วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา

การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา
الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ
عَنْ أَمِيْرِ المُؤْمِنِيْنَ أَبِيْ حَفْصٍ عُمَرَ بْنِ الخَطَّابِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ: سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ ﷺ يَقُوْلُ : "إنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وإِنَّما لِكُلِّ امْرِيءٍ ما نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ ورَسُوْلِهِ فَهِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ ورَسُوْلِهِ ، ومَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيْبُها أَوِ امْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ إِلَى مَا هَاجَرَ إِليهِ"
رَوَاهُ إِمَامَا المُحَدِّثِيْنَ، أَبُوْ عَبْدِ اللهِ مُحَمَّدُ بْنُ إِسْمَاعِيْلَ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ بْنِ المُغِيْرَةِ بْنِ بَرْدِزْبَهْ البُخَارِيُّ، وَأَبُوْ الحُسَيْنِ مُسْلِمُ بْنُ الحَجَّاجِ بْنِ مُسْلِمٍ القُشَيْرِيُّ النَّيْسَابُوْرِيُّ فِيْ صَحِيْحَيْهِمَا الْلَذَيْنِ هُمَا أَصَحُّ الكُتُبِ المُصَنَّفَةِ.

ความว่า:
จากท่านอมีรุลมุอ์มินีน อบูหัฟฺศฺ อุมัรฺ อิบนุ อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้เล่าว่า: ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า: "แท้จริงการงานทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับเจตนา และแท้จริงสำหรับทุกคนนั้นคือสิ่งที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขามีเจตนาเพื่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ ดังนั้นการอพยพของเขาก็จะเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขาเพื่อโลกนี้ที่เขาก็จะได้รับ หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย ดังนั้นการอพยพของเขาก็จะเป็นไปตามความประสงค์ที่เขาได้อพยพ"
_
หะดีษรายงานโดยสองอิมามของบรรดานักวิชาการหะดีษ นั่นคือท่านอบูอับดิลลาฮฺ มุหัมมัด อิบนุ อิสมาอีล อิบนุ อิบรอฮีม อิบนุ อัล-มุฆีเราะฮฺ อิบนุ บัรฺดิซบะฮฺ อัล-บุคอรีย์ และท่านอบู อัล-หุสัยนฺ มุสลิม อิบนุ อัล-หัจญาจญ์ อิบนุ มุสลิม อัล-กุชัยรียฺ อัล-นัยสาบูรีย์ ในหนังสือเศาะหี้หฺของท่านทั้งสองซึ่งเป็นหนังสือที่ประพันธ์ที่มีความถูกต้องมากที่สุด.
_________________
อัล-บุคอรีย์, อัล-ญามิอฺ, ภาค: ไม่ระบุ, บท: ไม่ระบุ, เลขที่: 1. และสำนวนหะดีษเป็นของท่าน
มุสลิม, อัล-ญามิอฺ, ภาค: อัล-อิมาเราะฮฺ, บท: คำกล่าวของท่านนบี "แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา", เลขที่: 1907

ละหมาดวันศุกร์ซึ่งเป็นการละหมาดวาญิบสำหรับผู้ที่มีเงื่อนไขครบตามที่ศาสนากำหนดเอาไว้ เพราะเนื้อความที่ถามมามุ่งหมายถึงตัวละหมาดวันศุกร์ ซึ่งมี 2 รอกอะฮฺ และมีเงื่อนไขว่าต้องทำแบบญะมาอะฮฺ โดยกำหนดว่าผู้ที่ทำละหมาดวันศุกร์ต้องทันการละหมาดญะมาอะฮฺนั้น 1 รอกอะฮฺ

ฉะนั้น ถ้าละหมาดทัน 1 รอกอะฮฺพร้อมกับอิหม่ามก็ถือว่าละหมาดวันศุกร์ของผู้ที่ทัน 1 รอกอะฮฺนั้นใช้ได้ ถ้าไม่ทันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นการละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ ดังนั้น หากมัสบู๊กมาทันอิหม่ามในรอกอะฮฺที่ 2 การละหมาดวันศุกร์ของเขาใช้ได้ และให้ลุกขึ้นทำอีก 1 รอกอะฮฺ (เพื่อให้ครบ 2 รอกอะฮฺ) ภายหลังการให้สล่ามของอิหม่าม

ส่วนถ้ามัสบู๊กมาทันอิหม่ามภายหลังอิหม่ามเงยจากการรุ่กัวะอฺในรอกอะฮฺที่ 2 ก็ถือว่าไม่ได้ญุมอะฮฺ โดยหลังจากอิหม่ามให้สล่ามก็ให้ผู้นั้นขึ้นทำละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ (อัลฟิกฮุ้ลมันฮะญีย์ เล่มที่ 1 หน้า 207)

ทั้งนี้มีหลักฐานที่รายงานโดย อันนะซาอีย์ , อิบนุมาญะฮฺ และ อัดดาร่อกุฏนีย์ จากท่านอิบนุ อุมัร (ร.ฎ.) ว่า : ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ผู้ใดทัน 1 รอกอะฮฺจากละหมาดวันศุกร์และละหมาดอื่นๆ เขาผู้นั้นก็จงเพิ่มเข้าไปอีก 1 รอกอะฮฺ และการละหมาดของเขาก็สมบูรณ์แล้ว (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 208)

อนึ่ง การทัน 1 รอกอะฮฺที่ถือว่าได้ญุมอะฮฺนั้นคือทันอิหม่ามในขณะอิหม่ามก้มรุกัวะอฺในรอกอะฮฺที่ 2 โดยผู้ที่เป็นมัสบู๊กนั้นมีฎ่อมะอฺนีนะฮฺ (การสงบนิ่ง) ก่อนที่อิหม่ามจะเงยศรีษะจากขั้นที่น้อยที่สุดของการรุ่กัวะอฺนั้น ส่วนในกรณีที่ทันอิหม่ามหลังจากที่อิหม่ามเงยศรีษะจากการรุ่กัวะอฺแล้วถือว่าไม่ได้ญุมอะฮฺ เมื่ออิหม่ามให้สล่ามแล้วก็ให้ผู้นั้นลุกขึ้นทำ 4 รอกอะฮฺของการละหมาดซุฮฺริ โดยการตั้งเจตนาในกรณีนี้ ให้ตั้งเจตนา (เหนียต) ละหมาดญุมอะฮฺพร้อมกับอิหม่าม เพราะมัสบู๊กผู้นี้เข้าสู่การละหมาดในขณะที่ละหมาดของอิหม่ามยังไม่เสร็จสิ้นนั้นเอง

ส่วนในกรณีที่อิหม่ามให้สล่ามแล้ว กรณีนี้ให้ตั้งเจตนาละหมาดซุฮฺริเท่านั้น (กิตาบอัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 432)

และการละหมาดทัน 1 รอกอะฮฺและถือว่าได้ญุมอะฮฺนั้นเป็นทัศนะของมัซฮับชาฟีอีย์ และนักวิชาการส่วนใหญ่ อิบนุ อัลมุนซิรเล่าจาก อิบนุ มัสอู๊ด , อิบนุ อุมัร , อนัส อิบนุ มาลิก , สะอีด อิบนุ อัลมุซัยยับ , อัลอัสวัต, อัลก่อมะฮฺ, อัลหะซัน อัลบะซอรีย์ , มาลิก , อัลเอาซาอีย์ ฯลฯ ส่วน อะฎออฺ , ฏอวู๊ส , มุญาฮิด และมักฮูล กล่าวว่า ผู้ใดไม่ทันฟังคุฏบะฮฺ ก็ให้ละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ ในขณะที่ อัลฮะกัม , ฮัมมาด และ อบูฮะนีฟะฮฺ กล่าวว่า : ผู้ใดทันการอ่านตะซะฮฺฮุดพร้อมกับอิหม่าม ถือว่าผู้นั้นทันญุมอะฮฺโดยให้เขาผู้นั้นละหมาด 2 รอกอะฮฺหลังจากการให้สล่ามของอิหม่าม และถือว่าการละหมาดวันศุกร์ของเขาสมบูรณ์ ในขณะที่ ชัยค์ อบูฮามิด เล่าเอาไว้จากนักวิชาการเหล่านั้นว่า ผู้ใดตักบีร่อตุ้ลอิฮฺรอมก่อนการให้สล่ามของอิหม่ามผู้นั้นทันละหมาดญุมอะฮฺ อย่างนี้ก็มี (ดู กิตาบ อัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 433)

والله أعلم بالصواب
อ.อาลี เสือสมิง ได้ตอบไว้ครับ 


การใช้ศพหรือหลุมศพคนดีๆหรือวาลียุลลอฮ เป็นสื่อกลาง ทั้งๆที่การกระทำแบบนี้ไม่ปรากฏในยุคของท่านนบี ศ็อลฯ และเคาะลิฟะฮผู้ทรงธรรมทั้งสี่ท่านเลย

สิ่งที่ท่านนบี ศ็อลฯ สอนในการดุอาต่ออัลลอฮ ตาอาลา นั้น ก็ให้ใช้พระนามอัลลอฮเป็นสื่อกลาง
ไม่ใช่ใช้หลุมศพเป็นสือกล่าง

รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน บุร็อยดะฮฺ จาก บิดาของเขา เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَمِعَ رَجُلًا يَقُولُ " اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ أَنِّي أَشْهَدُ أَنَّكَ أَنْتَ اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ الْأَحَدُ الصَّمَدُ الَّذِي لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ " ، فَقَالَ : «لَقَدْ سَأَلْتَ اللَّهَ بِالِاسْمِ الَّذِي إِذَا سُئِلَ بِهِ أَعْطَى وَإِذَا دُعِيَ بِهِ أَجَابَ»

ความว่า
“แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยินชายคนหนึ่ง วิงวอนขอดุอาอ์ ว่า
โอ้อัลลอฮฺ
แท้จริงฉันได้ปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพยกเว้นพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงเอกกะ
ทรงเป็นที่พึ่ง
พระองค์ไม่ประสูติ
และไม่ทรงถูกประสูติ
และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์
ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“แท้จริงท่านได้วอนขอจากอัลลอฮฺ ด้วยพระนามที่เมื่อพระองค์ถูกร้องขอด้วยมัน พระองค์จะประทานให้ และเมื่อพระองค์ถูกวิงวอนขอด้วยมัน พระองค์ก็จะตอบรับ”

(บันทึกโดยอบูดาวูด 2/79 หมายเลข 1493 )


ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า :
وإياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة
ความว่า :
“และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”
-
(รางานโดย อะบูดาวุด: 4607 และติรมีซีย์ : 2676)


ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،


อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า

قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศ็อลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด)
ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน
ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา)
นั้นคือ ชาวบิดอะฮ
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181


ชัยค์อัรรูมีย์ อัลหะนะฟีย์ ฮ.ศ 834 (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَمَنْ اَحْدَثَ شَيْئًا يَتَقَرَّبُ بِهِ اِلَى اللهِ تَعَالَى مِنْ قَوْلٍ اَوْ فِعْلٍ ، فَقَدْ شَرَعَ مِنَ الدِّيْنِ مَا لَمْ يَاْذَنْ بِهِ اللهُ فَعُلِمَ اَنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ مَنَ الْعِبَادَةِ الدِّيْنِيَّةِ لاَ تُكُوْنُ اِلاَّ سَيِّئَةً
แล้วผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาใหม่ นำมันไปแสดงการใกล้ชิด(อิบาดะฮ) ต่ออัลลอฮ จากคำพูดหรือการกระทำ แน่นอนเขาได้บัญญัติศาสนา
สิ่งซึ่งอัลลอฮไม่ทรงอนุมัติด้วยมัน ,เขาก็จะรู้ว่า ทุกบิดอะฮจากอิบาดะฮที่เกี่ยวกับศาสนา มันจะไม่เป็นอย่างอื่นนอกจาก เป็นสิ่งที่เลว
-
อิลมุอุศูลิลบิดอีของ อาลี บิน หะซัน อัลหัมบะลีย อัลอะษะรีย หน้า 101


อัลหาฟิซฮิบนุหะญัรปราชญ์มัซฮับชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า

فالبدعة في عرف الشرع مذمومة ، بخلاف اللغة ، فإن كل شيء أُحدث على غير مثال يسمى بدعة سواء كان محموداً ، أو مذموماً

บิดอะฮในนิยามของศาสนบัญญัตินั้น คือ สิ่งที่ถูกตำหนิ ต่างกับบิดอะฮในทางภาษา เพราะทุกสิ่ง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนนั้น ถูกเรียกว่า บิดอะฮ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกชมเชยและถูกตำหนิก็ตาม
-
ดูฟัตหุลบารีย์ 13/253


สำหรับ คำว่า "สุนนะฮเคาะลิฟะฮ" นั้น อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قلت: ليس المراد بسنة الخلفاء الراشدين إلا طريقتهم الموافقة لطريقته صلى الله عليه وسلم، قال القاري في المرقاة: فعليكم بسنتي: أي بطريقتي الثابتة عني واجباً أو مندوباً، وسنة الخلفاء الراشدين: فإنهم لم يعملوا إلا بسنتي
ข้าพเจ้ากล่าวว่า " จุดประสงค์ของคำว่า สุนนะฮเคาะลิฟะฮรอชิดีน นั้น ไม่ใช่อื่นใด นอกจาก แนวทางของพวกเขา ที่สอดคล้องกับแนวทางของรซูลุลลอฮ (ศอ็ลฯ ) ,อัลกอรีย์ ได้กล่าวใน อัลมิรกอต ว่า "พวกท่านจงยึดมั่นด้วยสุนนะฮของฉัน" หมายถึงแนวทางของฉัน ที่แน่นอนจากฉัน ที่เป็นวาญิบและเป็นสุนัต ,และ(คำว่า ) "สุนนะฮบรรดาเคาะลิฟะฮรอซิดีน" ก็เพราะพวกเขาจะไม่ปฏิบัตินอกจาก ด้วยสุนนะฮของฉัน -
ดู ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 50

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น