูปแบบที่ถูกสรุป และเขาได้กล่าว: มุสสาดาด ได้เล่ากับเราว่า เขาได้กล่าว อัลดุลอาซิซ บิน อัล-มุฆตาร์ ได้เล่ากับเรากับสำนวน.'

'ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทั้งสองจะม้วนในไฟนรกในวันพิพากษา.'

ความหมายของฮาดิษ

ความมุ่งหมายของฮาดิษ ไม่ใช่สิ่งที่ อัล-ฮาซัน อัล-บัสรี เข้าใจ(ทึกทัก), ว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะอยู่ในไฟนรกถูกลงโทษ เป็นการลงโทษสำหรับพวกมัน,ไม่เป็นอันขาด,โดยความจริง อัลลอฮ์ - อัซซาวาญัล - ไม่ลงโทษ เขาผู้ที่เชื่อฟังพระองค์จากการสร้างของพระองค์,และจากการสร้างนั้นคือ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์,เป็นสิ่งที่ อัลลอฮ์ ตาบารอก วา ตาอาลา ตรัส บ่งชี้ถึง

أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّهَ يَسْجُدُ لَهُ مَنْ فِي السَّمَاوَاتِ وَمَنْ فِي الْأَرْضِ وَالشَّمْسُ وَالْقَمَرُ وَالنُّجُومُ وَالْجِبَالُ وَالشَّجَرُ وَالدَّوَابُّ وَكَثِيرٌ مِنَ النَّاسِ وَكَثِيرٌ حَقَّ عَلَيْهِ الْعَذَابُ
<<เจ้ามิได้เห็นหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์เท่านั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และผู้ที่อยู่ในแผ่นดิน และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลาย และภูเขาทั้งหลาย และต้นไม้ และสัตว์ ทั้งหลาย และส่วนมากของมนุษย์ ต่างก็สุญูดนอบน้อมต่อพระองค์? แต่มี(มนุษย?์)จำนวนมากที่การลงโทษจะเหมาะสมคู่ควรแก่เขา ...">>

อัลลอฮ์-ตาอาลา-กล่าวว่าการลงโทษของพระองค์เป็นการสมควรสำหรับเหล่าผู้ที่เคารพสักการะผู้อื่นนอกจากอัลลอฮ์-ตาอาลา-ในโลกนี้.เหมือน เช่น โอฮาวี กล่าว เพราะฉะนั้น เมื่ออัลลอฮ์โยนพวกมันสู่ไฟนรก,เมื่อนั้นสิ่งนี้สามารถมีความหมายสองทาง:

ทางที่หนึ่ง: พวกมันเป็นเชื้อเพลิงสำหรับไฟนรก.

อัล-อิสมาอิลี ได้กล่าว:

'มันไม่จำเป็นว่าการที่จะต้องถูกวางลงในไฟนรกหมายถึงพวกมันจะถูกลงโทษ,เพราะโดยข้อเท็จจริง อัลลอฮ์ มี มะลาอีกะฮ์ และก้อนหิน และสิ่งอื่นๆในไฟนรก,เพื่อที่พวกมันเป็นการลงโทษสำหรับชาวนรก และเครื่องมือหนึ่งจากเครื่องมือของการลงโทษ,และอัลลอฮ์กระทำอะไรที่พระองค์ทรงประสงค์ของการลงโทษนั้น,แต่มะลาอีกะฮ์และก้อนหินจะไม่ถูกลงโทษ.'

ทางที่สอง:

มันทั้งสองถูกโยนสู่ไฟนรกเพื่อความสำนึกผิดสำหรับเหล่าผู้ที่เคารพสักการะพวกมัน.

อัล-ฆอตตาบี ได้กล่าว:

'ความตั้งใจของพวกมันที่อยู่ในนรกไม่ใช่ว่าพวกมันจะถูกลงโทษที่นั่น,แต่พวกมันจะเป็นความสำนึกผิดสำหรับเหล่าผู้ที่เคารพสักการะพวกมันในดุนยา,เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้ว่าการเคารพสักการะต่อพวกมันของพวกเขาเป็นความเท็จ.'

ฉันกล่าว: นี่เป็นถ้อยคำที่ใกล้เคียงมากที่สุดของฮาดิษสิ่งที่สนับสนุนคำอธิบายนี้คือ ในฮาดิษของอนัส ที่รวบรวมโดย อาบู ยะลา ตามที่ถูกกล่าวถึงในฟัตฮุลบารี (6/214) มันกล่าว:

'เพื่อให้บรรดาผู้ที่เคยเคารพสักการะพวกมันสามารถเห็นพวกมันได้.'

แต่ฉันไม่ได้เห็นมันใน'มุสนัดของเขา'และอัลลอฮ์ ตาอาลา รู้ดีที่สุด.

[ถอดมาจาก ซิลซีละห์ อะฮาดิษ อัซ-ซอฮีฮะห์ ชุดที่ 1 หมายเลข 124]


แปลโดย Firdaus Msd

การตามมัซฮับนั้นไม่ผิดสำหรับคนอาวามที่ไม่สามารถค้นหาหลักฐานเองได้ แต่ไม่ใช่การผูกขาดและยึดติดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเมื่อเจอหลักฐานที่เศาะเฮียะ

การตามมัซฮับนั้นไม่ผิดสำหรับคนอาวามที่ไม่สามารถค้นหาหลักฐานเองได้ แต่ไม่ใช่การผูกขาดและยึดติดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเมื่อเจอหลักฐานที่เศาะเฮียะ 

ซึ่งการยึดติดมัซฮับแบบนี้ไม่ใช่หลักการตามมัซฮับที่ถูกต้อง
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านกล่าวว่า)

وَاعْلَمْ : أَنَّهُ لَا خِلَافَ فِي أَنَّ رَأْيَ الْمُجْتَهِدِ ، عِنْدَ عَدَمِ الدَّلِيلِ ، إِنَّمَا هُوَ رُخْصَةٌ لَهُ ، يَجُوزُ لَهُ الْعَمَلُ بِهَا عِنْدَ فَقْدِ الدَّلِيلِ ، وَلَا يَجُوزُ لِغَيْرِهِ الْعَمَلُ بِهَا بِحَالٍ مِنَ الْأَحْوَالِ ، وَلِهَذَا نَهَى كِبَارُ الْأَئِمَّةِ عَنْ تَقْلِيدِهِمْ ، وَتَقْلِيدِ غَيْرِهِمْ

พึงทราบเถิดว่า ไม่มีการขัดแย้ง เกี่ยวกับความเห็นของมุจญตะฮิด ขณะที่ไม่มีหลักฐาน ความจริงมันเป็นการผ่อนปรนสำหรับเขา ,อนุญาตให้เขาปฏิบัติด้วยมัน ขณะที่ไม่มีหลักฐาน และไม่อนุญาตให้ผู้อื่นจากเขา ปฏิบัติด้วยมัน จะด้วยโอกาสใดๆก็ตาม และเพราะเหตุนี้ บรรดาอิหม่ามผู้อวุโส ได้ห้ามเชื่อตามพวกเขา และห้ามเชื่อตามผู้อื่น – ดู อิรชาดุลฟุหูล เล่ม 2 หน้า 764

____

การผ่อนปรนให้มุจญตะฮิดปฏิบัติตามความเห็นของเขาได้ในกรณีไม่มีหลักฐาน แต่ไม่อนุญาตให้คนอื่นปฏิบัติตามความเห็นนั้น เพราะเหตุนี้บรรดาอิหม่ามผู้อวุโสจึงห้ามตักลิด(ปฏิบัติตาม)พวกเขาและคนอื่น โดยปราศจากหลักฐาน
คำว่าตักลิดคือ
التَّقْلِيدُ هُوَ قَبُولُ قَوْلٍ بِلَا حُجَّةٍ
ตักลิดคือ การรับเอาคำพูดใดๆ โดยไม่มีหลักฐาน
– อัลมุสตัศฟา หน้า 371

การตักลิดมัซฮับแบบผูกขาดกับทัศนะคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะนั้น ไม่ได้เป็นแนวทางของสะลัฟยุคก่อน


อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وأما التقليد ؛ الذي خالف فيه المتأخرون ؛ الصحابة , وغيرهم ؛ من القرون المفضلة , المشهود لهم بالخير ؛ فهو تقليد رجل واحد معين ؛ دون غيره من جميع العلماء .
สำหรับการตักลิด ที่บรรดาคนยุคหลัง มีความแตกต่าง กับเหล่าเศาะหาบะฮ และอื่นจากพวกเขา จากบรรดาศตวรรษที่ประเสริฐ ที่เป็นประจักษ์ด้วยความดีงามสำหรับพวกเขาคือ การตักลิด(การเชื่อตาม)คนๆเดียวเป็นการเฉพาะ โดยไม่ตามคนอื่นจากเขา(อื่นจากอุลามาอฺที่เขาสังกัดอยู่)จากบรรดาอุลามาอฺทั้งหมด
– ดูตัฟสีรอัฎวาอุลบะยาน เล่ม 7 หน้า 307

กล่าวคือ การตักลิดตามของคนในสมัยเศาะหะบะฮ และคนในยุคสะลัฟ เขาไม่ผูกขาด หรือเจาะจงตามเพียงคนเดียว และจะไม่ตามอุลามาอฺคนอื่นๆ เหมือนกับคนยุคหลัง เพราะคนยุคหลังตามมัซฮับแบบผูกขาด มัซฮับใดมัซฮับหนึ่งเป็นการเฉพาะ แบบเอาปลอกคอมาใส่
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) ได้กล่าวถึงพฤติกรรมของคนที่ยึดติดกับมัซฮับแบบผูกขาดว่า

رأي المقلدة لمذهب إمام يزعمون أن إمامهم هو الشريعة ، بحيث يأنفون أن تنسب إلى أحد من العلماء فضيلة دون إمامهم ، وحتى إذا جاءهم من بلغ درجة الاجتهاد وتكلم في المسائل ولم يرتبط إلى إمامهم رموه بالنكير

ความเห็นของคนตักลิดมัซฮับอิหม่าม นั้น พวกเขา เขาใจว่าอิหม่ามของพวกเขาคือ ชะรีอะฮ(ศาสนบัญญัติ) โดยที่พวกเขาปฏิเสธ การอ้างอิง ความประเสริฐ ให้แก่คนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอฺ อื่นจากแก่อิหม่ามของพวกเขา

และจนกระทั่ง เมื่อผู้ที่อยู่ในระดับขั้นอิจญติฮาด(มุจญตะฮิด) มายังพวกเขา และเสวนาในบรรดาประเด็นต่างๆ โดยที่เขาผู้นั้นไม่ได้ผูกมัดกับอิหม่ามของพวกเขา (ที่พวกเขาสังกัดอยู่) พวกเขาก็จะกล่าวหาเขาผู้นั้น ด้วยการปฏิเสธ –อัลเอียะติศอม เล่ม 2 หน้า 843 


คือ คนที่ตักลิดอิหม่ามมัซฮับ เขาเข้าใจว่า อิหม่ามของเขาคือ ศาสนบัญญัติ หมายถึงเป็นมาตรฐานในหุกุมศาสนา และพวกเขาถือว่าอิหม่ามของเขาดีกว่าอิหม่ามอื่น ใครก็ตามที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับมุจญตะฮิด หากนำคำสอน ไม่ตรงกับอิหม่ามของพวกเขา ก็จะถูกพวกเขากล่าวหา ด้วยการปฏิเสธ

เพราะฉะนั้น การตามมัซฮับ นั้นต้องมีเหตุผลและมีสติ หากความคิดเห็นในมัซฮับขัดแย้งกับหะดิษ หรือความเห็นของมัซฮับอื่นมีหลักฐานที่มีน้ำหนักกว่า เขาก็เปิดกว้างในการยอมรับและนำมาปฏิบัติ

หลักการในการตามมัซฮับที่อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวไว้

اختلف العلماء في الصلاة الوسطى. فنص الشافعي: أنها الصبح . وقال صاحب (الحاوي): نص الشافعي أنها الصبح. وصحت الأحاديث، أنها العصر . ومذهبه ، اتباع الحديث، فصار مذهبه: أنها العصر. قال : ولا يكون في المسألة قولان. كما وهم بعض أصحابنا. والله أعلم

บรรดานักวิชาการ มีความเห็นต่างกัน ในความหมายคำว่า "เศาะลาตุลวุสฎอ(ละหมาดกลาง) และเจ้าของหนังสืออัลหาวีย์ กล่าวว่า อัชชาฟิอี ได้ระบุว่า แท้จริงมันคือ ละหมาดศุบฮิ ทั้งที่ บรรดาหะดิษ รายงานเศาะเฮียะนั้น มันคือ ละหมาดอัศรี และมัซฮับของเขา(ของชาฟิอี)นั้น ให้ปฏิบัติตามหะดิษเศาะเฮียะ ดังนั้น มัซฮับของเขา จึงกลายเป็นว่า แท้จริงมันคือละหมาดอัศริ เขากล่าวว่า ในประเด็นเดียวจะไม่เป็น สองทัศนะ ดังสิ่งที่ ส่วนหนึ่งของบรรดาสหายของเรา(หมายถึงปราชญมัซฮับชาฟิอี) เข้าใจผิดพลาด -วัลลอฮุอะลัม - เราเฎาะฮอัฏฏอลิบีน เล่ม 1 หน้า 293-294

สรุปคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ คือ
ทัศนะของอิหม่ามชาฟิอี คำว่าเศาะลาตุลวุสฏอ คือ ละหมาดศุบฮิ
แต่บรรดาหะดิษเศาะเฮียะ หมายถึงละหมาด อัศรี และหะดิษเศาะเฮียะนั้นคือมัซฮับชาฟิอี
อิหม่ามชาฟิอี บอกว่ามัซฮับชาฟิอี ให้ตามหะดิษเศาะเฮียะ เพราะฉะนั้น มัซฮับชาฟิอี คำว่าเศาะลาตุลวุสฏอ ก็เป็นละหมาดอัศรี
ในทัศนะชาฟิอีนั้น จะไม่มีสองทัศนะในประเด็นเดียว อย่างที่ปราชญมัซฮับชาฟิอีบางส่วนเข้าใจผิ

ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า บรรดาหลักการมัซฮับต่างๆ เช่นมัซฮับชาฟิอี ให้ยึดหะดิษเศาะเฮียะ แม้จะขัดแย้งกับอิหม่ามมัซฮับ แต่คนที่อ้างว่าสังกัดมัซฮับชาฟิอี จำนวนไม่น้อย ยังไม่เข้าใจหลักการตามมัซฮับ

(ข้อสังเกต) มะเร็งในร่างกายของอุมมัต: มุตาซีละห์


(ข้อสังเกต) มะเร็งในร่างกายของอุมมัต: มุตาซีละห์

มะเร็งในร่างกายของอุมมัต: 
มุตาซีละห์

โดย ชัยคฺ อับดุลลอฮ์ อัลฟัยศอล

11 ทฤษฎีของมุตาซีละห์
THE 11 TENETS OF THE MU’TAZILA

Tenet หมายถึงหลักคำสอนที่ศาสนาของคุณยึดถือ

หลักคำสอนที่ 1: พวกเขาละทิ้งความเชื่อใน 99 พระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ์

หลักคำสอนที่ 2: มนุษย์สร้างการกระทำขึ้นมาเอง

ความเชื่อที่ว่ามนุษย์สร้างการกระทำขึ้นมาเองเป็นชีริก เพราะอัลลอฮ์คือผู้สร้างการกระทำ

หลักคำสอนที่ 3:อัลลอฮ์ไม่ได้กำหนดล่วงหน้าต่อสิ่งใดเลย

พวกเขาปฏิเสธความศรัธทาในกอดัร; พวกเขาถูกเรียกว่า ก๊อดรียะห์ โดยศัตรูของพวกเขา.

หลักคำสอนที่ 4:ผู้กระทำผิดของบาปใหญ่อยู่บนรั้ว, ไม่ที่นี่และที่นั่น
(หมายถึงอยู่กึ่งกลาง)

หลักคำสอนที่ 5: AQL คือผู้ตัดสินครั้งสุดท้ายถ้าหากว่ามีการขัดแย้งกันระหว่างเหตุผลและโองการ

Arbiter หมายถึงผู้พิพากษา หรือผู้ตัดสิน.
พวกเขากล่าวว่า aql เป็นผู้ตัดสินคนสุดท้ายเพื่อตัดสินพิจารณาว่าอะไรที่ถูกต้องจากผิด
มุตาซีละห์แรกในประวัติศาสตร์คืออิบลีซ
มุตาซีละห์ต้องใช้ปัญญาสนับสนุนความเชื่อฟังอัลลอฮ์

หลักคำสอนที่ 6:พวกเขาเชื่อว่าไซตอนเคยเป็นฑูตสวรรค์(มะลาอีกัต)

หลักคำสอนที่ 7: กุรอานเป็นสิ่งถูกสร้าง

หลักคำสอนที่ 8: พวกเขาไม่เอาฮาดิษอะฮัดมาใช้ในเรื่องอากีดะห์ของพวกเขา

หลักคำสอนที่ 9: เราจะไม่เห็นอัลลอฮ์ในวันฟื้นคืนชีพ

หลักคำสอนที่ 10: พวกเขาแสวงหาโองการของกุรอานที่มีความหมายเป็นนัย

พวกเขาต้องอธิบายอาลีฟลามมีม.
ไม่มีใครเห็นด้วยว่า อาลีฟลามมีม มีความหมาย
พวกเขามีความเห็นถึง 30
ความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนี้; ไม่มีใครมั่นใจว่าใครถูกใครผิด.
นบีไม่ได้อธิบายมัน แต่พวกเขาคิดว่าพวกเขาอธิบายได้
พวกเขาคิดว่าพวกเขารู้ทุกสิ่ง; 
นี่เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพของมุตาซีละห์
คนชีอะห์ได้เปลี่ยนจุดยืนเต็มเพื่อรวมว่าอิหม่ามของพวกเขารู้ถึงความหมายที่มีนัยนอกเหนือจากอัลลอฮ์.
หลักศาสนาอย่างเป็นทางการของชาวชีอะห์คือหลักความเชื่อมุตะซีละห์
พวกเขาได้นำเอาหลักศาสนานี้(มาใช้)

หลักคำสอนที่ 11:พวกเขาไม่เชื่อว่าอัลลอฮ์อยู่เหนือ อารัช


แปลโดย Firdaus Msd