วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การรับรองสิฟาต ต้องรับรองความหมายของสิฟัตด้วย // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

การรับรองสิฟาต ต้องรับรองความหมายของสิฟัตด้วย

ท่านปรมาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านหนึ่ง อ้างว่า
ท่าน อีหม่าม อัลฟากีฮฺ อาบู ญะฟัร อัฎ-ฏอฮาวีย์ (ร.ฮ)(เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 321) ได้กล่าวไว้ใน รีซาละฮฺ อากีดะฮฺ อัฎ-ฏอฮาวืยะฮ์ ของท่านไว้ดังนี้

وتعالى – أي الله – عن الحدود والغايات والأركان والأعضاء والأدوات لا تحويه الجهاتُ السِتُّ كسائر المبتَدَعات

ความว่า“ อัลลอฮ์ ทรงพิสุทธิ์ จากขอบเขต และ ความจำกัดใดๆและ องค์ประกอบต่างๆ(แห่งตัวตน)และอวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆซึ่งทิศตำแหน่งต่างๆทั้งหกนั้น...
มิได้ห้อมล้อมพระองค์เฉกเช่น บรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย แต่อย่างใด...”
........
ชี้แจง
ท่านผู้อ้างก็อ้างไปตามที่กอ็ปมา แต่ไม่เข้าใจคำพูดข้างต้น มาดูอุลามาอฺตัวจริงอธิบาย

ท่านอิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ. 731-792) อธิบายว่า

أَنَّ النَّاسَ فِي إِطْلَاقِ مِثْلِ هَذِهِ الْأَلْفَاظِ ثَلَاثَةُ أَقْوَالٍ : فَطَائِفَةٌ تَنْفِيهَا ، وَطَائِفَةٌ تُثْبِتُهَا ، وَطَائِفَةٌ تُفَصِّلُ ، وَهُمُ الْمُتَّبِعُونَ لِلسَّلَفِ ، فَلَا يُطْلِقُونَ نَفْيَهَا وَلَا إِثْبَاتَهَا إِلَّا إِذَا بُيِّنَ مَا أُثْبِتَ بِهَا فَهُوَ ثَابِتٌ ، وَمَا نُفِيَ بِهَا فَهُوَ مَنْفِيٌّ . لِأَنَّ الْمُتَأَخِّرِينَ قَدْ صَارَتْ هَذِهِ الْأَلْفَاظُ فِي اصْطِلَاحِهِمْ فِيهَا إِجْمَالٌ وَإِبْهَامٌ ، كَغَيْرِهَا مِنَ الْأَلْفَاظِ الِاصْطِلَاحِيَّةِ ، فَلَيْسَ كُلُّهُمْ يَسْتَعْمِلُهَا فِي نَفْسِ مَعْنَاهَا اللُّغَوِيِّ . وَلِهَذَا كَانَ النُّفَاةُ يَنْفُونَ بِهَا حَقًّا وَبَاطِلًا ، وَيَذْكُرُونَ عَنْ مُثْبِتِيهَا مَا لَا يَقُولُونَ بِهِ ، وَبَعْضُ الْمُثْبِتِينَ لَهَا يُدْخِلُ فِيهَا مَعْنًى بَاطِلًا ، مُخَالِفًا لِقَوْلِ السَّلَفِ ، وَلِمَا دَلَّ عَلَيْهِ الْكِتَابُ وَالْمِيزَانُ . وَلَمْ يَرِدْ نَصٌّ مِنَ الْكِتَابِ وَلَا مِنَ السُّنَّةِ بِنَفْيِهَا وَلَا إِثْبَاتِهَا ، وَلَيْسَ لَنَا أَنْ نَصِفَ اللَّهَ تَعَالَى بِمَا لَمْ يَصِفْ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ نَفْيًا وَلَا إِثْبَاتًا ، وَإِنَّمَا نَحْنُ مُتَّبِعُونَ لَا مُبْتَدِعُون

แท้จริงมนุษย์ เกี่ยวกับการกล่าวบรรดาคำเหล่านี้โดยรวม แบ่งออกเป็นสามทัศนะ คือ
-หมู่คณะหนึ่ง ปฏิเสธมัน ,หมู่คณะหนึ่ง รับรองมัน และ หมู่คณะหนึ่ง มีการแจกแจงรายละเอียด และพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ตามแนวทางของสะลัฟ เพราะพวกเขาไม่ได้กล่าวรับรองมัน และไม่ได้กล่าวปฏิเสธมัน โดยรวม ยกเว้น เมื่อสิ่งที่ถูกรับรองด้วยมัน ถูกอธิบายไว้ มันก็คือ สิ่งที่แน่นอน (หมายถึงคือสิ่งที่ถูกรับรอง)และ เมื่อสิ่งที่ถูกปฏิเสธด้วยมัน(ถูกอธิบายไว้) มันก็คือสิ่งที่ถูกปฏิเสธ เพราะแท้จริง บรรดาคนยุคหลังนั้น บรรดาคำเหล่านี้ ตามนิยามของพวกเขานั้น กลายเป็นความหมาย(มุจญมัล(ความหมายรวม)และเป็นความหมายมุบฮัม(ความหมายที่ทำให้เกิดมโนภาพ) เหมือนกับอื่นจากมัน จากบรรดานิยามของคำ ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ใช้มัน ตามความหมายตามภาษาอาหรับ (หมายถึงความหมายตามรูปคำที่ปรากฏตามตัวบท) เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ปฏิเสธ ก็เลยปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นความหมายจริงหรือไม่จริง และพวกเขากล่าว เกี่ยวกับการรับรองมัน สิ่งที่พวกเขาไม่ได้กล่าวด้วยมัน และบางส่วน รับรองมัน ด้วยการใส่ความหมายเท็จในบรรดาคำเหล่านี้ โดยที่ขัดแย้งกับทัศนะของสะลัฟ และขัดแย้งกับสิ่งที่ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกไว้บนมัน และไม่มีตัวบทจากอัลกุรอ่านและสุนนะฮ ปฏิเสธ และรับรองมัน และ ไม่อนุญาตให้เราพรรณาคุณลักษณะอัลลอฮตะอาลา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ ไม่ได้พรรณนาคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน และไม่อนุญาตให้พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ ด้วยคุณลักษณะที่รอซูลของพระองค์ ไม่ได้พรรณาคุณลักษณะ แก่พระองค์ด้วยมัน ไม่ว่าในการปฏิเสธหรือรับรอง ความจริงเราคือบรรดาผู้เจริญรอยตาม ไม่ใช่บรรดาผู้อุตริบิดอะฮ – ชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 261

จากคำอธิบายของ อิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ พอสรุปได้ดังนี้
1. ชาวสลัฟไม่ได้กล่าวถึง คำข้างต้น เช่นอวัยวะ รูปร่าง ฯลฯ ไม่ว่าในทางรับรองหรือปฏิเสธ
2. คนยุคหลัง ถือว่าความหมายตามตัวบททำเกิดมโนภาพ พวกเขาจึงปฏิเสธ
3. คนบางส่วนรับรองความหมายตามตัวบท แต่ใส่ความหมายเท็จลงไปในคำเดิมที่มาจากตัวบท( เช่น รับรองอิสติวาอฺ แต่ไม่เอา ความหมาย ประทับ แต่ใส่ตวามหมายครอบครองเป็นต้น-ผู้แปล)
4. ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ หรือรับรองคุณลักษณะใดๆ แก่อัลลอฮในสิ่ง ที่อัลลอฮและนบีไม่ได้บอกไว้
5. เราต้องปฏิบัติตาม เราจะไม่อุตริบิดอะฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น