วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

อ่านและทำความเข้าใจกันเถอะครับ #การฉลองคืนที่สิบห้านิศฟุชะอฺบานไม่มีรูปแบบจากท่านนบี

อ่านและทำความเข้าใจกันเถอะครับ
#การฉลองคืนที่สิบห้านิศฟุชะอฺบานไม่มีรูปแบบจากท่านนบี
_
คืน15นิศฟุชะอฺบานอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด
หากจะมองถึงกิจกรรมหรืออิบาดะฮฺที่มีการยึดปฏิบัติในบ้านเมืองเราในเดือนชะอฺบานนี้แล้ว เราพบว่า มีการปฏิบัติอิบาดะฮฺมากมาย อาทิ มี การอ่านยาซีนในค่ำคืนที่ 15 ของเดือนชะอฺบาน มีการละหมาดในรูปแบบเฉพาะ และมีการเลี้ยงอาหาร เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้อธิบายถึงคุณค่าของคืนนิศฟุชะอฺบานโดยอ้างหลักฐานจากอัลกุรอานที่ว่า
إِنّا أَنزَلنٰهُ فى لَيلَةٍ مُبٰرَكَةٍ ۚ إِنّا كُنّا مُنذِرينَ ﴿٣
"แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาในคืนอันจำเริญ แท้จริงเราเป็นผู้ตักเตือน"
فيها يُفرَقُ كُلُّ أَمرٍ حَكيمٍ ﴿٤
"ในคืนนั้นทุก ๆ กิจการที่สำคัญถูกจำแนกไว้แล้ว"
(อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัดดุคอน 44:3-4)
สองอายะฮฺดังกล่าว ยุมฮูรฺอุละมาอฺ(มติส่วนใหญ่ของนักวิชาการ) มีทัศนะว่าคืนอันจำเริญข้างต้น คือคืนลัยละตุลก็อดริ บางท่านกล่าว่าคือคืนนิศฟุชะอฺบาน ซึ่งทัศนะดังกล่าวถือว่าใช้ไม่ได้
_
เนื่องจากพระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า เดือนเราะมะฎอนคือเดือนที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาในเดือนนั้น ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่าอัลกุรอานถูกประทานในเดือนเราะมะฎอน อีกทั้งสูเราะฮฺอัดดุคอนก็มากล่าวย้ำว่าคืนที่อัลกุรอานถูกประทานเป็นคืนที่มีความจำเริญ ซึ่งมิใช่คืนนิศฟุชะอฺบานแต่อย่างใด
_
ด้วยทัศนะที่ว่าคืนอันจำเริญหมายถึงคือ นิศฟุชะอฺบานนี่เอง ทำให้มุสลิมบางคนถึงกับเชื่อว่าคืนดังกล่าวพระองค์อัลลอฮฺทรงกำหนดอายุ ริสกีย์ ความผาสุก และพระองค์จะทรงลบล้างความทุกข์ยากให้หมดไป โดยพยายามทำอิบาดะฮฺต่างๆ ทั้งในมัสยิดและบ้าน หรือพยายามอ่านสูเราะฮ์ยาซีนและขอดุอาอ์เพื่อให้พระองค์อัลลอฮฺทรงลบล้างความผิด และขจัดทุกข์ภัยต่าง ให้หมดไปจากชีวิตของตน
___
อันที่จริงการกระทำข้างต้นไม่มีหลักฐานจากท่านรสูลุลลอฮฺและบรรดาเศาะฮะบะฮฺ หรือหลักฐานที่ส่งเสริมให้กระทำ
ดังนั้น การกระทำสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นโมฆะ และถ้าหากว่ายังมีการกระทำอยู่ถือว่าเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นในศาสนา
#ความเป็นมาของการประกอบพิธีกรรมในคืนนิศฟุชะอฺบาน
การประกอบพิธีกรรมในคืนนิศฟุชะอฺบานเกิดเมื่อ ฮ.ศ.448
ที่มัสยิดอัลอักศอ
ซึ่งท่านอิหม่ามอัลฏ็อรฺฏสีย์ได้เล่าไว้ว่า "มีชายผู้หนึ่งที่ชื่อ อิบนุ อบิลหัมรออฺ มุ่งหน้ามายังบัยตุลมักดิส
จากนั้นเขายืนละหมาดในคืนนิศฟุชะบานในมัสยิดอัลอักศอ ต่อมาก็มีบุคคลมาละหมาดเป็นมะมูมเขาจากคนหนึ่งเป็นสอง สาม สี่คน จนกระทั้งมีจำนวนมาก
ครั้นพอในปีถัดมาเขาก็มาละหมาดพร้อมกับมะมูมจำนวนมากมาย จากนั้นการกระทำดังกล่าวได้แพร่กระจายไปตามมัสยิดต่างๆ จนกระทั่งขจรขจายไปทั่วประเทศ สุดท้ายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปสำหรับนักทำอิบาดะฮฺ
(หนังสือ ดุรฺเราะตุนนาศิฮีน หน้า 220)
___
#ส่วนในเมืองไทยเราก็มีการประกอบพิธีกรรมในคืนนิสฟุชะอฺบานคืนที่15ด้วยเช่นกัน
_
โดยมีละหมาดสองร้อกอะฮฺ
ภายหลังละหมาดมัฆริบเสร็จแล้ว
ในร็อกอะฮฺแรก อ่านฟาติหะฮฺ และสูเราะฮฺอัลกาฟิรูน
ส่วนร็อกอะที่สอง อ่านฟาติฮะฮฺ และสูเราะฮฺอัลอิคลาศ
จากนั้นก็ให้สลาม
_
ภายหลังละหมาดเสร็จแล้วให้อ่านสูเราะฮฺยาซีน หนึ่งจบ ครั้นอ่านเสร็จให้ขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺให้มีอายุยืนเพื่อทำอิบาดะฮฺและภัคดีต่อพระองค์อัลลอฮฺต่อไป
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้วก็ให้อ่านสูเราะฮฺยาซีนจนจบอีกเป็นครั้งที่สอง อ่านจบแล้วก็ให้ขอดุอาอ์เพิ่มพูนริซกีย์(ปัจจัยยังชีพ) เพื่อเป็นเสบียงในการทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้วก็ให้อ่านสูเราะฮฺยาซีนจนจบอีกเป็นครั้งที่สาม อ่านจบแล้วก็ให้ขอดุอาอ์ให้เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในอีมานของพระองค์
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้ว ก็ยังเสริมให้อ่านดุอาอ์เฉพาะสำหรับคืนนิศฟุชะบานอีก
_
ดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นสิ่งอุตริกรรมขึ้นใหม่ทั้งสิ้น วาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องออกห่าง และรณรงค์ให้ขจัดสิ่งที่สวนทางกับสุนนะฮฺของท่านนบีอย่างสุดความสามารถ
_
อนึ่งมุสลิมบางกลุ่มยังคงนิยมละหมาดคืนนิศฟุชะบานอยู่นั้น เป็นเพราะพวกเขาอ้างหะดิษที่ระบุว่า
"โอ้ท่านอาลี บุคคลใดที่ละหมาด100ร็อกอะฮฺในคืนนิศฟุชะอฺบานแล้วไซร้ โดยอ่านฟาติฮะฮฺ(หนึ่งจบ) และอ่านสูเราะฮฺอัลอิคลาศสิบจบในทุกๆร้อกอะฮฺ เช่นนั้นพระองค์อัลลอฮฺจะทรงกำหนดให้แก่เขาทุกๆความต้องการ (ของเขา)"
!!! หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเมาฎููอฺ (หะดิษเก๊)
_
อีกหะดิษหนึ่ง...
_
"เมื่อถึงคืนนิศฟุชะบาน เช่นนั้นพวกท่านจงยืนขึ้น
(ละหมาดสุนนะฮฺ)ในยามค่ำคืน และพวกท่านจงถือศิลอด(สุนนะฮฺ)ในวลากลางวันเถิด"
_
หะดิษข้างต้น บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ (หะดิษเลขที่ 1378) ทว่าหะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเฎาะอิฟ ญิดดัน (อ่อนหลักฐานอย่างมาก) หรือเป็นหะดิษเมาฎูอฺ (หะดิษเก๊)
_____
#การปฏิบัติอิบาดะฮฺในค่ำคืนที่15 (คืนนิศฟุชะอฺบาน )
_
การอ่านอัลกุรอาน #ไม่ว่าจะเป็นสูเราะฮฺใดถือว่าเป็นอิบาดะฮฺที่ดีเลิศที่สุดในจำนวนบรรดาซิกิรฺทั้งหลาย
ดังที่ท่านอิหม่าม อันนะวะวีย์ ได้กล่าวไว้ว่า
“การอ่านอัลกุรอานคือซิกิรที่ดีที่สุด”
#ถึงกระนั้นก็ตามแต่การอ่านอัลกุรอานไม่ได้มีการกำหนดเจาะจงเวลาเป็นการเฉพาะที่ชัดเจนและมีการกำหนดสถานที่อ่านที่ชัดเจนเช่นเดียวกับการกำหนดเจาะจงอ่านสูเราะฮฺยาซีนในค่ำคืนดังกล่าวเป็นการเฉพาะเพราะการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏแบบอย่างจากท่านนบีและเศาะหาบะฮฺถึงแม้ว่าจะมีหะดีษบางส่วนที่กล่าวถึงความประเสริฐในค่ำคืนดังกล่าวแต่หะดีษดังกล่าวล้วนเป็นหะดีษที่มีสายรายงานอ่อนไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงและยืนยันถึงความประเสริฐและส่งเสริมให้กระทำดังกล่าวได้
อาทิ หะดีษที่รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ ที่มีความว่า
“เมือค่ำคืนวันที่ 15 ของเดือนชะอฺบานได้มาถึง พวกท่านจงลุกขึ้น (ทำอิบาดะฮฺ) ในยามค่ำคืนนั้น และจงถือศีลอดในเวลากลางวันของมัน” ซึ่งเป็นหะดีษเฎาะอีฟอาจถึงขั้นเมาฎูอฺ
(ดู ละฎออิฟ อัลมะอาริฟ ของ อิบนุ เราะญับ และ อัสสิลสิละฮฺ อัฎเฎาะอีฟะฮฺ ของ อัลอัลบานีย์ 2132)
_
การเจาะจงละหมาดกิยามุลลัยในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน
_
การละหมาดกิยาลุมลัยหรือตะฮัจญุด เป็นอีกอิบาดะฮฺหนึ่งที่ควรส่งเสริมและเป็นหนึ่งในการละหมาดที่ท่านนบี ไม่เคยทอดทิ้ง และเป็นสิ่งที่มุสลิมทุกคนสามารถทำได้ไม่ว่าในคืนใดก็ตาม โดยไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดเจาะจงค่ำคืนใดค่ำคืนหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือเจาะจงละหมาด ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นมุสตะหับบะฮฺ
อย่างไรก็ตาม การเจาะจงทำอิบาดะฮฺในค่ำคืนของวันที่ 15 ชะอฺบานเป็นการเฉพาะ #เนื่องเพราะเชื่อว่ามีความประเสริฐเหลื่อมล้ำกว่าค่ำคืนอื่นๆหรือมีความเชื่อว่ามีผลบุญมากมายมหาศาลนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏในแบบฉบับของท่านนบีและเศาะหาบะฮฺ
แต่เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จึงต้องแบ่งประเด็นการละหมาด
กิยามุลลัยหรือตะฮัจญุดในเดือนนี้ออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน
_
*กรณีที่ 1 กรณีที่ละหมาดเป็นประจำอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับการมาถึงของเดือนชะอฺบาน และประจวบเหมาะกับการมาถึงค่ำคืนที่ 15 ของชะอฺบาน ในกรณีนี้ถือว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นการละหมาดที่เคยปฏิบัติอย่างเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และไม่ถือว่าเป็นการอุตริแต่ประการใด
_
**กรณีที่ 2 กรณีที่ไม่ได้ละหมาดเป็นประจำอย่างเป็นกิจวัตร แต่มารอเจาะจงละหมาดเฉพาะในค่ำคืนของวันที่ 15 ชะอฺบานนี้ เพราะมีความเข้าใจว่าจะมีผลบุญมากมายมหาศาล กรณีนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีแบบอย่างที่ถูกต้องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แม้ว่าจะมีหะดีษที่บ่งบอกถึงความประเสริฐในการลุกขึ้นทำอิบาดะฮในค่ำคืนแห่งนี้ก็ตาม แต่หะดีษเหล่านั้นล้วนเป็นหะดีษที่เฎาะอีฟมากๆ ซึ่งไม่สารามรถนำเป็นหลักฐานอ้างอิงได้
_
***กรณีที่ 3 กรณีที่มีการเจาะจงละหมาดด้วยการกำหนดจำนวนร็อกอัตที่แน่นอน อาทิ 1,000 หรือ 100 ร็อกอัต และย้อนกลับไปกลับมาจนถึงจำนวนที่กำหนดไว้ กรณีนี้ถือว่าเป็นการละหมาดที่อุตริที่ใหญ่หลวง เพราะไม่มีในแบบฉบับของท่านนบี แม้ว่ามีการอ้างถึงหะดีษที่ระบุถึงการละหมาดในลักษณะดังกล่าว
_
ท่านอิมามอันนะวะวีย์กล่าวว่า “การละหมาดที่เรียกว่าละหมาดเราะฆออิบและการละหมาดอัลฟิยะฮฺในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน 100 ร็อกอัตนั้น ทั้งสองละหมาดนี้เป็นสิ่งที่อุตริ(บิดอะฮฺ)และน่ารังเกียจ และอย่าไปหลงเชื่อกับการที่ละหมาดทั้งสองถูกกล่าวถึงในหนังสือ “กูตุลกุลูบ และ อิหฺยาอฺอุลุมมิดดีน” และอย่าไปหลงเชื่อกับหะดีษที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เพราะทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่จอมปลอม (บาฏิล)...”
(ดู อัลมัจญ์มูอฺ เล่ม 7 หน้า 61)
_
ท่านอิมาม อัลอิรอกีย์ กล่าวว่า “ หะดีษต่างๆ ที่กล่าวถึงการละหมาดในค่ำคืนวันที่ 15 ของเดือนชะอฺบาน ล้วนแต่เป็นหะดีษปลอม (เมาฎูอฺ) และเป็นสิ่งที่โกหก (อุปโลกน์ขึ้นมา) ทั้งสิ้น”
_
ท่านอิมาม อบูชามะฮฺ กล่าวว่า “แท้จริงมีสายรายงานที่เกี่ยวกับการละหมาดในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน สองหะดีษซึ่งทั้งสองหะดีษนั้น ล้วนแต่เป็นหะดีษปลอม”
_
ท่านอิมามอัชเชากานีย์กล่าวว่า “หะดีษที่กล่าวถึงในเรื่องดังกล่าวเป็นหะดีษเมาฎูอฺ(หะดีษปลอม)” (อัลฟะอาวิด อัลมัจญ์มูอะฮฺ หน้า 15)
____________
การอ่านซูเราะฮยาสีนนั้น เป็นเรื่องดี แต่การไปจำกัดวันและสถานที่ในการอ่าน โดยเชื่อว่ามีความประเสริฐ และได้บุญนั้น ต้องมีหลักฐานที่เป็นสุนนะฮ แต่ในกรณีนี้ไม่มีสุนนะฮให้ปฏิบัติเช่นนั้น ก็ถือว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นบิดอะฮ
เช็คอับดุลอะซีซ บิน บาซ กล่าวว่า
أن الاحتفال بليلة النصف من شعبان بالصلاة أو غيرها أو تخصيص يومها بالصيام بدعة منكرة عند أكثر أهل العلم، وليس له أصل في الشرع المطهر، بل هو مما حدث في الإسلام بعد عصر الصحابة رضي الله عنهم
การฉลองคืนนิสฟุชะอฺบาน ด้วยการละหมาด หรืออื่นจากนั้น หรือ กำหนดวันนิสฟุชะอฺบานโดยเฉพาะ ด้วยการถือศีลอด นั้น เป็นบิดอะฮ ที่ต้องห้าม ในทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก และไม่มีที่มาจากบทบัญญัติอันบริสุทธิ์ สำหรับมัน ในทางกลับกัน มันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในอิสลาม หลังจากสมัยของเหล่าเศาะหาบะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม – ดู ริสาละฮ อัตตะหฺซีร์ มินัลบิดอะฮ หน้า 19
_____
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า :
وإياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة
ความว่า :
“และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”-
(รางานโดย อะบูดาวุด: 4607 และติรมีซีย์ : 2676)
_
ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،
..
_
อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า
قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด) ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา) นั้นคือ ชาวบิดอะฮ
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181
______
เรื่องของการทำอิบาดะฮในอิสลาม ต้องวางอยู่บนหลักการของ คำสังใช้ และคำสั่งห้ามจากศาสนบัญญัติ แล้วปฏิบัติตาม การเจาะจงทำอิบาดะฮในคืนนิสฟุชะอบานเป็นการเฉพาะ ไม่มีคำสอนจากศาสนา มีแต่ความคิดเห็น
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวถึงหลักการเกี่ยวกับอิบาดะฮว่า
وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ، وَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“และในเรื่องของ อัลกุรบาต(เรื่องการแสดงความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์) จะถูก “จำกัดตามตัวบท” เท่านั้น จะไปแปรเปลี่ยนมันตามการอนุมานเปรียบเทียบต่างๆ(กิยาส)หรือแนวคิดต่างๆไม่ได้ -ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276
ข้อเขียนข้างต้น เป็นหลักการของผู้ที่ยึดกิตาบุลลอฮและสุนนะฮ เป็นบรรทัดฐานในการประกอบศาสนากิจ ใครจะเชื่อ หรือไม่ ใครจะยอมรับหรือไม่ มันเป็นเรืองของพวกท่านไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น