ทัศนะไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับพาคนให้โง่จริงหรือ
ไม่เอา วะบี
24 กรกฎาคม
นาย Asan Binabdullah หรือ ตาเวาะสะบิเดา นักวิชาเก๊บนเฟสบุคของกลุ่มวะบีคณะใหม่ในอิสลาม
บอกว่าไม่จำเป็นต้องสังกัดมัสหับ และพยายามชักจูงคนโง่ๆให้งมงายไปกับมัน
อย่างแรกเลย ตาเวาะคนนี้คือมุจตะฮิดหรือมุก็อลลิด ???
ถ้าเป็นมุจตะฮิดมุตลักที่สามารถวินิจฉัยกุรอ่านหะดิสด้วยกับกออีดะห์ในทุกๆสาขาวิชาอะลัต และจดจำหะดิสนับแสนพร้อมสายสะนัด
ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าตาเวาะจะไม่เอามัสหับ เฉกเช่น อิหม่ามชาฟีอี อิหม่ามมาลิก อิหม่ามอะบุหะนีฟะห์ อิหม่ามฮัมบะลี เหล่านี้เค้าไม่สังกัดกันและกันทั้งสิ้น เขาวินิจฉัยหลักฐานทั้งหมดด้วยตัวเองเลย แล้วตาเวาะสะบิเดามันอยู่ในระดับนี้เหรอ???
@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นแนวคิดตะอัศศุบมัซฮับ จนแยกไม่ออกว่า ศาสนามีบัญญัติให้ตามใคร ความจริงแล้ว ไม่มีแม้แต่อักษรเดียว ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮ และคำสอนอิหม่ามทั้งสี่ว่า มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับ หรือ คนอาวามที่ไม่อยู่ในระดับมุจญตะฮิด ต้องสังกัดมัซฮับ มีแต่คนที่ตะอัซซุบมาซฮับเท่านั้น กำหนดกฏเกณฑ์นี้ขึ้นมา
การตามมัซฮับเป็นข้อผ่อนปรนสำหรับคนที่ไม่สามารถหาหลักฐานด้วยตนเองได้เท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นการบังคับตลอดเวลาและทุกคน เพราะเขาจะต้องเรียนรู้ศาสนา ซึ่งเป็นข้อบังคับเหนือมุสลิมทุกคนที่จะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนา ว่าอัลลอฮตาอาลา และรอซูล ศอ็ลฯ ได้สั่งให้เขาทำอะไร และห้ามเรื่องอะไรบ้าง ไม่ใช่นั่งปิดตาเชื่อตามทุกเรื่องโดยไม่ศึกษาข้อเท็จจริง ว่าที่ตนตามนั้น มาจากใหน
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
قَدْ ثَبَتَ بِالْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ وَالْإِجْمَاعِ أَنَّ اللَّهَ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى فَرَضَ عَلَى الْخَلْقِ طَاعَتَهُ وَطَاعَةَ رَسُولِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَمْ يُوجِبْ عَلَى هَذِهِ الْأُمَّةِ طَاعَةَ أَحَدٍ بِعَيْنِهِ فِي كُلِّ مَا يَأْمُرُ بِهِ وَيَنْهَى عَنْهُ إلَّا رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَتَّى كَانَ صِدِّيقُ الْأُمَّةِ وَأَفْضَلُهَا بَعْدَ نَبِيِّهَا يَقُولُ : أَطِيعُونِي مَا أَطَعْت اللَّهَ فَإِذَا عَصَيْت اللَّهَ فَلَا طَاعَةَ لِي عَلَيْكُمْ .
แท้จริง ได้ยืนยันด้วยอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน),อัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺว่า อัลลฮ(ซ.บ) ได้ กำหนดข้อบังคับแก่มนุษย์ ให้เชื่อฟังพระองค์และศาสนทูตของพระองค์(ศอ็ลฯ) และ ไม่ได้บังคับแก่อุมมะฮนี้ ว่าจำเป็นจะต้อง เชื่อหังคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ ในทุกสิ่งที่เขาสั่ง ด้วยมันและที่เขาห้ามจากมัน นอกจาก รซูลุลลอฮ ศอัลฯเท่านั้น แม้กระทั่ง ผู้สัจจะแห่งอุมมะฮ(หมายถึงอบูบักร์)และผู้ที่ประเสริฐแห่งมัน รองจากนบีแห่งอุมมะฮ เขาจะกล่าวว่า “ พวกท่านจงเชื่อฟังข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อฟังอัลลอฮ ดังนั้น เมื่อใด ข้าพเจ้าฝ่าฝืนอัลลอฮ ก็ไม่จำเป็นพวกท่านจะต้องเชื่อฟังข้าพเจ้า – ดูมัจมัวะฟาตาวา เล่ม 20 หน้า 210
.........
สรุปคือ อัลลอฮ ตาอาลา ไม่ได้กำหนดข้อบังคับให้เชื่อฟังคนใดเป็นการเฉพาะ ยกเว้น ท่านนบี ศอ็ลฯ หรือแม้แต่ท่านอบูบักร์ ยังสั่งให้เชื่อฟังอัลลอฮ ให้เชื่อฟังท่านในสิ่งที่ท่านเชื่อฟังอัลลอฮ
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
اخْتَلَفَ الْمُجَوِّزُونَ لِلتَّقْلِيدِ ، هَلْ يَجِبُ عَلَى الْعَامِّيِّ الْتِزَامُ مَذْهَبٍ مُعَيَّنٍ فِي كُلِّ وَاقِعَةٍ ؟ فَقَالَ جَمَاعَةٌ مِنْهُمْ يَلْزَمُهُ : وَرَجَّحَهُ إِلْكِيَا .
บรรดาผู้ที่อนุญาตให้ตักลิดได้ ได้เห็นต่างกัน ว่า จำเป็นแก่คนทั่วไป(คนอาวาม)จะต้องยึดมัซฮับใดๆเป็นการเฉพาะในทุกๆประเด็นที่เกิดขึ้นหรือไม่ ? แล้วคณะหนึ่งจากพวกเขา ว่าจำเป็นต้องสังกัดมัน และ อิลกิยาได้ให้น้ำหนักมัน (หมายถึงให้น้ำหนักทัศนะที่ว่าจำเป็น)
وَقَالَ آخَرُونَ : لَا يَلْزَمُهُ ، وَرَجَّحَهُ ابْنُ بَرْهَانَ وَالنَّوَوِيُّ .
وَاسْتَدَلُّوا بِأَنَّ الصَّحَابَةَ - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ - لَمْ يُنْكِرُوا عَلَى الْعَامَّةِ تَقْلِيدَ بَعْضِهِمْ فِي بَعْضِ الْمَسَائِلِ ، وَبَعْضِهِمْ فِي الْبَعْضِ الْآخَرِ .
และคณะอื่นๆ ได้กล่าวว่า ไม่จำเป็นแก่มัน(หมายถึงไม่จำเป็นสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะ) และ อิบนุบัรฮานและอันนะวาวีย์ ให้น้ำหนักมัน(หมายถึงให้น้ำหนักทัศนะที่กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับแก่คนอาวาม) และพวกเขาอ้างหลักฐานที่ว่า บรรดาเศาะฮาบะฮ (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้คัดค้าน แก่คนอาวาม ที่ปฏิบัติตาม บางส่วนของพวกเขา ในบางส่วนของประเด็นต่างๆ และ ปฏิบัติตามบางส่วนของพวกเขา(หมายถึงตามอีกคน) ในบางส่วนของประเด็นอิ่น – ดู อิรชาดุลฟุหูล ของอิหม่ามเชากานีย์ เล่ม 2 หน้า 772 หรือพิมพ์รวมเล่ม หน้า 1105-1106
...................
สรุปคือ อิบนุบัรฮานและอิหม่ามนะวาวีย์ ได้ให้น้ำหนักทัศนะที่ว่า ไม่จำเป็นแก่คนอาวามจะต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ โดยอ้างหลักฐาน ว่า เหล่าหาบะฮ(ร.ฎ) ไม่ได้คัดค้าน คนที่ตามคนหนึ่งในประเด็นหนึ่งและตามคนอื่นในอีกประเด็นหนึ่ง
เพราะฉะนั้นจึงถามนายนั่งเทียน หรือผู้มีนามปลอมว่า ไม่เอาวะฮบี ว่า
1.มีบัญญัติข้อใดในอิสลามที่บัญญัติว่าคนอาวามต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งตนใดเป็นการเฉพาะ
2. ผมบอกว่าการสังมัซฮับ ไม่เป็นวาญิบ คุณก็กล่าวหาว่า ชักจูงให้คนโง่ แล้วอิหม่ามนาวาวีย์ มีทัศนะว่า ไม่วาญิบเช่นกัน ตกลงอิหม่ามนาวาวีย์ชักจูงให้คนโง่ด้วยหรือไม่ ?
3. คุณใช้นัฟซุและอคติตัดสินคนอื่นโดยไม่อ่านตำราใช่หรือไม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562
อะกีดะฮของคนยึดขอนไม้ผุ อิสลาม แห่ง อะห์ลุซซุนนะห์
อะกีดะฮของคนยึดขอนไม้ผุ
อิสลาม แห่ง อะห์ลุซซุนนะห์
16 สิงหาคม เวลา 3:19 น. ·
สำหรับวะบี..ที่ชอบให้ที่อยู่แด่อัลลอฮผู้ทรงบริสุทธิ์ และชอบถามว่าอัลลอฮอยู่ไหน
.................
ﻭَﻗَﺎﻝَ ﻋَﺒْﺪ ﺍﻟﺮَّﺯَّﺍﻕ : ﺃَﺧْﺒَﺮَﻧَﺎ ﺟَﻌْﻔَﺮ ﺑْﻦ
ﺳُﻠَﻴْﻤَﺎﻥ ﻋَﻦْ ﻋَﻮْﻑ ﻋَﻦْ ﺍﻟْﺤَﺴَﻦ ﻗَﺎﻝَ ﺳَﺄَﻝَ
ﺃَﺻْﺤَﺎﺏ ﺭَﺳُﻮﻝ ﺍﻟﻠَّﻪ ﺻَﻠَّﻰ ﺍﻟﻠَّﻪ ﻋَﻠَﻴْﻪِ ﻭَﺳَﻠَّﻢَ
ﺃَﻳْﻦَ ﺭَﺑّﻨَﺎ ؟ ﻓَﺄَﻧْﺰَﻝَ ﺍﻟﻠَّﻪ ﻋَﺰَّ ﻭَﺟَﻞَّ " ﻭَﺇِﺫَﺍ ﺳَﺄَﻟَﻚ
ﻋِﺒَﺎﺩِﻱ ﻋَﻨِّﻲ ﻓَﺈِﻧِّﻲ ﻗَﺮِﻳﺐٌ ﺃُﺟِﻴﺐُ ﺩَﻋْﻮَﺓَ ﺍﻟﺪَّﺍﻉِ
ﺇِﺫَﺍ ﺩَﻋَﺎﻥِ " ﺍﻟْﺂﻳَﺔ
อับดุลร็อซซาก เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยญะฟัร บิน สุลัยมาน จากเอาฟ์ จากอัลฮะซัน เขากล่าวว่า
"บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า ผู้อภิบาลของเราอยู่ใหน? "
ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตอบ โดยประทานอายะฮ์อัลกุรอาน(แด่ท่านนบี) ความว่า
"และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้าเข้า(ก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด(กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวิงวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า"
ตัฟซีรอิบนุกะษีร อายะฮ์ที่ 186
ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
..................
ท่านอิมาม อิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบรีย์หนึ่งจากอุลามาอ์สะลัฟและอิมามปราชญ์นักตัฟซีรได้กล่าวสนับสนุนอีกว่า
ﻳَﻌْﻨِﻲ ﺗَﻌَﺎﻟَﻰ ﺫِﻛْﺮﻩ ﺑِﺬَﻟِﻚَ : ﻭَﺇِﺫَﺍ ﺳَﺄَﻟَﻚ ﻳَﺎ
ﻣُﺤَﻤَّﺪ ﻋِﺒَﺎﺩِﻱ ﻋَﻨِّﻲ ﺃَﻳْﻦَ ﺃَﻧَﺎ ؟ ﻓَﺈِﻧِّﻲ ﻗَﺮِﻳﺐ
ﻣِﻨْﻬُﻢْ ﺃَﺳْﻤَﻊ ﺩُﻋَﺎﺀَﻫُﻢْ , ﻭَﺃُﺟِﻴﺐ ﺩَﻋْﻮَﺓ
ﺍﻟﺪَّﺍﻋِﻲ ﻣِﻨْﻬُﻢْ
ความหมายของอัลเลาะฮ์ตะอาลาด้วยกับอายะฮ์ดังกล่าวนั้น คือ
"โอ้ มุฮัมมัด เมื่อบรรดาปวงบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้า ว่าข้าอยู่ใหน?
ดังนั้น (เจ้าจงตอบว่า)
แท้จริงข้าใกล้ชิดพวกเขา ข้าได้ยินการวอนขอของพวกเขา
และข้าจะตอบรับการวอนขอ ของผู้วอนขอจากพวกเขา"
ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186
ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ
.....................
ฉะนั้นแล้ววะบีที่ชอบถาม ว่าอัลลอฮอยู่ไหน เขาแค่อยากให้เราบอกถึงสถานที่อยู่ของอัลลอฮ เค้าถามเพื่อถากถางเยาะเย้ยว่าพวกเขาคือผู้รู้สถานที่อยู่ของอัลลอฮ ส่วนเราคือผู้ไม่รู้นั่นเอง
ซึ่งจากตัฟซี้รกุรอ่านข้างต้น มันชัดเจนว่านักมุฟัซซิรูนเขาไม่ได้ให้สถานที่อยู่แด่อัลลอฮเหมือนพวกวะบีเลย......
...............................
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือการยึดอากีดะฮตามอารมณ์ เอาปัญญานำหลักฐาน ละทิ้งหะดิษเศาะเฮียะมายึดขอนไม้เนาผุ แกนนำอาชาอิเราะเคยกล่าวหาวะฮบีย์ว่าเอาหะดิษเฎาะอีฟมาอ้างในเรื่องอะกีดะฮ แต่เวรกรรมติดจรวด ย้อนกลับมายังตัวเองคือ เอาหะดิษเฎาะอีฟมาอ้างเป็นหลักฐานปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ คือหะดิษญารียะฮ แล้วกลับมายึดหะดิษเฎาะอีฟมาก(เฎาะอีฟญิดดัน) ไม่ต่างอะไรกับคนจะจมน้ำแล้วยึดขอนไม้ผุ่ ...มันจะปลอดภัยได้อย่างไร
มาดูครับท่านผู้อ่าน
มาดูความหมาย อายะฮข้างต้นคือ
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ
และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า ....
...........
อายะฮข้างต้น ไม่ได้ระบุคำถามว่าอัลลอฮอยู่ใหน แทนที่อ.อัชอารีย์ จะไปเอาหะดิษเศาะเฮียะ คือ หะดิษญารียะฮที่ ที่นบีถามทาสหญิงว่า “อัลลอฮอยูใหน? และนางตอบว่า “อัลลอฮอยู่บนฟ้า” รายงานโดย อิหม่ามมุสลิม มาเป็นหลักฐานแต่กลับ ไปเอาหะดิษเฎาะอีฟมาอธิบาย มาอ้างเป็นหลักฐาน โดยอ้างหะดิษที่อิบนุญะรีร ระบุในตัฟสีรของท่านว่า
حَدَّثَنَا الْحَسَن بْن يَحْيَى , قَالَ : أَخْبَرَنَا عَبْد الرَّزَّاق , قَالَ : أَخْبَرَنَا جَعْفَر بْن سُلَيْمَان عَنْ عَوْف , عَنْ الْحَسَن , قَالَ : سَأَلَ أَصْحَاب النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : أَيْنَ رَبّنَا ؟ فَأَنْزَلَ اللَّه تَعَالَى ذِكْره : { وَإِذَا سَأَلَك عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيب أُجِيب دَعْوَة الدَّاعِ إذَا دَعَانِ . .. } الْآيَة
ได้บอกเล่าให้เราทราบโดย อัลฮะซัน บิน ยะห์ยา เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยอับดุลร็อซซาก เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยญะฟัร บิน สุลัยมาน จากเอาฟ์ จาก อัลฮะซัน เขากล่าวว่า "บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า ผู้อภิบาลของเราอยู่ใหน? ดังนั้น อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรง(ตอบโดย)ประทานอายะฮ์อัลกุรอานความว่า "และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า" ตัฟซีรอัฏฏ๊อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186 ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
……..
หะดิษนี้ คุณ อิสลาม แห่งอะฮลุลบิดอะฮ ไปเอามาจากข้อเขียนในเว็บสะติวเด้น ซึ่ง อาจารย์อัชอารีย์วิจารณ์เองเคยว่าเป็นหะดิษที่สายรายงานขาดตอน คือ เป็นหะดิษมุรซัล ดังที่ อาจารย์อาริฟีนระบุเอง บอกเองในข้อเขียนของเขา ว่า “เป็นหะดิษมุรซัล” และก็ถูกต้อง ตามที่อัชอารีย์ บอก แต่ผิด ที่อ้างลอยๆว่าเป็นมุรซัลเศาะเฮียะ ทั้งนี้เพราะผู้รายงานหะดิษข้างต้นคือ อัลหะซัน ไม้ได้อ้างถึงคนใดจากเศาะหาบะฮเป็นการเฉพาะ คือ บอกว่า บรรดาเศาะหาบะฮ ไม่ทราบว่า เศาะหาบะฮคนใด
มาดู นักหะดิษเขาวิจารณ์ เกี่ยวกับอัลหะซัน ผู้รายงานที่บอกว่า เศาะหาถามนบี
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
من أوهى المراسيل عندهم: مراسيل الحسن
ส่วนหนึ่งจากบรรดาหะดิษมุรซัลที่อ่อนยิ่งนักในทัศนะของพวกเขา คือ บรรดาหะดิษมุรซัลของอัลหะซัน – ดู อัลมูกิเซาะฮ หน้า 17
หาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า
كَانُوا لَا يَعْتَمِدُونَ مَرَاسِيلَ الْحَسَنِ لِأَنَّهُ كَانَ يَأْخُذُ عَنْ كُلِّ أَحَدٍ
พวกเขา(นักหะดิษ) จะไม่อาศัยบรรดาหะดิษมุรซัลของ อัลหะซัน (มาเป็นหลักฐาน) เพราะแท้จริง
ปรากฏว่าเขาเอามาจากทุกๆคน – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 11 หน้า 556
หาฟิซ อิบนุเราะญับ กล่าวว่า
قال أحمد في رواية الفضل بن زياد (مرسلات سعيد بن المسيب أصح المرسلات، ومرسلات إبراهيم لا بأس بها، وليس في المرسلات أضعف من مراسيل الحسن وعطاء بن أبي رباح، فإنهما يخذان عن كل
อะหมัด กล่าวในรายงานของ อัลฟัฏลุ บิน ซิยาด ว่า (บรรดา หะดิษมุรซัลของสะอีด บิน อัลมุสัยยิบ เป็นหะดิษมุรซัลที่ถูกต้องกว่า และหะดิษมุรซัลของอิบรอฮีม ก็ไม่เป็นไร และไม่มี ในบรรดาหะดิษมุรซัล ที่เฎาะอีฟยิ่งไปกว่าหะดิษมุรซัลของ อัลหะซัน และอะเฏาะ บิน อบี เราะบะห เพราะเขาทั้งสอง จะเอามาจากทุกคน – ดูชัรหุอิละลุอัตติรมิซีย์ เล่ม 1 หน้า 195
อับดุลหัก อัลอิชบีลีย์ ได้กล่าวว่า
مراسيل الحسن ضعافٌ جداً عندهم -
บรรดาหะดิษมุรซัลของอัลหะซัน (ชิ่อผู้รายงานหะดิษ) เฎาะอีฟมาก ในทัศนะของพวกเขา - อัลอะหกามอัลวาสิฏีย 3/341
@@@
คำว่า “เอาจากทุกคน “หมายถึง ได้ยินจากใครมาก็เอาทั้งนั้น ไม่ตรวจสอบให้ละเอียด
จากคำวิจารณ์ของ นักวิชาการข้างต้น แสดงให้เห็นว่า หะดิษที่รายงานโดยอัลหะซัน ที่อัชอารีย(อ.อาริฟีน) เอามาอ้างนั้น เป็นหะดิษมุรซัล ที่เฎาะอีฟ(อ่อน)มาก ไม่มีใครยอมรับมาเป็นหลัก ยิ่งในเรื่องอะกีดะฮแล้ว อ.อารีฟีนเคยบอกว่า หะดิษเฎาะอีฟใช้ไม่ได้และกล่าวหาว่าพวกวะฮบีย์อ้างหะดิษเฎาะอีฟ แต่ กลายเป็นว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” “ต้องขอมาอัฟหากการวิจารณ์ข้างต้นทำให้อาจารย์ไม่สบายใจ แต่ มันก็จำเป็นเพื่อความถูกต้อง
คุณผู้มีนามว่า อิสลาม แห่งอะฮลุลบิดอะฮ(ไม่ควรเรียกว่าชาวสุนนะฮ) คนนี้ ไม่กล้าที่จะรับผิดชอบในการกระทำของตน ใช้นามแฝง แล้วให้ร้ายผมมาตลอด แอบทำร้ายคนอื่นในที่มืด
แปลก...แทนที่จะยึดหะดิษเศาะเฮียะที่บอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า กลับมายึดอะกีดะฮด้วยขอนไม้ผุ ที่เป็นหะดิษแสนจะเฎาะอีฟข้างต้น
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อิสลาม แห่ง อะห์ลุซซุนนะห์
16 สิงหาคม เวลา 3:19 น. ·
สำหรับวะบี..ที่ชอบให้ที่อยู่แด่อัลลอฮผู้ทรงบริสุทธิ์ และชอบถามว่าอัลลอฮอยู่ไหน
.................
ﻭَﻗَﺎﻝَ ﻋَﺒْﺪ ﺍﻟﺮَّﺯَّﺍﻕ : ﺃَﺧْﺒَﺮَﻧَﺎ ﺟَﻌْﻔَﺮ ﺑْﻦ
ﺳُﻠَﻴْﻤَﺎﻥ ﻋَﻦْ ﻋَﻮْﻑ ﻋَﻦْ ﺍﻟْﺤَﺴَﻦ ﻗَﺎﻝَ ﺳَﺄَﻝَ
ﺃَﺻْﺤَﺎﺏ ﺭَﺳُﻮﻝ ﺍﻟﻠَّﻪ ﺻَﻠَّﻰ ﺍﻟﻠَّﻪ ﻋَﻠَﻴْﻪِ ﻭَﺳَﻠَّﻢَ
ﺃَﻳْﻦَ ﺭَﺑّﻨَﺎ ؟ ﻓَﺄَﻧْﺰَﻝَ ﺍﻟﻠَّﻪ ﻋَﺰَّ ﻭَﺟَﻞَّ " ﻭَﺇِﺫَﺍ ﺳَﺄَﻟَﻚ
ﻋِﺒَﺎﺩِﻱ ﻋَﻨِّﻲ ﻓَﺈِﻧِّﻲ ﻗَﺮِﻳﺐٌ ﺃُﺟِﻴﺐُ ﺩَﻋْﻮَﺓَ ﺍﻟﺪَّﺍﻉِ
ﺇِﺫَﺍ ﺩَﻋَﺎﻥِ " ﺍﻟْﺂﻳَﺔ
อับดุลร็อซซาก เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยญะฟัร บิน สุลัยมาน จากเอาฟ์ จากอัลฮะซัน เขากล่าวว่า
"บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า ผู้อภิบาลของเราอยู่ใหน? "
ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตอบ โดยประทานอายะฮ์อัลกุรอาน(แด่ท่านนบี) ความว่า
"และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้าเข้า(ก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด(กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวิงวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า"
ตัฟซีรอิบนุกะษีร อายะฮ์ที่ 186
ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
..................
ท่านอิมาม อิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบรีย์หนึ่งจากอุลามาอ์สะลัฟและอิมามปราชญ์นักตัฟซีรได้กล่าวสนับสนุนอีกว่า
ﻳَﻌْﻨِﻲ ﺗَﻌَﺎﻟَﻰ ﺫِﻛْﺮﻩ ﺑِﺬَﻟِﻚَ : ﻭَﺇِﺫَﺍ ﺳَﺄَﻟَﻚ ﻳَﺎ
ﻣُﺤَﻤَّﺪ ﻋِﺒَﺎﺩِﻱ ﻋَﻨِّﻲ ﺃَﻳْﻦَ ﺃَﻧَﺎ ؟ ﻓَﺈِﻧِّﻲ ﻗَﺮِﻳﺐ
ﻣِﻨْﻬُﻢْ ﺃَﺳْﻤَﻊ ﺩُﻋَﺎﺀَﻫُﻢْ , ﻭَﺃُﺟِﻴﺐ ﺩَﻋْﻮَﺓ
ﺍﻟﺪَّﺍﻋِﻲ ﻣِﻨْﻬُﻢْ
ความหมายของอัลเลาะฮ์ตะอาลาด้วยกับอายะฮ์ดังกล่าวนั้น คือ
"โอ้ มุฮัมมัด เมื่อบรรดาปวงบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้า ว่าข้าอยู่ใหน?
ดังนั้น (เจ้าจงตอบว่า)
แท้จริงข้าใกล้ชิดพวกเขา ข้าได้ยินการวอนขอของพวกเขา
และข้าจะตอบรับการวอนขอ ของผู้วอนขอจากพวกเขา"
ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186
ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ
.....................
ฉะนั้นแล้ววะบีที่ชอบถาม ว่าอัลลอฮอยู่ไหน เขาแค่อยากให้เราบอกถึงสถานที่อยู่ของอัลลอฮ เค้าถามเพื่อถากถางเยาะเย้ยว่าพวกเขาคือผู้รู้สถานที่อยู่ของอัลลอฮ ส่วนเราคือผู้ไม่รู้นั่นเอง
ซึ่งจากตัฟซี้รกุรอ่านข้างต้น มันชัดเจนว่านักมุฟัซซิรูนเขาไม่ได้ให้สถานที่อยู่แด่อัลลอฮเหมือนพวกวะบีเลย......
...............................
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือการยึดอากีดะฮตามอารมณ์ เอาปัญญานำหลักฐาน ละทิ้งหะดิษเศาะเฮียะมายึดขอนไม้เนาผุ แกนนำอาชาอิเราะเคยกล่าวหาวะฮบีย์ว่าเอาหะดิษเฎาะอีฟมาอ้างในเรื่องอะกีดะฮ แต่เวรกรรมติดจรวด ย้อนกลับมายังตัวเองคือ เอาหะดิษเฎาะอีฟมาอ้างเป็นหลักฐานปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ คือหะดิษญารียะฮ แล้วกลับมายึดหะดิษเฎาะอีฟมาก(เฎาะอีฟญิดดัน) ไม่ต่างอะไรกับคนจะจมน้ำแล้วยึดขอนไม้ผุ่ ...มันจะปลอดภัยได้อย่างไร
มาดูครับท่านผู้อ่าน
มาดูความหมาย อายะฮข้างต้นคือ
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ
และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า ....
...........
อายะฮข้างต้น ไม่ได้ระบุคำถามว่าอัลลอฮอยู่ใหน แทนที่อ.อัชอารีย์ จะไปเอาหะดิษเศาะเฮียะ คือ หะดิษญารียะฮที่ ที่นบีถามทาสหญิงว่า “อัลลอฮอยูใหน? และนางตอบว่า “อัลลอฮอยู่บนฟ้า” รายงานโดย อิหม่ามมุสลิม มาเป็นหลักฐานแต่กลับ ไปเอาหะดิษเฎาะอีฟมาอธิบาย มาอ้างเป็นหลักฐาน โดยอ้างหะดิษที่อิบนุญะรีร ระบุในตัฟสีรของท่านว่า
حَدَّثَنَا الْحَسَن بْن يَحْيَى , قَالَ : أَخْبَرَنَا عَبْد الرَّزَّاق , قَالَ : أَخْبَرَنَا جَعْفَر بْن سُلَيْمَان عَنْ عَوْف , عَنْ الْحَسَن , قَالَ : سَأَلَ أَصْحَاب النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : أَيْنَ رَبّنَا ؟ فَأَنْزَلَ اللَّه تَعَالَى ذِكْره : { وَإِذَا سَأَلَك عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيب أُجِيب دَعْوَة الدَّاعِ إذَا دَعَانِ . .. } الْآيَة
ได้บอกเล่าให้เราทราบโดย อัลฮะซัน บิน ยะห์ยา เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยอับดุลร็อซซาก เขากล่าวว่า ได้เล่าให้เราทราบโดยญะฟัร บิน สุลัยมาน จากเอาฟ์ จาก อัลฮะซัน เขากล่าวว่า "บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า ผู้อภิบาลของเราอยู่ใหน? ดังนั้น อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรง(ตอบโดย)ประทานอายะฮ์อัลกุรอานความว่า "และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า" ตัฟซีรอัฏฏ๊อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186 ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
……..
หะดิษนี้ คุณ อิสลาม แห่งอะฮลุลบิดอะฮ ไปเอามาจากข้อเขียนในเว็บสะติวเด้น ซึ่ง อาจารย์อัชอารีย์วิจารณ์เองเคยว่าเป็นหะดิษที่สายรายงานขาดตอน คือ เป็นหะดิษมุรซัล ดังที่ อาจารย์อาริฟีนระบุเอง บอกเองในข้อเขียนของเขา ว่า “เป็นหะดิษมุรซัล” และก็ถูกต้อง ตามที่อัชอารีย์ บอก แต่ผิด ที่อ้างลอยๆว่าเป็นมุรซัลเศาะเฮียะ ทั้งนี้เพราะผู้รายงานหะดิษข้างต้นคือ อัลหะซัน ไม้ได้อ้างถึงคนใดจากเศาะหาบะฮเป็นการเฉพาะ คือ บอกว่า บรรดาเศาะหาบะฮ ไม่ทราบว่า เศาะหาบะฮคนใด
มาดู นักหะดิษเขาวิจารณ์ เกี่ยวกับอัลหะซัน ผู้รายงานที่บอกว่า เศาะหาถามนบี
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
من أوهى المراسيل عندهم: مراسيل الحسن
ส่วนหนึ่งจากบรรดาหะดิษมุรซัลที่อ่อนยิ่งนักในทัศนะของพวกเขา คือ บรรดาหะดิษมุรซัลของอัลหะซัน – ดู อัลมูกิเซาะฮ หน้า 17
หาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า
كَانُوا لَا يَعْتَمِدُونَ مَرَاسِيلَ الْحَسَنِ لِأَنَّهُ كَانَ يَأْخُذُ عَنْ كُلِّ أَحَدٍ
พวกเขา(นักหะดิษ) จะไม่อาศัยบรรดาหะดิษมุรซัลของ อัลหะซัน (มาเป็นหลักฐาน) เพราะแท้จริง
ปรากฏว่าเขาเอามาจากทุกๆคน – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 11 หน้า 556
หาฟิซ อิบนุเราะญับ กล่าวว่า
قال أحمد في رواية الفضل بن زياد (مرسلات سعيد بن المسيب أصح المرسلات، ومرسلات إبراهيم لا بأس بها، وليس في المرسلات أضعف من مراسيل الحسن وعطاء بن أبي رباح، فإنهما يخذان عن كل
อะหมัด กล่าวในรายงานของ อัลฟัฏลุ บิน ซิยาด ว่า (บรรดา หะดิษมุรซัลของสะอีด บิน อัลมุสัยยิบ เป็นหะดิษมุรซัลที่ถูกต้องกว่า และหะดิษมุรซัลของอิบรอฮีม ก็ไม่เป็นไร และไม่มี ในบรรดาหะดิษมุรซัล ที่เฎาะอีฟยิ่งไปกว่าหะดิษมุรซัลของ อัลหะซัน และอะเฏาะ บิน อบี เราะบะห เพราะเขาทั้งสอง จะเอามาจากทุกคน – ดูชัรหุอิละลุอัตติรมิซีย์ เล่ม 1 หน้า 195
อับดุลหัก อัลอิชบีลีย์ ได้กล่าวว่า
مراسيل الحسن ضعافٌ جداً عندهم -
บรรดาหะดิษมุรซัลของอัลหะซัน (ชิ่อผู้รายงานหะดิษ) เฎาะอีฟมาก ในทัศนะของพวกเขา - อัลอะหกามอัลวาสิฏีย 3/341
@@@
คำว่า “เอาจากทุกคน “หมายถึง ได้ยินจากใครมาก็เอาทั้งนั้น ไม่ตรวจสอบให้ละเอียด
จากคำวิจารณ์ของ นักวิชาการข้างต้น แสดงให้เห็นว่า หะดิษที่รายงานโดยอัลหะซัน ที่อัชอารีย(อ.อาริฟีน) เอามาอ้างนั้น เป็นหะดิษมุรซัล ที่เฎาะอีฟ(อ่อน)มาก ไม่มีใครยอมรับมาเป็นหลัก ยิ่งในเรื่องอะกีดะฮแล้ว อ.อารีฟีนเคยบอกว่า หะดิษเฎาะอีฟใช้ไม่ได้และกล่าวหาว่าพวกวะฮบีย์อ้างหะดิษเฎาะอีฟ แต่ กลายเป็นว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” “ต้องขอมาอัฟหากการวิจารณ์ข้างต้นทำให้อาจารย์ไม่สบายใจ แต่ มันก็จำเป็นเพื่อความถูกต้อง
คุณผู้มีนามว่า อิสลาม แห่งอะฮลุลบิดอะฮ(ไม่ควรเรียกว่าชาวสุนนะฮ) คนนี้ ไม่กล้าที่จะรับผิดชอบในการกระทำของตน ใช้นามแฝง แล้วให้ร้ายผมมาตลอด แอบทำร้ายคนอื่นในที่มืด
แปลก...แทนที่จะยึดหะดิษเศาะเฮียะที่บอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า กลับมายึดอะกีดะฮด้วยขอนไม้ผุ ที่เป็นหะดิษแสนจะเฎาะอีฟข้างต้น
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
เรื่องสำคัญบางส่วนที่แปลจากหนังสือ ชาเราะห์ อุซูล อิติก๊อด ของ อัล-ลาลีกาอี
เรื่องสำคัญบางส่วนที่แปลจากหนังสือ ชาเราะห์ อุซูล อิติก๊อด ของ อัล-ลาลีกาอี
(And now some points translated from 'Sharh Usul I'tiqaad' of al-Laalikaaee)
660) อับดุลลอฮ์ บิน อับบาส ได้กล่าว,'โดยแท้จริง อัลลอฮ์ อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ก่อนที่พระองค์ได้สร้างสิ่งใดๆ,จากนั้นพระองค์ได้สร้างการสร้างและประกาศิตอะไรที่ดำรงอยู่จนกระทั่งถึงวันแห่งการพิพากษา.'(หน้า 396)
662) บัชร์ บิน อุมาร์ ได้กล่าว,'ฉันได้ยินมากกว่าหนึ่งคนจากมุฟัซซีร กล่าวเกี่ยวกับโองการ,"ผู้ทรงกรุณาปราณี อิสตาวา บนบัลลังก์" - อิสตาวา หมายถึง ขึ้นเหนือ.'(หน้า 397)
665) รอบิอฺ (ครูคนหนึ่งของอีหม่ามมาลิก)ถูกถามเกี่ยวกับโองการ,"ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงขึ้นเหนือบนบัลลังก์" - 'พระองค์ขึ้นไปอย่างไร?' เขาได้ตอบ,'อัล-อิสตีวา(การขึ้น)เป็นที่รู้จัก,และวิธีการซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้,และจากอัลลอฮ์เป็นคำดำรัส,และบนศาสนฑูตเป็นคำสอน,และบนพวกเราคือการเชื่อ.'(หน้า 397)
670) มากอติล บิน ฮุยาน ได้กล่าวเกี่ยวกับคำดำรัสของพระองค์(อัลลอฮ์),"
"... การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาและมันจะไม่เกิดขึ้นในห้าคน เว้นแต่พระองค์ทรงเป็นที่หกของพวกเขา ..." - พระองค์อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์,และไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากความรู้ของพระองค์.'(หน้า 400)
673) อีหม่ามอะหมัดถูกถาม,'อัลลอฮ์อยู่เหนือฟ้าชั้นที่เจ็ด,เหนือบัลลังก์ของพระองค์เพราะนั่นมาจากการสร้างของพระองค์,และพลังและความรู้ของพระองค์อยู่ทุกแห่งหรือไม่?
และเขาได้ตอบ,'ใช่,เหนือบัลลังก์และความรู้ของพระองค์อยู่ในทุกแห่ง.'(หน้า 401)
675) อีหม่ามอะหมัดถูกถามเกี่ยวกับโองการ,"...และพระองค์อยู่กับเจ้า ที่ไหนก็ตามที่เจ้าอยู่...","... การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา ..." และเขาได้กล่าว,'(หมายถึง)ความรู้ของพระองค์,พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ,ความรู้ของพระองค์ห้อมล้อมทุกสิ่ง,และพระเจ้าของเราอยู่เหนือบัลลังก์โดยไม่มีการจำกัด(เช่น จำกัดขอบเขต เป็นต้น)และให้คำอธิบาย(เช่น ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบ วิธีการ เป็นต้น),และกุรซีของพระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกับความรู้ของพระองค์.'(หน้า 402)
อีหม่ามอับดุลลอฮ์ บิน อะหมัด ได้กล่าว,'...ฉันถือการเป็นพยานว่าพระองค์อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์เหนือชั้นฟ้าทั้งเจ็ดชั้น.และนี่ไม่ใช่เป็นดังเช่นศัตรูของอัลลอฮ์กล่าว,คนนอกศาสนา(ผู้คนที่มีความคิดนอกคอก).'(ชาเราะห์ซุนนะฮ์ อีหม่ามอับดุลลอฮ์)
เขายังได้กล่าวด้วยว่า,'เรารู้ว่าพระเจ้าของเราอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าบนบัลลังก์,และเราไม่กล่าวดังเช่นกลุ่มญะห์มียะห์กล่าว ว่า พระองค์อยู่ที่นี่,และเขาชี้ด้วยมือของเขามาที่แผ่นดินโลก.(ชาเราะห์ ซุนนะฮ์)
------------------------------------------------------------------------
และโดยความจริงอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
ที่มา
http://www.ontdekislam.nl/forum/viewtopic.php?p=636055
หรือ
https://forum.salafiri.com/viewtopic.php?t=750
แปลโดย Firdaus Msd
สังเขปประวัติ
อัลลาลีกาอี เสีย ฮ.ศ 418
(And now some points translated from 'Sharh Usul I'tiqaad' of al-Laalikaaee)
660) อับดุลลอฮ์ บิน อับบาส ได้กล่าว,'โดยแท้จริง อัลลอฮ์ อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ก่อนที่พระองค์ได้สร้างสิ่งใดๆ,จากนั้นพระองค์ได้สร้างการสร้างและประกาศิตอะไรที่ดำรงอยู่จนกระทั่งถึงวันแห่งการพิพากษา.'(หน้า 396)
662) บัชร์ บิน อุมาร์ ได้กล่าว,'ฉันได้ยินมากกว่าหนึ่งคนจากมุฟัซซีร กล่าวเกี่ยวกับโองการ,"ผู้ทรงกรุณาปราณี อิสตาวา บนบัลลังก์" - อิสตาวา หมายถึง ขึ้นเหนือ.'(หน้า 397)
665) รอบิอฺ (ครูคนหนึ่งของอีหม่ามมาลิก)ถูกถามเกี่ยวกับโองการ,"ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงขึ้นเหนือบนบัลลังก์" - 'พระองค์ขึ้นไปอย่างไร?' เขาได้ตอบ,'อัล-อิสตีวา(การขึ้น)เป็นที่รู้จัก,และวิธีการซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้,และจากอัลลอฮ์เป็นคำดำรัส,และบนศาสนฑูตเป็นคำสอน,และบนพวกเราคือการเชื่อ.'(หน้า 397)
670) มากอติล บิน ฮุยาน ได้กล่าวเกี่ยวกับคำดำรัสของพระองค์(อัลลอฮ์),"
"... การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาและมันจะไม่เกิดขึ้นในห้าคน เว้นแต่พระองค์ทรงเป็นที่หกของพวกเขา ..." - พระองค์อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์,และไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากความรู้ของพระองค์.'(หน้า 400)
673) อีหม่ามอะหมัดถูกถาม,'อัลลอฮ์อยู่เหนือฟ้าชั้นที่เจ็ด,เหนือบัลลังก์ของพระองค์เพราะนั่นมาจากการสร้างของพระองค์,และพลังและความรู้ของพระองค์อยู่ทุกแห่งหรือไม่?
และเขาได้ตอบ,'ใช่,เหนือบัลลังก์และความรู้ของพระองค์อยู่ในทุกแห่ง.'(หน้า 401)
675) อีหม่ามอะหมัดถูกถามเกี่ยวกับโองการ,"...และพระองค์อยู่กับเจ้า ที่ไหนก็ตามที่เจ้าอยู่...","... การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา ..." และเขาได้กล่าว,'(หมายถึง)ความรู้ของพระองค์,พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ,ความรู้ของพระองค์ห้อมล้อมทุกสิ่ง,และพระเจ้าของเราอยู่เหนือบัลลังก์โดยไม่มีการจำกัด(เช่น จำกัดขอบเขต เป็นต้น)และให้คำอธิบาย(เช่น ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบ วิธีการ เป็นต้น),และกุรซีของพระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกับความรู้ของพระองค์.'(หน้า 402)
อีหม่ามอับดุลลอฮ์ บิน อะหมัด ได้กล่าว,'...ฉันถือการเป็นพยานว่าพระองค์อยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์เหนือชั้นฟ้าทั้งเจ็ดชั้น.และนี่ไม่ใช่เป็นดังเช่นศัตรูของอัลลอฮ์กล่าว,คนนอกศาสนา(ผู้คนที่มีความคิดนอกคอก).'(ชาเราะห์ซุนนะฮ์ อีหม่ามอับดุลลอฮ์)
เขายังได้กล่าวด้วยว่า,'เรารู้ว่าพระเจ้าของเราอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าบนบัลลังก์,และเราไม่กล่าวดังเช่นกลุ่มญะห์มียะห์กล่าว ว่า พระองค์อยู่ที่นี่,และเขาชี้ด้วยมือของเขามาที่แผ่นดินโลก.(ชาเราะห์ ซุนนะฮ์)
------------------------------------------------------------------------
และโดยความจริงอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
ที่มา
http://www.ontdekislam.nl/forum/viewtopic.php?p=636055
หรือ
https://forum.salafiri.com/viewtopic.php?t=750
แปลโดย Firdaus Msd
สังเขปประวัติ
อัลลาลีกาอี เสีย ฮ.ศ 418
240391: มีมติเอกฉันท์(อิจมาอฺ)บนการอนุญาตของการตักลีดจากหนึ่งในสี่มัซฮับหรือไม่?
240391: มีมติเอกฉันท์(อิจมาอฺ)บนกา รอนุญาตของการตักลีดจากหนึ่ งในสี่มัซฮับหรือไม่?
มีอิจมาอฺ จากนักการศาสนาที่เกี่ยวกับ การตักลีดที่สมบูรณ์ของมัซฮ ับใดมัซฮับหนึ่งจากสี่มัซฮั บในศตวรรษที่สามฮิจเราะห์หร ือไม่? อายัตนี้หมายความว่าอย่างไร ?
"จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูล และต่อผู้ที่ถูกให้อำนาจหน้ าที่(ผู้ปกครอง).ถ้าเจ้าไม่ เห็นด้วยต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ,จงกลับไปที่อัลลอฮ์และรอซู ลชองพระองค์." ฉันอ่านอายัตนี้ดูเหมือนอ้างถึงการตักลีดที่สมบูรณ์ใน สี่สำนักคิดและส่วนที่สอง"ใ นกรณีของการไม่เห็นด้วย"มีส ำหรับนักวิชาการศาสนา/ มุจาดีด เท่านั้น ไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป.
สิ่งนี้หมายความว่ากุรอานแล ะซุนนะห์สามารถเข้าใจได้เฉพ าะนักวิชาการหรืออุลามาอฺเท ่านั้นหรือไม่?. ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่นักก ารศาสนาต้องทำตามสี่สำนักคิ ดเท่านั้นหรือ.
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอ ฮ์
มันไม่มีข้อบังคับสำหรับมุส ลิมที่ต้องตามมัซฮับหนึ่งเฉ พาะเจาะจง,ไม่ว่าจะเป็นหนึ่ งในสี่มัซฮับหรืออื่นๆ
และไม่อนุญาตสำหรับมุสลิมที ่จะตามคนใดคนหนึ่งในศาสนาขอ งอัลลอฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ, ในแง่ที่ว่าเขาไม่ได้แตกต่า งจากเขาในเรื่องเล็กหรือใหญ ่(นี่คือสิ่งที่หมายถึงการต ักลีดที่สมบูรณ์").
ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ชัยคฺ อัชชานคีตี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ไ ด้กล่าวใน
أضواء البيان في إيضاح القرآن بالقرآن" (7 / 307):
ที่เกี่ยวกับประเภทของตักลี ด(ทำตาม)ในสิ่งที่ผู้คนยุคต ่อมาแตกต่างจากซอฮาบัตและผู ้คนยุคอื่นๆที่ถูกกล่าว(ในฮ าดิษหนึ่ง)ที่ดีที่สุด,มันเ ป็นการตามคนผู้หนึ่งเฉพาะเจ าะจงเป็นการแยกนักวิชาการศา สนาอื่นๆทั้งหมดออกไป.
การตามในลักษณะนี้ไม่ได้ถูก กำหนดในตำราใดๆไม่ว่าจะเป็น กุรอาน หรือซุนนะห์, ไม่ได้ถูกสนับสนุนโดยซอฮาบั ตใดๆของท่านรอซูลุลลอฮ์(ﷺ) หรือผู้คนชาวสะลัฟฟุซซอและห ์ในยุค 300 ปีแรก.
มันขัดแย้งกับความเห็นของสี ่อีมามมัซฮับ(ขออัลลอฮ์เมตต าพวกเขาทั้งหมด).ไม่มีท่านใ ดในพวกเขาสนับสนุนให้มีการย ึดติดต่อความเห็นของผู้ใดผู ้หนึ่งเป็นการเฉพาะ (ในลักษณะที่มี)การแยกนักกา รศาสนามุสลิมอื่นๆออกไป.
เพราะฉะนั้นการตามนักวิชากา รศาสนาคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ เป็นหนึ่งในอุตริกรรม(บิดอะ ห์)ของศตวรรษที่สี่(หลังยุค 300 ปี แรก) และใครที่อ้างเป็นอย่างอื่น ,
ให้เขาชี้ให้เราเห็นบุคคลใด บุคคลหนึ่งจากสามชั่วอายุแร ก(300 ปีแรก) ที่ยึดติดกับมัซฮับ ของคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ . แต่เขาไม่สามารถที่จะทำได้เ ช่นนั้น.เพราะมันไม่เคยเกิด ขึ้นเลย.
จบคำอ้าง.
สี่อีมามมัซฮับ(ขออัลลอฮ์เม ตตาต่อพวกเขา)ได้ห้ามประชาช นตามพวกเขาในแบบตักลีด.อีมา มอะห์มัด ได้กล่าว: อย่าตามฉัน,และอย่าตามมาลิก หรือเซารีหรืออัลเอาซาอี. จงเรียนรู้จากแหล่งจากที่พว กเขาได้เรียนรู้. เขายังกล่าวด้วยวว่า: มันเป็นสัญญาณของการขาดความ เข้าใจของบุคคลคนหนึ่งที่เข าตามบุคคลอื่นๆในเรื่องศาสน า.
จบคำอ้างจาก
إعلام الموقعين عن رب العالمين " (2 / 139).
ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ (รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้ถูกถาม:
อะไรคือสิ่งที่นักวิชาการศา สนาระดับผู้นำกล่าวเกี่ยวกั บชายคนหนึ่งที่ถูกถามว่า"มั ซฮับของท่านคืออะไร?"
และเขากล่าวว่า,"มุฮัมหมัดด ี(มัซฮับนบี(ﷺ)); ฉันตามคัมภีร์ของอัลลอฮ์และ ซุนนะห์ของรอซูลุลลอฮ์ มุฮัมหมัด ﷺ. "
เมื่อมันถูกกล่าวว่าผู้ศรัธ ทาทุกคนควรตามมัซฮับหนึ่ง,แ ละใครที่ไม่มีมัซฮับเป็นมาร ร้าย,เขากล่าว:"มัซฮับของอา บูบักร อัซซิดีค และคอลีฟะห์ภายหลังจากเขา(ข ออัลลอฮ์ประทานสันติและอำนว ยพรให้กับเขา.)"
และมันถูกกล่าวกับเขา:คุณต้ องตามมัซฮับหนึ่งจากมัซฮับเ หล่านี้.แบบไหนที่ถูกต้อง?
เขาตอบ:
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอ ฮ์. สิ่งที่ทุกคนต้องทำคือการเช ื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลﷺ ของพระองค์.
สำหรับบรรดาผู้มีอำนาจ(ผู้ป กครอง) ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำประช าชนให้ปฏิบัติตามคำดำรัส
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا ( 59 )
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด ้วย.... "[อันนีซาอฺ 4:59],
มันเป็นหน้าที่ที่ต้องเชื่อ ฟังพวกเขาภายใต้กรอบของการเ ชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลขอ งพระองค์เท่านั้นและไม่เป็น อิสระจากสิ่งนั้น. แล้วอัลลอฮ์ตรัส:"...แต่ถ้า พวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัล ลอฮฺ และร่อซูล ﷺ หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแ ละเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง"
[อันนีซาอฺ 4:59].
ถ้ามุสลิมถูกเผชิญกับปัญหาใ หม่ ถ้างั้นเขาต้องถามบางคนผู้ท ี่เขาเชื่อว่าจะให้คำชี้ขาด บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ของอัลล อฮ์และรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
ไม่สำคัญว่าเขามัซฮับอะไร.ช าวมุสลิมไม่จำเป็นต้องทำตาม นักวิชาการคนใดคนหนึ่งในทุก สิ่งที่เขาพูด,และไม่จำเป็น ที่มุสลิมต้องยึดติดกับมัซฮ ับใดเป็นการเฉพาะมากกว่าท่า นรอซูลุลลอฮ์(ﷺ)ในทั้งหมดที ่เขากำชับและบอกกล่าว. บรรดาความเห็นอาจถูกยอมรับห รือปฏิเสธได้,ยกเว้นมันมาจา กรอซูลุลลอฮ์ ﷺ.
สำหรับคนที่กำลังตามมัซฮับข องบุคคลเป็น
การเฉพาะเพราะเขาไม่สามารถท ี่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกฎของ อิสลามนอกจากผ่านเขา,สิ่งนี ้ยอมรับได้,แต่ไม่ใช่เป็นสิ ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน,ถ้า หากว่าคนหนึ่งสามารถที่จะเร ียนรู้เกี่ยวกับกฎของอิสลาม ด้วยวิธีการอื่นๆ.
แต่ละคนจำเป็นที่ต้องกลัวอั ลลอฮ์ให้มากเท่าที่เขาทำได้ และแสวงหาความรู้ในสิ่งที่ถ ูกกำชับโดยอัลลอฮ์และรอซูลุ ลลอฮ์ﷺ ,เพื่อเขาจะได้กระทำสิ่งที่ ถูกกำชับและงดเว้นเสียจากสิ ่งที่ต้องห้าม และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่ง.
จบคำอ้างจาก
مجموع الفتاوى" (20/208-209) .
ก่อนหน้านี้เราเคยอธิบายว่า ใครก็ตามที่มีความสามารถในก ารรับกฎชารีอะห์โดยตรงจากกุ รอานและซุนนะห์ อาจจะอ้างโดยตรงกับทั้งสอง ตามที่ผู้คนที่มาก่อนเคยทำ, และไม่อนุญาตสำหรับเขาที่จะ ตามคนใดคนหนึ่ง.เขาควรตามใน สิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นความ จริงมากกว่า,แต่อนุญาตสำหรั บเขาที่จะตามผู้อื่นที่เกี่ ยวกับสิ่งที่เขาไม่สามารถที ่จะรู้และจำเป็นต้องรู้.กรุ ณาดูคำตอบจากคำถามหมายเลข 21420.
ที่เกี่ยวข้องกับคำดำรัสของ อัลลอฮ์ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ:
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا ( 59 )
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด ้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในส ิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัล ลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแ ละเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง" [อัน นิซาอฺ 4:59],
ไม่มีสิ่งใดในโองการนี้ที่ช ี้ให้เห็นว่าคนหนึ่งควรตามส ี่อีมามมัซฮับ; แต่มันเป็นคำสั่งที่ต้องเชื ่อฟังอัลลอฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ และศาสนฑูต(ﷺ)ของพระองค์ และเชื่อฟังเหล่าผู้มีอำนาจ (ผู้ปกครอง).ผู้ปกครองมีอำน าจปกครองตามสิ่งที่อัลลอฮ์ไ ด้ทรงประทานลงมา,และนักวิชา การศาสนาและฟุกอฮะห์ ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของอัลล อฮ์,,พระองค์ผู้ทรงรุ่งโรจน ์และได้รับการสรรเสริญ,โดยท ี่ไม่ไปจำกัดกับนักวิชาการค นใดเป็นการเฉพาะ.
อัล บัยฮากี ได้กล่าวในตัฟซีรของเขา(2/ 239):
นักวิชาการมีความเห็นที่แตก ต่างกันต่อความหมายของ"ใครใ นพวกท่าน(มุสลิม)เป็นผู้มีอ ำนาจ(ปกครอง)".อิบนุ อับบาส และญาบิร(ขออัลลอฮ์พอพระทัย ต่อพวกเขา)ได้กล่าว: พวกเขาคือฟุกอฮะห์และนักวิช าการที่สอนประชาชนเกี่ยวกับ ศาสนาของพวกเขา.สิ่งนี้ยังเ ป็นความเห็นของอัลฮาซัน วัดดุฮาก วามุญาฮิด
الْحَسَنِ وَالضَّحَّاكِ وَمُجَاهِدٍ
หลักฐานในเรื่องนั้นคือโองก ารที่อัลลอฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ ตรัส:"...หากว่าพวกเขาให้มั นกลับไปยังร่อซูล และยังผู้ปกครองการงานในหมู ่พวกเขาแล้ว แน่นอนบรรดาผู้ที่วินิจฉัยม ันในหมู่พวกเขาก็ย่อมรู้มัน ได้... "[อัน-นิสาอฺ 4:83].
อาบู ฮูรอยเราะห์่ ได้กล่าว: พวกเขาเป็นผู้ปกครองและเจ้า ผู้ครองเมือง.' อาลี อิบนุ อาบีฏอลิบ(ขออัลลอฮ์พอพระทั ยท่าน)ได้กล่าวว่า: มันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ที่ต้องปกครองตามสิ่งที่อัล ลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาและปฏิ บัติตามความไว้วางใจ. ถ้าเขาทำเช่นนั้น,มันเป็นหน ้าที่ของประชาชนที่ต้องฟังเ ขาและเชื่อฟัง.
จบคำกล่าวอ้าง.
ที่เกี่ยวกับคำดำรัสของอัลล อฮ์ ผู้ได้รับการสรรเสริญ,".... .(และ) ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่ง ใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัล ลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแ ละเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง"[อัน-นิสาอฺ 4:59],
สิ่งนี้ถูกกล่าวกับทุกคนที่ มีคุณสมบัติในการเข้าใจหลัก ฐาน(อ้างอิงในกุรอานและซุนน ะห์).
สำหรับผู้ที่ขาดคุณสมบัติที ่จะทำเช่นนั้น,เขาต้องถามปร ะชาชนแห่งความรู้(เช่น นักวิชาการศาสนา)และทำตามคำ ชี้ขาดที่พวกเขาให้.
อัลอามีดี ได้กล่าวใน
"الإحكام في أصول الأحكام" (4 / 228): "
อัลอิฮฺกาม ฟี อุศูล อัลอะห์กาม(4/228):
สำหรับชาวมุสลิมสามัญชน(ทั่ วไป)และคนที่ไม่ได้มีส่วนร่ วมในการอิจติฮาด ถึงแม้เขาจะมีความรู้เกี่ยว กับศาสนาอิสลามเพียงเล็กน้อ ย แต่ก็ต้องปฏิบัติตามมุมมองข องมุจตาฮีด และปฏิบัติตามฟัตวา ของเขาตามที่นักวิชาการของอ ุศูล กล่าว.
จบคำกล่าวอ้าง.
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
เขียนโดย ชัยคฺ ซอและห์ อัลมุนัจจิด
แปลโดย Firdaus Msd
ที่มา https://islamqa.info/en/ 240391
https://islamqa.info/ar/ answers/240391/ هل-انعقد-اجماع-على-جواز-الت قليد-التام-لاحد-المذاهب-ال اربعة
มีอิจมาอฺ จากนักการศาสนาที่เกี่ยวกับ
"จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูล
สิ่งนี้หมายความว่ากุรอานแล
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอ
มันไม่มีข้อบังคับสำหรับมุส
และไม่อนุญาตสำหรับมุสลิมที
ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ชัยคฺ อัชชานคีตี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ไ
أضواء البيان في إيضاح القرآن بالقرآن" (7 / 307):
ที่เกี่ยวกับประเภทของตักลี
การตามในลักษณะนี้ไม่ได้ถูก
มันขัดแย้งกับความเห็นของสี
เพราะฉะนั้นการตามนักวิชากา
ให้เขาชี้ให้เราเห็นบุคคลใด
จบคำอ้าง.
สี่อีมามมัซฮับ(ขออัลลอฮ์เม
จบคำอ้างจาก
إعلام الموقعين عن رب العالمين " (2 / 139).
ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ (รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้ถูกถาม:
อะไรคือสิ่งที่นักวิชาการศา
และเขากล่าวว่า,"มุฮัมหมัดด
เมื่อมันถูกกล่าวว่าผู้ศรัธ
และมันถูกกล่าวกับเขา:คุณต้
เขาตอบ:
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอ
สำหรับบรรดาผู้มีอำนาจ(ผู้ป
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا ( 59 )
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด
มันเป็นหน้าที่ที่ต้องเชื่อ
[อันนีซาอฺ 4:59].
ถ้ามุสลิมถูกเผชิญกับปัญหาใ
ไม่สำคัญว่าเขามัซฮับอะไร.ช
สำหรับคนที่กำลังตามมัซฮับข
การเฉพาะเพราะเขาไม่สามารถท
แต่ละคนจำเป็นที่ต้องกลัวอั
จบคำอ้างจาก
مجموع الفتاوى" (20/208-209) .
ก่อนหน้านี้เราเคยอธิบายว่า
ที่เกี่ยวข้องกับคำดำรัสของ
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا ( 59 )
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด
ไม่มีสิ่งใดในโองการนี้ที่ช
อัล บัยฮากี ได้กล่าวในตัฟซีรของเขา(2/
นักวิชาการมีความเห็นที่แตก
الْحَسَنِ وَالضَّحَّاكِ وَمُجَاهِدٍ
หลักฐานในเรื่องนั้นคือโองก
อาบู ฮูรอยเราะห์่ ได้กล่าว: พวกเขาเป็นผู้ปกครองและเจ้า
จบคำกล่าวอ้าง.
ที่เกี่ยวกับคำดำรัสของอัลล
สิ่งนี้ถูกกล่าวกับทุกคนที่
สำหรับผู้ที่ขาดคุณสมบัติที
อัลอามีดี ได้กล่าวใน
"الإحكام في أصول الأحكام" (4 / 228): "
อัลอิฮฺกาม ฟี อุศูล อัลอะห์กาม(4/228):
สำหรับชาวมุสลิมสามัญชน(ทั่
จบคำกล่าวอ้าง.
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
เขียนโดย ชัยคฺ ซอและห์ อัลมุนัจจิด
แปลโดย Firdaus Msd
ที่มา https://islamqa.info/en/
https://islamqa.info/ar/
3476: คุณธรรมของรุคยะห์และดุอาที่ถูกอ่านในเรื่องนั้นๆ
3476: คุณธรรมของรุคยะห์และดุอาที่ถูกอ่านในเรื่องนั้นๆ
อะไรคือคุณธรรมของรุคยะห์ของชายคนหนึ่งที่อ่านรุคยะห์เพื่อตัวเอง? หลักฐานสำหรับเรื่องนั้นคืออะไร? เขาควรกล่าวอะไรเวลาที่เขาอ่านรุคยะห์เพื่อตัวเขาเอง?
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
1 - ไม่มีสิ่งใดผิดกับมุสลิมในการที่เขาจะอ่านรุคยะห์เพื่อตัวเขาเอง. อนุญาตให้ทำได้; มันเป็นซุนนะห์ที่ดี, เพราะท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้อ่านรุคยะห์เพื่อตัวท่านเอง,และซอฮาบัตบางส่วนของท่านก็อ่านรุคยะห์เพื่อตัวของพวกเขาเอง.
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์(รอดียัลลอฮูอันฮา)ได้กล่าว: เมื่อตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ป่วย,ท่านจะอ่านอัลมิวาซาตินหรือ มุเอาวิซาตี (مُعَوِّذَاتِ)บนตัวเองและเป่า.เมื่อความเจ็บปวดของท่านเริ่มรุนแรงขึ้น, ฉันอ่านเพื่อท่านและเช็ดถูท่านกับมือของท่านเอง,แสวงบารอกัตของมัน(พร)."
รายงานโดยบุคอรี,4728;มุสลิม,2192
เกี่ยวกับฮาดิษที่ถูกรายงานโดยมุสลิม(220),ตามที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้บอกว่า 70,000 คนของอุมมัตนี้จะเข้าสวรรค์โดยไม่ต้องถูกสอบสวนหรือลงโทษ,และในฮาดิษมีกล่าวว่า:
"พวกเขาเป็นผู้ที่ไม่อ่านรุคยะห์หรือขอรุคยะห์เพื่อที่จะให้มันถูกกระทำ,และพวกเขาไม่เชื่อในโชคลางและพวกเขาวางใจของพวกเขาไปที่พระเจ้าของพวกเขา" - สำนวน"พวกเขาไม่อ่านรุคยะห์"เป็นคำกล่าวของผู้รายงาน,ไม่ใช่มาจากท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ.ด้วยเหตุนี้อัลบุคอรีได้รายงานฮาดิษนี้(หมายเลข 5420) และเขาไม่ได้กล่าวสำนวนนี้.
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะห์(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ประชาชนเหล่านี้ถูกสรรเสริญเพราะพวกเขาไม่ขอให้ใครอ่านรุคยะห์สำหรับพวกเขา,และรุคยะห์เป็นประเภทของดุอา,ดังนั้นพวกเขาไม่ขอให้คนอื่นทำการร้องขอ(ดุอา)สำหรับพวกเขา.สำนวน"และพวกเขาไม่อ่านรุคยะห์"ที่ถูกกล่าวถึงในฮาดิษเป็นความผิดพลาด(ในส่วนของผู้รายงาน),สำหรับรุคยะห์ของพวกเขาสำหรับตัวของพวกเขาเองและสำหรับคนอื่นๆเป็นความดี.ท่านนบีมูฮัมหมัด ﷺ อ่านรุคยะห์เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นๆ; เขาไม่ขอให้ใครมาอ่านรุคยะห์สำหรับท่าน. การอ่านรุคยะห์ของท่านเพื่อตัวท่านเองและผู้อื่นเป็นดังเช่นการทำดุอาของท่านเพื่อตัวท่านและผู้อื่น นี่เป็นบางสิ่งที่ถูกกำชับ,สำหรับบรรดารอซูลหรือนบีร้องขอต่ออัลลอฮ์และละหมาดเพื่อพระองค์,ตามที่อัลลอฮ์บอกเราเรื่องราวของอาดัม,อิบรอฮีม,มูซาและท่านอื่นๆ.
มัจมูอฺ อัลฟัตวา,1/182
อิบนุก๊อยยิม(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวว่า:
สำนวนนี้ถูกใส่ในฮาดิษ,แต่มันเป็นความผิดพลาดในส่วนของผู้รายงานบางส่วน.
อ้างอิงจาก ฮาดี อัลอัรวาฮ์ 1/89
รุคยะห์ เป็นหนึ่งในการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ศรัธทาควรใช้เป็นประจำ.
2 - เกี่ยวกับดุอาที่กำหนดไว้สำหรับมุสลิมที่จะกล่าว ถ้าเขาต้องการที่จะอ่านรุคยะห์ สำหรับตัวเองหรือสำหรับคนอื่น,มีหลายสำนวนดุอา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออัลฟาตีฮะห์ และอัลมิวาซาตัยน์.
กลุ่มของซอฮาบัตของท่านรอซูลุลลอฮ ﷺ์ ได้ออกเดินทางจนกระทั่งพวกเขาได้เข้ามาใกล้เผ่าอาหรับ. พวกเขาขอพวกเขาความมีมิตรไม่ตรีจิตแต่พวกเขาปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น.จากนั้นหัวหน้าเผ่านั้นก็โดน(งู)กัด,และพวกเขาพยามทุกสิ่งแต่ไม่มีสิ่งใดช่วยเขาได้.หลังจากนั้นบางคนของพวกเขาได้กล่าว,ทำไมพวกท่านไม่ไปที่ผู้คนเหล่านั้นผู้ที่กำลังพัก(อยู่ใกล้ๆนี้)? บางทีพวกเขาอาจมีบางสิ่ง.ดังนั้นพวกเขาไปที่พวกเขา(ซอฮาบัต)และกล่าว,โอ้ คนเดินดิน,ผู้นำของเราถูกงูกัดและเราได้พยายามทุกทางและไม่มีใครช่วยเขาได้.
คนใดคนหนึ่งของพวกท่านพอมีบางสิ่งบางอย่างไหม? คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า,ใช่,โดยนามของอัลลอฮ์.ฉันจะทำรุคยะห์เพื่อเขา,แต่ ด้วยนามของอัลลอฮ์ เราขอความเอื้อเฟื้อ(พักอาศัย)จากพวกท่านและท่านไม่ได้ให้อะไรต่อพวกเราเลย,ด้วยเหตุนั้นเราจะไม่ทำรุคยะห์สำหรับพวกท่าน นอกจากว่าพวกท่านจะให้บางสิ่งแกพวกเรา(ในทาง)กลับกัน.ดังนั้นพวกเขาตกลง(ด้วย)ฝูงแกะหนึ่งฝูง,แล้วเขา(ซอฮาบัตคนหนึ่ง)เริ่มเป่าบนตัวเขาและอ่าน อัลฮัมดูลิลลาฮีร๊อบบิลอาลามีน.หลังจากนั้นเขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วจากการร้องทุกข์ของเขาและเริ่มเดินได้,และไม่มีอะไรผิดปกติกับตัวเขา.แล้วพวกเขามอบให้แก่พวกเขา(ซอฮาบัต)ตามที่ตกลงไว้,และซอฮาบัตบางท่านได้กล่าวว่า,เรามาแบ่งกัน.ซอฮาบัตผู้ที่ทำรุคยะห์ได้กล่าว,อย่าทำสิ่งใดๆจนกว่าเราไปพบท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ และบอกท่านในสิ่งที่เกิดขึ้น.และเราจะรอดูว่าท่านจะบอกให้พวกเราทำอะไร.หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้มาถึงที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ และบอกท่าน(รอซูล)ในสิ่งที่เกิดขึ้น.ท่าน(รอซูล)กล่าว,"ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นรุคยะห์?"แล้วท่านได้กล่าวว่า,"พวกท่านได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง.แบ่งรางวัลกัน,และให้ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนแก่ฉัน."และท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
ยิ้ม.(รายงานโดยบุคอรี,2276,และมุสลิม,2201)
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์(รอดียัลลอฮูอันฮา)ได้กล่าว: เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ป่วย,ท่านจะอ่านอัลมีวาซาตัยน์ บนตัวท่านและเป่า.เมื่อท่านอาการหนัก,ฉันอ่านบนตัวท่านและเช็ดถูท่านด้วยมือของท่าน,แสวงหาบารอกัตของมัน(พร).'
รายงานโดยบุคอรี,4728;มุสลิม,2192
ดุอาที่ถูกรายงานในซุนนะห์รวมต่อไปนี้:
มุสลิม(2202)รายงานจากอุซมาน บิน อาบิล อาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)ว่าเขาได้ร้องทุกข์กับท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
เกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เขารู้สึกในร่างกายของเขาตั้งแต่เขามาเป็นมุสลิม.ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้กล่าวกับเขา:"เอามือของท่านวางบนส่วนของร่างกายที่ซึ่งท่านรู้สึกปวดและกล่าว'บิสมิลลาฮ์ (ด้วยนามของอัลลอฮ์)3 ครั้ง,แล้วกล่าว 7 ครั้ง,(คำอ่านไทย) อาอูซูบีอิซซาติลลาฮฺ วาก๊อดรอตีฮี มิง ชัรรี มา อาญิด วา อูฮาซิร
(สำนวนอาหรับ)
( بسم الله ثلاثاً ، وقل سبع مرات : أعوذ بعزة الله وقدرته من شر ما أجد وأحاذر)
(ฉันขอแสวงหาในความรุ่งโรจน์และพลังของอัลลอฮ์จากสิ่งชั่วร้ายที่ฉันรู้สึกและเป็นกังวลเกี่ยวกับมัน)."
อัตตีรมีซี(2080) ได้กล่าวเสริม: ท่านได้กล่าว,
ฉันทำเช่นนั้น,และอัลลอฮ์ทรงเอาสิ่งที่ฉันได้รับความทุกข์ทรมานออกและฉันยังคงกำชับให้ครอบครัวและคนอื่นๆ ของฉันทำเช่นนั้น."(ระดับซอเฮียะโดย อัลบานี ในซอเฮียะ อัตตีรมีซี,1696)
มันถูกรายงานว่าอิบนุ อับบาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าว:ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ เคยเเสวงหาความช่วยเหลือสำหรับฮาซันและฮูเซน(ขออัลลอฮ์ประทานสันติและพรแด่ทั้งสองท่าน),และท่าน(นบี)จะกล่าว: 'พ่อของเจ้า[หมายถึงอิบรอฮีม สันติมีแด่เขา]เคยแสวงหาความช่วยเหลือกับอัลลอฮ์สำหรับอิสมาแอลและอิสฮากด้วยถ้อยคำเหล่านี้:
(อาอูซูบีกาลีมาติลลาฮ์อัลตามมะห์ มิงกุงลีไชตอนวาฮามมะห์ วามิงกุลลีอัยนิน ลามมะห์)
(أعوذ بكلمات الله التامة من كل شيطان وهامة ومن كل عين لامة)
(ฉันขอแสวงหาความช่วยเหลือในถ้อยคำที่สมบูรณ์ของอัลลอฮ์,จากทุกๆสิ่งที่ชั่วร้ายและพิษสัตว์เลื้อยคลาน,และจากทุกๆสายตาที่ชั่วร้าย)."'รายงานโดยบุคอรี,3191.
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
เขียนโดย ชัยคฺ ซอและห์ อัลมุนัจจิด
แปลโดย Firdaus Msd
ที่มา https://islamqa.info/en/3476
อะไรคือคุณธรรมของรุคยะห์ของชายคนหนึ่งที่อ่านรุคยะห์เพื่อตัวเอง? หลักฐานสำหรับเรื่องนั้นคืออะไร? เขาควรกล่าวอะไรเวลาที่เขาอ่านรุคยะห์เพื่อตัวเขาเอง?
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
1 - ไม่มีสิ่งใดผิดกับมุสลิมในการที่เขาจะอ่านรุคยะห์เพื่อตัวเขาเอง. อนุญาตให้ทำได้; มันเป็นซุนนะห์ที่ดี, เพราะท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้อ่านรุคยะห์เพื่อตัวท่านเอง,และซอฮาบัตบางส่วนของท่านก็อ่านรุคยะห์เพื่อตัวของพวกเขาเอง.
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์(รอดียัลลอฮูอันฮา)ได้กล่าว: เมื่อตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ป่วย,ท่านจะอ่านอัลมิวาซาตินหรือ มุเอาวิซาตี (مُعَوِّذَاتِ)บนตัวเองและเป่า.เมื่อความเจ็บปวดของท่านเริ่มรุนแรงขึ้น, ฉันอ่านเพื่อท่านและเช็ดถูท่านกับมือของท่านเอง,แสวงบารอกัตของมัน(พร)."
รายงานโดยบุคอรี,4728;มุสลิม,2192
เกี่ยวกับฮาดิษที่ถูกรายงานโดยมุสลิม(220),ตามที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้บอกว่า 70,000 คนของอุมมัตนี้จะเข้าสวรรค์โดยไม่ต้องถูกสอบสวนหรือลงโทษ,และในฮาดิษมีกล่าวว่า:
"พวกเขาเป็นผู้ที่ไม่อ่านรุคยะห์หรือขอรุคยะห์เพื่อที่จะให้มันถูกกระทำ,และพวกเขาไม่เชื่อในโชคลางและพวกเขาวางใจของพวกเขาไปที่พระเจ้าของพวกเขา" - สำนวน"พวกเขาไม่อ่านรุคยะห์"เป็นคำกล่าวของผู้รายงาน,ไม่ใช่มาจากท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ.ด้วยเหตุนี้อัลบุคอรีได้รายงานฮาดิษนี้(หมายเลข 5420) และเขาไม่ได้กล่าวสำนวนนี้.
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะห์(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ประชาชนเหล่านี้ถูกสรรเสริญเพราะพวกเขาไม่ขอให้ใครอ่านรุคยะห์สำหรับพวกเขา,และรุคยะห์เป็นประเภทของดุอา,ดังนั้นพวกเขาไม่ขอให้คนอื่นทำการร้องขอ(ดุอา)สำหรับพวกเขา.สำนวน"และพวกเขาไม่อ่านรุคยะห์"ที่ถูกกล่าวถึงในฮาดิษเป็นความผิดพลาด(ในส่วนของผู้รายงาน),สำหรับรุคยะห์ของพวกเขาสำหรับตัวของพวกเขาเองและสำหรับคนอื่นๆเป็นความดี.ท่านนบีมูฮัมหมัด ﷺ อ่านรุคยะห์เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นๆ; เขาไม่ขอให้ใครมาอ่านรุคยะห์สำหรับท่าน. การอ่านรุคยะห์ของท่านเพื่อตัวท่านเองและผู้อื่นเป็นดังเช่นการทำดุอาของท่านเพื่อตัวท่านและผู้อื่น นี่เป็นบางสิ่งที่ถูกกำชับ,สำหรับบรรดารอซูลหรือนบีร้องขอต่ออัลลอฮ์และละหมาดเพื่อพระองค์,ตามที่อัลลอฮ์บอกเราเรื่องราวของอาดัม,อิบรอฮีม,มูซาและท่านอื่นๆ.
มัจมูอฺ อัลฟัตวา,1/182
อิบนุก๊อยยิม(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวว่า:
สำนวนนี้ถูกใส่ในฮาดิษ,แต่มันเป็นความผิดพลาดในส่วนของผู้รายงานบางส่วน.
อ้างอิงจาก ฮาดี อัลอัรวาฮ์ 1/89
รุคยะห์ เป็นหนึ่งในการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ศรัธทาควรใช้เป็นประจำ.
2 - เกี่ยวกับดุอาที่กำหนดไว้สำหรับมุสลิมที่จะกล่าว ถ้าเขาต้องการที่จะอ่านรุคยะห์ สำหรับตัวเองหรือสำหรับคนอื่น,มีหลายสำนวนดุอา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออัลฟาตีฮะห์ และอัลมิวาซาตัยน์.
กลุ่มของซอฮาบัตของท่านรอซูลุลลอฮ ﷺ์ ได้ออกเดินทางจนกระทั่งพวกเขาได้เข้ามาใกล้เผ่าอาหรับ. พวกเขาขอพวกเขาความมีมิตรไม่ตรีจิตแต่พวกเขาปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น.จากนั้นหัวหน้าเผ่านั้นก็โดน(งู)กัด,และพวกเขาพยามทุกสิ่งแต่ไม่มีสิ่งใดช่วยเขาได้.หลังจากนั้นบางคนของพวกเขาได้กล่าว,ทำไมพวกท่านไม่ไปที่ผู้คนเหล่านั้นผู้ที่กำลังพัก(อยู่ใกล้ๆนี้)? บางทีพวกเขาอาจมีบางสิ่ง.ดังนั้นพวกเขาไปที่พวกเขา(ซอฮาบัต)และกล่าว,โอ้ คนเดินดิน,ผู้นำของเราถูกงูกัดและเราได้พยายามทุกทางและไม่มีใครช่วยเขาได้.
คนใดคนหนึ่งของพวกท่านพอมีบางสิ่งบางอย่างไหม? คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า,ใช่,โดยนามของอัลลอฮ์.ฉันจะทำรุคยะห์เพื่อเขา,แต่ ด้วยนามของอัลลอฮ์ เราขอความเอื้อเฟื้อ(พักอาศัย)จากพวกท่านและท่านไม่ได้ให้อะไรต่อพวกเราเลย,ด้วยเหตุนั้นเราจะไม่ทำรุคยะห์สำหรับพวกท่าน นอกจากว่าพวกท่านจะให้บางสิ่งแกพวกเรา(ในทาง)กลับกัน.ดังนั้นพวกเขาตกลง(ด้วย)ฝูงแกะหนึ่งฝูง,แล้วเขา(ซอฮาบัตคนหนึ่ง)เริ่มเป่าบนตัวเขาและอ่าน อัลฮัมดูลิลลาฮีร๊อบบิลอาลามีน.หลังจากนั้นเขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วจากการร้องทุกข์ของเขาและเริ่มเดินได้,และไม่มีอะไรผิดปกติกับตัวเขา.แล้วพวกเขามอบให้แก่พวกเขา(ซอฮาบัต)ตามที่ตกลงไว้,และซอฮาบัตบางท่านได้กล่าวว่า,เรามาแบ่งกัน.ซอฮาบัตผู้ที่ทำรุคยะห์ได้กล่าว,อย่าทำสิ่งใดๆจนกว่าเราไปพบท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ และบอกท่านในสิ่งที่เกิดขึ้น.และเราจะรอดูว่าท่านจะบอกให้พวกเราทำอะไร.หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้มาถึงที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ และบอกท่าน(รอซูล)ในสิ่งที่เกิดขึ้น.ท่าน(รอซูล)กล่าว,"ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นรุคยะห์?"แล้วท่านได้กล่าวว่า,"พวกท่านได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง.แบ่งรางวัลกัน,และให้ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนแก่ฉัน."และท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
ยิ้ม.(รายงานโดยบุคอรี,2276,และมุสลิม,2201)
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์(รอดียัลลอฮูอันฮา)ได้กล่าว: เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ป่วย,ท่านจะอ่านอัลมีวาซาตัยน์ บนตัวท่านและเป่า.เมื่อท่านอาการหนัก,ฉันอ่านบนตัวท่านและเช็ดถูท่านด้วยมือของท่าน,แสวงหาบารอกัตของมัน(พร).'
รายงานโดยบุคอรี,4728;มุสลิม,2192
ดุอาที่ถูกรายงานในซุนนะห์รวมต่อไปนี้:
มุสลิม(2202)รายงานจากอุซมาน บิน อาบิล อาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)ว่าเขาได้ร้องทุกข์กับท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
เกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เขารู้สึกในร่างกายของเขาตั้งแต่เขามาเป็นมุสลิม.ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้กล่าวกับเขา:"เอามือของท่านวางบนส่วนของร่างกายที่ซึ่งท่านรู้สึกปวดและกล่าว'บิสมิลลาฮ์ (ด้วยนามของอัลลอฮ์)3 ครั้ง,แล้วกล่าว 7 ครั้ง,(คำอ่านไทย) อาอูซูบีอิซซาติลลาฮฺ วาก๊อดรอตีฮี มิง ชัรรี มา อาญิด วา อูฮาซิร
(สำนวนอาหรับ)
( بسم الله ثلاثاً ، وقل سبع مرات : أعوذ بعزة الله وقدرته من شر ما أجد وأحاذر)
(ฉันขอแสวงหาในความรุ่งโรจน์และพลังของอัลลอฮ์จากสิ่งชั่วร้ายที่ฉันรู้สึกและเป็นกังวลเกี่ยวกับมัน)."
อัตตีรมีซี(2080) ได้กล่าวเสริม: ท่านได้กล่าว,
ฉันทำเช่นนั้น,และอัลลอฮ์ทรงเอาสิ่งที่ฉันได้รับความทุกข์ทรมานออกและฉันยังคงกำชับให้ครอบครัวและคนอื่นๆ ของฉันทำเช่นนั้น."(ระดับซอเฮียะโดย อัลบานี ในซอเฮียะ อัตตีรมีซี,1696)
มันถูกรายงานว่าอิบนุ อับบาส(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้กล่าว:ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ เคยเเสวงหาความช่วยเหลือสำหรับฮาซันและฮูเซน(ขออัลลอฮ์ประทานสันติและพรแด่ทั้งสองท่าน),และท่าน(นบี)จะกล่าว: 'พ่อของเจ้า[หมายถึงอิบรอฮีม สันติมีแด่เขา]เคยแสวงหาความช่วยเหลือกับอัลลอฮ์สำหรับอิสมาแอลและอิสฮากด้วยถ้อยคำเหล่านี้:
(อาอูซูบีกาลีมาติลลาฮ์อัลตามมะห์ มิงกุงลีไชตอนวาฮามมะห์ วามิงกุลลีอัยนิน ลามมะห์)
(أعوذ بكلمات الله التامة من كل شيطان وهامة ومن كل عين لامة)
(ฉันขอแสวงหาความช่วยเหลือในถ้อยคำที่สมบูรณ์ของอัลลอฮ์,จากทุกๆสิ่งที่ชั่วร้ายและพิษสัตว์เลื้อยคลาน,และจากทุกๆสายตาที่ชั่วร้าย)."'รายงานโดยบุคอรี,3191.
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
เขียนโดย ชัยคฺ ซอและห์ อัลมุนัจจิด
แปลโดย Firdaus Msd
ที่มา https://islamqa.info/en/3476
การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ / มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์
นักเขียน : มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์
แปล: อิบบรอเฮง อาลฮูเซน
ตรวจทาน: ซุฟอัม อุษมาน
แหล่งอ้างอิง:
หมวดหมู่เนื้อหา:
คำอธิบาย
การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ คือ การเชื่ออย่างแน่วแน่และสัตย์จริงว่าอัลลอฮฺมีบรรดาบริวารที่เป็นมลาอิกะฮฺจริง และเชื่อในชื่อของบรรดามลาอิกะฮฺที่อัลลอฮฺได้ทรงบอกชื่อ อาทิเช่น ญิบรีล เป็นต้น และเราเชื่อต่อบรรดามลาอิกะฮฺที่เราไม่รู้จักชื่อโดยที่เราศรัทธาในภาพรวม รวมทั้งศรัทธาในคุณลักษณ.
รายละเอียดแบบเต็ม
- การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ
การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ คือ การเชื่ออย่างแน่วแน่และสัตย์จริงว่าอัลลอฮฺมีบรรดาบริวารที่เป็นมลาอิกะฮฺจริง และเชื่อในชื่อของบรรดามลาอิกะฮฺที่อัลลอฮฺได้ทรงบอกชื่อ อาทิเช่น ญิบรีล เป็นต้น และเราเชื่อต่อบรรดามลาอิกะฮฺที่เราไม่รู้จักชื่อโดยที่เราศรัทธาในภาพรวม รวมทั้งศรัทธาในคุณลักษณะและการงานของพวกเขาตามที่เราได้รับรู้
- มลาอิกะฮฺในแง่ของสถานะ
บรรดามลาอิกะฮฺเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่มีเกียรติยิ่ง พวกเขาเป็นบ่าวที่ยืนหยัดในการทำอิบาดะฮฺตลอดและสม่ำเสมอ พวกเขาหาได้มีคุณสมบัติของความเป็นพระเจ้าที่เป็นผู้สร้าง ผู้ดูแล และผู้รับผิดชอบจักรวาลไม่ และพวกเขาก็หาได้มีคุณสมบัติของความเป็นพระเจ้าที่สมควรแก่การกราบไหว้แต่อย่างใด พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกสร้างที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ อัลลอฮฺได้สร้างพวกเขามาด้วยนูรฺ(รัศมี)
- มลาอิกะฮฺในแง่ของการทำหน้าที่และงาน
บรรดามลาอิกะฮฺเป็นบ่าวที่ปฏิบัติอิบาดะฮฺ(เคารพภักดี) และกล่าวตัสบีหฺ(แซ่ซ้องสดุดี)ต่ออัลลอฮฺ สม่ำเสมอ ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
«وَلَهُ مَنْ فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَمَنْ عِنْدَهُ لا يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِهِ وَلا يَسْتَحْسِرُونَ. يُسَبِّحُونَ اللَّيْلَ وَالنَّهَارَ لا يَفْتُرُونَ»
ความว่า “และย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ซึ่งผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และผู้ที่อยู่ ณ พระองค์ (นั่นคือบรราดามลาอิกะฮฺ) พวกเขาจะไม่ลำพองตนในการเคารพภักดีพระองค์ และพวกเขาจะไม่เหนื่อยหน่าย พวกเขาจะแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ในเวลากลางคืนและกลางวันโดยไม่ขาดระยะ” (อัล-อัมบิยาอ์ : 19–20)
- บรรดามลาอิกะฮฺในแง่การเชื่อฟังอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺได้ประทานให้บรรดามลาอิกะฮฺมีความจงรักภักดีต่อคำบัญชาของพระองค์อย่างสิ้นเชิง และได้ประทานให้พวกเขามีกำลังความสามารถในการปฏิบัติการงานตามที่พระองค์ได้มีบัญชา พวกเขาถูกกำหนดให้มีความจงรักภักดีและเชื่อฟังต่อพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า
«لا يَعْصُونَ اللَّهَ مَا أَمَرَهُمْ وَيَفْعَلُونَ مَا يُؤْمَرُونَ»
ความว่า “...พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา” (อัต-ตะหฺรีม : 6)
- จำนวนของมลาอิกะฮฺ
มลาอิกะฮฺมีจำนวนมากมายมหาศาล จำนวนดังกล่าวนี้ไม่สามารถนับได้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ในบรรดามลาอิกะฮฺมีหน้าที่แตกต่างกันไป บางส่วนมีหน้าที่คอยแบกและค้ำบัลลังก์ของอัลลอฮฺบางส่วนมีหน้าที่เฝ้าดูแลสวนสวรรค์ บางส่วนมีหน้าที่เฝ้านรก บางส่วนมีหน้าที่ปกปักษ์รักษามนุษย์บางส่วนมีหน้าที่คอยจดบันทึกบ้างและมีหน้าที่อื่นๆ และในบรรดามลาอิกะฮฺอีกบางส่วนมีหน้าที่ละหมาดในบัยตุลมะอฺมูรฺในทุกๆ วัน จำนวนถึงเจ็ดหมื่นมลาอิกะฮฺ และเมื่อพวกเขาได้ออกมาจากบัยตุล มะอฺมูรฺ พวกเขาจะไม่ย้อนกลับมาอีกเลยซึ่งจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะได้อยู่ในนั้น ตามรายงานในหะดีษอัล-มิอฺรอจญ์ (การเดินทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จากมัสยิดอัล-อักศอไปยังฟากฟ้า) เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้มาถึง ณ ฟ้าชั้นเจ็ด หะดีษดังกล่าวมีว่า :
«... فرفع لي البيت المعمور فسألت الجبريل فقال : هذا البيت المعمور يصلي فيه كل يوم سبعون ألف ملك إذا خرجوا لم يعودوا إليه آخر ما عليهم»متفق عليه
ความว่า “...เมื่อฉันได้ขึ้นมาถึงบัยตุล มะอฺมูรฺ ฉันก็ได้ถามญิบรีลเกี่ยวกับบัยตุล มะอฺมูรฺ ญิบรีลได้ตอบว่า ’นี่คือบัยตุล มะอฺมูรฺ ที่มีเหล่าบรรดามลาอิกะฮฺมาทำการละหมาดทุกๆ วัน วันละเจ็ดหมื่นมลาอิกะฮฺ เมื่อบรรดามลาอิกะฮฺเหล่านี้ได้ออกมาจากบัยตุล มะอฺมูรฺนี้แล้ว พวกเขาจะไม่หวนกลับไปยังบัยตุล มะอฺมูรฺอีกเลย ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสำหรับพวกเขา’ ” (รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ :3207 และมุสลิม : 162)
- ชื่อและการงานของบรรดามลาอิกะฮฺ
มลาอิกะฮฺเป็นบ่าวที่มีเกียรติ อัลลอฮฺได้ทรงสร้างพวกเขาเพื่อให้จงรักภักดี เชื่อฟัง และเคารพภักดีต่อพระองค์ ในบรรดาเหล่ามลาอิกะฮฺมีที่พระองค์ได้ทรงบอกชื่อและการงานต่างๆ ให้เราได้รับรู้ อีกบางส่วนพระองค์ไม่ได้บอกให้เรารู้โดยพระองค์ได้สงวนไว้เฉพาะในความรอบรู้ของพระองค์เท่านั้น ส่วนบรรดามลาอิกะฮฺที่พระองค์ได้มอบหมายการงานให้ปฏิบัติมีดังต่อไปนี้ :
1. มลาอิกะฮฺ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม มีหน้าที่นำวะห์ยู(วิวรณ์แห่งอัลลอฮฺแก่บรรดานบีและเราะสูลทั้งหลาย
2. มลาอิกะฮฺ มีกาอีล มีหน้าที่กำกับดูแลเม็ดฝนและพืชพรรณต่างๆ
3. มลาอิกะฮฺ อิสรอฟีล มีหน้าที่เป่า อัศ-ศูรฺ (แตร)
พวกเขาเหล่านี้เป็นมลาอิกะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับสาเหตุแห่งชีวิต นั่นคือ ญิบรีลเป็นผู้นำวะห์ยูอันเป็นเหตุแห่งการมีชีวิตของจิตใจ มิกาอีลนั้นดูแลเม็ดฝนซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการมีชีวิตของพื้นดินหลังจากที่มันเป็นซากแห้งกรัง ส่วนอิสรอฟีลคือผู้ดูแลการเป่าแตร อัศ-ศูรฺ ซึ่งเป็นเหตุแห่งการฟื้นคืนชีพอีกครั้งของร่างมนุษย์หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว
4. มลาอิกะฮฺ มาลิก คอซินุนนารฺ มีหน้าที่คอยดูแลนรก
5. มลาอิกะฮฺ ริฎวาน คอซินุลญันนะฮฺ มีหน้าที่คอยดูแลสวนสวรรค์
ยังมีมลาอิกะฮฺ มะละกุลเมาต์ มีหน้าที่คอยรับวิญญาณผู้ที่เสียชีวิต มลาอิกะฮฺอื่นๆ ที่มีหน้าที่คอยแบกและค้ำบัลลังก์ของอัลลอฮฺ ยังมีมลาอิกะฮฺผู้ดูแลสวนสวรรค์และไฟนรก รวมทั้งมลาอิกะฮฺที่มีหน้าที่คอยเฝ้าดูแลมนุษย์และคอยจดบันทึกการกระทำของพวกเขาแต่ละคน
บางส่วนของมลาอิกะฮฺมีหน้าที่ซึ่งต้องคอยผลัดเปลี่ยนทั้งกลางวันและกลางคืน บางส่วนของพวกเขามีหน้าที่คอยติดตามมัจลิสซิกิรฺ(การรวมกลุ่มเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮฺหรือเพื่อเรียนรู้ศาสนาของอัลลอฮฺ)
ในบรรดามลาอิกะฮฺมีผู้ที่มีหน้าที่ดูแลทารกในท้องมารดา คอยจดบันทึกริซกี(ปัจจัยยังชีพ)ของเขา การกระทำของเขา วันที่จะเสียชีวิต โชคดีและโชคร้ายของเขาในโลกหน้าตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ
มลาอิกะฮฺบางส่วนมีหน้าที่ไต่สวนผู้ที่เสียชีวิตในหลุมฝังศพ ไต่สวนในเรื่องพระเจ้า ศาสนา และศาสนทูตของพระองค์
มีมลาอิกะฮฺอื่นๆ อีกมากมายที่มีภาระหน้าที่ต่างๆซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลที่ไม่มีผู้ใดสามารถรับรู้นอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น
- ภาระหน้าที่ของมลาอิกะฮฺ อัล-กิรอม อัล-กาติบีน
อัลลอฮฺได้ทรงสร้างเหล่ามลาอิกะฮฺ อัล-กิรอมุ อัล-กาติบีน และได้มอบหมายหน้าที่ในการเฝ้าดูแลพวกเราชาวมนุษย์ โดยการคอยจดบันทึกการกระทำ คำพูด และนิยาต(การตั้งเจตนา)ของพวกเรา มนุษย์แต่ละคนจะมีมลาอิกะฮฺอยู่ด้วยสองท่าน มลาอิกะฮฺท่านแรกจะอยู่ด้านขวาเรียกว่า “ศอฮิบุล ญะมีน” หมายถึงผู้อยู่ด้านขวา มีหน้าที่คอยบันทึกการกระทำอันดีงามทุกอย่าง และมลาอิกะฮฺอีกท่านหนึ่งอยู่ด้านซ้ายเรียกว่า “ศอฮิบุช ชิมาล” หมายถึงผู้อยู่ด้านซ้าย มีหน้าที่คอยจดบันทึกการกระทำที่ไม่ดีทุกอย่างเช่นกัน
และยังมีมลาอิกะฮฺอีกสองท่านที่มีหน้าที่คอยปกปักษ์รักษาดูแลมนุษย์ มลาอิกะฮฺท่านแรกอยู่ด้านหน้าและอีกท่านหนึ่งอยู่ด้านหลัง
1.อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
«وَإِنَّ عَلَيْكُمْ لَحَافِظِينَ، كِرَاماً كَاتِبِينَ، يَعْلَمُونَ مَا تَفْعَلُونَ»
ความว่า “และแท้จริงมีผู้คุ้มกันรักษาพวกเจ้าอยู่ คือ(มลาอิกะฮฺ)ผู้ทรงเกียรติเป็นผู้บันทึก พวกเขารู้ในสิ่งที่พวกเจ้าทำ” (อัล-อินฟิฏอรฺ : 10–12)
2.และอัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า
«إِذْ يَتَلَقَّى الْمُتَلَقِّيَانِ عَنِ الْيَمِينِ وَعَنِ الشِّمَالِ قَعِيدٌ، مَا يَلْفِظُ مِنْ قَوْلٍ إِلَّا لَدَيْهِ رَقِيبٌ عَتِيدٌ»
ความว่า “จงรำลึกขณะที่มลาอิกะฮฺผู้บันทึกสองท่านบันทึก ท่านหนึ่งนั่งทางขวาและอีกท่านนั่งทางซ้าย ไม่มีคำพูดใดที่เขา(มนุษย์)กล่าวออกมา เว้นแต่ใกล้ๆเขานั้นมี(มลาอิกะฮฺ)ผู้เฝ้าติดตาม ผู้เตรียมพร้อม(ที่จะบันทึก)” (กอฟ : 17–18)
3. และอัลลอฮฺได้ตรัสในสูเราะฮฺ อัร-เราะอฺด์ ว่า :
«لَهُ مُعَقِّبَاتٌ مِنْ بَيْنِ يَدَيْهِ وَمِنْ خَلْفِهِ يَحْفَظُونَهُ مِنْ أَمْرِ اللَّهِ»
ความว่า “สำหรับเขา(มนุษย์)นั้นมีมลาอิกะฮฺผู้เฝ้าติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา ดูแลปกป้องเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ...” (อัร-เราะอฺด์ : 11)
4. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«يقول الله : إذا أراد عبدي أن يعمل سيئة فلا تكتبوها عليه حتى يعملها ، فإن عملها فاكتبوا بمثلها، وإن تركها من أجلي فاكتبوها له حسنة، وإذا أراد أن يعمل حسنة فلم يعملها فاكتبوها له حسنة، فإن عملها فاكتبوا لها له بعشر أمثالها إلى سبعمائة ضعف» متفق عليه.
ความว่า “อัลลอฮฺได้ตรัส(แก่มลาอิกะฮฺ)ว่า ’เมื่อบ่าวของข้าต้องการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง พวกเจ้าจงอย่าได้บันทึกในสิ่งดังกล่าวในทันทีทันใดจนกว่าบ่าวของข้าผู้นั้นได้กระทำในสิ่งดังกล่าวเสียก่อน ดังนั้นหากว่าบ่าวของฉันผู้นั้นได้กระทำมันขึ้นมา ดังนั้นพวกเจ้าจงบันทึกให้เหมือนกับสิ่งที่เขาได้กระทำบาปันั้น และหากว่าเขาผู้นั้นได้เลิกการกระทำดังกล่าวเพราะยำเกรงต่อข้า พวกเจ้าจงบันทึกแก่เขาในสิ่งนั้นหนึ่งความดี และหากบ่าวผู้นั้นต้องการกระทำในความดีสักหนึ่งอย่าง แต่เขากลับไม่ได้กระทำในสิ่งนั้น พวกเจ้าจงบันทึกมันไว้สำหรับเขาหนึ่งความดี แต่หากว่าเขาได้กระทำความดีนั้นขึ้นมา พวกเจ้าจงบันทึกมันให้เขาเท่ากับสิบความดีจนถึงเจ็ดร้อยผลบุญแห่งความดี” (รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ : 7501 และมุสลิม : 128)
- ความยิ่งใหญ่ของสิ่งถูกสร้างที่มีชื่อว่ามลาอิกะฮฺ
1. หะดีษที่รายงานโดย ญาบิรฺ บิน อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ท่านได้กล่าวว่า :
«أذن لي أن أحدث عن ملك من ملائكة الله من حملة العرش، إن ما بين شحمة أذنه إلى عاتقه مسيرة سبعمائة عام» أخرجه أبو داود.
ความว่า “ฉันได้รับอนุญาตให้กล่าวถึงมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งจากจำนวนบรรดามลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่แบกและค้ำบัลลังก์ของอัลลอฮฺ แท้จริงมลาอิกะฮฺ(ท่านนี้)ระยะระหว่างติ่งหูจนถึงหัวไหล่ของท่านมี(ความห่างเป็น)ระยะเวลา(การเดินทาง) 700 ปี” (รายงานโดยอบู ดาวูด : 3727, เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ ดูใน เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3953 และรวมหะดีษเศาะฮีหฺของอัล-อัลบานีย์ : 151)
2. หะดีษที่รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้เล่าว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เห็นมลาอิกะฮฺญิบรีลมีปีกทั้งหมด 600 ปีก (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 4857 และมุสลิม : 174)
- ผลที่ได้จากการศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ
1.ได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่ เดชานุภาพ อำนาจ และหิกมะฮฺ(วิทยปัญญา)ของพระองค์อัลลอฮฺ ตะอะลา ผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ พระองอ์ได้ทรงสร้างมลาอิกะฮฺโดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถรับรู้ได้ถึงจำนวนของบรรดามลาอิกะฮฺทั้งหมดนอกจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ได้ทรงทำให้มลาอิกะฮฺที่มีหน้าที่คอยแบกและค้ำบัลลังก์ของพระองค์ แค่เพียงมลาอิกะฮฺท่านเดียวมีความยิ่งใหญ่ขนาดระยะความกว้างระหว่างติ่งหูถึงหัวไหล่เป็นระยะเวลาถึง 700 ปี แล้วบัลลังก์ของพระองค์จะมีความไพศาลถึงเพียงไหน ? และพระองค์คือผู้ที่อยู่เหนือบัลลังก์จะมีความยิ่งใหญ่เพียงไร ? มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺที่ได้ตรัสว่า :
«وَلَهُ الْكِبْرِيَاءُ فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ»
ความว่า “ความยิ่งใหญ่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาน” (อัล-ญาซิยะฮฺ : 37)
2. ได้สำนึกด้วยการขอบคุณและสรรเสริญทั้งมวลแด่อัลลอฮฺ ผู้ทรงให้การคุ้มครองและปกป้องดูแลบรรดาลูกหลานอาดัมด้วยการส่งตัวแทนจากบรรดามลาอิกะฮฺที่คอยทำหน้าที่คุ้มครอง ช่วยเหลือ และคอยจดบันทึกการกระทำและการงานของพวกเขา
3. ได้เกิดความรักความผูกพันต่อบรรดามลาอิกะฮฺในสิ่งที่พวกเขาคอยปฏิบัติอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ตะอะลา ซึ่งพวกเขาได้ขอพรและขอลุแก่โทษแก่บรรดาศรัทธาชน ดังที่อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้กล่าวถึงบรรดามลาอิกะฮฺผู้ที่คอยแบกและค้ำบัลลังก์ของพระองค์และผู้ที่อยู่รอบๆบัลลังก์ว่า :
«
ความว่า “บรรดา(มลาอิกะฮฺ)ผู้แบกบัลลังก์และผู้ที่อยู่รอบๆ บัลลังก์ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขา และศรัทธาต่อพระองค์ และขออภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า ‘ข้าแต่ผู้อภิบาลของเรา ความเมตตาและความรอบรู้แห่งพระองค์นั้นครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่ง ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยแก่บรรดาผู้ขอลุแก่โทษ และดำเนินตามแนวทางของพระองค์ และทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรก ข้าแต่พระเจ้าของเรา และขอพระองค์ทรงให้พวกเขาได้เข้าในสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกเขาและแก่ผู้มีคุณธรรมทั้งหลายในหมู่ปู่ย่าตายายของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาน และขอพระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย และผู้ใดที่พระองค์ทรงคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายในวันนั้น แน่นอน แสดงว่าพระองค์ได้เมตตาเขาแล้วและนั่นคือความสำเร็จอันใหญ่หลวง’” (ฆอฟิรฺ : 7-9)
(จากหนังสือ “มุคตะศ็อรฺ ฟิกฮุล อิสลามีย์” โดย เชค มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม บิน อับดุลลอฮฺ อัต-ตุวัยญิรีย์ แปลโดย อิบรอฮีม อาลหูเซ็น)
الَّذِينَ يَحْمِلُونَ الْعَرْشَ وَمَنْ حَوْلَهُ يُسَبِّحُونَ بِحَمْدِ رَبِّهِمْ وَيُؤْمِنُونَ بِهِ وَيَسْتَغْفِرُونَ لِلَّذِينَ آمَنُوا رَبَّنَا وَسِعْتَ كُلَّ شَيْءٍ رَحْمَةً وَعِلْماً فَاغْفِرْ لِلَّذِينَ تَابُوا وَاتَّبَعُوا سَبِيلَكَ وَقِهِمْ عَذَابَ الْجَحِيمِ، رَبَّنَا وَأَدْخِلْهُمْ جَنَّاتِ عَدْنٍ الَّتِي وَعَدْتَهُمْ وَمَنْ صَلَحَ مِنْ آبَائِهِمْ وَأَزْوَاجِهِمْ وَذُرِّيَّاتِهِمْ إِنَّكَ أَنْتَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ، وَقِهِمُ السَّيِّئَاتِ وَمَنْ تَقِ السَّيِّئَاتِ يَوْمَئِذٍ فَقَدْ رَحِمْتَهُ وَذَلِكَ هُوَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ»
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)