บิดอะฮฺในการอิบาดะฮฺ(ต่อจากข้อ 34) จบ
บิดอะฮฺ ในที่นี้หมายถึง " กิจการที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มิได้กระทำและไม่มีบันทึกใดที่รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยกระทำแม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวก็ตาม "
_
35. อ่านสูเราะฮฺ " อัล-อิคลาศ" 7 ครั้ง สูเราะฮฺ " อัล-ฟะลัก" และ สูเราะฮฺ "อัล-นาส" อย่างละ 7 ครั้ง หลังจากนมาซวันศุกร์นั้นก็เป็นบิดอะฮฺ หะดีษที่กล่าวถึงในกระทำ "อะมัล" เช่นนี้ เป็นหะดีษที่อ่อนหลักฐาน และการดุอาอฺต่อไปนี้ หลังจากนมาซวันศุกร์เป็นประจำก็เป็นบิดอะฮฺ เช่นเดียวกันคือ
" อัลลอฮุมมะ ยาเฆาะนียุ ยา หะมีด ยามุบดิอุ ยา มุอีด, อัฆนินี บิหะลาลิกะ อันหะรอมิกะ วะบิฟัฏลิกะ อัมมัน สิวากะ "
อุลามา บางท่านให้ความเห็นว่า ผู้ใดอ่านดุอาอฺ ดังกล่าว 70 ครั้ง หลังจากนมาซวันศุกร์แล้ว อัลลอฮฺจะทรงให้เขาร่ำรวย และจะทรงปลดเปลื้องหนี้สินของเขา
ความเห็นแบบนี้จำเป้นอย่างยิ่งที่เราจะต้องขอหลักฐานจากเขาที่แสดงว่า ความเห้นของเขานั้นเป็นความจริง
การอ่าน สูเราะฮฮฺ " อัล-อิคราส" 1000 คร้ัง ในวันศุกร์ก็ไม่มีหะดีษใดที่พอจะยึดถือเป็นหลักฐานได้ หะดีษที่ว่า ผู้ใดอ่านสู้ราะ " อัล-คิลาส " 1000 ครั้ง อัลลอฮฺจะทรงให้เขาปลอดภัยจากไฟนรกนั้น เป็นหะดีษปลอมที่เล่าโดยผู้พูดเท็จ ผู้ที่เชื่อถือไม่ได้ การถือหะดีษโดยรู้ว่าผู้เล่าเป็นผู้เชื่อถือไม่ได้นั้นถือเป็นหะรอม
ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เราอ่านในค่ำคืนวันศุกร์และในวันศุกร์ก็คือ สูเราะฮฺ " อาลิ-อิมรอน" " อัล-กะฮฺฟิ " และเศาะละวาตแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมให้มาก ตลอดจนให้อาบน้ำ แต่งตัวให้สะอาด ส่งเสริมให้ใช้ของหอม แล้วให้รีบไปมัสญิด เป็นต้น
_
36. การกำหนดว่า นมาซวันศุกร์นั้นต้องนมาซในมัสญิดเท่านั้น และกำหนดว่า ถ้าผู้นมาซไม่ครบ 40 คน จะทำนมาซวันศุกร์(ญุมอัด)ใช้ไม่ได้-ไม่เศาะหฺ
ที่จริงไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างนมาซวันศุกร์กับนมาซอื่นๆ เว้นแต่ในนมาซวันศุกร์นั้นต้องมีคุฏบะฮฺเท่านั้น
37. การอ่านสูเราะฮฺ "อัล-อิคลาศ "
3 ครั้งในขณะนั่งระหว่าง2 คุฏบะฮฺ การกล่าวคุฏบะฮฺที่ 2 ด้วยการเศาะละวาตและดุอาอฺให้แก่ผู้นำ โดยไม่ได้บรรจุคำสอนและคำตักเตือน คุฏบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ทำแบบนี้
_
38. การจบคุฏบะฮฺด้วยคำว่า " อัซกุรุลลอฮะ ยัซกุรกรม " หรือ
คำว่า " อินนัลลอฮ ยะอ์มุรุบิล - ออัคลิวัล-อิหฺสาน " เป็นประจำก็เป็นบิดอะฮฺ
ในศตวรรษแรกๆ เคาะฎีบจะจบคุฏบะฮฺของเขาด้วยคำว่า
" อะกูลุ เกาลี ฮาซา วัสตัฒฟิรุลลอฮะลีวะละกุม "
_
39. ไม่เห็นในความสำคัญของนมาซย่อ (นมาซก็อศรฺ) ในระหว่างการเดินทาง สุนนะฮฺอันนี้ผู้คนไม่ค่อยเอาใจใส่นัก แม้แต่ผู้รู้ (อุละมาอฺ) เองก็ไม่เคยบอกกล่าวให้นมาซย่อ ทั้งๆที่ในหะดีษที่บันทึกโดยอิมาม อะหฺมัด และอิบนุอุมัร ได้รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าว่า
" อัลลัอฮฺทรงชอบให้เรากระทำกิจการงานที่พระองค์ทรงลดหย่อนให้ง่ายลง" และตามบันทึกของ อัน-นะสาอีนั้น
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า " อัลลอฮฺทรงใช้ให้เรานมาซ 2 ร็อกอะฮฺเท่านั้นในระหว่างเดินทาง "
(หมายถึง การนมาซที่มี 4 ร็อกอะฮฺ คือ ซุฮฺรฺ อัศรฺ และ อิชาอฺ ให้นมาซอย่างละ 2 ร็อกอะฮฺเท่านั้น ส่วนนมาซศุบหฺและมัฆริบจะย่อไม่ได้ ให้นมาซศุบหฺ 2 ร็อกอะฮฺ และ มัฆริบ 3 ร็อกอะฮฺตามปกติ)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยังได้กล่าวอีกว่า
" การนมาซย่อนั้นเป็นของประทาน(เศาะดะเกาะฮฺ) จากอัลลอฮฺให้แก่เรา ซึ่งเราจำเป็นต้องรับ "
ที่แปลกก็คือ อุละมาอฺหรือผู้รู้ที่รับว่าตนเองเป็นผู้อุ้มชูสุนนะฮฺ แต่ไม่ค่อยปฏิบัติตตามสุนนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มีบางคนคิดว่า เมื่อนมาซแล้วไม่กล่าว " อุศ็อลลี พวกเขาก็เป็นผู้ปฏิบัติตามสุนนะฮฺสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ก็มีเช่นกัน
_
40. อ่านอัล-กุรอานเพื่อผู้ตาย
อิบนุกะษีร กล่าวว่า :
การที่บาปของคนหนึ่งไม่สามารถจะให้อีกคนหนึ่งแบกแทนฉันใด ผลบุญของคนหนึ่งจะอุทิศให้อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ฉันนั้น
อิมามชาฟีอีย์ กล่าวว่า :
การอ่านกุรอานช่นนั้น ไม่สามารถถึงผู้ตายได้ และผู้ตายไม่สามารถรับรางวัล (ฮะดียะฮฺ) นั้นได้ เพราะการอ่านนั้นมิใช่การกระทำหรือความพยายามของผู้ตายผู้นั้น
เพราะเหตุนี ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงไม่เคยให้สาวกของท่านอ่านกุรอานเพื่อฮะดียะฮฺแก่สาวกที่เพิ่งตาย
ส่วนการให้ทานนั้น อุละมาอฺได้มีความเห็นว่า ให้ทำได้ ส่วนที่ว่า อิมามอะหฺมัดเคยกล่าวว่า
" เมื่อท่านเข้าไปในเขตสุสานหรือกุบุร ท่านจงอ่านสูเราะฮฺ ฟาติหะฮฺ และกุลอาอูซุ ทั้งสอง และจงฮาดียะฮฺผลบุญของการอ่านดังกล่าวแก่ผู้ตาย แล้วผลบุญอันนั้นจะถึงผู้ตาย " นั้นเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และรายงานที่ว่า " ผู้ใดผ่านบนกุบุร แล้วอ่าน " กุล-ฮุวัลลอฮฺ" 11 ครั้ง แล้วฮะดียะฮฺ(อุทิศ)ให้แก่ผู้ตาย ผู้ตายจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนผู้ที่อ่านได้รับ "
นั้นเป็นรายงานเท็จ ไม่ใช่คำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือสาวกของ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เรื่องที่ว่าอิบนุ อุมัรได้สั่งเพื่อนให้อ่านฟาติหะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ และ อายะฮฺตอนท้ายของบะเกาะเราะฮฺ ณ ที่ฝังศพของท่านนั้นไม่มีการบันทึกในหนังสือที่พอเชื่อถือได้ เพียงแต่พบในหนังสือของ " อัล-กุรฎบี" ซึ่งเชื่อถือไม่ค่อยได้
ที่ศาสนาให้เราก็คือ ขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ เพื่อยกโทษให้แก่ผู้ตาย (ไม่ใช่อ่านกุรอานแล้วส่งผลบุญอันนั้นให้แก่ผู้ตาย)
_
41. อ่าน " ตัลกีน " แก่ผู้ตาย หลังจากได้ฝังไปแล้ว
หะดีษที่กล่าวถึง " ตัลกีน " สอนคนตาย หลังจากถูกฝังไปแล้วนั้น อิบนุศ-เศาะลาฮฺ อัน-นะวะวี อิบนุล ก็อยยิม อัล-อิรอกี อิบนุ หะญัร อัศ-ศ็อนอานี และผู้เขียนหนังสือ " อัสนัลมะฎอลิบ " ว่า :
เป็นหะดีษที่หลักฐานอ่อน (เฎาะอีฟ) ผู้เขียนหนังสือ " สุบุลุส-สลาม" ก็ได้อธิบายถึงความเป็นบิดอะฮฺของการอ่านตัลกีน หรือ สอนคนตายที่กุบุรดังกล่าวเช่นกัน และเป็นบิดอะฮฺยิ่งกว่านั้นก็คือ การตัลกีนศพเด็กเล็กๆ ที่มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ศาสนาบังคับ
_
42. เข้าไปนั่งบนที่ฝังศพ หรือข้ามที่ฝังศพ หรือไปทำเสียงดังบนที่ฝังศพ การที่อิสลามอนุญาตให้เยี่ยมกุบุรนั้น มิใช่ให้ไปทำเสียงดัง อิสลามให้ผู้ที่ไปเยี่ยมกุบุรกล่าวสลามแก่ชาวกุบุร แล้วขอพร ขอให้อัลลอฮฺประทานความโปรดปรานของพระองค์แก่ชาวกุบุรดังกล่าว
_
43. ค้างคืนที่กุบุร (เฝ้ากุบุร) หรือไปจุดเทียน จุดตะเกียงที่กุบุร ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :
" อัลลอฮฺทรงละอฺนะฮฺ(งดความเมตตา) หญิงที่ไปเยี่ยมกุบุร คนที่ทำกุบุรเป็นมัสญิด และผู้ที่จุดตะเกียง(ที่กุบุร) "
หะดีษนี้จากบันทึกของ " อบูดาวูด "
44. ย้ายที่ฝังศพ หลังจากศพนั้นได้ฝังไปแล้วก็เป็นบิดอะอฺเช่นกัน ยกเว้นถ้าเจ้าของที่ดินนั้นไม่อนุญาตให้ฝังที่นั้น
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้ผู้ที่ตายชะฮีดที่ " อุฮุด" ฝันที่นั้นเลย คือสถานที่ที่คนนั้นตาย ทั้งที่กุบุรที่มะดีนะฮฺก็ไม่ไกลนัก
_
45. ฉลอองวัน " นิศฟุ ชะอฺบาน " ด้วยการนมาซ " เราะฆออิบ " และดุอาอฺหลังจากนมาซมัฆริบในคืนนั้นด้วยเสียงดัง
หะดีษที่กล่าวถึงความสำคัญของคืน " นิศฟุ ชะอฺบาน " (ค่ำคืนของกลางเดือนชะอฺบาน) นั้นล้วนแต่เป็นหะดีษเฎาะอีฟ จะใช้เพื่อให้กิจการที่ตนทำให้เป็นสุนนะฮฺไม่ได้
อบูบักร, อิบนุล อะเราะบี ได้กล่าวว่า :
หะดีษที่กล่าวถึงนิศฟู ชะอฺบานนั้นล้วนแต่ใช้ไม่ได้ แม้ว่า เรื่องนมาซ " นิศฟุ ชะอฺบาน " มีเขียนไว้ในหนังสือ " อิหะยาอฺ อุลูมิด-ดีน " (ของอิมามเฆาะซาลี)ก็ตาม
_
46. การดุอาอฺในคือ " นิศฟุ ชะอฺบาน" ดุอาอฺนี้สำนักพิมพ์ในอียิปต์หลายแห่งได้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง พวกเขาระบุว่า ถ้าทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาได้วางไว้แล้ว อัลลอฮฺจะทรงรับดุอาอฺนี้ เงื่อนไขของพวกเขาคือ
อ่านสูเราะฮฺ " ยาสีน " หลังจากนมาซ 2 ร็อกอะฮฺ แล้วอ่านดุอาออฺดังกล่าว ทำอย่างนี้ 4 ครั้งติดต่อกัน ทำครั้งแรกด้วยการอ่านดุอาอฺดังกล่าวโดยตั้งใจหรือเนียตว่า : ขอให้อายุยืน ทำครั้งที่สอง ตั้งใจว่า ขอให้พ้นภัย ทำครั้งที่สาม ด้วยการอ่านดุอาฮฺดังกล่าว และตั้งใจว่า จะไม่ขอพึ่งมนุษย์ ที่กล่าวมานี้ ล้วนแต่เป็นบิดอะอฺทั้งสิ้น
_
47.ไม่ทำนมาซวันอีดกลางแจ้ง
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำนมาซวันอีดในสนามกลางแจ้งตลอดมา โดยสั่งให้อุมมะฮฺ (ประชาชาติ)ของท่าน พาลูกหลานและภรรยาไปยังที่นมาซดังกล่าว ตามหะดีษ มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ท่าน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำนมาซในมัสญิด เพราะฝนตก แต่นี่ (ที่บออกว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นมาซอีดในมัสญิด) ก็เป็นหะดีษ เฎาะอีฟ
_
48. การเกาะฎอ(ชดใช้) นมาซ ที่ละทิ้งไปด้วยความจงใจ
ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยที่แสดงว่า ให้ทำเกาะฏอนมาซที่ละทิ้งไปด้วยความจงใจ อบู บักร กล่าวว่า : อะมัลที่ถูกใช้ให้ทำในเวลากลางวันนั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงรับถ้าทำในเวลาค่ำคืน และอะมัลที่ถูกใช้ให้ทำในเวลาค่ำคืน ออัลลอฮฺจะไม่ทรงรับถ้าทำในเวลากลางวัน
_
49. เชื่อว่าวันพุธสุดท้ายของเดือนเศะฟัรเป็นวันเคราะห์ร้าย จึงมีการเขียนอายะฮฺอัล-กุรอานบนกระดาษ แล้วโยนไปในบ่อ หรือในน้ำ หรือไปทิ้งทะเล
การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นบิดอะฮฺ ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า วันพุธสุดท้ายของเดือนเศาะฟัรเป็นวันเคราะห์ร้าย
เรื่องทำนองนี้ ถ้าหากเราไปพบหนังสือบางเล่ม (หรือปฏิทินของบางสำนัก) ก็อย่าไปเชื่อว่านั้นเป็นคำสอนของศาสนา นอกจากว่า มีหลักฐานอย่างชัดแจ้งเท่านั้น
_
50. ฉลองวัน " อะชูรอ " เหมือนวันอีด ก็เป็นบิดอะฮฺ
ผู้ริเริ่มฉลองวันนั้นก็คือ พวกยิวที่ค็อยบัร พวกเขาแต่งตัวงามๆ ในวันนั้น และจ่ายเงินทำอาหารพิเศษ ฉะนั้น เพื่อให้ความแตกต่างกับพวกยิว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงให้ถือศีลอดในวันนั้น 2 วัน คือ วันที่ 9 (วันตะสูอะ) และวันที่ 10 (วันอะชูรอ) อิมามชาฟีออี ได้เขียนใน " อัล-อุม " และ " อัล-อิมลาอฺ " ว่า " ควรถือศีลอด 3 วัน คือ วันที่ 9,10และ 11 ขอองเดือน มุหัรรอม "
_____
ที่จริงถ้าเราศึกษาดูสังคมมุสลิมในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วเอามาเปรียบเทียบกับสังคมของเราในปัจจุบันก็จะประจักษ์ได้ทันทีว่า มีความแตกต่างกักมากทีเดียว ฉะนั้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาผู้มีความรู้ที่เผยแผ่สุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คงจะพยายามเพื่อกำจัดบิดอะฮฺ ต่างๆ ให้สิ้นซากไป
มีอยู่หลายคนที่คิดว่าเมื่อเขาได้ทำกิจการบางอย่างตามแบบสุนนะฮฺแล้ว เขาก็เป็นพวกสุนนะฮฺ 100 % ส่วนลูกศิษย์ของเขาก็จะเชื่อถือว่า ครูของพวกเขาคนนั้นเป็นอฺลุส-สุนนะฮฺ 1000 % ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราไปบอกพวกเขาว่า ครูของพวกเขาได้ทำบิดอะฮฺ บางทีพวกเขาไม่เชื่อ หรือไม่ก็จะแปลกใจ เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนมีความรู้อย่างครูของพวกเขาคนนั้นคงไม่ทำนอกเหนือจากคำสอนของศาสนาแน่
มีอยู่หลายคนที่คิดว่า เมื่อเขานมาซโดยไม่กล่าว "อุศ็อลลี"
เขาก็เป็นคนตามแบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม 100 % แล้ว ทั้งๆที่สุนนะฮฺอย่างอื่นเขาไม่ทำหรือไม่รู้เสียด้วยซ้ำ นอกเหนือจาก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มิได้กล่าวคำตั้งใจในตอนเริ่มนมาซแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำอะไร และได้ละทิ้งอะไรบ้าง !
________
จากหนังสือ นมาซของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
P 121-125
ครูอิสมาอีล อะหฺมัด
สมาคมญัมอียะตุลอิสลาม
part 1
https://www.facebook.com/hellorun.running/posts/1076778102509642
part 2
https://www.facebook.com/hellorun.running/posts/1077053112482141
บิดอะฮฺ ในที่นี้หมายถึง " กิจการที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มิได้กระทำและไม่มีบันทึกใดที่รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยกระทำแม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวก็ตาม "
_
35. อ่านสูเราะฮฺ " อัล-อิคลาศ" 7 ครั้ง สูเราะฮฺ " อัล-ฟะลัก" และ สูเราะฮฺ "อัล-นาส" อย่างละ 7 ครั้ง หลังจากนมาซวันศุกร์นั้นก็เป็นบิดอะฮฺ หะดีษที่กล่าวถึงในกระทำ "อะมัล" เช่นนี้ เป็นหะดีษที่อ่อนหลักฐาน และการดุอาอฺต่อไปนี้ หลังจากนมาซวันศุกร์เป็นประจำก็เป็นบิดอะฮฺ เช่นเดียวกันคือ
" อัลลอฮุมมะ ยาเฆาะนียุ ยา หะมีด ยามุบดิอุ ยา มุอีด, อัฆนินี บิหะลาลิกะ อันหะรอมิกะ วะบิฟัฏลิกะ อัมมัน สิวากะ "
อุลามา บางท่านให้ความเห็นว่า ผู้ใดอ่านดุอาอฺ ดังกล่าว 70 ครั้ง หลังจากนมาซวันศุกร์แล้ว อัลลอฮฺจะทรงให้เขาร่ำรวย และจะทรงปลดเปลื้องหนี้สินของเขา
ความเห็นแบบนี้จำเป้นอย่างยิ่งที่เราจะต้องขอหลักฐานจากเขาที่แสดงว่า ความเห้นของเขานั้นเป็นความจริง
การอ่าน สูเราะฮฮฺ " อัล-อิคราส" 1000 คร้ัง ในวันศุกร์ก็ไม่มีหะดีษใดที่พอจะยึดถือเป็นหลักฐานได้ หะดีษที่ว่า ผู้ใดอ่านสู้ราะ " อัล-คิลาส " 1000 ครั้ง อัลลอฮฺจะทรงให้เขาปลอดภัยจากไฟนรกนั้น เป็นหะดีษปลอมที่เล่าโดยผู้พูดเท็จ ผู้ที่เชื่อถือไม่ได้ การถือหะดีษโดยรู้ว่าผู้เล่าเป็นผู้เชื่อถือไม่ได้นั้นถือเป็นหะรอม
ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เราอ่านในค่ำคืนวันศุกร์และในวันศุกร์ก็คือ สูเราะฮฺ " อาลิ-อิมรอน" " อัล-กะฮฺฟิ " และเศาะละวาตแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมให้มาก ตลอดจนให้อาบน้ำ แต่งตัวให้สะอาด ส่งเสริมให้ใช้ของหอม แล้วให้รีบไปมัสญิด เป็นต้น
_
36. การกำหนดว่า นมาซวันศุกร์นั้นต้องนมาซในมัสญิดเท่านั้น และกำหนดว่า ถ้าผู้นมาซไม่ครบ 40 คน จะทำนมาซวันศุกร์(ญุมอัด)ใช้ไม่ได้-ไม่เศาะหฺ
ที่จริงไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างนมาซวันศุกร์กับนมาซอื่นๆ เว้นแต่ในนมาซวันศุกร์นั้นต้องมีคุฏบะฮฺเท่านั้น
37. การอ่านสูเราะฮฺ "อัล-อิคลาศ "
3 ครั้งในขณะนั่งระหว่าง2 คุฏบะฮฺ การกล่าวคุฏบะฮฺที่ 2 ด้วยการเศาะละวาตและดุอาอฺให้แก่ผู้นำ โดยไม่ได้บรรจุคำสอนและคำตักเตือน คุฏบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ทำแบบนี้
_
38. การจบคุฏบะฮฺด้วยคำว่า " อัซกุรุลลอฮะ ยัซกุรกรม " หรือ
คำว่า " อินนัลลอฮ ยะอ์มุรุบิล - ออัคลิวัล-อิหฺสาน " เป็นประจำก็เป็นบิดอะฮฺ
ในศตวรรษแรกๆ เคาะฎีบจะจบคุฏบะฮฺของเขาด้วยคำว่า
" อะกูลุ เกาลี ฮาซา วัสตัฒฟิรุลลอฮะลีวะละกุม "
_
39. ไม่เห็นในความสำคัญของนมาซย่อ (นมาซก็อศรฺ) ในระหว่างการเดินทาง สุนนะฮฺอันนี้ผู้คนไม่ค่อยเอาใจใส่นัก แม้แต่ผู้รู้ (อุละมาอฺ) เองก็ไม่เคยบอกกล่าวให้นมาซย่อ ทั้งๆที่ในหะดีษที่บันทึกโดยอิมาม อะหฺมัด และอิบนุอุมัร ได้รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าว่า
" อัลลัอฮฺทรงชอบให้เรากระทำกิจการงานที่พระองค์ทรงลดหย่อนให้ง่ายลง" และตามบันทึกของ อัน-นะสาอีนั้น
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า " อัลลอฮฺทรงใช้ให้เรานมาซ 2 ร็อกอะฮฺเท่านั้นในระหว่างเดินทาง "
(หมายถึง การนมาซที่มี 4 ร็อกอะฮฺ คือ ซุฮฺรฺ อัศรฺ และ อิชาอฺ ให้นมาซอย่างละ 2 ร็อกอะฮฺเท่านั้น ส่วนนมาซศุบหฺและมัฆริบจะย่อไม่ได้ ให้นมาซศุบหฺ 2 ร็อกอะฮฺ และ มัฆริบ 3 ร็อกอะฮฺตามปกติ)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยังได้กล่าวอีกว่า
" การนมาซย่อนั้นเป็นของประทาน(เศาะดะเกาะฮฺ) จากอัลลอฮฺให้แก่เรา ซึ่งเราจำเป็นต้องรับ "
ที่แปลกก็คือ อุละมาอฺหรือผู้รู้ที่รับว่าตนเองเป็นผู้อุ้มชูสุนนะฮฺ แต่ไม่ค่อยปฏิบัติตตามสุนนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มีบางคนคิดว่า เมื่อนมาซแล้วไม่กล่าว " อุศ็อลลี พวกเขาก็เป็นผู้ปฏิบัติตามสุนนะฮฺสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ก็มีเช่นกัน
_
40. อ่านอัล-กุรอานเพื่อผู้ตาย
อิบนุกะษีร กล่าวว่า :
การที่บาปของคนหนึ่งไม่สามารถจะให้อีกคนหนึ่งแบกแทนฉันใด ผลบุญของคนหนึ่งจะอุทิศให้อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ฉันนั้น
อิมามชาฟีอีย์ กล่าวว่า :
การอ่านกุรอานช่นนั้น ไม่สามารถถึงผู้ตายได้ และผู้ตายไม่สามารถรับรางวัล (ฮะดียะฮฺ) นั้นได้ เพราะการอ่านนั้นมิใช่การกระทำหรือความพยายามของผู้ตายผู้นั้น
เพราะเหตุนี ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงไม่เคยให้สาวกของท่านอ่านกุรอานเพื่อฮะดียะฮฺแก่สาวกที่เพิ่งตาย
ส่วนการให้ทานนั้น อุละมาอฺได้มีความเห็นว่า ให้ทำได้ ส่วนที่ว่า อิมามอะหฺมัดเคยกล่าวว่า
" เมื่อท่านเข้าไปในเขตสุสานหรือกุบุร ท่านจงอ่านสูเราะฮฺ ฟาติหะฮฺ และกุลอาอูซุ ทั้งสอง และจงฮาดียะฮฺผลบุญของการอ่านดังกล่าวแก่ผู้ตาย แล้วผลบุญอันนั้นจะถึงผู้ตาย " นั้นเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และรายงานที่ว่า " ผู้ใดผ่านบนกุบุร แล้วอ่าน " กุล-ฮุวัลลอฮฺ" 11 ครั้ง แล้วฮะดียะฮฺ(อุทิศ)ให้แก่ผู้ตาย ผู้ตายจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนผู้ที่อ่านได้รับ "
นั้นเป็นรายงานเท็จ ไม่ใช่คำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือสาวกของ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เรื่องที่ว่าอิบนุ อุมัรได้สั่งเพื่อนให้อ่านฟาติหะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ และ อายะฮฺตอนท้ายของบะเกาะเราะฮฺ ณ ที่ฝังศพของท่านนั้นไม่มีการบันทึกในหนังสือที่พอเชื่อถือได้ เพียงแต่พบในหนังสือของ " อัล-กุรฎบี" ซึ่งเชื่อถือไม่ค่อยได้
ที่ศาสนาให้เราก็คือ ขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ เพื่อยกโทษให้แก่ผู้ตาย (ไม่ใช่อ่านกุรอานแล้วส่งผลบุญอันนั้นให้แก่ผู้ตาย)
_
41. อ่าน " ตัลกีน " แก่ผู้ตาย หลังจากได้ฝังไปแล้ว
หะดีษที่กล่าวถึง " ตัลกีน " สอนคนตาย หลังจากถูกฝังไปแล้วนั้น อิบนุศ-เศาะลาฮฺ อัน-นะวะวี อิบนุล ก็อยยิม อัล-อิรอกี อิบนุ หะญัร อัศ-ศ็อนอานี และผู้เขียนหนังสือ " อัสนัลมะฎอลิบ " ว่า :
เป็นหะดีษที่หลักฐานอ่อน (เฎาะอีฟ) ผู้เขียนหนังสือ " สุบุลุส-สลาม" ก็ได้อธิบายถึงความเป็นบิดอะฮฺของการอ่านตัลกีน หรือ สอนคนตายที่กุบุรดังกล่าวเช่นกัน และเป็นบิดอะฮฺยิ่งกว่านั้นก็คือ การตัลกีนศพเด็กเล็กๆ ที่มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ศาสนาบังคับ
_
42. เข้าไปนั่งบนที่ฝังศพ หรือข้ามที่ฝังศพ หรือไปทำเสียงดังบนที่ฝังศพ การที่อิสลามอนุญาตให้เยี่ยมกุบุรนั้น มิใช่ให้ไปทำเสียงดัง อิสลามให้ผู้ที่ไปเยี่ยมกุบุรกล่าวสลามแก่ชาวกุบุร แล้วขอพร ขอให้อัลลอฮฺประทานความโปรดปรานของพระองค์แก่ชาวกุบุรดังกล่าว
_
43. ค้างคืนที่กุบุร (เฝ้ากุบุร) หรือไปจุดเทียน จุดตะเกียงที่กุบุร ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :
" อัลลอฮฺทรงละอฺนะฮฺ(งดความเมตตา) หญิงที่ไปเยี่ยมกุบุร คนที่ทำกุบุรเป็นมัสญิด และผู้ที่จุดตะเกียง(ที่กุบุร) "
หะดีษนี้จากบันทึกของ " อบูดาวูด "
44. ย้ายที่ฝังศพ หลังจากศพนั้นได้ฝังไปแล้วก็เป็นบิดอะอฺเช่นกัน ยกเว้นถ้าเจ้าของที่ดินนั้นไม่อนุญาตให้ฝังที่นั้น
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้ผู้ที่ตายชะฮีดที่ " อุฮุด" ฝันที่นั้นเลย คือสถานที่ที่คนนั้นตาย ทั้งที่กุบุรที่มะดีนะฮฺก็ไม่ไกลนัก
_
45. ฉลอองวัน " นิศฟุ ชะอฺบาน " ด้วยการนมาซ " เราะฆออิบ " และดุอาอฺหลังจากนมาซมัฆริบในคืนนั้นด้วยเสียงดัง
หะดีษที่กล่าวถึงความสำคัญของคืน " นิศฟุ ชะอฺบาน " (ค่ำคืนของกลางเดือนชะอฺบาน) นั้นล้วนแต่เป็นหะดีษเฎาะอีฟ จะใช้เพื่อให้กิจการที่ตนทำให้เป็นสุนนะฮฺไม่ได้
อบูบักร, อิบนุล อะเราะบี ได้กล่าวว่า :
หะดีษที่กล่าวถึงนิศฟู ชะอฺบานนั้นล้วนแต่ใช้ไม่ได้ แม้ว่า เรื่องนมาซ " นิศฟุ ชะอฺบาน " มีเขียนไว้ในหนังสือ " อิหะยาอฺ อุลูมิด-ดีน " (ของอิมามเฆาะซาลี)ก็ตาม
_
46. การดุอาอฺในคือ " นิศฟุ ชะอฺบาน" ดุอาอฺนี้สำนักพิมพ์ในอียิปต์หลายแห่งได้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง พวกเขาระบุว่า ถ้าทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาได้วางไว้แล้ว อัลลอฮฺจะทรงรับดุอาอฺนี้ เงื่อนไขของพวกเขาคือ
อ่านสูเราะฮฺ " ยาสีน " หลังจากนมาซ 2 ร็อกอะฮฺ แล้วอ่านดุอาออฺดังกล่าว ทำอย่างนี้ 4 ครั้งติดต่อกัน ทำครั้งแรกด้วยการอ่านดุอาอฺดังกล่าวโดยตั้งใจหรือเนียตว่า : ขอให้อายุยืน ทำครั้งที่สอง ตั้งใจว่า ขอให้พ้นภัย ทำครั้งที่สาม ด้วยการอ่านดุอาฮฺดังกล่าว และตั้งใจว่า จะไม่ขอพึ่งมนุษย์ ที่กล่าวมานี้ ล้วนแต่เป็นบิดอะอฺทั้งสิ้น
_
47.ไม่ทำนมาซวันอีดกลางแจ้ง
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำนมาซวันอีดในสนามกลางแจ้งตลอดมา โดยสั่งให้อุมมะฮฺ (ประชาชาติ)ของท่าน พาลูกหลานและภรรยาไปยังที่นมาซดังกล่าว ตามหะดีษ มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ท่าน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำนมาซในมัสญิด เพราะฝนตก แต่นี่ (ที่บออกว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นมาซอีดในมัสญิด) ก็เป็นหะดีษ เฎาะอีฟ
_
48. การเกาะฎอ(ชดใช้) นมาซ ที่ละทิ้งไปด้วยความจงใจ
ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยที่แสดงว่า ให้ทำเกาะฏอนมาซที่ละทิ้งไปด้วยความจงใจ อบู บักร กล่าวว่า : อะมัลที่ถูกใช้ให้ทำในเวลากลางวันนั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงรับถ้าทำในเวลาค่ำคืน และอะมัลที่ถูกใช้ให้ทำในเวลาค่ำคืน ออัลลอฮฺจะไม่ทรงรับถ้าทำในเวลากลางวัน
_
49. เชื่อว่าวันพุธสุดท้ายของเดือนเศะฟัรเป็นวันเคราะห์ร้าย จึงมีการเขียนอายะฮฺอัล-กุรอานบนกระดาษ แล้วโยนไปในบ่อ หรือในน้ำ หรือไปทิ้งทะเล
การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นบิดอะฮฺ ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า วันพุธสุดท้ายของเดือนเศาะฟัรเป็นวันเคราะห์ร้าย
เรื่องทำนองนี้ ถ้าหากเราไปพบหนังสือบางเล่ม (หรือปฏิทินของบางสำนัก) ก็อย่าไปเชื่อว่านั้นเป็นคำสอนของศาสนา นอกจากว่า มีหลักฐานอย่างชัดแจ้งเท่านั้น
_
50. ฉลองวัน " อะชูรอ " เหมือนวันอีด ก็เป็นบิดอะฮฺ
ผู้ริเริ่มฉลองวันนั้นก็คือ พวกยิวที่ค็อยบัร พวกเขาแต่งตัวงามๆ ในวันนั้น และจ่ายเงินทำอาหารพิเศษ ฉะนั้น เพื่อให้ความแตกต่างกับพวกยิว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงให้ถือศีลอดในวันนั้น 2 วัน คือ วันที่ 9 (วันตะสูอะ) และวันที่ 10 (วันอะชูรอ) อิมามชาฟีออี ได้เขียนใน " อัล-อุม " และ " อัล-อิมลาอฺ " ว่า " ควรถือศีลอด 3 วัน คือ วันที่ 9,10และ 11 ขอองเดือน มุหัรรอม "
_____
ที่จริงถ้าเราศึกษาดูสังคมมุสลิมในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วเอามาเปรียบเทียบกับสังคมของเราในปัจจุบันก็จะประจักษ์ได้ทันทีว่า มีความแตกต่างกักมากทีเดียว ฉะนั้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาผู้มีความรู้ที่เผยแผ่สุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คงจะพยายามเพื่อกำจัดบิดอะฮฺ ต่างๆ ให้สิ้นซากไป
มีอยู่หลายคนที่คิดว่าเมื่อเขาได้ทำกิจการบางอย่างตามแบบสุนนะฮฺแล้ว เขาก็เป็นพวกสุนนะฮฺ 100 % ส่วนลูกศิษย์ของเขาก็จะเชื่อถือว่า ครูของพวกเขาคนนั้นเป็นอฺลุส-สุนนะฮฺ 1000 % ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราไปบอกพวกเขาว่า ครูของพวกเขาได้ทำบิดอะฮฺ บางทีพวกเขาไม่เชื่อ หรือไม่ก็จะแปลกใจ เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนมีความรู้อย่างครูของพวกเขาคนนั้นคงไม่ทำนอกเหนือจากคำสอนของศาสนาแน่
มีอยู่หลายคนที่คิดว่า เมื่อเขานมาซโดยไม่กล่าว "อุศ็อลลี"
เขาก็เป็นคนตามแบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม 100 % แล้ว ทั้งๆที่สุนนะฮฺอย่างอื่นเขาไม่ทำหรือไม่รู้เสียด้วยซ้ำ นอกเหนือจาก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มิได้กล่าวคำตั้งใจในตอนเริ่มนมาซแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำอะไร และได้ละทิ้งอะไรบ้าง !
________
จากหนังสือ นมาซของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
P 121-125
ครูอิสมาอีล อะหฺมัด
สมาคมญัมอียะตุลอิสลาม
part 1
https://www.facebook.com/hellorun.running/posts/1076778102509642
part 2
https://www.facebook.com/hellorun.running/posts/1077053112482141
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น