ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เเละบิดอะฮฺในเดือนรอญับ
หน้าที่ของผู้ศรัทธาที่ดีนั้น คือการภัคดีต่ออัลลอฮฺﷻเเละรอซูลของพระองค์ﷺ โดยยึดตามความเข้าใจของบรรพชนยุคเเรก ซึ่งเป็นยุคที่เข้าใจศาสนามากที่สุดในประชาตินี้ สิ่งใดที่ศาสนาได้สั่งใช้ให้ปฏิบัติ ก็ต้องน้อมรับเเต่โดยดี เเละสิ่งใดที่ศาสนาห้ามปรามให้หลีกห่าง ก็จำเป็นต้องออกห่างโดยพลัน โดยไม่มีการโต้เเย้งใดๆทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า ในกิจการของศาสนานั้น ไม่มีลู่ทางสำหรับเราที่จะกระทำการใดทั้งสิ้น เว้นเเต่การน้อมรับและปฏิบัติตามเเต่โดยดี ดังที่อัลลอฮฺﷻทรงตรัสว่า :
وَمَا كَانَ لِمُؤْمِنٍ وَلَا مُؤْمِنَةٍ إِذَا قَضَى ٱللَّهُ وَرَسُولُهُۥٓ أَمْرًا أَن يَكُونَ لَهُمُ ٱلْخِيَرَةُ مِنْ أَمْرِهِمْ ۗ وَمَن يَعْصِ ٱللَّهَ وَرَسُولَهُۥ فَقَدْ ضَلَّ ضَلَٰلًا مُّبِينًا
ความว่า : ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง
(อัล-อะหฺซาบ : 36)
และมวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์เเด่อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ในโอกาสนี้เราใคร่ขอทำการชี้เเจงถึงประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เเละความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างมากในบรรดามุสลิมในเดือนรอญับ โดยความเข้าใจเเละการกระทำต่างๆเหล่านั้นจะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมันตกอยู่ในบาปใหญ่ที่อัลลอฮฺﷻเเละรอซูลﷺทรงคาดโทษเอาไว้ด้วยกับไฟนรก จงรู้ว่าเถิดว่ามันคือ"บิดอะฮฺ" หรือการอุตริกรรมในศาสนานั่นเอง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีเเล้วว่าอัลลอฮฺﷻทรงให้เกียรติแก่เดือนรอญับ โดยทรงทำให้เดือนนี้เป็นหนึ่งในสี่เดือนต้องห้ามที่พระองค์ทรงเพิ่มมาตรการการคาดโทษสำหรับผู้ที่ทำสงคราม เเละฝ่าฝืนพระองค์ในเดือนเหล่านี้ เเต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์คิดจะทำอิบาดะฮฺเป็นพิเศษอย่างไรก็ได้ในเดือนรอญับนี้ เนื่องจากไม่มีการยืนยันจากท่านนบีﷺเเละเหล่าบรรดาศอหาบะฮฺเเต่อย่างใด ว่าท่านเหล่านั้นได้ทำอิบาดะฮฺเป็นพิเศษในเดือนนี้มากไปกว่าเดือนอื่นๆ เเละเเน่นอนเหลือเกินว่าการเจาะจงทำอิบาดะฮฺในเวลาใดเวลาหนึ่งเป็นพิเศษเหนือเวลาอื่นๆทั้งที่ศาสนาไม่ได้เจาะจงเอาไว้นั้น เป็นพฤติกรรมที่สุ่มเสียงเเละไม่อนุญาต
อีกทั้งไม่มีรายงานมากจากท่านนบีﷺเลยเกี่ยวกับความประเสริฐของเดือนรอญับ หรือการเจาะจงทำอิบาดะฮฺในเดือนนี้ ดังที่ท่านอัล-ฮาฟิซ อิบนุ หะญัร รอหิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า :
"เกี่ยวกับความประเสริฐของเดือนรอญับ หรือการถือศิลอดในเดือนนี้นั้น หรือการถือศิลอดบางวันของเดือนนี้เป็นการเฉพาะ หรือการเจาะละหมาดในยามค่ำคืนนั้น ไม่มีรายงานหะดีษที่ศอฮีหฺที่สามารถเป็นหลักฐานอ้างอิงได้เลยเเม้เเต่บทเดียว"
"تبيين العجب" (ص11)
➡ และรูปแบบการกระทำต่างๆที่ผู้คนถือปฏิบัติกันอย่างเเพร่หลายในเดือนนี้นั้นมีมากมายเเละหลากหลายรูปแบบ อาทิ
🚫 การละหมาดร่อฆออิบในค่ำคืนวันศุกร์เเรกของเดือนรอญับ โดยจะทำกันในช่วงระหว่างละหมาดมัฆริบกับละหมาดอิชาอฺ
🚫 การเจาะจงบริจาคแทนเเทนผู้ล่วงลับในเดือนนี้โดยเฉพาะ
🚫 บทขอพรต่างๆที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาเพื่อใช้ขอในเดือนนี้โดยเฉพาะ
🚫 การเจาะจงเยี่ยมสุสานในเดือนนี้เป็นการเฉพาะ ทั้งๆที่การเยี่ยมสุสานเพื่อเเสวงหาข้อคิดเตือนใจนั้นเป็นที่อนุญาตในทุกๆเวลาอยู่เเล้ว
🚫 การเจาะจงเดินทางไปเยี่ยมสุสานของท่านนบีﷺ (ที่พวกเขาเรียกกันว่า"ซิยาเราะฮฺรอญะบียะฮฺ) สุสานบะกีอฺ สุสานชะฮีดสงครามบะดัรในเดือนนี้
🚫 การเจาะจงการละหมาดภาคพิเศษในบางค่ำคืนของเดือนนี้
🚫 การเจาะจงถือศิลอดซุนนะฮฺในเดือนนี้มากกว่าเดือนอื่นๆ
🚫 การเจาะจงเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะฮฺในเดือนนี้เป็นการเฉพาะ โดยหวังในผลบุญที่ทวีคูณสำหรับเดือนนี้
การกระทำทั้งหมดเหล่านี้ไม่มีปรากฏในซุนนะฮฺของท่านบีﷺ เเละในชีวประวัติของเหล่าบรรพชนยุคเเรกเเต่อย่างใดเลย ฉนั้นพฤติกรรมเหล่านี้จึงเข้าข่ายการอุติกรรมที่น่ารังเกียจในศาสนา ยิ่งไปกว่านั้น บางพิธีกรรมอาจจะมีผลที่ร้ายเเรง ที่จะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมัน ตกอยู่ในการตั้งภาคีที่ชัดเเจ้งก็เป็นได้
เเละอีกพิธีกรรมหนึ่ง ที่เป็นพิธีกรรมยอดนิยมเเละเเพร่หลายอย่างมากมายในโลกมุสลิม นั่นคือ การจัดงานเฉลิมฉลองในค่ำคืนที่ 27 ของเดือนรอญับ โดยมีความเชื่อว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์อิสรออฺเเละเมี๊ยะรอจญ์(การเดินทางของท่านนบีﷺจากมักกะฮฺไปยังบัยตุลมักดิส(มัสยิดอัล-อักศอ) เเละการเดินทางจากบัยตุลมักดิสขึ้นสู่ฟากฟ้าเพื่อเข้าเฝ้าอัลลอฮฺﷻ) พิธีกรรมนี้ก็ถือว่าเป็นอุตริกรรมที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีหลักฐานการปฏิบัติจากท่านนบีﷺเเละบรรพชนยุคต้น
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เหตุการณ์อิสรออฺเเละเมี๊ยะรอจญ์ ก็ไม่มีหลักฐานที่มาระบุวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้อย่างชัดเจน เเต่ถึงเเม้ว่าจะระบุวันเวลาได้ ก็ไม่อนุญาตให้เฉลิมฉลองอยู่ดี เนื่องด้วยเหตุผลเดียวเเละเด็ดขาดคือ ไม่พบร่องรอยการกระทำจากท่านรอซูลﷺเเละบรรพชนยุคต้น
📍 และเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆข้างต้นที่เกิดขึ้นจากการด้อยความเข้าใจในศาสนานั้น บรรดาอุลามาอฺชาวซุนนะฮฺได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างเเพร่หลาย อาทิเช่น
🔹 ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า :
"สำหรับการถือศิลอดในเดือนรอญับเป็นการเฉพาะนั้น บรรดาหะดีษทั้งหมดในเรื่องนี้ เป็นหะดีษอ่อนทั้งหมด มิหนำซ้ำยังถึงขั้นหะดีษเมาฎูอฺ(หะดีษอุปโลกน์)อีกด้วย บรรดานักวิชาการไม่ให้การรับรองหะดีษเหล่านี้ และสิ่งที่ถูกรายงานมาเกี่ยวกับความประเสริฐต่างๆนั้น ไม่ได้เป็นหะดีษฎออีฟ เเต่ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นเท็จ เเละถูกอุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้น..."
مجموع الفتاوى (25/290)
🔹 ท่านอิหม่ามอิบนุลก็อยยิม รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
"หะดีษทุกบทที่กล่าวถึงการถือศิลอดในเดือนรอญับ หรือการละหมาด(พิเศษ)ในบางค่ำคืนนั้น เป็นเรื่องเท็จ เเละเรื่องอุปโลกน์ทั้งสิ้น"
"المنار المنيف" (ص96)
🔹 ท่านอิบนุอัฏฏอร รอหิมาฮุลลอฮฺ ผู้เป็นศิษย์แห่งท่านอิหม่ามอันนะวะวียฺ รอหิมาฮุมัลลอฮฺ :
"และจากสิ่งต่างๆที่ได้มายังฉันจากชาวเมืองมักกะฮฺ-ขออัลลอฮฺทรงเพิ่มพูนความประเสริฐเเก่มักกะฮฺด้วยเถิด- นั่นคือการเพิ่มพูนการประกอบพิธีอุมเราะฮฺในเดือนรอญับ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่ทราบถึงที่มาที่ไปของมัน แต่ทว่าได้มีหะดีษที่ท่านนบีﷺกล่าวว่า : "อุมเราะฮฺในรอมฎอน เทียบเท่าการทำฮัจญ์หนึ่งครั้ง"ต่างหาก"
🔹 และท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน รอหิมาฮุลลอฮฺ ได้ถูกถามเกี่ยวกับการถือศิลอดในวันที่ 27 ของเดือนรอญับ เเละการละหมาดในค่ำคืนของวันดังกล่าว ?
✔ ท่านได้ตอบว่า :
การถือศิลอดในวันที่ 27 เดือนรอญับ เเละการเจาะจงละหมาดในยามค่ำคืนของวันนั้น เป็นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม) และทุกๆบิดอะฮฺ คือความหลงผิด"
مجموع فتاوى ابن عثيمين (20/440) .
➡ สุดท้ายนี้เราใคร่ขอนำเสนอโอวาทของนักวิชาการร่วมสมัยเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจในการปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่านรอซูลﷺ
ท่านชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
"ถ้ามาดแม้นสิ่งเหล่านี้เป็นซุนนะฮฺแล้วไซร้ บรรดาศอหาบะฮฺย่อมต้องนำหน้าเราไปเเล้วเป็นเเน่แท้ เเละความดีงามทั้งหมดนั้นอยู่ในการเจริญรอยตามพวกเขา และดำเนินบนแนวทางของพวกเขา ดังที่อัลลอฮฺﷻทรงตรัสว่า :
وَٱلسَّٰبِقُونَ ٱلْأَوَّلُونَ مِنَ ٱلْمُهَٰجِرِينَ وَٱلْأَنصَارِ وَٱلَّذِينَ ٱتَّبَعُوهُم بِإِحْسَٰنٍ رَّضِىَ ٱللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا۟ عَنْهُ وَأَعَدَّ لَهُمْ جَنَّٰتٍ تَجْرِى تَحْتَهَا ٱلْأَنْهَٰرُ خَٰلِدِينَ فِيهَآ أَبَدًا ۚ ذَٰلِكَ ٱلْفَوْزُ ٱلْعَظِيمُ وَٱلسَّٰبِقُونَ ٱلْأَوَّلُونَ مِنَ ٱلْمُهَٰجِرِينَ وَٱلْأَنصَارِ وَٱلَّذِينَ ٱتَّبَعُوهُم بِإِحْسَٰنٍ رَّضِىَ ٱللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا۟ عَنْهُ وَأَعَدَّ لَهُمْ جَنَّٰتٍ تَجْرِى تَحْتَهَا ٱلْأَنْهَٰرُ خَٰلِدِينَ فِيهَآ أَبَدًا ۚ ذَٰلِكَ ٱلْفَوْزُ ٱلْعَظِيمُ
ความว่า : บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮฺ) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศ็อรจากมะดีนะฮฺ) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮฺทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง
(อัต-เตาบะฮฺ : 100)
อีกทั้งมีรายงานจากท่านนบีﷺกล่าวว่า :
"ผู้ใดที่อุตริสิ่งใหม่ขึ้นในกิจการงานของฉัน ซึ่งสิ่งที่ไม่ได้มีมาจากมัน มันย่อมไม่ถูกตอบรับ" (มุตตะฟ่ากุลอลัยฮฺ)
และท่านกล่าวอีกว่า :
"ผู้ใดที่ปฏิบัติการงานใดขึ้นมา โดยที่ไม่มีคำสั่งใช้จากเรา มันก็ไม่ถูกตอบรับ" (บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
คำว่า"ไม่ถูกตอบรับ" หมายถึงถูกโต้กลับไปยังผู้ที่ปฏิบัติมัน
นอกจากนี้ ท่านนบีﷺยังได้กล่าวในคุตบะฮฺหลายวาระด้วยกันว่า :
"แท้จริงถ้อยคำที่ดีงามที่สุด คือคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และเเนวทางที่ดีที่สุดคือเเนวทางของมุฮัมหมัดﷺ และการงานที่ชั่วช้าที่สุดนั้น คือการงานที่เป็นอุตริกรรม และๆทุกการอุตรินั้น เป็นความหลงผิด" ( บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
ดังนั้น สิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทั้งผอง คือการปฏิบัติตามซุนนะฮฺ เเละยืนหยัดอยู่บนซุนนะฮฺ พร้อมทั้งสั่งเสียกันในเรื่องของซุนนะฮฺ และระมัดระวังจากอุตริกรรมทุกรูปแบบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองพระบัญชาแห่งอัลลอฮฺﷻที่ว่า :
وَتَعَاوَنُوا۟ عَلَى ٱلْبِرِّ وَٱلتَّقْوَىٰ ۖ
ความว่า : และพวกเจ้าจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรงเถิด (อัล-มาอิดะฮฺ : 2)
เเละพระดำรัสที่ว่า :
وَٱلْعَصْرِ• إِنَّ ٱلْإِنسَٰنَ لَفِى خُسْر•ٍ إِلَّا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوا۟ وَعَمِلُوا۟ ٱلصَّٰلِحَٰتِ وَتَوَاصَوْا۟ بِٱلْحَقِّ وَتَوَاصَوْا۟ بِٱلصَّبْرِ•
ความว่า : ขอสาบานด้วยกาลเวลา • แท้จริงมนุษย์นั้น อยู่ในการขาดทุน • นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน (อัล-อัศรฺ 1-3)
และวจนะของท่านนบีﷺ :
"ศาสนาคือความบริสุทธิ์ใจ"
ศอหาบะฮฺถามว่า : เพื่อใครกัน โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ?
ท่านรอซูลตอบว่า : "เพื่ออัลลอฮฺ เพื่อคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อรอซูลของพระองค์ เเละเพื่อบรรดาผู้นำมุสลิมเเละมุาลิมทั้งหมด" (บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
(เว็บไซต์ الإمام ابن باز)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น