วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ทรงอยู่เบื้องสูงบนฟากฟ้า อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ทรงอยู่เบื้องสูงบนฟากฟ้า

อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า

قد تضع العرب ;في بموضع ;على; قال الله عز وجل: {فسيحوا في الأرض}، وقال {لأصلبنكم في جذوع النخل} ومعناه: على الأرض وعلى النخل ، فكذلك قوله: {في السماء} أي على العرش فوق السماء، كما صحت الأخبار عن النبي صلى الله عليه وسلم

แท้จริง อาหรับได้วาง คำว่า “ฟี”(แปลว่าใน) ด้วยที่ของคำว่า “อะลา” (แปลว่าบน) ,อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน) และตรัสว่า(แน่นอนฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ในต้นอินทผาลัม) และความหมายของมันคือ บน แผ่นดินและบนต้นอินทผลัม ในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ในฟากฟ้า )หมายถึง บน อะรัช เหนื่อฟากฟ้า ดังเช่นที่บรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม(ได้ระบุไว้) – ดูที่มาข้างล่าง
الأسماء والصفات للبيهقي (ص324)، قال: (قال أبو عبد الله الحافظ: قال الشيخ أبو بكر أحمد بن إسحاق بن أيوب الفقيه: ...) وذكره. والسند صحيح، فأبو عبد الله الحافظ هو الحاكم وكان من تلاميذ الصبغي، وكان الحاكم من شيوخ البيهقي رحمهم الله جميعا.
..............
มีหลักฐานมากมายแสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ แล้วจะหาว่า เรามีอะกีดะยิวได้อย่างไร –วัลอิยาซุบิลละฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ข้ออ้างของคนที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ข้ออ้างของคนที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

โต๊ะครูคนหนึ่งในห้องอะชาอิเราะฮกล่าวว่า
ตอบอย่างไรกับคำถามยอดฮิดว่า : อัลเลาะห์อยู่ไหน ?
เมื่อเราได้รับคำถามเฉกเช่นนี้ ให้เราตอบกลับไปอย่างที่อัลกุรอานได้สอนไว้ ก็คือ

وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ

ความว่า "และเมื่อบ่าวของเราได้มาถามเจ้าถึงเราแล้ว ก็(จงตอบเถิดว่า)แท้จริงนั้นรานั้นเอยู่ใกล้เขา"(ซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 186)
..................
ขอชี้แจงว่า อายะฮข้างต้นที่มาของมันไม่ได้เกี่ยวกับการถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน” ตามที่ท่านครูนำมาบิดเบือน
แต่หะดิษเกี่ยวกับการถามว่า อยู่ใกล้หรืออยู่ใกล มาดูเต็มๆ

وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ

และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า .....

قَالَ ابْنُ أَبِي حَاتِمٍ : حَدَّثَنَا أَبِي ، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ الْمُغِيرَةِ ، أَخْبَرَنَا جَرِيرٌ ، عَنْ عَبْدَةَ بْنِ أَبِي بَرْزَةَ السِّجِسْتَانِيِّ عَنِ الصُّلْبِ بْنِ حَكِيمِ بْنِ مُعَاوِيَةَ بْنِ حَيْدَةَ الْقُشَيْرِيِّ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ جَدِّهِ ، أَنَّ أَعْرَابِيًّا قَالَ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، أَقَرِيبٌ رَبُّنَا فَنُنَاجِيهِ أَمْ بَعِيدٌ فَنُنَادِيهِ ؟ فَسَكَتَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ : وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ

อิบนุอบีหาติม กล่าวว่า บิดาของฉัน ได้เล่าเราว่า ยะหยา บิน อัลมุฆีเราะฮ ได้เล่าเราว่า ญะรีร ได้เล่าเราว่ารายงานจากอับดะฮ บิน อบี บัรซะฮ อัสสะญิสตานีย์ จากอัศศอ็ลบิ บิน หากีม บิน มุอาวิยะฮ บิน หัยดะฮ อัลกุชัยรีย์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ว่า แท้จริง ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่ง กล่าวว่า “โอ้รซูลุลลอฮ พระผู้อภิบาลของเรา อยู่ใกล้ใช่ไหม เราจะได้กระซิบกับพระองค์ หรือว่าพระองค์อยู่ใกล เราจะได้ตะโกนเรียกพระองค์ ? ท่านนบี ศอ็ลฯ นิ่งเงียบ แล้วอัลลอฮ ทรงประท่านอายะฮที่ว่า

وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ

และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า .....ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 1 หน้า 506

ส่วนที่คำตอบที่ถามว่า อัลลอฮอยู่ใหน ? เป็นหะดิษเศาะเฮียะ แต่ท่านครูกลับไปเอามาอ้าง เพราะกลัวว่า
จะเสียรังวัดคือ
ตัวอย่างคือ หลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดยท่านมุอาวิยะฮฺ บิน อัล-หะกัม อัส-สุลัยมีย์ ด้วยสำนวนของมุสลิม

وَكَانَتْ لِي جَارِيَةٌ تَرْعَى غَنَمًا لِي قِبَلَ أُحُدٍ وَالْجَوَّانِيَّةِ فَاطَّلَعْتُ ذَاتَ يَوْمٍ فَإِذَا الذِّيبُ قَدْ ذَهَبَ بِشَاةٍ مِنْ غَنَمِهَا وَأَنَا رَجُلٌ مِنْ بَنِي آدَمَ آسَفُ كَمَا يَأْسَفُونَ لَكِنِّي صَكَكْتُهَا صَكَّةً فَأَتَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَعَظَّمَ ذَلِكَ عَلَيَّ قُلْتُ: يَا رَسُولَ اللَّهِ أَفَلَا أُعْتِقُهَا قَالَ: "ائْتِنِي بِهَا" فَأَتَيْتُهُ بِهَا فَقَالَ لَهَا: "أَيْنَ اللَّهُ؟" قَالَتْ: فِي السَّمَاءِ، قَالَ: "مَنْ أَنَا؟" قَالَتْ: أَنْتَ رَسُولُ اللَّهِ، قَالَ: "أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ

ฉันมีทาสคนหนึ่งที่เคยเลี้ยงแพะของฉันในพื้นที่ระหว่างอุฮุดและอัล-ญะวานิยยะฮฺ วันหนึ่งเขาได้กระทำความผิดบางอย่าง เขาได้ออกโดยเอาแพะไปตัวหนึ่ง ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่าต้องมีอารมณ์โกรธ ฉันจึงตบหน้าเขา แล้วท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็มา(เห็น) และสิ่งนี้ทำให้ฉันกังวลใจ ฉันจึงอธิบายกับท่านว่า ‘โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮ ฉันควรปล่อยทาสของฉันคนนี้เป็นอิสระไหม?’ ‘พาเขามาหาฉัน’ ท่านเราะสูลุลลอฮฯ กล่าว ฉันจึงรีบพาเขามาหาท่าน แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้ถามทาสของฉันคนนี้ว่า

أَيْنَ اللَّهُ

“อัลลอฮอยู่ที่ไหน?”

นางตอบว่า

فِى السَّمَاءِ

“อยู่บนฟากฟ้า”

แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ถามต่อไปอีกว่า “ฉันคือใคร?” นางตอบว่า “ท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮ”
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ

“ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริงนางคือผู้ศรัทธา
………………..

อิหม่ามอัซซะฮบีย์ ได้กล่าวถึงหะดิษข้างต้นอีกว่า

هذا حديث صحيح أخرجه مسلم وأبو داود والنسائي وغير واحد من الأئمة في تصانيفهم ، يمرونه كما جاء ولا يتعرضون له بتأويل ولا تحريف ، وهكذا رأينا كل من يسأل : أين الله ؟ ، يبادر بفطرته ويقول : في السماء ، ففي الخبر مسالتان : إحداهما : شرعية قول المسلم : أين الله .الثانية : قول المسؤول : في السماء . فمن أنكر هاتين المسألتين فإنما ينكر على المصطفى صلى الله عليه وسلم

นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม,อบูดาวูด,อันนะสาอีย์ และหลายคนจากบรรดาอิหม่ามในงานเขียนของพวกเขา ,โดยพวกเขาปล่อยให้มันผ่านไปและพวกเขาไม่คัดค้านมันด้วยการตีความและเปลี่ยนความหมาย และในทำนองเดียวกันนี้ เราเห็นว่า ทุกๆคนที่ถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ด้วยธรรมชาติของเขา เขาจะตอบทันทีว่า “ อยู่บนฟากฟ้า” ดังนั้น ในหะดิษนี้ แบ่งออกเป็นสองประเด็นคือ

1. คำพูดของมุสลิมที่ว่า “อัลลอฮอยู่ใหน” ชอบด้วยหลักศาสนบัญญัติ

2. คำพูดของผู้ถูกถาม คือ อยู่บนฟากฟ้า

ดังนั้น ใครคัดค้าน สองประเด็นนี้ ความจริง เขาได้คัดค้านนบีมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม – มุคตะศอรอัลอะลูย์ หน้า 81

4. อิบนุกุดามะฮ กล่าวว่า

هذا حديث صحيح ، رواه مسلم في " صحيحه " ومالك في " موطئه " وأبو داود والنسائي وأبو داود الطيالسي

นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย มุสลิมในเศาะเฮียะของเขา,มาลิกรายงานในมุวัฏเฏาะ และ อบูดาวูด,อันนะสาอีย์และอบูดาวูดอัฏฏิยาลิสีย์ – กิตาบุลอะลูวีย์ หน้า 47

5. ส่วนหนึ่งของตัวบทอัลกุรอ่านที่สนับสนุนหะดิษข้างต้น คือ

อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

أمنتم من فى السموات أن يخسف بكم الأرض فإذا هى تمور

ความว่า “พวกเจ้ารอดพ้น ผู้อยู่ในชั้นฟ้า ที่จะทำให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าลงไป แล้วมันก็สั่นสะเทือนอย่างนั้นหรือ ?” อัลมุลกิ 16 (1)


อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์กล่าวว่า

قِصَّةِ الْجَارِيَةِ الَّتِي سَأَلَهَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْتِ مُؤْمِنَةٌ؟ قَالَتْ نَعَمْ ، قَالَ فَأَيْنَ اللَّهُ ؟ قَالَتْ فِي السَّمَاءِ ، فَقَالَ أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ ، وَهُوَ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ مُسْلِمٌ

เรื่องราวของทาสหญิง ที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถามนางว่า เธอเป็นผู้ศรัทธาใช่ไหม ? นางกล่าวว่า “ค่ะ ,ท่านนบีถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน?นางตอบว่า อยู่บนฟากฟ้า ,แล้วท่านนบีกล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระ เพราะแท้จริงนาง เป็นผู้ศรัทธา ,โดยที่มันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม ๑๓ หน้า ๓๕
..............
ตัวอย่างข้างต้น ผู้อ่านลองพิจารณาดู ว่า ใครจริง ใครเท็จ ใครสร้างสรรค์ ใครฟิตนะฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

การรับรองสถานที่สำหรับอัลลอฮ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

การรับรองสถานที่สำหรับอัลลอฮ

เท่าที่เห็นมาตลอด มีคนกลุ่มหนึ้ง ปฏิเสธหัวชนฝา ว่าอัลลอฮไม่มีสถานที่ ไม่มีทิศสำหรับอัลลอฮ
และพยายามตีความและเปลี่ยนความหมายทุกหลักฐาน ไม่ว่าจะมากจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อปฏิเสธความเชื่อแบบนี้
...............
จึงของชี้แจง ด้วยหลักฐานดังต่อไปนี้ว่า อัลลอฮทรงมีสถานที่ นั้นคือ ทรงอยู่เบื้องสูงบนฟากฟ้าเหนืออะรัช เหนือมัคลูค

عَنْ جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الأَنْصَارِيِّ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : إِنَّ اللَّهَ يَنْزِلُ كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا لِثُلُثِ اللَّيْلِ ، فَيَقُولُ : " أَلا عَبْدٌ مِنِ عِبَادِي يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ ، أَوْ ظَالِمٌ لِنَفْسِهِ يَدْعُونِي فَأَغْفِرَ لَهُ ، أَلا مُقَتَّرٌ عَلَيْهِ فَأَرْزُقَهُ ، أَلا مَظْلُومٌ يَسْتَنْصِرُ فَأَنْصُرَهُ ، أَلا عَانٍ يَدْعُونِي فَأَفُكَّ عَنْهُ " ، فَيَكُونُ ذَلِكَ مَكَانَهُ حَتَّى يُصَلَّى الْفَجْرُ ، ثُمَّ يَعْلُو رَبُّنَا عَزَّ وَجَلَّ إِلَى السَّمَاءِ الْعُلْيَا عَلَى كُرْسِيِّهِ .

รายงานจากญาบีร บิน อับดุลลอฮ อันอันศอรีย์ ว่า แท้จริง รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
แท้จริง ทุกคืน อัลลอฮทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา สำหรับหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วพระองค์ตรัสว่า
“ มีไหม บ่าวของข้า ที่วิงวอนต่อข้า แล้วข้าจะได้ตอบรับแก่เขา หรือ มีใหม ผู้อธรรม ต่อตัวเขาเอง วิงวอนต่อข้า แล้วข้าจะได้อภัยโทษแก่เขา , มีไหม ผู้ที่ขัดสน ข้าจะได้ประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา ,มีไหม ผู้ที่ถูกอธรรม ขอความช่วยเหลือ ข้าจะได้ให้การช่วยเหลือเขา และมีใหม ผู้ที่เจ็บป่วย แล้วข้าจะได้ให้มันหายจากเขา แล้วดังกล่าวนั้น เป็นสถานที่ของพระองค์ จนกระทั้ง การละหมาดฟะญัร(ละหมาดศุบฮิ)ได้ถูกละหมาด(หมายถึงจนกระทั้งถึงเวลาละหมาดศุบฮี) หลังจากนั้นพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง ทรงขึ้นไปยังฟากฟาสูงสุด เหนืออะรัช – ดู หะดิษนูซูล ของอิหม่ามดารุลกุฏนีย์ หะดิษหมายเลข 3
ดูสายรายงานหะดิษ เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
(1) عبد الرحمن بن صخر

| (2) همام بن منبه

| | (3) معمر بن راشد

| | | (4) عبد الرزاق بن همام

| | | | (5) إسحاق بن منصور

| | | | | (6) محمد بن إسماعيل

| | | | | | (7) الكتاب: النزول للدارقطني [الحكم: إسناده متصل، رجاله ثقات، على شرط الإمام البخاري]

มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ

’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์
อิบนุอุษัยมีน กล่าวว่า

.إن الله في جهة العلو؛ لأن الرسول صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ; قال للجارية: (أين الله؟); وأين يستفهم بها عن المكان؛ فقالت: في السماء".

แท้จริง อัลลอฮ อยู่ในทิศเบื้องสูง เพราะว่า รอซูล ศอ็ลฯ ได้กล่าวแก่ ท่าสหญิงคนนั้นว่า (อัลลอฮอยู่ใหน) และคำว่า อัยนะ (อยู่ใหน) เป็นการขอให้นางอธิบายเกี่ยวกับสถานที่ แล้วนางกล่าวตอบว่า “อยู่บนฟ้า”
ดู ฟัตวา อิบนุอุษัยมีน เล่ม 10 คำถามหมายเลข 1131

.............
เพราะฉะนั้น การรับรอง การอยู่บนฟากฟ้าเบื้องสูง เหนืออะรัช เหนื่อมัคลูคทั้งหลายของอัลลอฮนั้น
เป็นอะกีดะฮอิสลาม ไม่ใช่อะกีดะฮเฉพาะศาสนายิว ที่พวกเขาเชื่อตามคัมภีร์เตารอต อย่างเดียว และการเชื่อแบบนี้ ทำให้พี่น้องเราที่ถูกฉายาว่า “วะฮบีย” ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่ง กล่าวหาว่า “มีพระเจ้าคนละองค์กับพวกเขา” วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Faosun Mbm ถามว่า การศรัทธาต่ออัลกรุอานหมายถึงการศรัธทาต่ออายะฮฺต่างๆที่มนุษย์ไม่สามารถใช้สติปัญญาล่วงรู้หรือจินตาการด้วยหรือไม่?// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Faosun Mbm ถามว่า

การศรัทธาต่ออัลกรุอานหมายถึงการศรัธทาต่ออายะฮฺต่างๆที่มนุษย์ไม่สามารถใช้สติปัญญาล่วงรู้หรือจินตาการด้วยหรือไม่?
قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ أَأَسْتَكْبَرْتَ أَمْ كُنْتَ مِنَ

พระองค์ตรัสว่า “อิบลีสเอ๋ย
อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง
ของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง -
ศอด/75 .............................สลัฟเค้าศรัทธากับอายะฮฺนี้อย่างไรครับ

ตอบ

อบูอุษมาน อัศเศาะบูนีย์ อัชชะฟีอีย์ (ฮ.ศ 449) นักปราชญ์ ที่เกือบจะทันยุคสลัฟ กล่าวว่า

ولا يعتقدون تشبيها لصفاته بصفات خلقه، فيقولون: إنه خلق آدم بيديه، كما نص سبحانه عليه في قوله –عز من قائل- {قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ } [ص : 75].
และพวกเขา(อะฮลุลหะดิษ)ไม่เชื่อว่า เป็นการตัชบีฮ(การเปรียบเทียบว่า)บรรดาสิฟัตของพระองค์ คล้ายคลึงกับมัคลูคของพระองค์ โดยพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้าง อาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ ดังที่อัลลอฮ(ซ.บ)ได้ตรัสเป็นตัวบทไว้ในคำตรัสของพระองค์ (อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า ? ศอด/75 – ดู อะกีดะตุสลัฟ อัศหาบุลหะดิษ ของอัศศอบูนีย์ หน้า 37 ตรวจทาน โดย อบุลยะมีน อันมันศูรีย์ และหน้า 161-162 ตรวจทานโดย นาศีร อัลญะเดียะ
อิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์ ชาวสะลัฟ ซึ่งมีชีวิตในช่วง ฮ.ศ. 224-310 อธิบายว่า

يُخْبِر تَعَالَى ذِكْره بِذَلِكَ أَنَّهُ خَلَقَ آدَم بِيَدَيْهِ , كَمَا :
23102 - حَدَّثَنَا اِبْن الْمُثَنَّى , قَالَ : ثنا مُحَمَّد بْن جَعْفَر
, قَالَ : ثنا شُعْبَة , قَالَ : أَخْبَرَنِي عُبَيْد المكتب , قَالَ :
سَمِعْت مُجَاهِدًا يُحَدِّث عَنْ اِبْن عُمَر , قَالَ : خَلَقَ اللَّه
أَرْبَعَة بِيَدِهِ : الْعَرْش , وَعَدْن , وَالْقَلَم , وَآدَم , ثُمَّ
قَالَ لِكُلِّ شَيْء كُنْ فَكَانَ

อัลลอฮ ตะอาลา ผู้ซึ่ง การสดุดีพระองค์นั้นสูงส่งยิ่ง ได้ทรงบอกดังกล่าวว่า
พระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ ดังหะดิษ(หมายเลข 23102)
อิบนุมุษันนา ได้เล่าเรา โดยกล่าวว่า มุหัมหมัด บิน ยะอฺฟัรได้เล่าเรา
โดยกล่าวว่า ชุอฺบะฮได้เล่าเรา โดยกล่าวว่า " อุบัยดิน อัลมักตับ
ได้บอกข้าพเจ้า โดยกล่าวว่า " ข้าพเจ้าได้ยิน มุญาฮิด รายงานจากอิบนุอุมัร
ว่า เขาได้กล่าวว่า " อัลลอฮได้ทรงสร้างสี่อย่าง ด้วยมือของพระองค์คือ

หนึ่ง. อะรัช

สอง. สวรรค์อัดนิน

สาม. อัลกอลัม

สี่. อาดัม

หลังจากนั้น ทรงตรัสแก่ทุกๆสิ่งว่า "จงเป็น" แล้วมันก็เป็นขึ้นมา"- ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮศอด อายะฮ 75


อัลบัยฮะกีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
{ مَا مَنَعَكَ أَن تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ} يُبطل التأويل بالنعمة والقدرة لأن نعم الله أكثر من أن تحصى
อายะฮที่ว่า (อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า ?)การตีความ ด้วยคำว่า "เนียะมัต"(ความโปรดปราน)และ กุดเราะฮ(พลังอำนาจ)นั้น เป็นโมฆะ เพราะ เนียะมัตของอัลลอฮนั้น มากมายเกินที่จะประเมินได้ - อัลเอียะติกอด หน้า 88
...........
เพราะถ้าตีความคำว่า "สองมือ" คือ เนียะมัต ก็ต้องแปลว่า "สองเนียะมัต" แบบนี้พิลึกสิ้นดี
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

มีคำถามอยากจะถามพี่น้องคณะใหม่คร๊าบ คือเรื่องมีอยู่ว่า จากตัวบทฮาดีสนาบีมีบทหนึ่งท่ีกลุ่มคณะใหม่เข้าใจว่า * อัลเลาะห์ทรงลงมาในฟ้าดุนยานี้ ทุกคืน จริงๆ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ไปอ่านเจอคนหนึ่งตั้งกระทู้ ถามว่า
"มีคำถามอยากจะถามพี่น้องคณะใหม่คร๊าบ คือเรื่องมีอยู่ว่า จากตัวบทฮาดีสนาบีมีบทหนึ่งท่ีกลุ่มคณะใหม่เข้าใจว่า * อัลเลาะห์ทรงลงมาในฟ้าดุนยานี้ ทุกคืน จริงๆ * ผมอยากถามว่า อัลเลาะห์ทรงลงมาตลอดทั้งคืนเลยหรือครับ เพราะเวลาในโลกหมุนเวียนตลอด 24 ชม. ? ขอคุณครับ

ขอตอบ ณ ที่นี้ว่า
นี้คือ ตัวอย่างหนึ่งของคนที่ถามในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะถามถึงรูปแบบการเสด็จลงมาของอัลลอฮ
โดยใช้เหตุผลทางปัญญา มาวิเคราะห์คือ คำพูดที่ว่า

ผมอยากถามว่า อัลเลาะห์ทรงลงมาตลอดทั้งคืนเลยหรือครับ เพราะเวลาในโลกหมุนเวียนตลอด 24 ชม. ?

รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ: مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ

พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
رواه البخاري (1145) و (6321) و(7494)، ومسلم (758


ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า

والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة

และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة

อิหม่ามอัดดาริมีย์กล่าวว่า

فقالوا: "كيف نزوله هذا؟" قلنا: لم نُكلف معرفة كيفية نزوله في ديننا ولا تعقله قلوبنا، وليس كمثله شيء من خلقه فنشبه منه فعلا أو صفة بفعالهم وصفتهم.

พวกเขากล่าวว่า “รูปแบบการเสด็จลงมาของพระองค์ นี้เป็นอย่างไร ? เรา กล่าวตอบว่า
เราจะไม่ถูกบังคับให้รู้จักรูปแบบการเสด็จลงมาของพระองค์ในศาสนาของเรา และหัวใจของเราจะไม่คิดมัน ,และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ เหมือนกับพระองค์ ที่จะให้เราเปรียบเทียบพระองค์จากมัน ไม่ว่า จะเป็นการกระทำหรือ คุณลักษณะ ด้วยบรรดาการกระทำของพวกเขาและบรรดาลักษณะของพวกเขา
- อัรรอ็ด อะลัลญะฮมียะฮ ของ อัดดาริมีย์ หน้า 79
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

แนวทางของอิหม่ามบุคอรี ในเรื่อง อะกีดะฮ เศาะเหียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด อิหม่ามบุคอรีกล่าวว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

แนวทางของอิหม่ามบุคอรี ในเรื่อง อะกีดะฮ

เศาะเหียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด อิหม่ามบุคอรีกล่าวว่า

بَاب وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ وَهُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ ارْتَفَعَ فَسَوَّاهُنَّ خَلَقَهُنَّ وَقَالَ مُجَاهِدٌ اسْتَوَى عَلَا عَلَى الْعَرْشِ
"
บทว่าด้วยคำตรัสของอัลลอฮ (และอะรัชนั้นอยู่บนน้ำ) (และพระองค์คือพระเจ้าแห่งอะรัชอันยิ่งใหญ่) อบูอัลอาลียะฮ กล่าวว่า (ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า) หมายถึง ทรงขึ้นไป (และได้ทำให้มันสมบูรณ์) หมายถึง ทรงสร้างมัน และมุญฮิด กล่าวว่า คำว่า(อิสตะวา) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังค์ ( อะรัช) - ดูเศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 6 หน้า 2699 หะดิษหมายเลข 6982

อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า

قال الإمام أبو عبد الله محمد بن إسماعيل في آخر الجامع الصحيح في كتاب الرد على الجهمية باب قوله تعالى وكان عرشه على الماء قال أبو العالية استوى إلى السماء إرتفع وقال مجاهد في استوى علا على العرش وقالت زينب أم المؤمنين رضي الله عنها زوجني الله من فوق سبع سموات

อิหม่ามอบูอับดุลลอฮ มุหัมหมัด บิน อิสมาอีล (เป็นชื่อเต็มของอิหม่ามบุครี-ผู้แปล)ได้กล่าวในตอนท้ายของ อัลญาเมียะ อัศเศาะเฮียะ(หมายถึงเศาะเฮียะบุคอรี) ใน กิตาบ รอ็ด อะลัลญะฮมียะฮ ว่า
บทว่าด้วยคำตรัสของอัลลอฮ (และอะรัชนั้นอยู่บนน้ำ) (และพระเจ้าแห่งอะรัชอันยิ่งใหญ่) อบูอัลอาลียะฮ กล่าวว่า (ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า) หมายถึง ทรงขึ้นไป (และได้ทำให้มันสมบูรณ์) หมายถึง ทรงสร้างมัน และมุญฮิด กล่าวว่า คำว่า(อิสตะวา) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังค์ ( อะรัช) และ ท่านหญิงซัยหนับ มารดาแห่งบรรดาศรัทธาชน (ร.ฎ) กล่าวว่า “อัลลอฮ จาก เบื้องบนเจ็ดชั้นฟ้า ได้จัดการแต่งงานให้แก่ฉัน - ดู อัลอุลูว์ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ หน้า 108 และมุคตะศอร อัลอุลูว์ หน้า 202
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ศนะวะฮบฺ บิน ญะรีร เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺที่ 206 // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ศนะวะฮบฺ บิน ญะรีร เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺที่ 206

محمد بن حماد قال سمعت وهب بن جرير يقول إياكم ورأي جهم فإنهم يحاولون أنه ليس شيء في السماء وما هو إلا من وحي إبليس ما هو إلا الكفر

มุหัมมัด บิน หัมมาด กล่าวว่า เขาได้ยินวะฮบฺ บิน ญะรีร กล่าวว่า “จงระมัดระวังความคิดของพวกญะฮฺมียะฮฺ แท้จริง พวกเขาพลิกแพลงความหมายว่า เหนือชั้นฟ้านั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย(หมายถึงว่า อัลลอฮมิได้อยู่เหนือชั้นฟ้า) แท้จริง ความคิดเช่นนี้มิใช่อื่นใด นอกจากวะฮีย์ที่มาจากอิบลีส และมันมิใช่อื่นใดนอกจากการกุฟรฺ” - ดู อัล-อุลูว ลิล อะลิยยิล ฆ็อฟฟาร หน้า 159 รายงานนี้ได้รับการรับรองเศาะฮีหฺโดย อิบนุล ก็อยยิม ในอัล-ญุยูช. ดู มุคตะศ็อร อัล-อุลูวฺ หน้า 170

อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า

وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ

(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)สถานที่เกลื่อนย้ายของพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4
@@@@@
คำอธิบายของอิบนุญะรีร ยืนยันถึงพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ และคำอธิบายนี้ เป็นหลักฐานลบล้างคำพูดต่างๆ ที่อ้างว่าอิบนุญะรีร ตีความ สิฟัตอิสติวาอฺอย่างสิ้นเชิง


อายะฮที่ว่า
أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّهَ يَعْلَمُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ مَا يَكُونُ مِنْ نَجْوَى ثَلَاثَةٍ إِلَّا هُوَ رَابِعُهُمْ

เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา…..อัลมุญาดะละฮ/7

อิบนุญะรีร อธิบายว่า

وَعُنِيَ بِقَوْلِهِ : ( هُوَ رَابِعُهُمْ ) بِمَعْنَى : أَنَّهُ مُشَاهِدُهُمْ بِعِلْمِهِ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ

ด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา) ถูกให้ความหมายด้วยความหมาย ว่าแท้จริง พระองค์ คือผูที่เห็นพวกเขาด้วยความรู้ของพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่บนอะรัชของพระองค์
- ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อธิบายซูเราะฮอัลมุญาดะฮ อายะฮที่ 7
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ

So the Prophet turned to Gabriel as if he wanted to consult him about that issue. Gabriel told him of his opinion, saying, "Yes, if you wish." So Gabriel ascended with him to the Irresistible and said while he was in his place, "O Lord, please lighten our burden as my followers cannot do that." So Allah deducted for him ten prayers where upon he returned to Moses who stopped him again and kept on sending him back to his Lord till the enjoined prayers were reduced to only five prayers.

’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

และอบูยะอฟัร มุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อิหม่ามบรรดานักตัฟสีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ) ได้กล่าวในอะกีดะฮของเขาว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม



وَقَالَ أَبُو جَعْفَرٍ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ الطَّبَرِيُّ إِمَامُ الْمُفَسِّرِينَ - رَحِمَهُ اللَّهُ - فِي عَقِيدَتِهِ : وَحَسْبُ امْرِئٍ أَنْ يَعْلَمَ أَنَّ رَبَّهُ هُوَ الَّذِي عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ، فَمَنْ تَجَاوَزَ ذَلِكَ ، فَقَدْ خَابَ وَخَسِرَ

และอบูยะอฟัร มุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อิหม่ามบรรดานักตัฟสีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ) ได้กล่าวในอะกีดะฮของเขาว่า “ พอเพียงแล้ว สำหรับบุคคล ต่อการที่เขารู้ว่า แท้จริง พระเจ้าของเขา คือ ผู้ซึ่ง สถิตเหนืออะรัช ดังนั้น ผู้ใดเกินเลยดังกล่าว แน่นอนเขาได้ล้มเหลวและขาดทุนแล้ว -ดูมะอาริญุลเกาะบูลฯ ของ หาฟิซ บิน มุหัมหมัด อัลหะกา เล่ม 1 หน้า 197
มาดูคำอธิบายของ ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์

( أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) وَهُوَ اللَّهُ ( أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا )

(หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) และพระองค์คือ อัลลอฮ (จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า ) ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลมุลกุ อายะฮ ที่ 17

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อัลลอฮ อยู่บนฟ้า หรือ ว่าทรงมีอยู่โดยไม่มีสถานที่ คำว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

อัลลอฮ อยู่บนฟ้า หรือ ว่าทรงมีอยู่โดยไม่มีสถานที่
คำว่า
موجود بلا مكان
ทรงมีอยู่โดยไม่มีสถานที่
เป็นคำยอดฮีต คำนี้มาจากใหน?
จากอัลกุรอ่านหรือ ก็ไม่ใช่
จากนบี หรือ ก็ไม่ใช่
จากเหล่าเหล่าเศาะหาบะฮหรือก็ไม่ใช่
ชาวสะลัฟเมือถูกถามว่าอัลลอฮอยู่ใหน เขาจะตอบว่า “อยู่บนฟ้า เพราะ
อัลลอฮตรัสว่า
أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا ۖ فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ
หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าการตักเตือนของข้าเป็นเช่นใด ?
เพราะมีหะดิษจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
عَنِ بْنِ سَـعِيْدِ الْخُـدْرِيِّ اَنَّ رَسُـوْلَ اللهِ صَلَّى عَلَيْهِ وَسَـلَّمَ قَالَ : اَلاَ تَاْمَنُوْنَنِيْ وَاَنَا اَمِيْنٌ مَنْ فِى السَّمَآءِ يَاْتِنِيْ خَبَرٌ مِنَ السَّمَآءِ صَبَاحٌ وَمَسَاءٌ.
จากอบีสะอีดอัลคุดรีย์ ว่า แท้จริงท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า “พวกท่านไม่ไว้วางใจข้าพเจ้าหรอกหรือ ทั้งที่ข้าพเจ้า เป็นผู้ได้รับความไว้วางวางใจ ของผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า ข่าว(วะหยู)จากฟากฟ้ามายังข้าพเจ้า ในเวลาเช้าและเวลาบ่าย – รายงานโดย อะหมัด และบุคอรี หะดิษหมายเลข 4351 และ มุสลิม
ถ้าถามอะชาอิเราะฮว่า พระเจ้าอยู่ใหน ? เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวว่า
موجود بلا مكان
ทรงมีอยู่โดยไม่มีสถานที่
แล้วคำนี้มาจากใหน ?
มาจากแนวคิด ด้วยการใช้ตรรก หรือเหตุผล เพื่อให้สอดคล้องกับปัญญาที่เขาเข้าใจ
เขาเข้าใจว่า คำว่า “มะกาน”คือ สถานที่ ที่เป็นมัคลูค ซึ่งอันนี้ ไม่มีคนที่ถูกฉายาว่า “วะฮบีย”เข้าใจแบบนี้ แต่เราหมายถึง
إن الله في جهة العلو أو إنه في مكان عليّ فوق خلقه..
แท้จริง อัลลอฮทรงอยู่ทิศเบื้องสูง หรือ ทรงอยู่ที่สูงเหนือบรรดามัคลูค
โดยที่จะไม่ถามว่า ทรงอยู่อย่างไร รูปแบบใด
เช็คบินบาซ อธิบายว่า
فهو سبحانه وتعالى فوق العرش في جهة العلو فوق جميع الخلق عند جميع أهل العلم من أهل السنة، قد أجمع أهل السنة والجماعة رحمة الله عليهم على أن الله في السماء فوق العرش فوق جميع الخلق سبحانه وتعالى، وهذا هو المنقول عن رسول الله - صلى الله عليه وسلم - وعن أصحابه - رضي الله عنهم وعن أتباعهم بإحسان كما أنه موجود في كتاب الله القرآن وقد سأل النبي - صلى الله عليه وسلم – جارية جاء بها سيدها ليعتقها فقال لها الرسول : أين الله ؟ فقالت : في السماء، قال من أنا؟ قالت: أنت رسول الله، قال: أعتقها فإنها مؤمنة) رواه مسلم
พระองค์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอยู่เหนืออะรัช ในทิศเบื้องสูง เหนือบรรดามัคลูคทั้งหมด ในทัศนะของนักวิชาการอะฮลุสสุนนะฮทั้งหมด แท้จริงชาว อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ทั้งหมด(ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขา) มีมติบน คำว่า แท้จริง อัลลอฮทรงอยู่บนฟากฟ้า เหนืออะรัช เหนือบรรดามัคลูคทั้งหลาย มหาบริสุทธิ์ พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งยิ่ง และนี้คือ สิ่งที่ถุกรายงานจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม , จากบรรดาสาวกของท่าน (ร.ฎ) และจากผู้เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดี ดังสิ่งที่มีอยู่ในกิตาบุลลอฮ คือ อัลกุรอ่าน และ นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ถาม ทาสหญิงคนหนึ่ง ที่นายของนางนำมา เพื่อที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ท่านรอซูล กล่าวแก่น่างว่า “ อัลลอฮอยู่ใหน ? นางกล่าวตอบว่า “ อยู่บนฟ้า “ ท่านรอซูลกล่าวว่า “ฉันคือใคร ? นางกล่าวตอบว่า “ท่านคือ ศาสทูตของอัลลอฮ” ท่านรซูลุลลอฮ จึงกล่าวว่า “ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด เพราะแท้จริงนางคือ ผู้หญิงที่ศรัทธา” – รายงานโดยมุสลิม
http://www.binbaz.org.sa/mat/10296
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า

وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ

(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)สถานที่เกลื่อนย้ายของพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4

@@@@@

คำอธิบายของอิบนุญะรีร ยืนยันถึงพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ และคำอธิบายนี้ เป็นหลักฐานลบล้างคำพูดต่างๆ ที่อ้างว่าอิบนุญะรีร ตีความ สิฟัตอิสติวาอฺอย่างสิ้นเชิง
อายะฮที่ว่า
أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّهَ يَعْلَمُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ مَا يَكُونُ مِنْ نَجْوَى ثَلَاثَةٍ إِلَّا هُوَ رَابِعُهُمْ

เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา…..อัลมุญาดะละฮ/7

อิบนุญะรีร อธิบายว่า

وَعُنِيَ بِقَوْلِهِ : ( هُوَ رَابِعُهُمْ ) بِمَعْنَى : أَنَّهُ مُشَاهِدُهُمْ بِعِلْمِهِ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ

ด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา) ถูกให้ความหมายด้วยความหมาย ว่าแท้จริง พระองค์ คือผู้ที่เห็นพวกเขาด้วยความรู้ของพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่บนอะรัชของพระองค์
- ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อธิบายซูเราะฮอัลมุญาดะฮ อายะฮที่ 7
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

มีผู้ อ้างว่าเป็นคำพูดอบูหะนีฟะฮ ท่านเป็นอิมามของมัชฮับหะนาฟีย์ ซึ่งเป็นอุลามาอฺซะลัฟ ท่านกล่าวว่า// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

มีผู้ อ้างว่าเป็นคำพูดอบูหะนีฟะฮ
ท่านเป็นอิมามของมัชฮับหะนาฟีย์ ซึ่งเป็นอุลามาอฺซะลัฟ ท่านกล่าวว่า
قلت: أرأيت لو قيل أين الله تعالى؟ فقال : يقال له كان الله تعالى ولا مكان قبل أن يخلق الخلق، وكان الله تعالى ولم يكن أين ولا خلق ولا شىء، وهو خالق كل شىء

"ฉันขอกล่าวว่า ท่านจะบอกว่าอย่างไร หากถูกกล่าว(แก่ท่าน)ว่า อัลเลาะฮฺอยู่ใหน ? ดังนั้น เขา(อบูหะนีฟะฮฺ)กล่าวว่า ก็กล่าวตอบแก่เขาว่า ?อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ ก่อนที่พระองค์จะสร้างมัคโลก และอัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีคำว่า ที่ใหน (ให้กับพระองค์) ไม่มีมัคโลก และไม่มีสิ่งใด(พร้อมกับพระองค์) โดยที่พระองค์นั้นทรงสร้างทุกๆ สิ่ง" ชัรหฺ อัลฟิกหฺ อัลอักบัร ของท่าน มุลลา อะลีย์ อัลกอรีย์ หน้า 138
@@@@@@

ชี้แจง
คำพูดข้างต้น
มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออีกคำพูดหนึ่งของอบูหะนีฟะฮคือ
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวว่า

وَكَلَامُ السَّلَفِ فِي إِثْبَاتِ صِفَةِ الْعُلُوِّ كَثِيرٌ جِدًّا : فَمِنْهُ : مَا رَوَى شَيْخُ الْإِسْلَامِ أَبُو إِسْمَاعِيلَ الْأَنْصَارِيُّ فِي كِتَابِهِ " الْفَارُوقِ " ، بِسَنَدِهِ إِلَى أَبِي مُطِيعٍ الْبَلْخِيِّ : أَنَّهُ سَأَلَ أَبَا حَنِيفَةَ عَمَّنْ قَالَ : لَا أَعْرِفُ رَبِّي فِي السَّمَاءِ أَمْ فِي الْأَرْضِ ؟ فَقَالَ : قَدْ كَفَرَ ، لِأَنَّ اللَّهَ يَقُولُ : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [ طه : 5 ] وَعَرْشُهُ فَوْقَ سَبْعِ سَمَاوَاتٍ ، قُلْتُ : فَإِنْ قَالَ : إِنَّهُ عَلَى الْعَرْشِ ، وَلَكِنْ يَقُولُ : لَا أَدْرِي آلْعَرْشُ فِي السَّمَاءِ أَمْ فِي الْأَرْضِ ؟ قَالَ : هُوَ كَافِرٌ ، لِأَنَّهُ أَنْكَرَ أَنَّهُ فِي السَّمَاءِ ، فَمَنْ أَنْكَرَ أَنَّهُ فِي السَّمَاءِ فَقَدْ كَفَرَ

“และคำพูด สะลัฟ เกี่ยวกับการรับรองคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูง นั้นมากมายยิ่งนัก และส่วนหนึ่ง จากมันคือ สิ่งที่ ชัยคุลอิสลาม อบูอิสมาอิลอันอันศอรีย์ ในหนังสือของเขา ชื่อ อัลฟารูก ด้วยสายรายงาน สืบไปยัง อบีอัลมุเฏียะ อัลบัลคีย์ ว่า “แท้จริงเขาได้ถาม อบูหะนีฟะฮ เกี่ยวกับผู้ที่ กล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าของฉัน อยู่บนฟ้าหรืออยู่บนพื้นดิน? แล้วเขา(อบูหะนีฟะอ)กล่าวว่า “เขาได้ปฏิเสะศรัทธาแล้ว เพราะแท้จริง อัลลอฮตรัสว่า “ พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงประทับบน/เหนืออะรัช – ฏอฮา/๕ และอะรัช ของพระองค์ อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด ,ข้าพเจ้า กล่าวว่า “ถ้าเขากล่าวว่า “ แท้จริงพระองค์ทรงอยู่บนอะรัช แต่ เขากล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่า อะรัช อยู่บนฟ้า หรืออยู่บนพื้นดิน ? เขา(อบูหะนีฟะฮ)กล่าวว่า “ เขาเป็นกาเฟร “ เพราะเขา คัดค้าน ว่าแท้จริงพระองค์ อยู่บนฟากฟ้า เพราะผู้ใด คัดค้าน ว่า แท้จริง พระองค์ อยู่บนฟากฟ้า แน่นอน “เขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗

อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวอีกว่า

وَلَا يُلْتَفَتُ إِلَى مَنْ أَنْكَرَ ذَلِكَ مِمَّنْ يَنْتَسِبُ إِلَى مَذْهَبِ أَبِي حَنِيفَةَ ، فَقَدِ انْتَسَبَ إِلَيْهِ طَوَائِفُ مُعْتَزِلَةٌ وَغَيْرُهُمْ ، مُخَالِفُونَ لَهُ فِي كَثِيرٍ مِنَ اعْتِقَادَاتِهِ

และอย่าไปสนใจผู้ที่คัดค้านดังกล่าว จากผู้ที่อ้างทัศนะอบีหะนีฟะฮ ,แท้จริง บรรดาพวกมุอฺตะซิละฮ และอื่นจากพวกเขา ได้อ้างเขา(อบูหะนีฟะฮ) ,พวกเขามีความแตกต่างกับอบูหะนีฟะฮ มากมายจากบรรดาอะกีดะฮของเขา(ของอบูหะนีหะฮ) - ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗
กล่าวคือ พวกมุอตะซิละฮ ที่ค้านการอยู่เหนือฟากฟ้าของอัลลอฮ จะอ้างทัศนะอบูหะนีฟะฮ ซึ่งความจริง เป็นการแอบอ้าง เพราะพวกเขามีอะกีดะฮแตกต่างจากอะกีดะฮของอบูหะนีฟะฮหลายเรื่อง ถ้าเราสังเกตจากข้อเขียนของอะชาอีเราะฮบางคน เราจะพบว่า เขาจะอ้าง อัลเกาษะรีย์ อุลามาอิญะมียะฮ ที่ต่อต้านเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตัคริจญ(การวิจารณ์)หะดิษ

อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวอีกว่า

. وَقَدْ يَنْتَسِبُ إِلَى مَالِكٍ وَالشَّافِعِيِّ وَأَحْمَدَ مَنْ يُخَالِفُهُمْ فِي بَعْضِ اعْتِقَادَاتِهِمْ . وَقِصَّةُ أَبِي يُوسُفَ فِي اسْتِتَابَتَةِ لِبِشْرٍ الْمَرِيسِيِّ ، لَمَّا أَنْكَرَ أَنْ يَكُونَ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فَوْقَ الْعَرْشِ - : مَشْهُورَةٌ . رَوَاهَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ أَبِي حَاتِمٍ وَغَيْرُهُ .

และ ได้มีการแอบอ้าง มาลิก ,ชาฟิอี และ อะหมัด โดยผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับพวกเขาในบางส่วนของอะกีดะฮของพวกเขา (ของ มาลิก ,ชาฟิอี และ อะหมัด) และเรื่องราวอบียูซุบ ในการขอให้ บะชีร อัลมะรีสีย์ ทำการเตาบัต เมื่อเขาได้คัดค้าน ว่า อัลลอฮ ผู้ทรง สูงส่ง และ ทรงเลิศยิ่ง อยู่หนืออะรัช (เป็นเรื่องราว) ที่รู้กันแพร่หลาย ,อับดุรเราะหมาน บิน อบีหาติม และอื่นจากเขาได้รายงานมัน- ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗
@@@@

บะชีร อัลมะรีสีย์ เป็นพวกญะฮมียะฮ ที่คัดค้าน การอยู่เหนืออะรัช ของอัลลอฮ จึงถูกขอให้ทำการเตาบัต เราจะสังเกตได้ว่า พวกที่คัดค้าน เรื่อง การอยู่เบื่องสูงของอัลลอฮ พยายามทุกอย่างที่จะลบล้างหะดิษ และอายะฮ อัลกุรอ่าน โดยนำ ทัศนะคนนั้น คนนี้ แม้แต่หะดิษเฎาะอีฟ ก็เอามาอ้าง
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ตาะมี้ยะ บิ้ลเบต บังอะสันเขาเก่งนะ รู้ว่าอัลเลาะห์อยู่ที่ไหน อิอิ อะกีดะห์ฟิรอูน อยากจะจัดหนักให้ซะเหลือเกิน // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ตาะมี้ยะ บิ้ลเบต บังอะสันเขาเก่งนะ รู้ว่าอัลเลาะห์อยู่ที่ไหน อิอิ อะกีดะห์ฟิรอูน อยากจะจัดหนักให้ซะเหลือเกิน


ตอบ

@@@@@ มาดูว่า ใครกันแน่ที่มีอะกีดะฮเหมือนฟิรเอาน์
อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า

وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا

และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า

وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا

และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37
อัลลอฮ(ซ.บ)ตรัสว่า

وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا أَيُّهَا الْمَلَأُ مَا عَلِمْتُ لَكُم مِّنْ إِلَهٍ غَيْرِي فَأَوْقِدْ لِي يَا هَامَانُ عَلَى الطِّينِ فَاجْعَل لِّي صَرْحًا لَّعَلِّي أَطَّلِعُ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ مِنَ الْكَاذِبِينَ

และฟิรเอานกล่าวว่า “โอ้ปวงบริพารเอ๋ย! ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉัน โอ้ฮามานเอ๋ย ! จงเผาดินให้ฉันด้วยแล้วสร้างโครงสูงระฟ้า เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ”- อัล-ก่อซอซ :38
อิบนุญะรีร อธิบายว่า

وَقَوْلُهُ : ( لَعَلِّي أَطَّلِعُ إِلَى إِلَهِ مُوسَى ) يَقُولُ : أَنْظُرُ إِلَى مَعْبُودِ مُوسَى ، الَّذِي يَعْبُدُهُ ، وَيَدْعُو إِلَى عِبَادَتِهِ ( وَإِنِّي لِأَظُنُّهُ ) فِيمَا يَقُولُ مِنْ أَنَّ لَهُ مَعْبُودًا يَعْبُدُهُ فِي السَّمَاءِ ، وَأَنَّهُ هُوَ الَّذِي يُؤَيِّدُهُ وَيَنْصُرُهُ ، وَهُوَ الَّذِي أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا مِنَ الْكَاذِبِينَ

คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา) หมายถึง เขากล่าวว่า “ฉันจะได้ดู พระเจ้าของมูซา ที่เขาได้เคารพภักดีต่อพระองค์ และเขา(มูซา)ได้เชิญชวนไปสู่ การอิบาดะฮต่อพระองค์ (และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้น) ในสิ่งที่เขากล่าว จากการที่พระเจ้าของเขา ที่เขาเคารพภักดีต่อพระองค์นั้น อยู่บนฟ้า และ แท้จริง พระองค์ คือผู้ที่สนับสนุนเขา และช่วยเหลือเขา และพระองค์คือ ผู้ที่ ส่งเขามายังเรานั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จ – ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย เล่ม 19 หน้า 581
.............
อิบนุญะรีร ได้อธิบายสองอายะฮข้างต้นตรงกันว่า ฟาโรห์ ได้ ได้ปฏิเสธความเชื่อมูซา อะลัยฮิสสลามสลาม โดยให้บริพารของเขาสร้างหอคอยสูง เพื่อจะขึ้นไปยังพระเจ้าของนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ที่มูซาอ้างว่า อยู่บนฟ้า และฟาโรห์ ได้กล่าวหานบีมูซา เป็นผู้ที่โกหก ในการที่อ้างว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้า
สรุป
- อกิดะฮของฟิรอูนไม่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า และแสดงการเยาะเย้ยโดยจะสร้างหอคอยสูงเพื่อจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา

อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์ อธิบายว่า

قوله {وإني لأظنه كاذبا} يعني في قوله: إن في السماء إلهًا، وعلماء الأمة وأعيان الأئمة من السلف رحمهم الله لم يختلفوا في أن الله تعالى على عرشه، وعرشه فوق سماواته

คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ) หมายถึง ในคำพูดของเขา(มูซา)ที่ว่า แท้จริงมีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า) และบรรดาอุลามมาอฺแห่งอุมมะฮ และบรรดา ประชาชนแห่งอุมมะฮจากชาวสะลัฟ (ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขา) พวกเขาไม่ได้เห็นต่างกัน เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์- อะกิดะฮสะลัฟวะอัศหาบุลหะดิษ หน้า 176
.........
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อะชาอิเราะฮชั้นครูบางคนกล่าวว่า วิจารณ์สิ่งที่วะฮาบีย์เข้าใจจากสูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37 นี้// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

อะชาอิเราะฮชั้นครูบางคนกล่าวว่า

วิจารณ์สิ่งที่วะฮาบีย์เข้าใจจากสูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37 นี้
1. วะฮาบีย์อ้างว่า นบีมูซาพูดว่าอัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า (ทั้งที่ไม่มีตัวบทอัลกุรอานและฮะดิษใดมาระบุเลยว่านบีมูซาพูด)
2. แต่วะฮาบีย์ได้อ้างว่า ฟิรอูนได้เข้าใจว่านบีมูซาบอกว่าอัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า
3. ทั้งที่ท่านนบีมูซาไม่เคยพูดเลยว่าอัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า แต่วะฮาบีย์อ้างว่านบีมูซาพูดว่าอัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า เพราะยึดถือตามความเข้าใจหรือการบอกเล่าของฟิรอูนอีกทอดหนึ่งจากคำพูดของนบีมูซาว่าอัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า
…………………….
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นอะกีดะฮ ของคนที่อ้างว่า ของตัวเองเศาะเฮียะ มาดูของคนที่เขากล่าวหาว่ามี อะกีดะฮเฎาะอีฟ ว่า จริงหรือเท็จ และถ้าเท็จ ความหายนะจะประสบกับผู้กล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ
หนึ่งในรากฐานศาสนาหรืออะกีดะฮ ของอิสลามทุกยุคทุกสมัยคือ เชื่อว่า พระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า
ดังที่หลักฐานที่บอกว่า อัลลอฮทรงเล่าถึงฟิรเอานฺใช้บันไดที่ขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเพื่อมองดูพระเจ้าของมูซา แล้วฟิรเอานฺก็ปฏิเสธของความเชื่อของมูซาเกี่ยวกับการมีอยู่ของอัลลอฮเหนือฟากฟ้า อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า

وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا

และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า

وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا

และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37
มาดู อุลามาอฺในศตวรรษที่สอง อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ฮ.ศ.280) กล่าวว่า

ففي هذه الآية بيان ، ودلالة ظاهرة ،أن موسى كان يدعو فرعون إلى معرفة الله بأنه فوق السماء ، فمن أجل ذلك أمر ببناء الصرح ،ورام الإطلاع إليه

ในอายะฮนี้ คือความชัดเจน และเป็นหลักฐานอันชัดเจน ว่า มูซา เรียกร้องฟิรเอาอฺ ให้ไปสู่การรู้จักอัลลอฮ ว่า แท้จริงพระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ด้วยเหตุดังกล่าวเขา(ฟาโรห์)จึงบัญชา ให้สร้างหอสูง และปรารถนาจะขึ้นไปยังพระองค์ – อัรรอ็ด อะลัลญะมียะฮ หน้า 37
.............
ข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่า ใครมีอะกีดะฮ จริงใครมีอะกีดะฮเท็จ


มาดูนักปราชชาวสะลัฟอีกท่านหนึ่ง คือ มุหัมหมัด บิน อิสหาก บิน คุซัยมะฮ หรือ เรียกว่า อิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311) กล่าวว่า

وفي قوله وإني لأظنه كاذبا دلالة على أن موسى قد كان أعلمه أن ربه جلا وعلا أعلى وفوق.

ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) คือหลักฐานแสดงบอก ว่า มูซา ได้บอกให้เขา(ฟาโรห์)รู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิง ทรงอยู่สูง และทรงอยู่เบื้องบน – ดู กิตาบุตเตาฮีด ของท่าน อิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 264


อับดุลบัร – ฮ.ศ 463 (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

فَدَلَّ على أن موسى عليه السلام كان يقول: إلهي في السماء، وفرعون يظنه كاذبا

และและแสดงบอกว่า แท้จริงมูซา อะลัยฮิสสลาม เขากล่าวว่า พระเจ้าของฉัน อยู่บนฟากฟ้า และฟาโรห์ เข้าใจว่าเขา(มูซา) เป็นผู้โกหก – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 133
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อบูอุษมาน อัศเศาะบูนีย์ อัชชะฟีอีย์ (ฮ.ศ 449) นักปราชญ์ ที่เกือบจะทันยุคสลัฟ กล่าวว่า// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

อบูอุษมาน อัศเศาะบูนีย์ อัชชะฟีอีย์ (ฮ.ศ 449) นักปราชญ์ ที่เกือบจะทันยุคสลัฟ กล่าวว่า
ولا يعتقدون تشبيها لصفاته بصفات خلقه، فيقولون: إنه خلق آدم بيديه، كما نص سبحانه عليه في قوله –عز من قائل- {قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ } [ص : 75].
และพวกเขา(อะฮลุลหะดิษ)ไม่เชื่อว่า เป็นการตัชบีฮ(การเปรียบเทียบว่า)บรรดาสิฟัตของพระองค์ คล้ายคลึงกับมัคลูคของพระองค์ โดยพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้าง อาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ ดังที่อัลลอฮ(ซ.บ)ได้ตรัสเป็นตัวบทไว้ในคำตรัสของพระองค์ (อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า ? ศอด/75 –ดู عقيدة السلف أصحاب الحديث للصابوني (ص37) تحقيق أبو اليمين المنصوري ، و(ص161-162) بتحقيق ناصر الجديع
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ท่านอิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ. 731-792) อธิบายต่อไปว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ท่านอิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ. 731-792) อธิบายต่อไปว่า

أَنْ يُنْظَرَ فِي هَذَا الْبَابِ، أَعْنِي بَابَ الصِّفَاتِ، فَمَا أَثْبَتَهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَثْبَتْنَاهُ، وَمَا نَفَاهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ نَفَيْنَاهُ. وَالأَلْفَاظُ الَّتِي وَرَدَ بِهَا النَّصُّ يُعْتَصَمُ بِهَ...ا فِي الْإِثْبَاتِ وَالنَّفْيِ، فَنُثْبِتُ مَا أَثْبَتَهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ مِنَ الأَلْفَاظِ وَالْمَعَانِي

ดังนั้น วาญิบ จะต้องพิจารณาในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าหมายถึง เรื่อง บรรดาสิฟาต (บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ) สิ่งใดที่อัลลอฮ และรอซูลของพระองค์รับรองมัน เราก็รับรองมัน และสิ่งใดที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ปฏิเสธมัน เราก็ปฏิเสธมัน และบรรดาถ้อยคำที่ตัวบทได้มีมาด้วยมัน ก็จะถูกยึดถือด้วยมัน ในการรับรอง(อิษบาต) และการปฏิเสธ(นัฟยุ) ดังนั้นเราจะรับรอง สิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์รับรอง จากบรรดาถ้อยคำและบรรดาความหมาย – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 262
.........
ข้างต้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การรับรองบรรดาสิฟาตที่ที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์รับรองนั้น คือ รับรองทั้งถ้อยคำ และความหมาย ไม่ใช่รับรองถ้อยคำแต่ไม่อนุญาตให้แปล หรือ รับรองถ้อยคำแต่ใส่ความหมายอื่นแทน
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

การรับรองสิฟาต ต้องรับรองความหมายของสิฟัตด้วย // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

การรับรองสิฟาต ต้องรับรองความหมายของสิฟัตด้วย

ท่านปรมาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านหนึ่ง อ้างว่า
ท่าน อีหม่าม อัลฟากีฮฺ อาบู ญะฟัร อัฎ-ฏอฮาวีย์ (ร.ฮ)(เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 321) ได้กล่าวไว้ใน รีซาละฮฺ อากีดะฮฺ อัฎ-ฏอฮาวืยะฮ์ ของท่านไว้ดังนี้

وتعالى – أي الله – عن الحدود والغايات والأركان والأعضاء والأدوات لا تحويه الجهاتُ السِتُّ كسائر المبتَدَعات

ความว่า“ อัลลอฮ์ ทรงพิสุทธิ์ จากขอบเขต และ ความจำกัดใดๆและ องค์ประกอบต่างๆ(แห่งตัวตน)และอวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆซึ่งทิศตำแหน่งต่างๆทั้งหกนั้น...
มิได้ห้อมล้อมพระองค์เฉกเช่น บรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย แต่อย่างใด...”
........
ชี้แจง
ท่านผู้อ้างก็อ้างไปตามที่กอ็ปมา แต่ไม่เข้าใจคำพูดข้างต้น มาดูอุลามาอฺตัวจริงอธิบาย

ท่านอิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ. 731-792) อธิบายว่า

أَنَّ النَّاسَ فِي إِطْلَاقِ مِثْلِ هَذِهِ الْأَلْفَاظِ ثَلَاثَةُ أَقْوَالٍ : فَطَائِفَةٌ تَنْفِيهَا ، وَطَائِفَةٌ تُثْبِتُهَا ، وَطَائِفَةٌ تُفَصِّلُ ، وَهُمُ الْمُتَّبِعُونَ لِلسَّلَفِ ، فَلَا يُطْلِقُونَ نَفْيَهَا وَلَا إِثْبَاتَهَا إِلَّا إِذَا بُيِّنَ مَا أُثْبِتَ بِهَا فَهُوَ ثَابِتٌ ، وَمَا نُفِيَ بِهَا فَهُوَ مَنْفِيٌّ . لِأَنَّ الْمُتَأَخِّرِينَ قَدْ صَارَتْ هَذِهِ الْأَلْفَاظُ فِي اصْطِلَاحِهِمْ فِيهَا إِجْمَالٌ وَإِبْهَامٌ ، كَغَيْرِهَا مِنَ الْأَلْفَاظِ الِاصْطِلَاحِيَّةِ ، فَلَيْسَ كُلُّهُمْ يَسْتَعْمِلُهَا فِي نَفْسِ مَعْنَاهَا اللُّغَوِيِّ . وَلِهَذَا كَانَ النُّفَاةُ يَنْفُونَ بِهَا حَقًّا وَبَاطِلًا ، وَيَذْكُرُونَ عَنْ مُثْبِتِيهَا مَا لَا يَقُولُونَ بِهِ ، وَبَعْضُ الْمُثْبِتِينَ لَهَا يُدْخِلُ فِيهَا مَعْنًى بَاطِلًا ، مُخَالِفًا لِقَوْلِ السَّلَفِ ، وَلِمَا دَلَّ عَلَيْهِ الْكِتَابُ وَالْمِيزَانُ . وَلَمْ يَرِدْ نَصٌّ مِنَ الْكِتَابِ وَلَا مِنَ السُّنَّةِ بِنَفْيِهَا وَلَا إِثْبَاتِهَا ، وَلَيْسَ لَنَا أَنْ نَصِفَ اللَّهَ تَعَالَى بِمَا لَمْ يَصِفْ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ نَفْيًا وَلَا إِثْبَاتًا ، وَإِنَّمَا نَحْنُ مُتَّبِعُونَ لَا مُبْتَدِعُون

แท้จริงมนุษย์ เกี่ยวกับการกล่าวบรรดาคำเหล่านี้โดยรวม แบ่งออกเป็นสามทัศนะ คือ
-หมู่คณะหนึ่ง ปฏิเสธมัน ,หมู่คณะหนึ่ง รับรองมัน และ หมู่คณะหนึ่ง มีการแจกแจงรายละเอียด และพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ตามแนวทางของสะลัฟ เพราะพวกเขาไม่ได้กล่าวรับรองมัน และไม่ได้กล่าวปฏิเสธมัน โดยรวม ยกเว้น เมื่อสิ่งที่ถูกรับรองด้วยมัน ถูกอธิบายไว้ มันก็คือ สิ่งที่แน่นอน (หมายถึงคือสิ่งที่ถูกรับรอง)และ เมื่อสิ่งที่ถูกปฏิเสธด้วยมัน(ถูกอธิบายไว้) มันก็คือสิ่งที่ถูกปฏิเสธ เพราะแท้จริง บรรดาคนยุคหลังนั้น บรรดาคำเหล่านี้ ตามนิยามของพวกเขานั้น กลายเป็นความหมาย(มุจญมัล(ความหมายรวม)และเป็นความหมายมุบฮัม(ความหมายที่ทำให้เกิดมโนภาพ) เหมือนกับอื่นจากมัน จากบรรดานิยามของคำ ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ใช้มัน ตามความหมายตามภาษาอาหรับ (หมายถึงความหมายตามรูปคำที่ปรากฏตามตัวบท) เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ปฏิเสธ ก็เลยปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นความหมายจริงหรือไม่จริง และพวกเขากล่าว เกี่ยวกับการรับรองมัน สิ่งที่พวกเขาไม่ได้กล่าวด้วยมัน และบางส่วน รับรองมัน ด้วยการใส่ความหมายเท็จในบรรดาคำเหล่านี้ โดยที่ขัดแย้งกับทัศนะของสะลัฟ และขัดแย้งกับสิ่งที่ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกไว้บนมัน และไม่มีตัวบทจากอัลกุรอ่านและสุนนะฮ ปฏิเสธ และรับรองมัน และ ไม่อนุญาตให้เราพรรณาคุณลักษณะอัลลอฮตะอาลา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ ไม่ได้พรรณนาคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน และไม่อนุญาตให้พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ ด้วยคุณลักษณะที่รอซูลของพระองค์ ไม่ได้พรรณาคุณลักษณะ แก่พระองค์ด้วยมัน ไม่ว่าในการปฏิเสธหรือรับรอง ความจริงเราคือบรรดาผู้เจริญรอยตาม ไม่ใช่บรรดาผู้อุตริบิดอะฮ – ชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 261

จากคำอธิบายของ อิบนุอบิลอิซ อัดดัมชะกีย์ พอสรุปได้ดังนี้
1. ชาวสลัฟไม่ได้กล่าวถึง คำข้างต้น เช่นอวัยวะ รูปร่าง ฯลฯ ไม่ว่าในทางรับรองหรือปฏิเสธ
2. คนยุคหลัง ถือว่าความหมายตามตัวบททำเกิดมโนภาพ พวกเขาจึงปฏิเสธ
3. คนบางส่วนรับรองความหมายตามตัวบท แต่ใส่ความหมายเท็จลงไปในคำเดิมที่มาจากตัวบท( เช่น รับรองอิสติวาอฺ แต่ไม่เอา ความหมาย ประทับ แต่ใส่ตวามหมายครอบครองเป็นต้น-ผู้แปล)
4. ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ หรือรับรองคุณลักษณะใดๆ แก่อัลลอฮในสิ่ง ที่อัลลอฮและนบีไม่ได้บอกไว้
5. เราต้องปฏิบัติตาม เราจะไม่อุตริบิดอะฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

เพิ่มเติม มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

เพิ่มเติม
มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ

So the Prophet turned to Gabriel as if he wanted to consult him about that issue. Gabriel told him of his opinion, saying, "Yes, if you wish." So Gabriel ascended with him to the Irresistible and said while he was in his place, "O Lord, please lighten our burden as my followers cannot do that." So Allah deducted for him ten prayers where upon he returned to Moses who stopped him again and kept on sending him back to his Lord till the enjoined prayers were reduced to only five prayers.


’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์


อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบาย หะดิษอัลญารียะฮว่า

وفي قول رسول الله صلى الله عليه وسلم أين الله؟ تكذيب لقول من يقول: هو في كل مكان، ولا يوصف ب أين، لأن شيئا لا يخلو منه مكان يستحيل أن يقال أين هو، ولا يقال أين إلا لمن هو في مكان يخلو منه مكان، ولو كان الأمر على ما يدعي هؤلاء الزائغة لأنكر عليها رسول الله قولها وعلمها، ولكنها علمت به فصدقها رسول الله وشهد لها بالإيمان بذلك،

“และในคำพูดของรซูลุลลอฮที่ว่า “อัลลอฮยู่ใหน? เป็นการยืนยันความเท็จ คำพูดของผู้ที่กล่าวว่า “พระองค์อยู่ทุกสถานที่ ,พระองค์ไม่ทรงคุณลักษณะ ด้วยคำว่า “อยู่ที่ใหน? เพราะแท้จริงสิ่งใดๆ สถานที ย่อมไม่เป็นอิสระจากมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระองค์อยู่ใหน และจะไม่ถูกกล่าวว่า อยู่ใหน นอกจากผู้ที่เขาอยู่ในสถานที่ ซึ่งสถานที่เป็นอิสระจากเขา และถ้าเรื่องนี้ เป็นไปตามที่พวกเบี่ยงเบนเหล่านี้อ้าง แน่นอน ท่านรซูลุลลอฮ ย่อมจะคัดค้าน คำพูดและการกระทำของนาง(หมายถึงทาสหญิงตามที่ระบุในหะดิษ) แต่ในทางกลับกัน นางรู้ด้วยมัน แล้วรซูลุลลอฮ ก็ยืนยันความถูกต้องแก่นาง และเป็นพยานให้แก่นาง ว่านางมีศรัทธา ด้วยดังกล่าวนั้น – ดู รอดอะลัลญะมียะฮ ของ อิหม่ามอัดดาริมีย์ หน้า 47
..............
ท่านอิหม่ามอัดดารีมีย์ ได้ยืนยันว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ให้การรับรอง คำตอบของนางที่ว่า อัลลอฮทรงอยู่บนฟากฟ้า เมื่อท่านถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน เพราะถ้าสิ่งที่นางตอบ ไม่ถูกต้อง ตามที่พวกเบี่ยงเบนบางกลุ่มอ้าง ว่า ไม่มีสถานที่เกี่ยวข้องกับ อัลลอฮ แน่นอนท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯต้องคัดค้านคำพูดของนางแล้ว แต่..ท่านไม่ได้ค้าน นอกจากให้การรับรองคำพูดของนางอีกต่างหาก
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

มาดู ตัฟสีรอิบนุญะรีร ต่อ เพื่อยืนยันในอะกีดะฮของอิบนุญะรีร ว่า ต่างกับอะชาอิเราะฮบางกลุ่มที่ฟิตนะฮเช็ค อับดุลลอฮฺบินมุฮำหมัดอัลฆุนัยมาน แห่งมหาลัยมะดีนะฮ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

มาดู ตัฟสีรอิบนุญะรีร ต่อ เพื่อยืนยันในอะกีดะฮของอิบนุญะรีร ว่า ต่างกับอะชาอิเราะฮบางกลุ่มที่ฟิตนะฮเช็ค อับดุลลอฮฺบินมุฮำหมัดอัลฆุนัยมาน แห่งมหาลัยมะดีนะฮ
يَخَافُونَ رَبَّهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ وَيَفْعَلُونَ مَا يُؤْمَرُونَ
ความว่า “และพวกเขาจะกลัวพระเจ้าของพวกเขาจากเบื้องบนของพวกเขา และปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาถูกบัญชา ” (อัลนะห์ลฺ / 50)
มาดูอิหม่ามอิบนุญะรีร อธิบาย
يقول تعالى ذكره: يخاف هؤلاء الملائكة التي في السموات ، وما في الأرض من دابة، ربهم من فوقهم، أن يعذّبهم إن عَصَوا أمره ،
ผู้ซึ่ง การสรรเสริญพระองค์สูงส่งยิ่ง กล่าวว่า บรรดามลาอิกะฮ ที่อยู่บนบรรดาฟากฟ้าเหล่านี้ และ สัตว์ที่อยู่ในพื้นแผ่นดิน กลัวพระผู้อภิบาลพวกเขา จากเบื้องบนของพวกเขา ว่า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา หากพวกเขาฝ่าฝืนคำสั่งพระองค์ – ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 17 หน้า 220
.........
ข้างต้น อิบนุญะรีร อ้างถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เหนือมัคลูค อย่างชัดเจน
มาดู หลักฐานต่างๆที่แสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ - การกระทำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เช่นการที่ท่านชี้นิ้วขึ้นไปยังฟากฟ้าขณะที่ท่านคุฏบะฮฺกับผู้คนจำนวนมาก ดังกล่าวนั้นคือ วันอะรอฟะฮฺ ปีหัจญ์วะดาอฺ (หัจญ์อำลา)
فقال علية الصلاة والسلام ;ألا هل بلغت؟ . قالوا : نعم ;ألا هل بلغت؟; قالوا: نعم ;ألا هل بلغت؟ قالوا : نعم . وكان يقول : ;اللهم ! أشهد; ، يشير إلى السماء بأصبعه ، ثم يُشير إلى الناس.
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ และท่านก็กล่าวว่า "โอ้อัลลฮฺได้โปรดเป็นพยานด้วยเถิด" โดยท่านชี้นิ้วยกขึ้นไปยังฟากฟ้า และจากนั้นก็ชี้ไปยังผู้คน

แล้วเช่นเดียวกันนี้การที่ท่านนบียกมือทั้งสองในขณะขอดุอาอ์ขึ้นยังฟากฟ้า ดังที่มีรายงานเป็นสิบๆ หะดีษ นี่เป็นการยืนยันถึงการอยู่ที่สูงด้วยการกระทำ

- การยอมรับของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
كما جاء في حديث الجارية التي قال لها النبي صلى الله عليه وسلم : ;أين الله؟; قالت : في السماء. فقال : ;من أنا؟ قالت : رسول الله . فقال لصاحبها : أعتقها، فإنها مؤمنةดังที่มีมาในหะดีษ ทาสหญิงคนหนึ่งซึ่งท่านนบีได้กล่าวกับเธอว่า "อัลลอฮฺอยู่ที่ไหน?" เธอตอบว่า : อยู่บนฟากฟ้า และท่านนบีกล่าวว่า : "ฉันเป็นใคร?" เธอตอบว่า : ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ท่านนบีจึงกล่าวกับเจ้าของของเธอว่า "จงปล่อยเธอไป เพราะแท้จริงเธอเป็นผู้ที่ศรัทธา"
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อะกีดะฮอิบนุญะรีร ที่แท้จริง อะชาอิเราะบางกลุ่ม พยายามเอาคำอธิบายของอิบนุญะรีรที่ว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

อะกีดะฮอิบนุญะรีร ที่แท้จริง

อะชาอิเราะบางกลุ่ม พยายามเอาคำอธิบายของอิบนุญะรีรที่ว่า
فقل : علا عليها علو ملك وسلطان ، لا علو انتقال وزوال

"ดังนั้น แบบนั้นแหละ ท่านจงกล่าวว่า "พระองค์ทรงสูงส่งเหนือฟากฟ้า แบบการสูงส่งของการปกครองและอำนาจ (ไม่ใช่อยู่สูงแบบมีสถานที่) ไม่ใช่สูงแบบเคลื่อนย้ายและก็หายไป" (ดู ตัฟซีร ฏ๊อบรีย์ เล่ม 1 หน้า 192)
http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=1140.0
โดยการมกเม็ดสอดใส่วงเล็บเข้าไปว่า (ไม่ใช่อยู่สูงแบบมีสถานที่)
นี้คือการบิดเบือน เพราะท่านอิบนุญะรีร อธิบายอายะฮข้างล่างนี้
ثم ستوى إلى السماء
แล้วทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า
ไม่ใช่อายะฮข้างล่างนี้
ثم استوى على العرش
หลังจากนั้นทรงประทับเหนือบัลลังค์
มันคนละเรื่องกัน ท่านอิบนุญะรีรบอกว่า
الاستواء في كلام العرب منصرف على وجوه
อิสติวาอฺ ในคำพูดอะหรับนั้น ถูกผันเป็นหลายความหมาย
แล้วท่านมาสรุปว่า

وأوْلى المعاني بقول الله جل ثناؤه: " ثم استوى إلى السماء فسوَّاهن "، علا عليهن وارتفع، فدبرهنّ بقدرته، وخلقهنّ سبع سموات.

และบรรดาความหมายที่ดีที่สุด ด้วยคำตรัสของอัลลฮผู้ซึ่ง การสรรเสริญ พระองค์สูงส่งยิ่ง ที่ว่า ภายหลังได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า และได้ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น ) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือมันและทรงขึ้นไป แล้วบริหารจัดการมันด้วยพลานุภาพของพระองค์ และทรงสร้างมัน เป็นเจ็ดชั้นฟ้า...
ท่านอิบนุญะรีร ไม่ได้ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ดังที่อะชาอิเราะบางกลุ่มบิดเบือน
มาดูหลักฐานยืนยัน
{أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ} وهو الله
พวกเจ้าปลอดภัยหรือ? จากการที่พระผู้ทรงอยู่บนฟ้า )และพระองค์คือ อัลลอฮ- ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร เล่ม 23หน้า513
﴿مَا يَكُونُ مِنْ نَجْوَى ثَلاثَةٍ إِلاَّ هُوَ رَابِعُهُمْ
การซุบซิบกันในระหว่างสามคนจะไม่เกิดขึ้นเว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา
อิบนุญะรีรอธิบายว่า
وَعُنِيَ بِقَوْلِهِ : ( هُوَ رَابِعُهُمْ ) بِمَعْنَى : أَنَّهُ مُشَاهِدُهُمْ بِعِلْمِهِ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ
และ คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(แต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา) ถูกให้ความหมาย ด้วยความหมายว่า แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพยานของพวกเขาด้วยความรู้ของพระองค์ และพระองค์ อยู่ บน อะรัชของพระองค์ – ดูตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลมุญาดะละฮ อายะฮที่ 7
...................
จากรายละเอียดข้างต้นสรุปว่า
หนึ่ง- อิหม่ามอัฏอ็บรีย์ไม่ได้ตีความ และไม่ได้ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า ท่านอัซซัจญาจญฺ (ฮ.ศ. 241-311) ซึ่งเป็นปราชญ์ยุคสะลัฟได้กล่าวว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า
ท่านอัซซัจญาจญฺ (ฮ.ศ. 241-311) ซึ่งเป็นปราชญ์ยุคสะลัฟได้กล่าวว่า

اَلظَّاهِرُ هُوَ الَّذِيْ ظَهَرَ لِلْعُقُوْلِ بِحُجَجِهِ وَبَرَاهِيْنِ وُجُوْدِهِ وَأَدِلَّةِ وَحْدَانِيَّتِهِ هَذَا إِنْ أَخَذْتَهُ مِنَ الظُّهُوْرِ وَإِنْ أَخَذْتَهُ مِنْ قَوْلِ الْعَرَبِ ظَهَرَ فُلاَنٌ فَوْقَ السَّطْحِ إِذَا عَلاَ ... فَهُوَ مِنَ الْعُلُوِّ وَاللهُ تَعَالَى عاَلٍ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ وَلَيْسَ الْمُرَادُ بِالْعُلُوِّ اِرْتِفَاعُ الْمَحَلِّ لأَنَّ اللهَ تَعَالَى يَجِلُّ عَنِ الْمَحِلِّ وَالْمَكَانِ وَإِنَّمَا الْعُلُوُّ عُلُوُّ الشَّأْنِ وَارْتِفَاعُ السُّلْطَانِ

“พระนาม อัซซฺอฮิร คือผู้ทรงประจักษ์ชัดแก่สติปัญญาด้วยบรรดาหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีของ อัลเลาะฮ์และด้วยบรรดาหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีหนึ่งเดียวของพระองค์ นี้คือกรณีที่ท่านให้ความหมายว่า ประจักษ์ชัด แต่ถ้าหากท่านให้ความหมายว่าสูงส่งตามที่อาหรับได้กล่าวว่า “ชายคนหนึ่งประจักษ์ชัดเหนือดาดฟ้าเมื่อเขาอยู่สูง” ก็มีความหมายว่าสูง ดังนั้นพระนามอัซซอฮิร ก็มาจากคำว่า สูง โดยอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงสูงเหนือทุกๆ สิ่ง มิใช่เป้าหมายคำว่าสูง คือ ขึ้นอยู่บนสถานที่สูงขึ้นไปเพราะอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงปราศจากการมีสถานที่และ แท้จริงแล้วอัลเลาะฮ์ทรงเกียรติสูงส่งและอำนาจสูงส่งต่างหาก” อัซซัจญาจญฺ, ตัฟซีร อัสมาอิลลาฮิลหุสนา, หน้า 60.
………………….

ขอชี้แจงว่า.
นักปราชญ์สะลัฟ มีมากหมาย เป็นพัน เป็นหมื่นครับ ข้างต้นเป็นค่ความเห็นของนักวิชาการคนหนึ่งไม่ใช่หะดิษนบี ศอลฯ
แต่มันเป็นความเห็น ของคนๆหนึ่ง ซึ่งมีผิดมีถูก
คำพูดของอิหมามอบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อของกลุ่มที่เรียกว่า อัล-อะชาอีเราะฮ มีความเชื่อ ต่างกับผู้ที่เขาอ้างว่าเป็นเจ้ามัซฮับของพวกเขา
الباب الخامس ذكر الاستواء على العرش
إن قال قائل: ما تقولون في الاستواء ؟
قيل له: نقول: إن الله عز وجل يستوي على عرشه استواء يليق به من غير طول استقرار، كما قال: (الرحمن على العرش استوى) (5 /20) ، وقد قال تعالى: (إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه) من الآية (10 /35) ، وقال تعالى: (بل رفعه الله إليه) من الآية
บาบที่ 5
ซิกรฺ อัลอิสติวาอ์ อะลา อัลอัรชฺ
(กล่าวถึงการอยู่เหนืออะรัชของอัลลอฮฺ)
ถ้าหากเขากล่าวว่า “พวกท่านจะกล่าวอย่างไรในเรื่องของอิสติวาอ์ ?”
ให้กล่าวแก่เขาว่า “เราขอกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติและสูงส่งทรงอยู่เหนืออะรัชของพระองค์ (ด้วยความเหนือที่เหมาะสมกับพระองค์ โดยปราศจากการพำนักอยู่เป็นเวลานาน ดังคำตรัสของพระองค์
(الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى)
“ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่เหนือบัลลังก์” (ฏอฮา/5)
(إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ وَالْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُهُ)
“คำกล่าวที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์ และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน” (ฟาฏิร/10)
(بَل رَّفَعَهُ اللّهُ إِلَيْهِ)
“หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกท่านนบีอีซาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก” (อันนิสาอ์/158)
..........
อิบนุญะรีร อธิบาย อายะฮที่ว่า
بَل رَّفَعَهُ اللّهُ إِلَيْهِ)
“หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกท่านนบีอีซาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก” (อันนิสาอ์/158)

بَلْ رَفَعَهُ اللَّهُ إِلَيْهِ " ، فَإِنَّهُ يَعْنِي : بَلْ رَفَعَ اللَّهِ الْمَسِيحَ إِلَيْهِ
“หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก หมายถึง หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกนบีอีซาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก- ดูตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 9 หน้า 378
....................
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
اللَّهُمَّ أَنْتَ الْأَوَّلُ فَلَيْسَ قَبْلَكَ شَيْءٌ وَأَنْتَ الْآخِرُ فَلَيْسَ بَعْدَكَ شَيْءٌ وَأَنْتَ الظَّاهِرُ فَلَيْسَ فَوْقَكَ شَيْءٌ وَأَنْتَ الْبَاطِنُ فَلَيْسَ دُونَكَ شَيْءٌ

“โอ้อัลเลาะฮ์ พระองค์ทรงแรกสุด ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์, และพระองค์ทรงสุดท้าย ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดหลังจากพระองค์, และพระองค์ทรงปรากฏ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์, และพระองค์ทรงเร้นลับ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์” รายงานโดยมุสลิม
ดังนั้นการที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์ แสดงว่าอัลลอฮ์มิได้อยู่เบื้องบนแบบมีสถานที่และมัคโลคอยู่ใต้พระองค์...
…………………..
ชี้แจง
ไม่มีนักตัฟสีรคนใหนเอา บทดุอาข้างต้น มาอธิบาย อายะฮที่ 16 – 17 ซูเราะฮอัลมุลกุ ที่ว่า
} أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
และ
} أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ
คุณ Sunnah Core Salafussalah ไม่เข้าใจในความหมายดุอาข้างต้นแล้วมาอธิบายเอง
คำว่า “الظاهر เป็นพระนามของอัลลอฮ จากพระนามทั้งหมด 99 พระนาม
الْظَّاهِرُ อัซซอหิรฺ ผู้ทรงประจักษ์
ในชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม 2 หน้า 376 กล่าวว่า
وَالْمُرَادُ بِالظُّهُورِ هُنَا : الْعُلُوُّ
และความมุ่งหมายด้วยคำว่าทรงประจักษ์ในที่นี้ คือ ความสูงส่ง
.........
เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับอายะฮข้างต้น แต่ถูกคุณซุนนะฮคอร์ เอามาเป็นเรื่องเดียวกัน
มาดูอีกหะดิษที่ยืนยันว่า อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูงคือ
أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ لِسَعْدِ بْنِ مُعَاذٍ : " لَقَدْ حَكَمْتَ فِيهِمْ بِحُكْمِ الْمَلِكِ مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَاوَاتٍ " . هَذَا حَدِيثٌ صَحِيحٌ ، أَخْرَجَهُ النَّسَائِيُّ
แท้จริง นบี ศอลฯ ได้ กล่าวแก่สะดิน บุตร มุอาซว่า แท้จริงท่านได้ ตัดสิน ในหมู่พวกเขา ด้วย หุกุม แห่งราชาจากเบื้องบนเจ็ดชั้นฟ้า - นี้คือหะดิษ เศาะเฮียะ บันทึกโดยอันนะสาอีย์.. – อัลอะลูว์ ของอิหม่ามอัซซะฮะบี หะดิษ หมายเลข 36
และในชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม 2 หน้า 376
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah เราได้บอกไว้แล้วว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์มิได้ปฏิเสธหลักฐาน ตามที่วะฮ์ฮาบีกล่าวหาโกหก แต่เราปฏิเสธความเข้าใจของวะฮ์ฮาบีที่มีต่อตัวบทต่างหาก// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah เราได้บอกไว้แล้วว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์มิได้ปฏิเสธหลักฐาน ตามที่วะฮ์ฮาบีกล่าวหาโกหก แต่เราปฏิเสธความเข้าใจของวะฮ์ฮาบีที่มีต่อตัวบทต่างหาก
ءامَنْتُمْ مَّن فِى ٱلسَّمَاء أَن يَخْسِفَ بِكُمُ ٱلأَرْضَ
ตัวบทคงไว้อยู่อย่างนั้น ส่วนความเข้าใจก็เป็นอีกกรณีหนึ่งดังนี้ กล่าวคือคำว่า السماء ตามหลักภาษาอาหรับหมายถึง العلوّ “สูง” ดังกล่าวคำว่า في السماء “ในฟ้า” เป็นการยืนยันถึง في العلوّ “ความสูงส่ง” ไม่ใช่หมายถึง “อยู่เบื้องบนหรือมีสถานที่อยู่เบื้องบน”(แล้วมัคโลคอยู่ข้างล่างพระองค์) เพราะการให้ความหมายแบบนี้ มันไปขัดกับหะดีษท่านนบี(ซ.ล.)ที่ว่า

…………………………….
ชี้แจง
อัลลอฮ (ซ.บ) ทรงสูงส่ง และทรงอยู่เบื้องสูง ด้วยซึ่งมีหลักฐานยืนยันมากมากมาย
แม้แต่อบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ยังยืนยันเช่น
ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض
และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุอาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งอยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์ – อัลอิบานะฮ อะลาอุศูลิดดิยานะฮ บทที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง อิสติววาอฺ อะลัลอะรัช
وَقَالَ أَبُو جَعْفَرٍ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ الطَّبَرِيُّ إِمَامُ الْمُفَسِّرِينَ - رَحِمَهُ اللَّهُ - فِي عَقِيدَتِهِ : وَحَسْبُ امْرِئٍ أَنْ يَعْلَمَ أَنَّ رَبَّهُ هُوَ الَّذِي عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ، فَمَنْ تَجَاوَزَ ذَلِكَ ، فَقَدْ خَابَ وَخَسِرَ
และอบูยะอฟัร มุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อิหม่ามบรรดานักตัฟสีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ) ได้กล่าวในอะกีดะฮของเขาว่า “ พอเพียงแล้ว สำหรับบุคคล ต่อการที่เขารู้ว่า แท้จริง พระเจ้าของเขา คือ ผู้ซึ่ง สถิตเหนืออะรัช ดังนั้น ผู้ใดเกินเลยดังกล่าว แน่นอนเขาได้ล้มเหลวและขาดทุนแล้ว -ดูมะอาริญุลเกาะบูลฯ ของ หาฟิซ บิน มุหัมหมัด อัลหะกา เล่ม 1 หน้า 197
มาดูคำอธิบายของ ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์
( أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) وَهُوَ اللَّهُ ( أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا )
(หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) และพระองค์คือ อัลลอฮ (จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า ) ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลมุลกุ อายะฮ ที่ 17
…………………………………..เพราะฉะนั้น ความเห็นของซูนนะฮคอร์ จึงไร้น้ำหนักด้วยประการทั้งปวง
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

เรื่อง รายอแน หรือ อีดุลอับรอ็ร // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

เรื่อง รายอแน หรือ อีดุลอับรอ็ร

ชัยคุลอิสลาม อิบนัยมียะฮ กล่าวว่า

وأما اتخاذ موسم غير المواسم الشرعية كبعض ليالي شهر ربيع الأول التي يقال : إنها ليلة المولد , أو بعض ليالي رجب , أو ثامن عشر ذي الحجة , أو أول جمعة من رجب , أو ثامن من شوال الذي يسميه الجهَّال عيد الأبرار : فإنها من البدع التي لم يستحبها السلف , ولم يفعلوها. ا.هـ. مجموع الفتوى لشيخ الإسلام ابن تيمية (25/298

สำหรับการยึดถือเป็นเทศกาลนอกเหนือจากเทศการทางศาสนาบัญญัติ เช่น บางคืนของเดือนเราะบิอุลเอาวัล ที่ถูกเรียกว่า “คืนเมาลิด” หรือบางคืนของเดือนเราะญับ หรือ วันที่สิบแปดของเดือนซุลฮิจญะฮ หรือ ศุกร์แรกของเดือนเราะญับ หรือวันที่แปด ของเดือนเชาวาล ที่ถูกเรียกชื่อว่า “อีดุลอับรอรฺ” แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ ที่ชาวสะลัฟ ไม่ชอบชอบและไม่ได้ปฎิบัติ มัน - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 25 หน้า 298

เช็คอิบนุอุษัยมีนกล่าวว่า

اليوم الثامن من شوال يسميه العامة عيد الأبرار أي الذين صاموا ستة من أيام شوال ولكن هذا
بدعة

วันที่แปดเดือนเชาวาล ที่คนทั่วไปเรียกว่า “อีดุลอับรอร” แก่คนใหนก็ตามที่ถือศีลอดหกวันจากเดือนเชาวาล แต่นี้คือ บิดอะฮ – ดูชัรหุอัลมุมตะฮฺ เล่ม 6 หน้า 465

เช็คอัตตุวัยญะรีย์กล่าวว่า


من الأمور المحدثة المبتدعة في شهر شوال : بدعة ;عيد الأبرار; ، وهو اليوم الثامن من شوال.

ส่วนหนึ่งจากบรรดากิจการที่เป็นสิ่งถูกอุตริขึ้นใหม่ สิ่งที่เป็นบิดอะฮ ในเดือนเชาวาลคือ บิดอะฮ(อีดุลอับรอร) และมันคือวันที่ แปดของเดือนเชาวาล – ดู หนังสือบิดอะฮอัลเหาลียะฮ หน้า 350

ฟัตวาอัลอัซฮัรระบุว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ฟัตวาอัลอัซฮัรระบุว่า

أما مذهب السلف والخلف بالنسبة للآيات والأحاديث المتشابهة فقد اتفق الكل على أن الله تعالى منـزه عن صفات الحوادث ، فليس له عز وجل مكان في العرش ولا في السماء ولا في غيرهما
สำหรับมัซฮับ(ทัศนะ)ของซะลัฟและเคาลัฟ เกี่ยวกับบรรดาอายะฮและหะดิษมุชาบะฮะฮ ทั้งหมด เห้นฟ้องกันว่า อัลลอฮตะอาลา ทรงบริสุทธ์จากบรรดาสิ่งใหม่ และพระองค์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง ไม่มีสถานที่ ในอะรัช และไม่มี บนฟากฟ้า และไม่มีอื่นจากทั้งสอง


http://islamchina.net/Fatwa_of_the_scholars_of_Azhar/Folders/Arabic/Fatwa_of_the_scholars_of_Azhar_arabic.htm
......................
ข้อความที่ว่า
، فليس له عز وجل مكان في العرش ولا في السماء
ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง ไม่มีสถานที่ ในอะรัช และไม่มี บนฟากฟ้า
.....

ข้อความข้างต้น เป็นการกล่าวเท็จ เพราะอัลลอฮ ทรงอยู่บน ฟากฟ้า บนอะรัช เหนือบัลลังค์ แต่จะอยู่อย่างไรนั้น เราไม่รู้ เพราะมันอยู่นอกเหนือจินตนาการของมนุษย์
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
(สูเราะฮฺอัช-ชูรอ 42 : 11)
อิบนุอัลมุบารอ็ก (ฮ.ศ.181) กล่าว เมื่อมีผู้ถามว่า เราจะรู้จักพระเจ้าของเราได้อย่างไร เขาตอบว่า “ بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه
เพราะแท้จริงพระองค์ อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด บน อะรัช แยกจาก มัคลูคของพระองค์ – (1)
......................
السنة" لعبد الله بن أحمد (ج1 ص111) قال: حدثني أحمد بن ابراهيم الدورقي ثنا علي بن الحسن بن شقيق قال سألت عبدالله بن المبارك، وذكره. رواته ثقات والسند صحيح
……
นายซูนนะฮคอร์ อาจารย์ใหญ่อะชาอีเราะฮ ไปอ้างลอยๆไร้อามานะฮในเว็บซุนนะฮสะติวเด้นว่า

อิบนุ ชะกี๊ก (ابن شقيق) ซึ่งปราชญ์หะดีษกล่าวกันว่าเขานั้นเป็นพวก มุรญิอะฮ์

http://www.sunnahstudent.com/forum/archive.php?topic=10706.15

มาดูคำพูดเกี่ยวกับ อิบนุชะกีก

บุคคลนี้เป็นมีผู้รายงานหะดิษจากเขามากมากมาย รายชื่อ อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้คือ

حدث عنه : البخاري ، وأحمد بن حنبل ، ويحيى بن معين ، وعبد الله بن منير ، ومحمود بن غيلان ، وأبو خيثمة ، وأبو بكر بن أبي شيبة ، وعبد الله بن محمد الضعيف ، وإبراهيم بن يعقوب الجوزجاني ، وأحمد بن سيار ، وأحمد بن عبدة الآملي ، وأحمد بن محمد بن هشام بن أبي دارة وأحمد بن منصور زاج ، وأحمد بن يوسف السلمي ، وأيوب بن الحسن الزاهد ، وروح بن الفرج البغدادي ، وولده محمد بن علي ، ومحمد بن عبد الله بن قهزاد ، وأبو بكر بن أبي النضر

..........ดู สิยารุอะฮลามุลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 10 หน้า 350

มาดูการยืนยันเกี่ยวกับอิบนุชะกีก
قال أبو داود : سمعت أحمد - وقيل له : علي بن الحسن بن شقيق - قال : لم يكن به بأس ، إلا أنهم تكلموا فيه في الإرجاء ، وقد رجع عنه

อบูดาวูดได้กล่าวว่า “อบูดาวูดกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยิน อะหมัด ว่ามีผู้กล่าวแก่เขาว่า “อะลี บิน อัลหะซัน บิน ชะกีก เขา(อิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า “ไม่มีความไม่ดี กับเขาผู้นี้” (หมายถึงเขาผู้นี้ไม่เป็นไร) นอกจากว่า เขาถูกวิจารร์ในเรื่อง มุรญิอะฮ” และความจริง เขาได้กลับตัวแล้ว – ดูดู สิยารุอะฮลามุลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 10 หน้า 350
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ความหมายของ มุชับบะฮะฮ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ความหมายของ มุชับบะฮะฮ

อิหม่ามอิบนุคุซัยมะฮกล่าวว่า
نحن نقول: إن الله سميع بصير كما أعلمنا خالقنا وبارؤنا، ونقول: من له سمع وبصر من بني آدم فهو سميع بصير، ولا نقول أن هذا تشبيه المخلوق بالخالق.

เราขอกล่าวว่า “แท้จริง อัลลอฮ เป็นผู้ทรงได้ยิน ทรงเห็น ดังที่ ผู้สร้างพวกเรา ได้บอกให้พวกเราได้รู้ และเราขอกล่าวว่า “ผู้ใดก็ตาม ที่มี การได้ยินและการเห็น จากลูกหลานอาดัม ว่า เขา คือ ผู้ได้ยิน ผู้เห็น และเราจะไม่กล่าวว่า นี้คือ การตัชบีฮ (การเปรียบว่าคล้ายคลึง) ของผู้ถูกสร้าง กับผู้สร้าง – ดู กิตาบุตเตาฮีด วะอิษบาตรซิฟาติรรอ็บ ของอิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 61

อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน ชากิลัน อัลหัมบะลีย์ (ฮ.ศ 369) ได้กล่าวกับ อบีสุลัยมาน อัดดัมชะกีย์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ตาม อิบนุกุลลาบ (หัวหน้ามุอฺตะซิละฮ) ในการโต้วาที ระหว่างทั้งสอง เมื่อ อบูสุลัยมานกล่าวกับเขาว่า

"أنتم المشبهة
พวกท่านคือ พวกมุชับบะฮฮะฮ

อิบนุชากิลัน กล่าวว่า

حاشا لله، المُشبِّه الذي يقول: وجهٌ كوجهِي، ويَدٌ كَيَدِي، فأما نحن فنقول: له وجهه، كما أثبت لنفسه وجهًا، وله يدٌ، كما أثبتَ لنفسه يَداً، {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} [الشورى : 11] ومن قال هذا فقد سَلِم.) (11

“เป็นไปไม่ได้” อัลมุชับบะฮะฮคือ ผู้ที่กล่าวว่า “ใบหน้า เหมือนใบหน้าของฉัน สำหรับเรานั้น เรากล่าวว่า พระองค์ทรงมีพระพักต์ของพระองค์ ดังที่พระองค์ ได้รับรอง คำว่าใบหน้า แก่พระองค์เอง และ พระองค์ทรงมีพระหัตถ์ ดังที่พระองค์ทรงรับรองคำว่ามือ แก่ตัวของพระองค์เอง (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้น คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น) และผู้ใดกล่าวแบบนี้ แน่นอนเขาปลอดภัย –(1)
...................
(1)طبقات الحنابلة لابن أبي يعلى (ج3 ص239)، قال: "قرأت بخط الوالد السعيد (أبو يعلى) قال: نقلتُ من خط أبي بكر بن شاقلا قال: أخبرنا أبو إسحاق بن شاقلا – قراءة عليه- قال: ... فذكر المناظرة
-------------------------
ข้างต้น หวังว่าคงชัดเจนว่า การรับรองความหมายที่ปรากฏตามตัวบท โดยไม่ได้ไปเปรียบเทียบ และไม่ได้เชื่อไปว่า เหมือนหรือคล้ายคลึงกับมัคลูคนั้น “ไม่ใช่มุชับบะฮะฮ” ตามที่ถูกกล่าวหาโดย อะชาอีเราะฮยุคหลัง
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah กล่าวว่า การให้ความหมาย สถิต นั้น เป็นการให้ความหมายที่สะลัฟปฏิเสธ ท่านอะบูหะนีฟะฮ์ ปราชญ์ระดับแนวหน้าของสะลัฟ ได้กล่าวปฏิเสธ การให้ความหมาย สถิต ว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah กล่าวว่า
การให้ความหมาย สถิต นั้น เป็นการให้ความหมายที่สะลัฟปฏิเสธ ท่านอะบูหะนีฟะฮ์ ปราชญ์ระดับแนวหน้าของสะลัฟ ได้กล่าวปฏิเสธ การให้ความหมาย สถิต ว่า

ท่านอบูหะนีฟะฮฺ ยังกล่าวอีกเช่นกันว่า...
.
"ونقر بأن الله سبحانه وتعالى على العرش استوى من غير أن يكون له حاجة إليه واستقرار عليه، وهو حافظ العرش وغير العرش من غير احتياج، فلو كان محتاجا لما قدر على إيجاد العالم وتدبيره كالمخلوقين، ولو كان محتاجا إلى الجلوس والقرار فقبل خلق العرش أين كان الله، تعالى الله عن ذلك علوا كبيرا"
"เรายอมรับว่า แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงเหนืออะรัช โดยที่พระองค์ไม่ต้องการไปยังมัน และไม่ได้สถิตอยู่บนมัน พระองค์ทรงปกปรักรักษาอะรัชโดยที่ไม่ต้องการมัน ดังนั้น หากพระองค์มีความต้องการ แน่นอนพระองค์ก็ไม่มีความสามารถสร้างโลกและบริหารมันได้ โดยที่เหมือนกับบรรดามัคโลค และถ้าหากพระองค์ทรงต้องการไปยังการนั่งและสถิต(อยู่บนอะรัช) ดังนั้นก่อนที่พระองค์ทรงสร้างอะรัช พระองค์อยู่ใหน ? ? อัลเลาะฮฺทรงปราศจากจากสิ่งดังกล่าวอย่างยิ่งใหญ่" ดู กิตาบ วะซียะฮ์ ของอบูหะนีฟะฮ์ หน้า 2
พี่น้องสังเกต คำพูดของท่านอบูหะนีฟะฮ์ที่ว่า “เรายอมรับว่า แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงเหนืออะรัช โดยที่พระองค์ไม่ต้องการไปยังมัน และไม่ได้สถิตอยู่บนมัน”
……………………………………..

ชัดเจนครับว่า อัลลอฮ์ทรงอิสติวาอฺเหนืออะรัชโดยไม่ได้สถิต!

ตอบ

สรุป จากคำพูดของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮคือ

1. อัลลอฮ ทรงอยู่เหนืออะรัช ซึ่งต่าง กับอะกีดะฮของนายซุนนะฮคอร์ว่า ไม่ใช่ความหมายนี้แต่หมายถึง การครอบครองโดยไม่แย่งชิง
2. คำพูดข้างต้น ว่าอิหม่ามอบูหะนีฟะฮพูด เป็นการแอบอ้าง มาดูคำวิจารย์

هذا الكتاب مروي من طريق أبي طاهر محمد بن المهدي الحسيني عن إسحاق بن منصور المسياري عن أحمد بن علي السليماني عن حاتم بن عقيل الجوهري عن أبي عبدالله محمد بن سماعة التميمي عن أبي يوسف عن الإمام أبي حنيفة

หนังสือนี้ ถูกรายงานจากสายรายงานอบีฏอฮีร มุหัมหมัด บิน มะฮดีย์ อัลหุสัยนีย์ จากอิสหาก บิน มันศูร อัลมัสยารีย์ จากอะหมัด บิน อาลี อัสสุลัยมานีย์ จาก หาติม บิน อะกีล อัลเญาฮะรีย์ จากอบีอับดุลลอฮ มุหัมหมัด บิน สะมาอะฮ อัตตัยมีย์ จากอบีอยูซูฟ จากอิหม่ามอบีหะนีฟะฮ –

وهذا السند مسلسل بالمجاهيل فإن محمد بن المهدي الحسيني وإسحاق المسياري وأحمد السليماني وحاتم الجوهري أربعتهم مجاهيل ليس لهم أي ترجمة في كتب الرجال , ولا حتى في كتب طبقات الحنفية , فسند هذا حاله لا يمكن اعتماده في نسبة الكتاب إلى الإمام - رحمه الله
.
และ สายรายงานนี้ ถูกทำให้ต่อเนื่อง ด้วยบรรดาผู้รายงานที่ไม่เป็นที่รู้จัก เพราะแท้จริง มุหัมหมัด บิน มะฮดีย์ อัลหุสัยนีย์ ,อิสหาก อัลมัสยารีย์ ,อะหมัด อัสสุลัยมานีย์ และหาติม อัลเญาฮารีย์ พวกเขาทั้งสี่คนนี้ เป็นผู้ที่ไม่มีใครรู้จัก และพวกเขาไมมีประวัติที่ใหนเลย ในบรรดาตำรารวบรวมผู้รายงานหะดิษ และแม้กระทั้งในเฏาะบะกอตอัลหะนะฟียะฮก็ไม่มี ดังนั้นสายรายงานลักษณะนี้ ไม่สามารถที่จะยึดถือมัน ในการอ้างอิงตำรา ไปยังอิหม่ามหะนีฟะฮ (ของอัลลอฮเมตตาต่อท่าน – ดู บะรออะฮ อัลอะอิมมะฮอัลอัรบะอะฮ มิน มะลาอิลิลมุตะกัลป์ลิมีน อัลมุบตะเดียะ ของ ดร. อับดุลอะซีซ บิน อะหมัด อัลหะมีดีย์ หน้า 76-79
……………………..
จึงสรุปว่า ท่านครูซุนนะฮคอร์ นำคำพูดเท็จที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นคำพูดของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮมาอ้างเป็นหลักฐาน เพราะฉะนั้นคำพูดของท่านครูซูนนะฮคอร์จึงไม่มีความหมายใดๆด้วยประการฉะนี้
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

ที่ร้ายไปกว่านั้น ท่านโต๊ะครูซุนนะฮคอร์ ยังอ้างว่า อบูหะซันอัลอัชอารีย์ ยอมรับความหมาย “อิสเตาลา” อำนาจปกครองโดยไม่แย่งชิง คือ ไม่ต้องใช้อาวุธ เข้าฟาดฟัน....มาชาอัลลอฮ ไปกันใหญ่เลยคราวนี้ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

ที่ร้ายไปกว่านั้น ท่านโต๊ะครูซุนนะฮคอร์ ยังอ้างว่า อบูหะซันอัลอัชอารีย์ ยอมรับความหมาย “อิสเตาลา” อำนาจปกครองโดยไม่แย่งชิง คือ ไม่ต้องใช้อาวุธ เข้าฟาดฟัน....มาชาอัลลอฮ ไปกันใหญ่เลยคราวนี้
มาดู คำพูดของอิหมามอบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อของกลุ่มที่เรียกว่า อัล-อะชาอีเราะฮ สะติวเด้นนียะฮ มีความเชื่อ ต่างกับผู้ที่เขาอ้างว่าเป็นเจ้ามัซฮับของพวกเขา
ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض
และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุอาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งอยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์ – อัลอิบานะฮ อะลาอุศูลิดดิยานะฮ บทที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง อิสติววาอฺ อะลัลอะรัช
....................
ท่านอบูหะซันยอมรับ ในการอยู่ บน อะรัช จริงๆ ไม่ใช่ครอบครองโดยไม่แย่งชิง ซุนนะฮ คอร์ครับ....ตกลงจะเอาอะกีดะฮ “2 ช้อย” สอนศิษย์หรือครับท่าน

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า
ل { الرحمن على العرش استوى } وليس استواؤه على العرش استيلاء كما قال أهل القدر لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء

“และอัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (พระผู้ทรงเมตตาทรงอิสตะวาเหนือบัลลังก์) โดยการอิสติวาอฺของอัลลอฮ์เหนือบัลลังก์นั้น มิใช่ความหมาย อิสตีลาอฺ (อำนาจการปกครอง)เสมือนกับที่ พวกก็อดรียะฮ์(หมายถึงพวกมั๊วะตะซิละฮ์)ได้กล่วไว้ เพราะว่าอัลลอฮ์ตะอาลานั้น ยังคงทรงอิสเตาลา(อำนาจปกครอง)เหนือทุกๆ สรรพสิ่งอยู่แล้ว” ริซาละฮ์ อิลา อะฮ์ลิษษั๊กร์ หน้า 233-234

พี่น้องโปรดพิจารณาคำพูดของท่าน อะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ที่ว่า

لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء

“เพราะว่าอัลลอฮ์ตะอาลานั้น ยังคงทรงอิสเตาลา(อำนาจปกครอง)เหนือทุกๆ สรรพสิ่งอยู่แล้ว”

ซึ่งเป็นคำพูดของท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ นั้นทำให้เราทราบความจริงดังนี้

1. ท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งจากบรรดาความหมายของ อัลอิสติวาอฺ นั้น คือ อิสเตาลา (อำนาจปกครอง) แต่ท่านไม่เลือกความหมาย การปกครอง(อิสเตาลา)เหมือนกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์
……………………
ชี้แจง

โต๊ะครูซุนนะฮคอร์ เล่นฆ่าตัดตอนประโยคแบบนั้น มันไม่โหดไปหรือครับ….
ลองเอาต่อใหม่ซิครับ ก็จะได้ความว่า
{ الرحمن على العرش استوى } وليس استواؤه على العرش استيلاء كما قال أهل القدر لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء

ความหมายที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ครับ ท่านครู ซุนนะฮคอร์
“พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสถิต เหนือบัลลังค์ ) การอิสติวาอฺของพระองค์ เหนือ บัลลังค์นั้น ไม่ใช่ การอิสเตาลาอฺ (การครอบรอง) ดังที่ อะฮลุลเกาะดะริ กล่าวไว้ เพราะ อัลลอฮตะอาลานั้น พระองค์คงไว้ซึ่ง การครอบครองเหนือทุกสิ่งอยู่แล้ว”
...........
ข้างต้น คือคำแปลที่ถูกต้อง และเวลาแปล ต้องดูด้วยว่า ส่วนใหน เป็นตัวประธาน หรือ เรียกว่า อิสมุ ของ คำว่า “ลัยซะ” และส่วนใหน เป็น เคาะบัร (คำที่เป็นภาคแสดง)ของ คำว่า “ลัยซะ” เท่าที่สังเกต ท่านซุนนะฮคอร์ชอบแปลแล้วใส่วงเล็บเยอะ ๆเพื่องชงให้ไปตามอารมณ์ต้องการ
จึงสรุปว่า อิหม่ามอบูหะซัน บอกว่า อิสตะวา อะลัล อัรชิ” ไม่ใช่ความหมาย “อิสเตาลา”ตามความเชื่อของพวกเกาะดะรียะฮ และรวมถึง พวก อะชาอีเราะฮสะติวเด้นนียะฮ” ด้วย
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah อาสันบอกว่า // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah อาสันบอกว่า

มาดูสะลัฟ จริงๆเขากล่าว
1. อัดดาริมีย์(ฮ.ศ ) กล่าวว่า
وهو بنفسه على العرش بكماله كما وصف
และพระองค์ ด้วยพระองค์เอง อยู่บน อะรัช ด้วยความสมบูรณ์ของพระองค์ ดังสิ่งที่ทรง พรรณนาคุณลักษณะไว้ - الرد على الجهميةอัรรอด อะลัล ญะฮมียะฮ ของอัดดาริมีย์ หน้า 44

ชี้แจงความจริง
เรามาดูสะลัฟของวะฮ์ฮาบีย์ที่เกี่ยวกับเรื่องซีฟาตของอัลลอฮ์กัน

อัดดาริมีย์ ที่อาสันก็อบอ้างอิงมานั้น คือ อุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ ซึ่งเป็นคนละคนกับ ท่านอัลฮาฟิซฺ อะบู อับดิลลาฮ์ อัสสะมัรก็อนดีย์ อัดดาริมีย์ ที่เป็นเจ้าของหนังสือสุนันอัดดาริมีย์และเป็นปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์
นึ่ง อุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ นี้ คำนึงถึงตำราของเขา นับว่าเป็นพวกเลยเถิดในเรื่องซีฟาตของอัลลอฮ์และไม่ได้ดำรงอยู่ตามมันฮัจ ญฺ(แนวทาง)ของสะละศอลิห์ผู้มีคุณธรรมทั่วไป

ท่านอิหม่าม อัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ.) ได้กล่าวยืนยันเกี่ยวกับอุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ ไว้ว่า

وفي كتابه بحوث عجيبة مع المريسي يبالغ فيها في الإثبات والسكوت عنها أشبه بمنهح السلف في القديم والحديث

“ในหนังสือของเขา(คืออุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์) มีบทวิเคราะห์ที่แปลกประหลาด(ในการโต้ตอบ)กับอัลมะรีซีย์ ในลักษณะที่เขา(คืออุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์) เลยเถิดในการยืนยัน(ซีฟาตของอัลลอฮ์) ทั้งที่นิ่งจากมัน ย่อมเหมือนกับแนวทางของสะลัฟทั้งในอดีตและปัจจุบันยิ่งกว่า” หนังสืออัลอุลู้ว หน้า 486

นี่คือการยืนยันของท่านอัซซะฮะบีย์ ว่า อุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ นั้น เลยเถิดออกจากแนวทางของสะละฟุศศอลิห์ ก็เหมือนกับวะฮ์ฮาบีย์นั่นแหละ ที่อ้างว่าสะลัฟ แต่มันฮัจญฺ(แนวทาง)เลยเถิดและเตลิดออกจากสะละฟุศศอลิห์ในด้านของซีฟาต..
………………

ขอชี้แจงว่า

ท่านซุนนะฮคอร์ มาดูต่อไปนี้ครับ อัซซะฮะบีย์ ก็ได้นำคำพูดของอุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย มาเป็นหลักฐาน แสดงว่าอัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช ดังข้างล่าง
وقد اتفقت الكلمة من المسلمين أن الله تعالى فوق عرشه فوق سمواته
และ ถ้อยคำจากบรรดามุสลิมีน ได้เห็นฟ้องกันว่า แท้จริงอัลลอฮตะอาลา อยู่เหนือ อะรัชของพระองค์ เหนือฟากฟ้าของพระองค์
- ดู-มุคตะศอรอัลอุลู หน้า 213

และอิหม่ามอัซซะฮะบีย์เอง กล่าวว่า
مقالة السلف وأئمة السنة بل الصحابة والله ورسوله صلى الله عليه وسلم والمؤمنين : وأن الله فوق سماواته
คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือ
แท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้าของพระองค์ – อัลอะลูว์ หน้า 107
ตาญุอัสซุบกีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับตัวเขาว่า
محدث هراة وأحد الأعلام الثقات
เขาเป็นนักหะดิษเมือง ฮะรอต และเป็นผู้ทรงความรู้ที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง
ดู- เฏาะบะกอตอัชชาฟิอียะฮ อัลกุบรอ เล่ม 2 หน้า 302
ผมได้อ้างอีกคนคือ มุญาฮิด ดังที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรีย์ กิตาบุตเตาฮิดว่า
وَقَالَ مُجَاهِدٌ اسْتَوَى عَلَا عَلَى الْعَرْشِ
และมุญาฮิดกล่าวว่า “อิสตะวา “หมายถึง อยู่สูงเหนืออะรัช
สำหรับมุญาฮีด นายซุนนะคอร์ไม่มีอะไรที่จะอ้าง ไม่มีอะไรจะแถ จึงทำลืม ไม่โต้แย้ง
ส่วนอีกคน นายซูนนะฮ คอร์บอกว่า “เป็นจอมโกหก โดยอ้างว่า
านอัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร ได้กล่าวถึง อะบู ญะฟัร บิน อะบีชัยบะฮ์ว่า

وأما عبد الله بن أحمد بن حنبل فقال: كذاب. وقال ابن خراش: كان يضع الحديث

“สำหรับอับดุลลอฮ์ บุตร อะห์มัด บิน หัมบัล ได้กล่าว(ถึงอะบูญะฟัร บิน อะบีชัยบะฮ์)ว่า เขานั้นจอมโกหก และท่านอิบนุ ค็อรร็อส กล่าวว่า เขานั้นชอบกุหะดีษ” ลิซาน อัลมีซาน 2/43
ขอชี้แจงว่า
ไม่ทราบว่า ท่านคอร์ เอามาแอบอ้างหรือไม่ เพราะ อบู ญะอฺฟัร บิน อบีชัยบะฮ เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้
อบูญะฟัร บิน อบีชัยบะฮ มีชื่อเต็มว่า
الحافظ محمد بن عثمان بن أبي شيبة العبسي الكوفي
มีนามแฝงว่า “อบูญะฟัร ท่านเกิดที่เมือง กุฟะฮ ปี ฮ.ศ 210 เสียชีวิตปี ฮ.ศ 297
อาจารย์ของอบูญะฟัรได้แก่
- والده: عثمان بن أبي شيبة. (คนนี้เป็นพ่อของเขา)
- عَمّيه: أبو بكر والقاسم ابنا أبي شيبة.
- علي بن المديني
- يحيي بن معين
- أحمد بن يونس
- محمد بن عمران بن أبى ليلى
ศิษย์ ของเขาคือ
- محمد الباغندي
- محمد بن مخلد
- الطبراني
- أبو بكر النجاد
- أبو علي بن الصواف
ที่มา ตาริคบัฆดาด เล่ม 4 หน้า 68 และ สิยะรุ อะอฮลามนุบะลาอฺ เล่ม 14 หน้า 21
อิบนุหิบบาน กล่าวว่า
كتب عنه أصحابنا
บรรดาสหายของเราได้บันทึก(หะดิษ)จากเขาผู้นี้ – ดู อัษษิกอต อิบนุหิบบาน เล่ม 9 หน้า 155
อัลเคาฏีบ อัลบัฆดาดีย์กล่าวว่า
كان كثير الحديث، واسع الرواية، ذا معرفة وفهم
เขามีหะดิษมากมาย และเป็นผู้ที่กว้างขวางในการรายงาน เป็นผู้รู้และเข้าใจ – ตาริคบัฆดาด เล่ม 4 หน้า 68
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวว่า
كان عالماً بصيراً بالحديث والرجال له تآليف مفيدة
ปรากฏว่าเขาเป็นผู้รู้ มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหะดิษและบรรดาผู้ที่รายงานหะดิษ เขามีงานเขียนที่มีประโยชน์- มีซาลเอียะติดาล เล่ม 3 หน้า 642
เพราะฉะนั้น คำพูดของ อิบนุอบีชัยบะฮ ข้างล่างนี้ ยังคงเชื่อถือได้คือ
فهو فوق السماوات وفوق العرش بذاته متخلصا من خلقه بائنا منهم،
แล้วพระองค์ อยู่บน ฟากฟ้า และอยู่เหนืออะรัช ด้วยตัวตนของพระองค์ เป็นอิสระจากมัคลูคของพระองค์ โดยแยกจากพวกเขา

....................
ความจริงมีอะยะฮอัลกุรอ่านและหะดิษยืนยันมากมายว่า ทรงอยู่ บน อะรัช บน ฟากฟ้า แต่ จะอ้างอย่างไร นายซุนนะฮคอร์ ก็ใช้ตรรกะปรัชญาอริสโตเติล แถไปแถมา เรื่อย เพราะถ้ารับ ก็กลัวเสียหน้า

Sunnah Core Salafussalah อ้างว่า
ท่านอิมาม อัลอัชอะรีย์ ได้กล่าวไว้ใน หนังสือ อัลอิบานะฮฺ ฟี อุซูล อัลดิยานะฮฺ ว่า
وأن الله تعالى استوى على العرش على الوجه الذي قاله وبالمعنى الذي أراده ، استواء منزها عن المماسة والاستقرار والتمكن والحلول والانتقال ، لا يحمله العرش بل العرش وحملته محمولون بلطف قدرته ، ومقهورون في قبضته ، وهو فوق العرش وفوق كل شئ إلى نجوم الثرى ، فوقية لا تزيده قربا إلى العرش والسماء
ความว่า “แท้จริง อัลเลาะฮฺ ตะอาลา ได้ทรง อิสตะวาอฺ เหนือบัลลังก์ บนหนทางที่พระองค์ได้กล่าวไว้ และด้วยความหมายที่พระองค์ทรงประสงค์(ไม่ใช่ตามที่วะฮ์ฮาบีจะเอา) โดยอิสติวาอฺที่ ปราศจาก การสัมผัส ปรากศจากการสถิต ปราศจากการมั่นคงอยู่ ปราศจากการเข้าไปอยู่ และปราศจากการเคลื่อนไหว โดยที่บัลลังก์นั้นไม่ได้แบกพระองค์เอาไว้ แต่ทว่าบัลลังก์และบรรดา(มะลาอิกะฮ์)ผู้ที่แบกมันไว้นั้น ได้ถูกแบกด้วยความเมตตาจากอานุภาพของพระองค์ และพวกเขาถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของพระองค์ โดยที่พระองค์ทรงเหนือบัลลังก์และเหนือทุกๆ สิ่งจนกระทั้งดวงดาวษุรอยยา (การอยู่เหนือของพระองค์นั้น) เป็นการอยู่เหนือโดยไม่ทำให้พระองค์เพิ่มการใกล้ไปยังบังลังก์และฟากฟ้า” ดู หนังสือ อัลอิบานะฮฺ หน้า 21 ตีพิมพ์ ดาร อัลอันซอร ตะห์กีกโดย ดร. เฟากียะฮฺ หุซัยน์ มะฮฺมูด
พี่น้องสังเกตคำพูดของท่านอะบุลหะซัน ที่ว่า
“โดยอิสติวาอฺที่ ปราศจาก การสัมผัส ปรากศจากการสถิต”
ซึ่งชัดเจนแล้วว่า ท่านอบุลหะซัน ปฏิเสธการให้ความหมาย สถิต ดังนั้นอาสัน จึงโกหกในเดือนร่อมะฎอน นายไปกินน้ำไม่ดีกว่าหรือ อาสัน...
........................................ ชี้แจง
Sunnah Core Salafussalah ก็คงพูดว่า โกหกไปเรือยๆตามสไตล์
อิบานะฮ ฉบับสังคายนา ของซุนนะฮ คอร์ บอกว่า
، وهو فوق العرش وفوق كل شئ إلى نجوم الثرى ، فوقية لا تزيده قربا إلى العرش والسماء
โดยที่พระองค์ทรงเหนือบัลลังก์และเหนือทุกๆ สิ่งจนกระทั้งดวงดาวษุรอยยา (การอยู่เหนือของพระองค์นั้น) เป็นการอยู่เหนือโดยไม่ทำให้พระองค์เพิ่มการใกล้ไปยังบังลังก์และฟากฟ้า
ขอชี้แจงว่า การอยู่เหนือบัลลังค์ของอัลลอฮนั้น เป็นที่รู้กัน แต่ที่ระบุว่า ไม่ทำให้ใกล้ ไปยังบัลลังค์นั้น เป็นการระบุรูปแบบวิธีการอยู่เหนือบัลลังค์ ซึ่งขัดกับความเป็นจริง เพราะจะอยู่ใกล้ อยู่ใกล อยู่อย่างไร เราไม่สามารถจินตนาการไปได้ แต่ทำไมจึงมีข้อความว่า “ อยู่ไม่ใกล้อะรัช"” รู้ได้อย่างไร ว่าอยู่ไม่ใกล้ หรือ อยู่ไม่ใกล้ อิหม่ามมาลิกกล่าวว่า
الاستواء معلوم ، والكيف مجهول
การอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน
และการที่ Sunnah Core Salafussalah บอกว่า
1.ทรงอิสติวาอฺตามความหมายที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ หมายถึง มอบหมายการรู้ความหมายที่แท้จริงไปยังพระองค์(แต่วะฮ์ฮาบีย์รู้ความหมายและเจาะจงความหมายที่ไม่บังควร
2. อัลลอฮ์ทรงเหนือบัลลังก์และเหนือทุกสิ่งที่ถูกสร้าง หมายถึงพระองค์ทรงเหนือทุกๆ สิ่งด้วยอำนาจการปกครองและสรรพสิ่งทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจการบริหารของพระองค์ มิใช่หมายถึงอัลลอฮ์อยู่เหนือสุดบนทุกๆ สิ่งและทุกๆ สิ่งอยู่ใต้พระองค์
………………………..
ข้างต้นชี้ให้เห็นถึงอะกีดะฮ ของ Sunnah Core Salafussalah และสานุศิษย์ว่า เป็นอะกีดะฮ" กางขาข้ามคูน้ำ " หรือ "อะกีดะฮ 2 ช้อย"
คือ ข้อแรกบอกว่า อิสติวาตามความหมายที่อัลลอฮประสงค์ แต่ ข้อสองบอกว่า อยู่เหนือสิ่งด้วยอำนาจปกครอง
นี้มันอะกีดะฮ เฝื่อเลือก สับสน ถ้าเป็นข้อสอบ ปรนัย ก็ กาเครื่องหมาย กากาบาท สองตัวเลือกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรดี....มาชาอัลลอฮ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah อาสัน นายน่ะ เสวนาไปด่าคน อื่นไป ความรู้ที่นายมีไม่ยังคุณประโยชน์เลยและไม่เคยนำปรับปรุงตัวเองเลย โตมาอายุ 50 กว่าขวบแล้วน่ะครับเนี่ย...// อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah อาสัน นายน่ะ เสวนาไปด่าคน อื่นไป ความรู้ที่นายมีไม่ยังคุณประโยชน์เลยและไม่เคยนำปรับปรุงตัวเองเลย โตมาอายุ 50 กว่าขวบแล้วน่ะครับเนี่ย...
..................
ชี้แจง
ท่านครู Sunnah Core Salafussalah ท่านเคยย้อนกลับมาดูตัวเองและดูไปถึงสหายร่วมอุดมการณ์บ้างไหมว่า พวกท่านได้กล่าวหาพี่น้องมุสลิม ผู้ที่มีกะลิมะฮชะฮาดะฮ สองประโยคเหมือนกับพวกว่าอย่างไร พวกก็ยืนยันไม่ใช่หรือ กล่าวหาพวกเขาว่ามีอะกีดะฮเหมือนพวกยิว
ครั้งแล้วครั้งเล่า และหลายปีผ่านมา พวกท่านก็ยังคงใช้คำนี้ เป็นกล่าวหาโดยที่ตนเองไม่ได้เข้าใจประวัติศาสตร์อิสลามแม้แต่น้อย ว่า อิสลาม คำนี้ เป็นศาสนาของอัลลอฮ ที่ประทานแก่ อาดัม ,นบีทุกท่าน จนถึงนบีมุฮัมหมัด ภายใต้หลักอะกีดะฮเดียวกัน คือ การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว
ดังหะดิษ
الأَنْبِيَاءُ كُلُّهُمْ إِِخْوَةٌ لِعَلاتٍ ، أُمَّهَاتُهُمْ شَتَّى وَدِينُهُمْ وَاحِدٌ
บรรดานบี พวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน และมารดาของพวกเขาแตกต่างกัน และศาสนาของพวก เป็นหนึ่งเดียว- ดู เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน
อิหม่ามอัลบัฆวีย์ กล่าวว่า
يريد : أن أصل دين الأنبياء واحد، وإن كانت شرائعهم مختلفة
ความหมายคือ แท้จริงรากฐานศาสนาของบรรดานบีนั้น อันเดียวกัน และแม้ว่า ชะรีอัตของพวกเขาแตกต่างกัน – ดู ชัรหุอัสสุนนะฮ เล่ม 13 หน้า 200
หนึ่งในรากฐานศาสนาหรืออะกีดะฮ ของอิสลามทุกยุคทุกสมัยคือ เชื่อว่า พระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า
ดังที่หลักฐานที่บอกว่า อัลลอฮทรงเล่าถึงฟิรเอานฺใช้บันไดที่ขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเพื่อมองดูพระเจ้าของมูซา แล้วฟิรเอานฺก็ปฏิเสธของความเชื่อของมูซาเกี่ยวกับการมีอยู่ของอัลลอฮเหนือฟากฟ้า อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า

وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا

และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

มาดูข้ออ้าง ของ sunnah Core Salafussalah โดยการบิดเบือนอย่างน่าละอายต่อคำพูดของท่านอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

มาดูข้ออ้าง ของ sunnah Core Salafussalah โดยการบิดเบือนอย่างน่าละอายต่อคำพูดของท่านอบูหะซันอัลอัชอะรีย์

ท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ رسالة إلي أهل الثغر ริซาละฮ์ อิลา อะฮ์ลิษษั๊กร์) ของท่านว่า

وقال { الرحمن على العرش استوى } وليس استواؤه على العرش استيلاء كما قال أهل القدر لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء

“และอัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (พระผู้ทรงเมตตาทรงอิสตะวาเหนือบัลลังก์) โดยการอิสติวาอฺของอัลลอฮ์เหนือบัลลังก์นั้น มิใช่ความหมาย อิสตีลาอฺ (อำนาจการปกครอง)เสมือนกับที่ พวกก็อดรียะฮ์(หมายถึงพวกมั๊วะตะซิละฮ์)ได้กล่วไว้ เพราะว่าอัลลอฮ์ตะอาลานั้น ยังคงทรงอิสเตาลา(อำนาจปกครอง)เหนือทุกๆ สรรพสิ่งอยู่แล้ว” ริซาละฮ์ อิลา อะฮ์ลิษษั๊กร์ หน้า 233-234
พี่น้องโปรดพิจารณาคำพูดของท่าน อะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ที่ว่า
لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء

“เพราะว่าอัลลอฮ์ตะอาลานั้น ยังคงทรงอิสเตาลา(อำนาจปกครอง)เหนือทุกๆ สรรพสิ่งอยู่แล้ว”
ซึ่งเป็นคำพูดของท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ นั้นทำให้เราทราบความจริงดังนี้
1. ท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งจากบรรดาความหมายของ อัลอิสติวาอฺ นั้น คือ อิสเตาลา (อำนาจปกครอง) แต่ท่านไม่เลือกความหมาย การปกครอง(อิสเตาลา)เหมือนกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์
…………………..
ชี้แจง

ข้างต้น เป็นความเจ้าเลห่ ของโต๊ะครูซุนนะฮ บิดเบือนแม้กระทั่ง คำพูด ของบุคคลที่ตนเองนับถือว่า เป็น ผู้นำมัซฮับของเขา นี้แค่ข้อเดียวที่โตะครูสุนนะฮคอร์ สรุปมา ก็ ยังมีอีก 2 ข้อ ก็ไม่ต่างอะไรจากนี้ เขาคงดูถูกภูมิปัญญาพี่น้องมุสลิมว่า คงไม่ทันความเจ้าเล่ห ของตน
ขอชี้แจงว่า คำพูดของ อิหม่ามอัลอัชอะรีย์ที่ว่า

لأنه تعالى لم يزل مستوليا على كل شيء
“เพราะว่าอัลลอฮ์ตะอาลานั้น ยังคงทรงอิสเตาลา(อำนาจปกครอง)เหนือทุกๆ สรรพสิ่งอยู่แล้ว”

หมายถึง ท่านบอกว่า อัลลอฮ ทรงมีอำนาจปกครองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คำว่า อิสติวาอฺ อะลัล อะรัช จึงไม่ใช่ความหมายคำว่า “อำนาจปกครอง อย่างทีพวกอัลกอดริอ้าง นี้คือ ความหมายของคำพูดท่านอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรี เสียดายในเฟสบุค ข้อความถูกทับซ้อนไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นอย่างให้สิ่งเหล่านี้ประจาน ความเจ้าเล่ห์ ของนักตรรก อย่าง sunnah Core Salafussalah ผมอยากเห็นภาพตัวจริง คนเจ้าเหล่คนนี้จริงๆ
มาดูคำอธิบายของอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ที่แสดงให้เห็นว่า ที่นาย sunnah Core Salafussalah โกหก มุสาและบิดเบือน คำพูดของอิหม่ามอัลอัชอะรีย์ข้างล่าง
ท่านอิหม่ามอบูหะซัน สรุปว่า
فكل ذلك يدل على أنه تعالى في السماء مستو على عرشه والسماء بإجماع الناس ليست الأرض فدل على أنه تعالى منفرد بوحدانيته مستو على عرشه استواء منزها عن الحلول والإتحاد
ทั้งหมดนั้น แสดงให้เห็นว่า แท้จริง อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งนั้นทรงอยู่บน/เหนืออะรัช และเหนือชั้นฟ้า โดยมติของบรรดามนุษย์ (อุลามาอฺ)ไม่ใช่อยู่บนพื้นดินและแสดงให้เห็นว่า พระองค์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเป็นหนึ่งเดียว ด้วยคุณลักษณะการเป็นเอกกะของพระองค์ ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังค์ของพระองค์ เป็นการสถิตอยู่ ที่บริสุทธิ์จากการตั้งถิ่นฐานและการเป็นอันเดียวกัน(กับอะรัช) - อัลอิบานะฮ เล่ม 1 หน้า 113
...........
ท่านอิหม่ามอบูหะซันสรุปว่า อัลลอฮอยู่บนฟากฟ้า ทรงอิสติวาอฺ อยู่/สถิต เหนืออะรัชของพระองค์
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah กล่าวว่า แต่การที่อัลอะชาอิเราะฮ์ได้ให้ความหมายหนึ่งของอัลอิสติวาอฺว่า “ทรงปกครองโดยไม่มีการแย่งชิง” ถือว่าเป็นความหมายหนึ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอาน เพราะการปกครองโดยไม่มีการแย่งชิงนั้น อยู่ในความหมายของ // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah กล่าวว่า
แต่การที่อัลอะชาอิเราะฮ์ได้ให้ความหมายหนึ่งของอัลอิสติวาอฺว่า “ทรงปกครองโดยไม่มีการแย่งชิง” ถือว่าเป็นความหมายหนึ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอาน เพราะการปกครองโดยไม่มีการแย่งชิงนั้น อยู่ในความหมายของ
 ا
لقهار “ผู้ทรงอำนาจปกครอง” เหนือบัลลังก์และสรรพสิ่งทั้งหลาย... หากถูกกล่าวว่า อัลอิสติวาอฺ มีความหมายว่า พิชิต ที่บ่งบอกว่า มีการต่อสู้มาก่อนหน้านั้น เราขอตอบว่า คำนี้ไร้สาระ เพราะหากพระองค์ทรงบอกว่า อัลอิสติวาอฺ ก็หมายความว่าพระองค์ทรงบอกถึงอำนาจ” หมายความว่า อัลลอฮ์ทรงมีลักษณะ (القهار) อำนาจปกครอง ซึ่งการมีอำนาจปกครองตรงนี้ ไม่ต้องไปพิชิตหรือต่อสู้กับผู้ใด! นี่คือความหมายที่สะลัฟบางส่วนได้ให้เอาไว้ เราก็เลือกความหมายอำนาจปกครองที่ไม่ต้องพิชิตแย่งชิง ก็จบ ซึ่งดีเลิศกว่า ความหมาย นั่ง ประทับ สถิต ตามที่วะฮ์ฮาบีย์จะเอา!
……………………….
ชี้แจง
คำว่า (القهار) อำนาจปกครอง อัลกุรอ่านระบุไว้แล้วใน อัลอัสมาอฺ อัลหุสนา
ส่วนที่ Sunnah Core Salafussalah
ซึ่งการมีอำนาจปกครองตรงนี้ ไม่ต้องไปพิชิตหรือต่อสู้กับผู้ใด! นี่คือความหมายที่สะลัฟบางส่วนได้ให้เอาไว้ เราก็เลือกความหมายอำนาจปกครองที่ไม่ต้องพิชิตแย่งชิง นี้คือ การชงเองเออเอง ของคุณซุนนะฮคอร์
มาดูสะลัฟ จริงๆเขากล่าว
1. อัดดาริมีย์(ฮ.ศ ) กล่าวว่า
وهو بنفسه على العرش بكماله كما وصف
และพระองค์ ด้วยพระองค์เอง อยู่บน อะรัช ด้วยความสมบูรณ์ของพระองค์ ดังสิ่งที่ทรง พรรณนาคุณลักษณะไว้ - الرد على الجهميةอัรรอด อะลัล ญะฮมียะฮ ของอัดดาริมีย์ หน้า 44
2. อบูญะฟัร บิน อบีชัยบะฮ( ฮ.ศ 297)
فهو فوق السماوات وفوق العرش بذاته متخلصا من خلقه بائنا منهم،
แล้วพระองค์ อยู่บน ฟากฟ้า และอยู่เหนืออะรัช ด้วยตัวตนของพระองค์ เป็นอิสระจากมัคลูคของพระองค์ โดยแยกจากพวกเขา -(2)
.............
(2) العرش وما رُوي فيه لأبي جعفر محمد بن أبي شيبة (ص291-292)
....................................
ผมได้ยกตัวอย่างคำพูดชนยุคสลัฟไว้มากมากมาย แต่ ก็แม้จะมีตะเกียงสักร้อยพันดวง คนตาบอดย่อมมองไม่เห็นแสงสว่างของมัน
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah ตอบชี้แจงว่า อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ที่อาสัน ยอมรับเสียทีว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ปฏิเสธอายะฮ์ อัลอิสติวาอฺ ยิ่งกว่านั้น อัลอะชาอิเราะฮ์ก็ไม่ปฏิเสธ ซีฟัตอัลอิสติวาอฺ แต่เราปฏิเสธการให้ความหมายแบบยิวและวะฮ์ฮาบี คือ ค วามหมายของการ นั่งประทับ สถิต เป็นต้นเท่านั้น // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah ตอบชี้แจงว่า

อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ที่อาสัน ยอมรับเสียทีว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ปฏิเสธอายะฮ์ อัลอิสติวาอฺ ยิ่งกว่านั้น อัลอะชาอิเราะฮ์ก็ไม่ปฏิเสธ ซีฟัตอัลอิสติวาอฺ แต่เราปฏิเสธการให้ความหมายแบบยิวและวะฮ์ฮาบี คือ ค
วามหมายของการ นั่งประทับ สถิต เป็นต้นเท่านั้น


ดังนั้นถ้าหาก “ความหมายเดิมของอัลอิสติวาอฺ คือการนั่งประทับและสถิตตามที่วะฮ์ฮาบีย์จะเอานั้น” เราชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ก็ขอปฏิเสธความหมายดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะไม่มีหลักฐานซอฮิห์ใดๆ จากท่านนบี(ซ.ล.)และศอฮาบะฮ์ ที่บอกว่า อัลลอฮ์ทรง สถิตและทรงนั่งบนบัลลังก์!
……………………………
ชี้แจง
คุณซุนนะฮ คอร์ บอกว่า แต่เราปฏิเสธการให้ความหมายแบบยิวและวะฮ์ฮาบี คือ ความหมายของการ นั่งประทับ สถิต เป็นต้นเท่านั้น
คำพูดนี้ เป็นการอ้างเดิมๆ สมัยโต้กันในกระดานมุสลิมไทย โดย กล่าวหาว่า “พี่น้องมุสลิม ที่พวกเขาเรียกว่า “วะฮาบีย์ “ มีอะกีดะฮแบบพวกยิว พอถามว่า “แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่มุสลิมใช่ไหม ? ....เงียบเหมือนป่าช้า ไม่กล้าตอบ เพราะว่า เป็นการตัดสินโดยใช้อคติและความเกลียดชังเป็นข้อตัดสิน
คุณ Sunnah Core Salafussalah ลืมไปแล้วว่า ในสมัยของนบี มูซา อะลัยฮิสสลามนั้น อัลลอฮ (ซ.บ)ทรงประทานคัมภีร เตารอตสอนพวกยิว หรือ บนีอิสรออีล และ สิ่งที่นบีมูซาเชื่อ ก็คือ อัลลอฮทรงอยู่บน ฟากฟ้า แต่ปรากฏว่า “ฟาโรห์ หรือฟิรเอาปฏิเสธ
หลักฐานที่บอกว่า อัลลอฮทรงเล่าถึงฟิรเอานฺใช้บันไดที่ขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเพื่อมองดูพระเจ้าของมูซา แล้วฟิรเอานฺก็ปฏิเสธของความเชื่อของมูซาเกี่ยวกับการมีอยู่ของอัลลอฮเหนือฟากฟ้า อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا

และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
มาดู คำอธิบายอายะฮข้างต้น
อิหม่ามอัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า

وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا

คำตรัสของพระองค์ที่ว่า( และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) เขากล่าวว่า หมายถึง แท้จริง ข้าแน่ใจแล้วว่า มูซาโกหกในสิ่งที่เขาพูด และเขาอ้างว่า แท้จริง เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า ,พระองค์ส่งเขามายังเรา” – ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 36-37

อิบนุ อบิลอิซซฺ กล่าวว่า “พวกญะฮฺมียะฮฺที่ปฏิเสธการอยู่สูงเหนือฟากฟ้าของซาต(อาตมัน)ของอัลลอฮนั้น แท้จริงแล้วพวกเขาคือผู้ปฏิบัติตามฟิรเอานฺ ส่วนผู้ที่ยืนยัน(เชื่อ)ในการอยู่สูงเหนือฟากฟ้าของซาตของอัลลอฮนั้น พวกเขาคือผู้เจริญรอยตามท่านนบีมูสาและเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านนบีมุหัมมัด”- ชัรหฺ อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ 2/441
…………………………..

เพราะฉะนั้น ผมไม่มีอะไรจะกล่าว นอกจาก ขอแนะนำว่า “คุณ Sunnah Core Salafussalah จงเตาบะฮกลับตัวเสีย ที่มีความเชื่อ แบบฟิรเอานฺ คงเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ได้ และหยุดสอนศิษย์สักพัก เพื่อทบทวนตัวเองเสียใหม่
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

Sunnah Core Salafussalah ตอบชี้แจงว่า การให้ความหมาย อัลอิสติวาอฺว่า สถิต ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีนั้นนั้นไม่มีสายงานซอฮิห์จากสะลัฟเลยแม้แต่คนเดียว.... และตีความเป็นหลักคิดปรัชญากรีกได้อย่างไร ในเมื่อสะลัฟศอลิห์บางส่วนก็ตีความ หรือแสดงว่า สะลัฟศอลิห์มีพวกที่ใช้หลักคิดปรัชญากรีกด้วยซิครับ? แต่เวลาวะฮ์ฮาบีให้ความหมาย อิสติวาอฺว่า อัลลอฮ์นั่ง แล้วทำไมคิดบ้างว่าตนเอง ใช้หลักคิดของพวกยิว! เพราะยิวเชื่อแบบนั้นจริงๆ ผมไม่ได้กล่าวหาแต่ประการใด // อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง) อะสัน หมัดอะดั้ม

Sunnah Core Salafussalah
ตอบชี้แจงว่า การให้ความหมาย อัลอิสติวาอฺว่า สถิต ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีนั้นนั้นไม่มีสายงานซอฮิห์จากสะลัฟเลยแม้แต่คนเดียว.... และตีความเป็นหลักคิดปรัชญากรีกได้อย่างไร ในเมื่อสะลัฟศอลิห์บางส่วนก็ตีความ หรือแสดงว่า
สะลัฟศอลิห์มีพวกที่ใช้หลักคิดปรัชญากรีกด้วยซิครับ? แต่เวลาวะฮ์ฮาบีให้ความหมาย อิสติวาอฺว่า อัลลอฮ์นั่ง แล้วทำไมคิดบ้างว่าตนเอง ใช้หลักคิดของพวกยิว! เพราะยิวเชื่อแบบนั้นจริงๆ ผมไม่ได้กล่าวหาแต่ประการใด
………………………………
Sunnah Core Salafussalah คงนั่งปิดตาเขียน จึงกล่าวว่า “ว่า การให้ความหมาย อัลอิสติวาอฺว่า สถิต ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีนั้นนั้นไม่มีสายงานซอฮิห์จากสะลัฟเลยแม้แต่คนเดียว..”
ท่านซุนนะฮคอร์ ครับ อย่ากระพริบตานะครับ จงดูต่อไปนี้นะครับ

คำว่า “สถิต” เป็นภาษาไทย ความหมาย[สะถิด] ก. อยู่, ยืนอยู่, ตั้งอยู่ คำนี้ เป็นคำที่ใช้กับใช้เป็นคํายกย่องแก่สิ่งหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะสูง
คำว่า “ استقرار มาจากคำว่า استقر แปลว่า อยู่ ความจริง คำว่า “ทรงสถิต หนือบัลลังค์ ความหมาย ก็คือ ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ นั้นเอง
ท่านสุนนะฮคอร์คงไม่คอ่ยรู้เรื่อง คำศัพท์ภาษาไทย จึงพูดสุ่มสี่สุ่มหา ปิดตาพูด
ชาวสลัฟเขาเชื่อว่า พระเจ้าอยู่เบื้องสูง บน อะรัช ซึ่ง ก็คือ ความหมาย คำว่า “สถิต (อิสติกร็อร) นั้นเอง
อิบนุอับดุลบีร กล่าวเกี่ยวกับอายะฮอิสติวาอฺว่า

وهذه الآيات كلها واضحات في إبطال قول المعتزلة وأما ادعاؤهم المجاز في الاستواء وقولهم في تأويل استوى استولى فلا معنى له لأنه غير ظاهر في اللغة ومعنى الاستيلاء في اللغة المغالبة والله لا يغالبه ولا يعلوه أحد وهو الواحد الصمد

บรรดาอายะฮเหล่านี้ทั้งหมด ชัดเจน ในการลบล้างคำพูดของพวกมุอฺตะซิละฮ และสำหรับการอ้างของพวกเขาว่า เป็นมะญัซ(คำอุปมา)ในคำว่าอิสติวาอฺ และคำพูดของพวกเขา ในการตีความ คำว่า “อิสตะวา” เป็น “อิสเตาลา”(ครอบครอบ หรือยึดครอง)นั้น ไม่มีความหมายสำหรับมัน เพราะไม่ปรากฏใน หลักภาษา และ ความหมายคำว่า "อิสติลาอฺ"ในทางภาษา หมายถึง การมีชัย ทั้งๆที่อัลลอฮ ไม่มีคนใดต่อสู้กับพระองค์ และไม่มีคนใดชัยชนะพระองค์ได้ และพระองค์ คือผู้ทรงเอกกะ ทรงเป็นที่พึ่ง- อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 131
และท่านอิบนุอับดุลบีรกล่าวต่อไปว่า
والاستواء معلوم في اللغة ومفهوم وهو العلو والارتفاع على الشيء والاستقرار والتمكن فيه قال أبو عبيدة في قوله تعالى: {اسْتَوَى} قال علا قال وتقول العرب استويت فوق الدابة
และอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กันในหลักภาษา และเป็นที่เข้าใจกัน คือ สูง ,ขึ้น บน สิ่งนั้น ,การสถิต และ การดำรงอยู่ ในมัน
อบูอุบัยดะฮ กล่าวในคำตรัสของอัลลอฮ ตะอาลาที่ว่า (อิสตะวา) เขากล่าวว่า “อยู่สูง ,เขากล่าวว่า “และอาหรับกล่าวว่า “ฉันอิสติวาอ์ บน สัตว์พาหนะ – ตำราระบุแล้วข้างต้น

คุณซุนนะฮคอร์ อาจจะใช้ตรรกอริสโตเติลถามผมว่า “ อัลลอฮนั่งติดอยู่บนบัลลังค์ใช่ไหม ? จึงขอตอบล่วงหน้าว่า อิหม่ามมาลิกได้ให้คำตอบแล้ว คือ
الِاسْتِوَاءُ مَعْلُومٌ - يَعْنِي فِي اللُّغَةِ - وَالْكَيْفُ مَجْهُولٌ
อิสติวาอฺ นั้นเป็นที่รู้กัน หมายถึงในด้านภาษา(เป็นที่รู้กัน) และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน – ที่มาอ้างแล้วจากตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์
และที่พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่า คุณซุนนะฮคอร์ แค่กอ็ปปี้ จากข้อเขียนของอารีฟีน เท่านั้น โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมคือ คำถามที่ว่า
“การให้ความหมาย อัลอิสติวาอฺว่า สถิต ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีนั้นนั้นไม่มีสายงานซอฮิห์จากสะลัฟเลยแม้แต่คนเดียว....
ขอบบอกให้ท่านซุนนะฮคอร์ทราบว่า “ ชาวสลัฟเขาเชื่อว่าอัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช ดังตัวอย่าง สัก 2 ตัวอย่างคือ 1. มุญาฮิด ซึ่งเป็นชนยุคตาบิอีน ฮ.ศ. 102)กล่าวว่า

{اسْتَوَى} علا على العرش

(อิสตะวา) หมายถึง อยู่สูง เหนืออะรัช – ดูเศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด บทว่าด้วยอะรัชของพระองค์อยู่บนน้ำ ِ
2. อิบนุอัลมุบารอ็ก (ฮ.ศ.181) กล่าว เมื่อมีผู้ถามว่า เราจะรู้จักพระเจ้าของเราได้อย่างไร เขาตอบว่า

“ بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه

เพราะแท้จริงพระองค์ อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด บน อะรัช แยกจาก มัคลูคของพระองค์ – (1)
...................................................
1) الرد على الجهمية للدارمي (ص39-40) بسند حسن، عن الحسن بن الصباح البزاز ثنا علي بن الحسن بن شقيق. وعبد الله بن أحمد بن حنبل في كتابه "السنة" (ص175) عن عبد الله بن شبويه عن ابن شقيق. ورواها غيرهما كثير بعضهم نقلا عن هؤلاء وبعضهم بأسانيدهم.
-----------------------------
ความจริง อะกีดะฮซุนนะฮคอร์นั้น เป็นอะกีดะฮของอะชาอีเราะฮปลอม ซึ่งเอามาจากแนวคิดของมุอฺตะซิละฮ เลยพยายามดิ้นรน ปฏิเสธการอยู่เบี้องสูงของอัลลอฮ และ เท่าที่สนทนากันมา ไม่มีคำพูดของอิหม่ามอบูหะซัน อะชาอิเราะฮแท้ มาอ้างเป็นหลักฐานแม้แต่อักษรเดียว-
ยังมีอีกครับ โปรดติดตาม ตอนต่อไป
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม