วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

ยังมีมุสลิมอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจเรื่อง การศรัทธาต่อกฎอัล-เกาะดัร (กฎสภาวการณ์ของอัลลอฮฺ) (ไม่อยากย่อให้สั้นเกรงว่าจะไม่เข้าใจ)

ยังมีมุสลิมอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจเรื่อง
การศรัทธาต่อกฎอัล-เกาะดัร
(กฎสภาวการณ์ของอัลลอฮฺ)
(ไม่อยากย่อให้สั้นเกรงว่าจะไม่เข้าใจ)
ค่อยๆอ่านไม่ต้องรีบ
กฎอัลเกาะดัร คือ ความรอบรู้ของอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ในทุกสรรพสิ่ง ตลอดจนในสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาจะสร้างหรือให้บังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ โลกและจักรวาล เหตุการณ์ และสิ่งต่าง ๆ อีกทั้งคือการกำหนดสิ่งดังกล่าวและบันทึกไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในกระดานอัลเลาหุลมัหฟูซ (กระดานสงวนหรือกระดานที่ถูกพิทักษ์) ซึ่งกฎเกาะดัรนั้นเป็นความลับเฉพาะของอัลลอฮฺเกี่ยวกับสิ่งสรรสร้างของพระองค์ ไม่เป็นที่รู้ของมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดหรือนบีคนใดที่ถูกแต่งตั้งมา
#ความหมายของการศรัทธาในกฎเกาะดัร
คือ การเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นความดี ความชั่ว และสิ่งอื่นๆ เกิดขึ้นตามเกณฑ์กำหนดของอัลลอฮฺและด้วยพลานุภาพของพระองค์
ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า :
แท้จริง ทุก ๆ สิ่งนั้น เราสร้างมันตามกฎเกาะดัร(อัลเกาะมัร : 49)
#การศรัทธาในกฎอัลเกาะดัรประกอบด้วยสี่ปัจจัยหลัก คือ :
_
1.ประการแรก : คือ ศรัทธาว่าอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง ทั้งโดยสรุปและโดยละเอียด และทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของพระองค์เอง เช่น การสร้าง การบริหาร การชุบชีวิต การทำให้ตาย เป็นต้น หรือในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของสิ่งสรรสร้างของพระองค์ เช่น คำพูด การกระทำ สภาวะของมนุษย์ สภาวะของสัตว์ พืช ตลอดจนสิ่งที่ไม่มีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งทุกสิ่งดังกล่าวนั้นอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงรอบรู้ทั้งหมด
ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า :
อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และทรงสร้างแผ่นดินก็เยี่ยงนั้น บัญชาการของพระองค์จะลงมาท่ามกลางมัน (ชั้นฟ้าและแผ่นดิน) ทั้งนี้ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดยิ่งในทุกๆ สิ่ง (อัฏเฏาะลาก : 12)
_
2.ประการที่สอง : คือ ศรัทธาว่าอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงเขียนกฎเกณฑ์ของทุกสิ่งไว้ในกระดานอัลเลาหุลมัหฟูซ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของสิ่งสรรสร้างต่างๆ สภาวะ หรือปัจจัยยังชีพ โดยพระองค์ได้เขียนจำนวนและปริมาณ รูปแบบและลักษณะ เวลาและสถานที่ ซึ่งทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือโยกย้าย ไม่เพิ่มหรือถอดถอน นอกจากด้วยคำสั่งของพระองค์
สุบหานะฮุวะตะอาลา ดังหลักฐานต่อไปนี้:
_
2.1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงกล่าวว่า :
ความว่า :
เจ้ามิรู้ดอกหรือว่าอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ในท้องฟ้าและพื้นแผ่นดินทั้งหมด แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นมีอยู่ในสมุดบันทึกแล้ว อีกทั้งสิ่งนั้นยังเป็นสิ่งที่แสนง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ
(อัลหัจญ์ : 70)
_
2.2- จากอับดุลลอฮฺ บินอัมร บินอัลอาศ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า :
ความว่า :
ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้ทรงเขียนกฎเกณฑ์ของสิ่งสรรสร้างต่างๆก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินห้าหมื่นปี” ท่านกล่าวว่า “และบัลลังค์ของพระองค์นั้นอยู่เหนือน้ำ”
[บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2653]
_
3.ประการที่สาม : ศรัทธาว่าสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่ด้วยความประสงค์และความปรารถนาของอัลลอฮฺ ซึ่งทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ โดยสิ่งใดที่อัลลอฮฺประสงค์ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์ สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น ทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของพระองค์ เช่น การบริหาร การให้ชีวิต การทำให้ตาย เป็นต้น หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของบรรดาสิ่งสรรค์สร้าง เช่น การกระทำ คำพูด หรือ สภาวการณ์ต่าง ๆ ดังหลักฐานต่อไปนี้ :
3.1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงเลือกสรร (อัลเกาะศ็อศ: 68)
3.2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (อิบรอฮีม: 27)
3.3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ พวกเขาก็จะไม่สามารถกระทำสิ่งนั้น (อัลอันอาม: 112)
3.4- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : สำหรับผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ปรารถนาจะอยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรง และพวกเจ้าจะไม่สมปรารถนาสิ่งใดได้เว้นแต่เมื่ออัลลอฮฺพระเจ้าแห่งสากลโลกทรงประสงค์(อัตตักวีรฺ : 28-29)
_
4.ประการที่สี่ : คือ การศรัทธาว่าอัลลอฮฺคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงสร้างสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมด ทั้งรูปร่าง ลักษณะ และท่าทางการเคลื่อนไหว ไม่มีผู้สร้างและไม่มีผู้อภิบาลเว้นแต่พระองค์ ดังหลักฐานต่อไปนี้:
4.1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : อัลลอฮฺ คือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และพระองค์คือผู้คุ้มครองและดูแลทุกสิ่ง (อัซซุมัร : 62)
4.2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : แท้จริง ทุก ๆ สิ่งนั้น เราสร้างมันตามกฎเกาะดัร(อัลเกาะมัร: 49)
4.3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และอัลลอฮฺได้ทรงสร้างพวกเจ้าและสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ (อัศศ้อฟฟาต : 96)
_
#การใช้กฎเกาะดัรเป็นข้ออ้าง
สิ่งที่อัลลอฮฺกำหนดกฎเกณฑ์และกระทำต่อมนุษย์มี
สองประเภท
_
1- ประเภทแรก คือ สิ่งที่อัลลอฮฺได้กระทำและกำหนดกฎเกณฑ์ในด้านลักษณะและสภาพต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของมนุษย์ ซึ่งมีสองประเภท คือ :
ก. สิ่งที่ติดมากับตัวของเขา เช่น ความสูงหรือความต่ำ ความสวยหล่อเหลาหรือความขี้เหร่ การมีชีวิตหรือการตาย
ข. สิ่งที่เกิดกับตัวเขาโดยที่เขาไม่ต้องการ เช่น อุบัติภัย โรคภัยไข้เจ็บ การเสียทรัพย์ เสียชีวิต ผลไม้ไม่ออกตามฤดูกาล และความทุกข์อื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บางครั้งเป็นการลงโทษต่อความผิดของบ่าว บางครั้งเป็นการทดสอบ หรือบางครั้งก็เป็นการเพิ่มผลบุญและเลื่อนตำแหน่งให้แก่เขา
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาโดยที่เขาไม่ปรารถนาเช่นนี้ มนุษย์จะไม่ถูกสอบสวนและไม่ต้องรอผลจากสิ่งที่เกิดขึ้น และเขาจะต้องศรัทธาว่าทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นด้วยเกณฑ์กำหนดของอัลลอฮฺและพลานุภาพของพระองค์ เขาจะต้องอดกลั้น พอใจ และน้อมรับด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่ง สำหรับพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงเชี่ยวชาญแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ล้วนมีข้อคิดและคุณค่าแฝงอยู่ ดังหลักฐานต่อไปนี้ :
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : ภัยพิบัติใดๆ ที่เกิดในแผ่นดินหรือเกิดกับตัวพวกเจ้าจะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่จะมีจารึกแล้วอยู่ในบันทึกก่อนที่เราจะให้มันบังเกิดขึ้น แท้จริงแล้ว การนั้นเป็นการที่ง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ (อัลหะดีด : 22)
1. จากอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่า:
ความว่า : วันหนึ่ง ฉันอยู่ข้างหลังท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวว่า “โอ้ เด็กเอ๋ย ! ฉันจะสอนเจ้าสามสี่ประโยค จงระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอแล้วอัลลอฮฺก็จะทรงคุ้มครองเจ้า จงระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอแล้วเจ้าก็จะพบว่าพระองค์นั้นทรงอยู่เคียงข้างเจ้า เมื่อเจ้าจะขอสิ่งใดก็จงขอจากอัลลอฮฺ และเมื่อเจ้าจะขอความช่วยเหลือก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ และ จงทราบไว้ว่า ประชาชาตินี้ทั้งหมดหากพวกเขารวมตัวกันเพื่อจะให้เกิดคุณอย่างหนึ่งแก่เจ้า พวกเขาจะไม่สามารถให้คุณแก่เจ้าได้ เว้นแต่ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบันทึกไว้แล้วสำหรับเจ้า และ หากพวกเขารวมตัวกันเพื่อจะให้เกิดโทษอย่างหนึ่งให้กับเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำให้เกิดโทษแก่ตัวเจ้าได้ เว้นแต่ในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบันทึกไว้แล้วต่อตัวเจ้า ซึ่ง ปากกาได้ถูกยกออกแล้ว และสมุดบันทึกก็แห้งเรียบร้อยแล้ว”
[เศาะหีห บันทึกโดยอัหมัด หมายเลข 2669 และบันทึกโดยอัลติรมิซีย์ตามสำนวนนี้ หมายเลข 2516 เศาะหีหสุนันอัลติรมิซีย์ หมายเลข 2043]
2. มีรายงานจากอบีฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
ความว่า : “อัลลอฮฺ –อัซซะวะญัล-ได้กล่าวว่า ลูกหลานอาดัมได้รังควาญข้า โดยเขาได้ด่าทอวันเวลา ซึ่งข้านี่แหล่ะคือ (เจ้าของ) วันเวลา ทุกอย่างอยู่ในมือข้า ข้าหมุนเวียนกลางคืนและกลางวัน ”[มุตตะฟัก อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลข 4826 และมุสลิม หมายเลข 2246]
_
2- ประเภทที่สอง คือ สิ่งที่อัลลอฮฺได้กระทำและกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ในด้านพฤติกรรมที่อยู่ในความควบคุมของสติปัญญา ความสามารถ และการเลือกสรรของมนุษย์ เช่น การศรัทธาหรือการปฏิเสธ การภักดีหรือการเนรคุณ และการทำดีหรือการทำชั่ว
โดยพฤติกรรมเช่นนี้ มนุษย์จะต้องถูกตรวจสอบและได้รับผลของพฤติกรรมในรูปของรางวัลตอบแทนหรือการลงโทษ เพราะอัลลอฮฺได้ส่งบรรดาศาสนฑูต ได้ประทานคัมภีร์ต่างๆ ได้ทรงแยกแยะความดีออกจากความชั่ว ได้ทรงรณรงค์สนับสนุนการศรัทธาและการภักดี ตลอดจนได้ทรงตักเตือนให้หลีกเลี่ยงจากการปฏิเสธและการทรยศ ทรงประทานสติปัญญาให้กับมนุษย์และให้พลังอำนาจแก่เขาในการคัดเลือก กระทั่งเขาสามารถเลือกทางเดินที่เขาพอใจ ซึ่งไม่ว่าทางใดที่เขาเลือกต่างก็ต้องอยู่ภายใต้ความประสงค์ของอัลลอฮฺและพลานุภาพของพระองค์ เพราะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลของอัลลอฮฺนี้ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการรับรู้และการประสงค์ของพระองค์ ดังหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : จงกล่าวซิ (มุฮัมมัด) ว่า สัจธรรมที่แท้จริงนั้น มาจากพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งหากใครประสงค์ (จะศรัทธา) ก็จงศรัทธา หรือใครประสงค์ (จะปฏิเสธ) ก็จงปฏิเสธ (อัลกัฮฟฺ : 29)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : ผู้ใดที่ทำการดี ความดีก็จะเป็นของเขา และผู้ใดที่ทำการชั่ว เขาก็จะต้องได้รับโทษของมัน ซึ่งพระเจ้าของเจ้านั้นไม่ได้เป็นผู้ทารุณต่อปวงบ่าว (ฟุซซิลัต : 46)
3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : ผู้ใดที่ปฏิเสธ เขาก็จะต้องรับโทษจากการปฏิเสธของเขา ส่วนผู้ใดที่กระทำการดี พวกเขาก็ได้เตรียมที่พักสำหรับตัวเอง (อัรรูม: 44)
4- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : (อัลกุรอานนั้น) ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากจะเป็นบทตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งมวล สำหรับผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ปรารถนาจะครองตัวอยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรง และพวกเจ้าจะไม่สมปรารถนาในสิ่งใดได้ เว้นแต่เมื่ออัลลอฮฺพระเจ้าแห่งสากลโลกจะทรงประสงค์ (อัลตักวีร : 27-29)
_
#เราสามารถใช้กฎอัลเกาะดัรเป็นข้ออ้างได้เมื่อใด?
1- อนุญาตให้มนุษย์สามารถอ้างกฎอัลเกาะดัรเป็นข้ออ้างของการเกิดทุกข์ภัยได้สำหรับในส่วนของประเภทแรกที่ได้กล่าวมา (คือ สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของมนุษย์) โดยเมื่อมนุษย์ล้มป่วย เสียชีวิต หรือถูกทดสอบด้วยทุกข์ภัยที่เขาไม่พึงปรารถนา เขาก็สามารถจะกล่าวอ้างว่าเป็นเหตุจากกฎอัลเกาะดัรของอัลลอฮฺ เช่น การกล่าวว่า “ก็อดดะร็อลลอฮฺ วะมาชาอะ ฟะอัล” (แปลว่า อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้แล้ว และสิ่งใดที่พระองค์ประสงค์ พระองค์ก็จะกระทำ) อีกทั้ง เขาจะต้องอดทน และแสดงความพอใจหากเขาสามารถกระทำได้ เพื่อจะได้ผลตอบแทนที่ดี ดังที่อัลลอฮฺ ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : จะจงแจ้งข่าวดีให้แก่ผู้อดทน ผู้ที่เมื่อประสบทุกข์ภัยใด ๆ พวกเขาจะกล่าวว่า “อินนาลิลลาฮิ วะอินนาอิลัยฮิ รอญิอูน“ (แปลว่า เราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และเราจะต้องหวนกลับสู่พระองค์) พวกเขาเหล่านั้นแหละที่จะได้รับพรและความเมตตาจากพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาเหล่านั้นแหละคือผู้ที่ได้รับทางนำ (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 155-157)
2. ไม่อนุญาตให้มนุษย์ใช้กฎอัลเกาะดัรเป็นข้ออ้างสำหรับการกระทำบาปและละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำสิ่งหวงห้าม เพราะอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้ปฏิบัติการภักดีและหลีกเลี่ยงการกระทำบาป ทรงใช้ให้ปฏิบัติและห้ามไม่ให้ใช้กฎเกาะดัรเป็นข้ออ้างในการกระทำบาป ซึ่ง หากสามารถใช้กฎอัลเกาะดัรเป็นข้ออ้างสำหรับผู้ใดได้แล้ว แน่นอน อัลลอฮฺย่อมไม่ทรงลงโทษผู้ปฏิเสธต่อศาสนทูตต่าง ๆ เช่น พวกปฏิเสธศาสนทูตนูห์ พวกอ๊าด หรือพวกษะมูด เป็นต้น และพระองค์ย่อมไม่ทรงบัญชาให้ลงโทษต่อผู้ล่วงละเมิดกฎหมาย
และผู้ใดที่เห็นว่ากฎอัลเกาะดัรสามารถนำเป็นข้ออ้างสำหรับผู้กระทำผิดได้โดยไม่ต้องกล่าวหาและลงโทษต่อพวกเขา เขาก็จงอย่าได้กล่าวหาและลงโทษผู้ร้ายเมื่อกระทำผิดต่อตัวเขา และจงอย่าแยกแยะระหว่างคนทำดีและคนทำชั่วต่อเขา ซึ่งแน่นอน มันย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่อัลลอฮฺได้กำหนดให้แก่บ่าว ทั้งความดีและความชั่วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ด้วยการเชื่อมโยงกับมูลเหตุของมันโดยสำหรับความดีนั้นก็มีมูลเหตุของมัน นั่นคือ การศรัทธาและการภักดี และสำหรับความชั่วก็มีมูลเหตุของมันเช่นกัน นั่นคือ การปฏิเสธและการกระทำบาป ซึ่งมนุษย์สามารถกระทำการตามเจตนารมณ์และการเลือกสรรที่อัลลอฮฺได้กำหนดและมอบให้แก่เขา และเขาจะไม่สามารถบรรลุสิ่งที่อัลลอฮฺได้เขียนเป็นกฎเกณฑ์ให้แก่เขาทั้งความมีเกียรติหรือความอับยศได้ เว้นแต่จะต้องผูกพันด้วยสาเหตุต่าง ๆ ที่เขาได้กระทำตามการเลือกของตัวเองที่อัลลอฮฺได้ให้อิสระแก่เขา ดังนั้น การได้เข้าสวรรค์ จึงมีมูลเหตุของมัน และการเข้านรกก็มีมูลเหตุของมันเช่นกัน ดังหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีจะกล่าวว่า หากว่าอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้วไซร้ พวกเราก็ย่อมไม่ตั้งภาคีหรอก และบรรพบุรุพของเราก็ย่อมไม่ตั้งภาคีด้วยเช่นกัน และพวกเราก็ย่อมไม่กำหนดสิ่งใดๆ ให้เป็นสิ่งหวงห้าม เช่นนั้นแหละที่บรรดาผู้ปฏิเสธก่อนหน้าพวกเขาได้กล่าวโกหกมาแล้ว จนกระทั่งพวกเขาต้องลิ้มรสโทษทัณฑ์ของเรา จงกล่าวซิ (มุฮัมมัด) ว่า พวกเจ้ามีวิชาการอะไรที่สามารถนำออกมาให้เรา พวกเจ้านี้ได้แต่เพียงกระทำการตามความคาดเดา และพวกเจ้านี้มีแต่เพียงจะกล่าวเท็จเท่านั้นเอง (อัลอันอาม : 148)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ เผื่อว่าพวกท่านจะได้ถูกเมตตา (อาลิอิมรอน : 132)
3. มีรายงานจากอะลีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้กล่าวว่า :
ความว่า : “ไม่มีคนใด ในหมู่พวกท่านนอกจากจะถูกรู้ล่วงหน้าแล้วถึงสถานที่พำนักของเขาว่าเป็นสวรรค์หรือนรก พวกเขาเลยกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะสูลัลลอฮฺ แล้วเราทำดีเพื่ออะไรกัน ? เราปล่อยตัว (โดยไม่ต้องทำดีอะไร) ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ? ท่านตอบว่า “ไม่ได้ พวกท่านจงทำดี เพราะทุกคนได้ถูกปูทางให้กระทำในสิ่งที่เขาถูกสร้างไว้” แล้วท่านก็อ่านอัลกุรอาน:
ความว่า : ส่วนผู้ที่บริจาคและยำเกรง อีกทั้งยังเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีนั้น เราก็จะปูทางสู่สิ่งที่ง่ายดาย (สวรรค์) ให้แก่เขา และสำหรับผู้ที่ตระหนี่และหยิ่งยะโส อีกทั้งยังปฏิเสธต่อสิ่งดี เราก็จะปูทางสู่สิ่งที่ยากลำบาก (นรก) ให้แก่เขา (อัลลัยลฺ : 5-10) มุตตะฟัก อะลัยฮฺ
_
#อนุญาตให้ใช้อัลเกาะดัรหนึ่งเพื่อป้องกันหรือระงับอีกกฎอัลเกาะดัรหนึ่งในสิ่งต่อไปนี้ :
1- การระงับกฎอัลเกาะดัรด้วยการระงับสาเหตุของมัน เช่น การระงับการรุกรานของศัตรูด้วยการทำสงคราม เพราะการไม่ต่อสู้หรือไม่ทำสงครามคือสาเหตุของการรุกรานของศัตรู หรือ การระงับความร้อนด้วยการใช้ความเย็น เพราะการที่ไม่มีความเย็นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความร้อน เป็นต้น
2- การใช้กฎอัลเกาะดัรเพื่อหักล้างกฎอัลเกาะดัร เช่น การหักล้างการป่วยด้วยการรักษา การหักล้างบาปด้วยการเตาบัต หรือการหักล้างการทำชั่วด้วยการทำดี เป็นต้น
การกระทำความดีและความชั่วของบ่าวนั้น สามารถจะพาดพิงถึงอัลลอฮฺได้ในแง่ของการสร้างและการอนุญาตให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น โดยอัลลอฮฺนั้น คือ ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง อันรวมถึงการสร้างตัวมนุษย์และการสร้างการกระทำของเขา
แต่กระนั้นก็ตาม ความประสงค์ของอัลลอฮฺก็ไม่ใช่เป็นข้อบ่งชี้ถึงความพึงพอใจของพระองค์เสมอไป เป็นต้นว่า การปฏิเสธ การฝ่าฝืนคำสั่ง และการทำความชั่วนั้นเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺก็ไม่ได้ทรงรัก ไม่ทรงพึงพอใจ หรือมีบัญชาให้กระทำมัน ทว่า พระองค์กลับทรงโกรธกริ้วและทรงห้ามไม่ให้กระทำมัน และการที่สิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกโกรธกริ้วและถูกเกลียดชังก็ไม่ได้หมายความว่ามันได้หลุดออกจากความประสงค์ของอัลลอฮฺที่ครอบคลุมการสร้างทุกสิ่ง ซึ่งทุกสิ่งนั้น อัลลอฮฺได้ทรงสร้างอย่างมีเป้าหมายและแฝงด้วยวิทยปัญญาอันตั้งอยู่บนฐานของการบริหารสิ่งครอบครองและสิ่งสรรค์สร้างของพระองค์
_
#มนุษย์ที่สมบูรณ์และประเสริฐที่สุด คือ ผู้ที่ชอบในสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ชอบ และเกลียดในสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์เกลียด โดยพวกเขาไม่มีความรู้สึกชอบและเกลียดนอกเหนือไปจากสิ่งดังกล่าว พวกเขาจึงกำชับผู้อื่นให้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์สั่ง และไม่กำชับในสิ่งที่นอกเหนือจากนั้น และในทุกครู่ยาม บ่าวทุกคนต่างประสงค์ต่อคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺเพื่อเทิดทูนและปฏิบัติตาม และประสงค์ต่อคำสั่งห้ามเพื่อจะหลีกเลี่ยง ตลอดจนประสงค์ต่อกฎอัลเกาะดัรเพื่อถวายความพึงพอใจ
#การยอมรับในกฎอัลเกาะดัรประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ :
1- การยอมรับด้วยความเต็มใจต่อการกระทำความภักดีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งส่วนนี้ เป็นส่วนที่ถูกบัญชาให้ยอมรับ
2- การยอมรับด้วยความเต็มใจต่อทุกข์ภัยที่ประสบ ซึ่งส่วนนี้ ก็เป็นส่วนที่ถูกบัญชาให้ยอมรับด้วยเช่นกัน โดย หากไม่อยู่ในระดับ “มุสตะหับ” ก็จะอยู่ในระดับ “วาญิบ” [ตามกฎหมายอิสลามแล้ว มาตรการกวดขันเพื่อให้ปฏิบัติมี 2 ระดับด้วยกัน คือ มุสตะหับ หมายถึง เน้นให้กระทำแต่ไม่ถึงขั้นบังคับ และ วาญิบ หมายถึง บังคับให้กระทำ]
3- การปฏิเสธ การกระทำสิ่งไม่ดี และการละเมิดคำสั่งของพระเจ้า ส่วนนี้ เป็นส่วนที่ไม่ได้ถูกบัญชาให้ยอมรับ แต่กลับถูกบัญชาให้เกลียดชังและต่อต้าน เพราะอัลลอฮฺไม่ทรงชอบและพอพระทัย ซึ่งสิ่งนี้ แม้ว่าพระองค์ทรงสร้างมัน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงรักชอบมัน ดังเช่นการที่พระองค์ทรงสร้างชัยฏอน ซึ่งเรายอมรับด้วยความเต็มใจต่อสิ่งที่อัลลอฮฺสร้าง แต่ในส่วนพฤติกรรมที่ชั่วร้ายและตัวผู้กระทำนั้น เราไม่ได้พอใจและชื่นชอบมัน
ดังนั้น ในสิ่งหนึ่ง ๆ ก็จะมีด้านทีถูกชื่นชอบและด้านที่ถูกเกลียดชัง ดังเช่นยาขมที่ไม่มีใครชื่นชอบแต่มันก็นำไปสู่สิ่งที่ชื่นชม (คือ การหายจากโรค) และหนทางเพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺคือ เราจะต้องยอมรับด้วยความเต็มใจในสิ่งดังกล่าวด้วยการกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงรักและพอพระทัย โดยเราไม่ได้พึงพอใจต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น และเราก็ไม่ได้ถูกสั่งให้พึงพอใจในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและกำหนดไว้ แต่เราได้ถูกสั่งให้พึงพอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะสูลบอกให้เราพึงพอใจ
#การที่อัลลอฮฺทรงสร้างสิ่งดีหรือสิ่งชั่วให้เกิดขึ้นสามารถมองในสองมิติ :
_
มิติแรก คือ
ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพระเจ้าและการพาดพิงถึงพระองค์ ซึ่งในมิตินี้ บ่าวต้องยอมรับด้วยความเต็มใจ เพราะการกำหนดสร้างของอัลลอฮฺต่อสิ่งใด ๆ นั้นล้วนดี ยุติธรรม และมีคุณค่าและวิทยปัญญา
_
มิติที่สอง คือ
ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับตัวบ่าวและการพาดพิงถึงตัวเขา ซึ่งในส่วนนี้ มีทั้งที่พึงพอใจ เช่นการศรัทธาและการภักดี และไม่พึงพอใจ เช่น การปฏิเสธและการกระทำการละเมิดคำสั่ง ซึ่งการกระทำเช่นนี้อัลลอฮฺเองก็ไม่ทรงยอม ไม่ทรงชื่นชอบ และไม่ได้ทรงบัญชาให้กระทำ ดังมีหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงเลือกสรร ซึ่งพวกเขาไม่มีสิทธิในการเลือก มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากสิ่งที่พวกเขาได้ตั้งภาคี (อัลเกาะศ็อศ : 68)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : หากพวกเจ้าปฏิเสธ อัลลอฮฺเองก็ไม่ทรงปรารถนาและไม่ทรงปิติยินดีกับปวงบ่าวของพระองค์ในการปฏิเสธนั้น และหากพวกเจ้านอบน้อมขอบคุณ พระองค์ก็ทรงยินดีในสิ่งนั้นกับพวกเจ้า(อัซซุมัร : 7)
3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และอัลลอฮฺนั้นทรงสร้างพวกเจ้าและ (สร้าง) สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ (อัศศอฟฟาต: 96)
#การกระทำของปวงบ่าวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง
อัลลอฮฺได้ทรงสร้างบ่าวและสร้างการกระทำของเขา พระองค์ทรงรู้สิ่งดังกล่าวและได้ทรงบันทึกมันไว้ก่อนที่จะมันจะเกิดขึ้น ครั้นเมื่อบ่าวกระทำความดีหรือความชั่วเราก็ได้ประจักษ์ถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรู้ ทรงสร้าง และทรงบันทึก และความรู้ของอัลลอฮฺเกี่ยวกับการกระทำของบ่าวนั้น เป็นความรู้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่ง โดยไม่มีอะไรซ่อนเร้นต่อพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเพียงสิ่งน้อยนิดในแผ่นดินหรือในท้องฟ้าก็ตาม ดังมีหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า: และอัลลอฮฺนั้นทรงสร้างพวกเจ้าและ (สร้าง) สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ (อัศศอฟฟาต: 96)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และที่พระองค์นั้น มีกุญแจแห่งความเร้นลับต่าง ๆ โดยพระองค์เท่านั้นที่ทรงรู้สิ่งเหล่านั้น และทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดินและในทะเล และไม่มีใบไม้ใดร่วงหล่นลง นอกจากพระองค์ก็จะทรงรู้มัน และไม่มีเมล็ดพืชใดที่ฝังอยู่ในความมืดมิดของแผ่นดิน และไม่มีสิ่งที่อ่อนนุ่มหรือสิ่งที่แห้งใด ๆ นอกจากจะมีอยู่ในบันทึกที่ชัดแจ้ง (อัลอันอาม: 59)
3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า:
ความว่า : และทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า ทุกอายัตเกี่ยวกับเรื่องนั้นที่เจ้าอ่านในอัลกุรอาน และทุกการงานที่พวกเจ้ากระทำนั้น เราเองคือผู้กำกับควบคุมตอนพวกเจ้าเริ่มกระทำในสิ่งนั้น และสิ่งเบาเท่าอณูหนึ่งในแผ่นดินและในท้องฟ้าหรือสิ่งที่เล็กกว่าและใหญ่กว่านั้น ล้วนแต่มีปรากฎอยู่แล้วในบันทึกอันชัดแจ้งโดยมิได้เลือนลางหายไปจาก (ความรอบรู้ของ) พระเจ้าของเจ้า
(ยูนุส : 61)
4- จากอับดุลลอฮฺ บินมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า :
ความว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกแก่พวกเรา ซึ่งท่าน คือ “อัศศอดิกุลมัศดูก” (แปลว่า คนพูดจริงที่เป็นที่เชื่อถือ) ว่า : “แท้จริงแล้ว แต่ละคนในพวกท่านนั้นได้ถูกปฏิสนธิในท้องมารดาเป็นเวลาสี่สิบวัน จากนั้นจะพัฒนาเป็นก้อนเลือดในระยะเวลาเหมือนดังกล่าวเช่นนั้น จากนั้นจะพัฒนาเป็นก้อนเนื้อในระยะเวลาเหมือนดังกล่าวเช่นกัน จากนั้น มะลาอิกะฮฺก็ถูกส่งมา แล้วท่านก็จะเป่าวิญญานเข้าในนั้น และท่านจะถูกสั่งให้กำหนดสี่ประโยคด้วยกัน คือ ให้กำหนดปัจจัยยังชีพของเขา อายุของเขา การงานของเขา และการเป็นคนอับยศหรือคนมีเกียรติ และขอสาบานต่อผู้ที่ไม่มีพระเจ้านอกจากพระองค์ว่า แท้จริงแล้ว มีผู้หนึ่งในพวกท่านได้ปฏิบัติงานของชาวสวรรค์อย่างจริงจังจนกระทั่งเหลือระยะห่างระหว่างเขาและมัน (สรวงสวรรค์) เพียงหนึ่งศอกเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ถูกกฎของหนังสือบันทึก (ว่าเขาต้องตกนรก) มาตัดหน้าเสียก่อน เขาจึงปฏิบัติงานของชาวนรก แล้วเขาก็ต้องเข้าไปในนั้น และ มีผู้หนึ่งในพวกท่านที่ได้ปฏิบัติงานของชาวนรกอย่างจริงจังจนกระทั่งเหลือระยะห่างระหว่างเขาและมัน (นรก) เพียงหนึ่งศอกเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ถูกกฎของหนังสือบันทึก (ว่าเขาจะได้เข้าสรวงสวรรค์) มาตัดหน้าเสียก่อน เขาจึงปฏิบัติงานของชาวสวรรค์ แล้วเขาก็ได้เข้าไปในนั้น“ มุตตะฟัก อะลัยฮฺ
_
#ความยุติธรรมและความเอื้ออารี
การกระทำต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล จะอยู่ในกรอบของความยุติธรรมและความเอื้ออารีโดยไม่ทรงทารุณต่อผู้ใด พระองค์จะปฏิบัติต่อบ่าวบนฐานของความยุติธรรม หรือไม่ก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาบนฐานของความเอื้ออารี
ซึ่งสำหรับคนชั่วนั้น พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความยุติธรรม ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้กล่าวว่า :
ความว่า : และผลตอบแทนของความชั่วนั้น คือความเลวร้ายอย่างเช่นเดียวกัน (อัชชูรอ: 40)
ส่วนคนดี พระองค์ก็จะทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความพิเศษและเอื้ออารี ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : ผู้ที่กระทำความดีนั้น เขาก็จะได้รับผลตอบแทนสิบเท่าของมัน (อัลอันอาม: 160)
_
#คำบัญชาการของพระเจ้าในรูปของศาสนบัญญัติและกฎธรรมชาติ
สำหรับพระองค์อัลลอฮฺ อัซซะวะญัลนั้น มีคำบัญชาการ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
คำบัญชาการในรูปของกฎธรรมชาติ
และคำบัญชาการในรูปของศาสนบัญญัติ
_
#คำบัญชาการในรูปของกฎธรรมชาติมี3ประเภท คือ
หนึ่ง
คำบัญชาเพื่อสร้างและให้บังเกิดขึ้น เป็นคำบัญชาจากอัลลอฮฺที่มีต่อสิ่งสร้างสรรค์ทั้งมวล ดังที่พระองค์ได้กล่าวว่า :
ความว่า : อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ดูแลและคุ้มครองทุกสิ่ง (อัซซุมัร: 62)
สอง
คำบัญชาให้คงอยู่ เป็นคำบัญชาจากอัลลอฮฺที่มีต่อสิ่งสร้างสรรค์ทั้งมวลเพื่อให้คงอยู่ ดังที่พระองค์ได้กล่าวว่า :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : แท้จริง อัลลอฮฺนั้นทรงค้ำชูชั้นฟ้าและแผ่นดินเอาไว้เพื่อมิให้มันหล่นตกลงมา ซึ่ง นอกจากพระองค์แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอีกที่จะสามารถค้ำชูทั้งสองได้หากมันหล่นตกลงมา แท้จริง พระองค์ทรงเป็นผู้ขันติ ผู้ทรงอภัยเสมอ (ฟาฏิร: 41)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และหนึ่งในบรรดาสัญญานแห่งความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็คือ การที่ชั้นฟ้าและแผ่นดินได้ยืนยงด้วยพระบัญชาของพระองค์ ต่อมา เมื่อพระองค์ทรงเรียกพวกเจ้าหนึ่งครั้งให้ออกจากแผ่นดิน เมื่อนั้นแหละพวกเจ้าทั้งหมดต่างก็จะออกมากัน (อัรรูม : 25)
สาม
คำบัญชาเพื่อให้เกิดคุณและโทษ ให้เคลื่อนไหวและเงียบนิ่ง และให้เป็นและให้ตาย เป็นต้น เป็นคำบัญชาจากอัลลอฮฺที่มีต่อสิ่งสร้างสรรค์ทั้งมวลเช่นเดียวกัน ดังหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : จงกล่าวซิ (มุหัมมัด) ว่าฉันไม่ได้ครอบครองคุณและโทษใด ๆ แก่ตัวเอง ยกเว้นในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประสงค์เท่านั้น และถ้าหากฉันเป็นผู้ที่รู้ในสิ่งเร้นลับแล้ว แน่นอน ฉันก็คงจะกอบโกยสิ่งที่ดีไว้อย่างมากมาย และความชั่วร้ายก็คงจะไม่มาแตะต้องตัวฉันได้ แต่ฉันนี้ มิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเพียงผู้ตักเตือน และผู้แจ้งข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น
(อัลอะอฺรอฟ : 188)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : พระองค์ คือ ผู้ทำให้พวกเจ้าได้เดินทางทางบกและทางทะเล จนกระทั่ง เมื่อพวกเจ้าอยู่ในเรือและมันได้พาพวกเขาแล่นไปด้วยลมที่ดี และพวกเขาก็ดีใจกับมัน ทันใดนั้น ลมพายุก็ได้พัดกระหน่ำและคลื่นก็ซัดถล่มพวกเขาจากทุกด้าน และพวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขาได้ถูกปิดล้อมรอบด้านแล้ว พวกเขาจึงกล่าววิงวอนขอต่ออัลลอฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าหากพระองค์ทรงให้พวกเราได้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว แน่นอนยิ่ง พวกเราจะเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาผู้นอบน้อมขอบคุณ (ยูนุส : 22)
3- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : พระองค์ คือ ผู้ให้เป็นและให้ตาย ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงกำหนดจะให้สิ่งใดเกิดขึ้น พระองค์ก็เพียงแค่กล่าวต่อสิ่งนั้นว่า “กุน” (แปลว่า“จงเป็น”) แล้วมันก็เกิดขึ้น (ฆอฟิร : 68)
#ส่วนบัญชาการที่อยู่ในรูปของศาสนบัญญัติจากพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นบัญชาการจากอัลลอฮฺต่อปวงมนุษย์และภูตญินเท่านั้น
โดยบัญชาการดังกล่าวจะครอบคลุมบัญญัติว่าด้วยการศรัทธา การปฏิบัติศาสนกิจ การค้าขาย การเข้าสังคม และมารยาทต่าง ๆ ซึ่งระดับมากน้อยของความรู้สึกเอิบอิ่มและมีสุขกับการได้เทิดทูนและปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮฺของบ่าวแต่ละคนนั้นจะขึ้นอยู่กับความศรัทธาแรงกล้าของแต่ละคนต่ออัลลอฮฺที่เขาได้มองเห็นเดชานุภาพของพระองค์ผ่านกฎธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น มนุษย์ที่มีความสุขมากที่สุดจึงเป็นมนุษย์ที่รู้จักพระเจ้าของเขามากที่สุข นั้นก็คือ บรรดาศาสนทูตและผู้ที่ใช้ชีวิตตามรอยทางของพวกท่านเหล่านั้น และด้วยการเทิดทูนปฏิบัติคำบัญชาการของอัลลอฮฺในรูปของศาสนบัญญัตินี้ อัลลอฮฺจะทรงประทานความจำเริญมั่งมีในฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่เราในโลกนี้ และจะทรงให้เราได้เข้าสรวงสวรรค์ในโลกหน้า
#บัญชาการของอัลลอฮฺแบ่งออกเป็น2ประเภท คือ
1- บัญชาการในรูปของการประทานศาสนบัญญัติ ซึ่ง มนุษย์อาจจะทำหรือไม่ทำ ก็ด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ โดยบัญชาการประเภทนี้มีระบุในอัลกุรอานหลายแห่งด้วยกัน เช่นที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และพระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชามิให้กราบไหว้ผู้ใดเว้นแต่ต่อพระองค์เท่านั้น ส่วนบิดามารดานั้นก็ให้ทำดี (อัลอิสร็ออฺ : 23)
2- บัญชาการในรูปของการกำหนดกฎธรรมชาติ ซึ่ง จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ โดยมี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ:
ก-
บัญชาการโดยตรงที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : แท้จริงแล้ว การงานของพระองค์นั้น เมื่อพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดให้เกิดขึ้น พระองค์ก็เพียงแค่กล่าวต่อสิ่งนั้นว่า “กุน” (แปลว่า“จงเป็น”) แล้วมันก็เกิดขึ้น (ยาสีน : 82)
ข-
บัญชาการในรูปกฎธรรมชาติ คือ กฎต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุและผลที่เกิดปฏิกิริยาสัมพันธ์กัน โดยทุกๆสาเหตุจะมีผลของมัน ซึ่งตัวอย่างของกฎเหล่านี้ คือ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าอัลลอฮฺไม่เคยเปลี่ยนแปลงสิ่งประทานใด ๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ชนกลุ่มหนึ่งจนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่กับตัวพวกเขาเอง
(อัลอันฟาล : 53)
2- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และเมื่อเราประสงค์จะทำลายบ้านเมืองใด เราก็จะบัญชานักฟุ่มเฟือยในบ้านเมืองนั้น (ให้กระทำความเสียหายในบ้านเมือง) แล้วพวกเขาก็กระทำ คำสั่งแห่งความหายนะจึงเกิดขึ้นกับมัน เราเลยทำลายมันอย่างย่อยยับ (อัลอิสรออฺ: 16)
และด้วยกฎแห่งธรรมชาตินี้เอง มารร้ายอิบลีสและบริวารของมันได้พยายามใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งต้องประสบความล่มจม และอัลลอฮฺก็ได้สอนให้เราขอดุอาอ์และกล่าวคำอิสติฆฟาร (ขออภัยโทษ) เพื่อจะได้รอดพ้นจากเล่ห์อุบายดังกล่าว ซึ่งไม่มีอะไรสามารถจะหักล้างกฎบัญญัติของอัลลอฮฺได้นอกจากการขอดุอาอ์เท่านั้น การขอดุอาอ์จึงถือเป็นการเข้าในความคุ้มครองอัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้างกฎธรรมชาติทั้งหมด พระองค์คือผู้ทรงอำนาจที่สามารถจะทำให้เหตุและผลอย่างหนึ่งต้องกลายเป็นโมฆะไป ณ เวลาใดและด้วยวิธีใดที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังที่พระองค์ทรงยกเลิกการเกิดปฏิกิริยาของไฟในกรณีของศาสดาอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ดังที่มีระบุในอัลกุรอานว่า :
ความว่า : เราได้กล่าวว่า โอ้ ไฟเอ๋ย! เจ้าจงเป็นความเย็นและสันติแก่อิบรอฮีมซิ (อัลอัมบิยาอฺ: 69)
#สิ่งดีและสิ่งไม่ดี
#สิ่งดี แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ :
1. สิ่งดีที่มีสาเหตุมาจากการศรัทธาและการประกอบความดี กล่าวคือ การจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ อัซซะวะญัล และต่อท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ของพระองค์
2. สิ่งดีที่มีสาเหตุมาจากการประทานความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าต่อมนุษย์ด้วยการประทานทรัพย์สมบัติ พลานามัย ชัยชนะ และเกียรติยศ เป็นต้น
#ส่วนสิ่งไม่ดี ก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเช่นกัน คือ :
1. สิ่งไม่ดีที่มีสาเหตุมาการตั้งภาคีและการกระทำการเนรคุณ คือ การตั้งภาคีและการเนรคุณของมนุษย์
2. สิ่งไม่ดีที่มีสาเหตุมาจากการทดสอบหรือการลงโทษของพระเจ้า เช่น โรคภัยไข้เจ็บ การสูญเสียของทรัพย์สมบัติ และความพ่ายแพ้ เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งดีที่อยู่ในกรอบความหมายของการภักดีจึงต้องพาดพิงถึงอัลลอฮฺเท่านั้น เพราะพระองค์คือผู้ที่ทรงบัญญัติให้แก่ปวงบ่าว อีกทั้งยังสอนและบัญชาให้ปฏิบัติ ตลอดจนประทานความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้
ส่วนสิ่งไม่ดีในความหมายของการละเมิดคำสั่งของอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ เมื่อบ่าวได้กระทำไปด้วยความต้องการและความพอใจของเขาเอง โดยเลือกจะทำการเนรคุณแทนการกระทำการภักดี สิ่งไม่ดีอย่างนี้จะพาดพิงถึงบ่าวในฐานะเป็นผู้กระทำและจะไม่พาดพิงถึงอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺไม่ได้บัญญัติและไม่ได้บัญชาให้กระทำ ทว่าพระองค์ยังทรงห้ามและทรงคาดโทษแก่ผู้ที่กระทำ ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : ความดีใดๆ ที่ประสบกับเจ้านั้นมาจากอัลลอฮฺ ส่วนความชั่วใดๆ ที่ประสบกับเจ้านั้นมันมาจากตัวเจ้าเอง และเราได้ส่งเจ้ามาเป็นเราะสูลแก่ปวงมนุษย์ และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน (อันนิสาอฺ : 79)
ส่วนสิ่งดี ๆ ในความหมายของโชคลาภ เช่น ทรัพย์สมบัติ บุตร การมีพลานามัยที่ดี ชัยชนะ และเกียรติยศ หรือสิ่งไม่ดีในความหมายของการลงโทษและการทดสอบ เช่น การสาบสูญของทรัพย์สมบัติ ชีวิต และผลไม้ ตลอดจนความพ่ายแพ้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งดีและสิ่งไม่ดีในความหมายทั้งสองนี้ทั้งหมดมาจากอัลลอฮฺ เพราะพระองค์ทรงทดสอบบ่าวของพระองค์ด้วยการให้ทุกข์ ลงโทษ และยกระดับ ทั้งนี้เพื่อฝึกฝนบ่าวของพระองค์ ดังที่พระองค์ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และถ้าหากพวกเขาประสบความดีใด ๆ พวกเขาก็จะกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากอัลลอฮฺ และหากพวกเขาประสบความชั่วใด ๆ พวกเขาก็จะกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากตัวเจ้า จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ทุกอย่างนั้นมาจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น แล้วมีเหตุใดเกิดขึ้นกับพวกเหล่านี้หรือทำให้พวกเขาถึงกับเกือบจะไม่เข้าใจคำพูดเอาเสียเลย (อันนิสาอฺ : 78)
#การได้รับการยกโทษ
เมื่อคนมุอ์มิน(ผู้ศรัทธา)ได้กระทำความชั่ว โทษของเขามีโอกาสจะได้รับการอภัยโดยวีธีต่อไปนี้ :
-
โดยการขออภัยโทษ และอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงยกโทษให้
-
โดยการกล่าวคำอิสติฆฟาร (ขออภัยโทษ) และอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงยกโทษให้
-
โดยการปฏิบัติความดีที่ไปลบล้างความชั่ว
-
โดยการขอดุอาอ์และกล่าวคำอิสติฆฟารของเพื่อนที่มุอ์มิน หรือมอบบุญกุศลส่วนตัวของเขาให้แก่เขา
-
โดยการทดสอบเขาด้วยทุกข์ภัยต่าง ๆ ที่ลบล้างความชั่วนั้นออกไป
-
โดยการทดสอบเขาในโลกบัรซัค (โลกในสุสาน) ด้วยฟ้าผ่าแล้วอัลลอฮฺก็ทรงลบล้างความผิดนั้น
-
โดยการทดสอบเขาในวันกิยามัตด้วยสิ่งสามารถจะลบล้างความชั่วได้
-
โดยการได้รับการชะฟาอะฮฺ (ค้ำประกัน) จากนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
-
โดยการได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ซึ่งอัลลอฮฺคือผู้ทรงอภัย ผู้ทรงปรานียิ่ง
__
#การกระทำการภักดีและการฝ่าฝืน
การกระทำการภักดีก่อให้เกิดประโยชน์และทำให้เกิดจรรยามารยาทที่ดี ส่วนการฝ่าฝืนจะก่อให้เกิดโทษและทำให้เกิดมารยาทที่ไม่ดี โดยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ พืช สัตว์ ผืนแผ่นดินและท้องทะเลนั้นจะภักดีต่อพระเจ้า จึงเกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์อันมากมายซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้นสามารถจะคำนวณนับได้ และบรรดาศาสนทูตก็เช่นกัน เมื่อพวกเขากระทำการภักดีต่ออัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา คุณงามความดีก็เกิดขึ้นจากตัวพวกเขาอย่างมากมายซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้นที่สามารถคำนวณได้เช่นกัน
ส่วนมารอิบลีส เมื่อมันกระทำทรยศต่อพระเจ้า พร้อมทั้งแสดงความดื้อรั้นและหยิ่งยะโส ก็ได้เกิดความชั่วและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ขึ้นในแผ่นดินอย่างมากมายซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้นที่ทรงสามารถคำนวณนับได้
ดังนั้น มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน หากเขาจงรักภักดีต่อพระเจ้า คุณงามความดีและคุณประโยชน์ต่าง ๆ ก็จะเกิดกับตัวเขาและคนอื่น ๆ อย่างมากมายซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้นที่สามารถคำนวณนับได้ และถ้าหากเขากระทำการฝ่าฝืนและทรยศต่อพระเจ้า ความชั่วและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็จะเกิดกับตัวเขาและคนอื่น ๆ อย่างมากมายซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้นที่สามารถคำนวณนับได้เช่นกัน
_
#ผลของการกระทำการภักดีและการฝ่าฝืน
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงทำให้การกระทำการภักดีและทำความดีมีผลอย่างเลิศรสและเป็นที่ชื่นชอบ รสชาติของมันดีเหนือกว่ารสชาติของการกระทำความชั่วเป็นหลายเท่า และพระองค์ได้ทรงทำให้การกระทำความชั่วและสิ่งทรยศต้องทิ้งร่อยรอยและความเจ็บปวดอย่างน่ารังเกียจ ทำให้เกิดความเศร้าสลดและเสียใจเป็นหลายเท่าเมื่อเทียบกับความสุขชั่ววูบที่เขาแค่ลิ้มลอง ซึ่งมนุษย์นั้น สิ่งไม่ดีทั้งหมดที่เกิดกับตัวเขาก็เป็นเพราะพิษบาป และโทษที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงยกให้นั้นยังมากกว่า (หากพระองค์ไม่ทรงยกโทษให้ คงมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเขาหลายเท่าตัว)
_
#ส่วนบาปนั้นก็เป็นอันตรายต่อหัวใจเช่นเดียวกับที่ยาพิษเป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงสร้างมนุษย์บนฐานของกฎธรรมชาติที่ดีงาม หากมันไปเปื้อนกับบาปและความผิดแล้วความสวยงามเหล่านั้นก็จะถูกถอนออกไป และเมื่อเขาขอเตาบัตต่ออัลลอฮฺความสวยงามเหล่านั้นก็จะหวนคืนมาอีก และความสวยงามนี้จะถึงจุดสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในสรวงสวรรค์
_
#การได้รับทางนำและการถูกชักจูงสู่ความหลงผิด
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา นั้นทรงมีคำสั่งสร้าง ทรงสามารถกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา และบัญญัติสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ทรงชี้ทางสว่างให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้ทางมืดให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ สิ่งครอบครองในจักรวาลนี้ทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ สรรพสิ่งทั้งหมดเป็นสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์ พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎหมาย ในขณะที่มนุษย์ทั้งหมดต้องอยู่ใต้กฎหมายของพระองค์ และถือเป็นความกรุณาปรานีอย่างล้นพ้นของพระองค์ที่ทรงแต่งตั้งบรรดาศาสนทูต ทรงประทานคัมภีร์ ทรงอธิบายแนวทางต่าง ๆ ทรงชี้แจงเหตุผล และทรงเตรียมเครื่องมือเพื่อให้ได้รับทางนำและประพฤติชอบด้วยการประทานหู ตา และปัญญา และหลังจากนั้น :
1- ผู้ใดที่รัก ชอบ และพยายามค้นหาทางสว่าง พร้อมกับปฏิบัติตามแนวทางของมัน และทุ่มเทความพยายามอย่างจริงจังเพื่อให้ได้รับสิ่งนี้ อัลลอฮฺก็จะทรงประทานให้แก่เขา และจะทรงให้ความช่วยเหลือเพื่อให้บรรลุสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ต่อพวกเขา
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และผู้ที่ต่อสู้ดิ้นรนในหนทางของเรานั้น แน่นอนยิ่งเราย่อมจะชี้ทางแก่คนเหล่านั้นสู่หนทางของเรา และแท้จริงแล้ว อัลลอฮฺนั้นทรงอยู่ร่วมกับผู้กระทำความดีทั้งหลาย
(อัลอังกะบูต : 69)
2- ผู้ใดที่รัก ชอบ และพยายามค้นหาทางมืด พร้อมกับปฏิบัติตามแนวทางของมัน เขาก็จะได้รับสิ่งนั้น และอัลลอฮฺก็จะหันเขาไปสู่ทิศทางที่เขาต้องการ และจะไม่มีใครสามารถจะหักเหเขาให้ออกมาจากทางดังกล่าวได้ ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นความยุติธรรมของอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และผู้ใดที่ฝ่าฝืนเราะสูลหลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขา และเขายังปฏิบัติตามทางที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธานั้น เราก็จะหันเขาไปสู่สิ่งที่เขาได้หันไป และเราจะนำเขาไปสู่นรกญะฮันนัม ซึ่งมันเป็นปลายทางที่น่ากลัว
(อันนิสาอฺ : 115)
_
#ผลของการศรัทธาในกฎอัลเกาะดัร
การศรัทธาในกฎอัลเกาะฎออฺและอัลเกาะดัรเป็นแหล่งกำเนิดความสุขใจ ความสุขุมเยือกเย็น และความมีเกียรติสำหรับมุสลิมทุกคน โดยเขารู้ว่าทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยการกำหนดของอัลลอฮฺ เขาจึงไม่ดีใจอย่างลิงโลดยามเมื่อได้รับสิ่งที่เขาต้องการ และก็ไม่กระวนกระวายยามที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักและหวงแหน หรือได้รับทุกข์ภัยที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ เป็นเพราะเขารู้ดีว่าสิ่งทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะการกำหนดของอัลลอฮฺ ซึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดังมีหลักฐานต่อไปนี้ :
1- อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : ไม่มีทุกข์ภัยใด ๆ เกิดขึ้นในแผ่นนี้ และไม่มีแม้แต่ที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีอยู่แล้วในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นเป็นการง่ายมากสำหรับอัลลอฮฺ ทั้งนี้ เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเสียใจต่อสิ่งที่สูญเสียไปจากพวกเจ้า และไม่ดีใจต่อสิ่งพระองค์ประทานแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺนั้นมิทรงชอบทุกผู้หยิ่งจองหอง ผู้คุยโวโอ้อวด
(อัลหะดีด : 22-23)
2- มีรายงานจากศุฮัยบฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
ความว่า : “น่าประหลาดใจเหลือเกินสำหรับกิจกรรมของคนมุอ์มินผู้ศรัทธา ที่การงานของเขาทุกอย่างดีไปหมด ซึ่งสิ่งนั้นมีแต่เฉพาะกับคนมุอ์มินเท่านั้น โดยหากเขาได้รับสิ่งที่เป็นสุข เขาก็ขอบคุณ สิ่งนั้นก็เป็นการดีสำหรับเขา หรือหากเขาประสบสิ่งที่เป็นทุกข์ เขาก็อดกลั้น สิ่งนั้นก็เป็นการดีสำหรับเขาเช่นกัน” [บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2999]
3- มีรายงานจากสะอ์ดฺ บินอบีวักกอศ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
ความว่า : “ฉันรู้สึกฉงนใจมาก ๆ เลยต่อคนมุอ์มิน หากเขาได้รับสิ่งดีใด ๆ เขาก็กล่าวสรรเสริญและขอบคุณต่ออัลลอฮฺ และหากเขาได้รับทุกข์ภัย เขาก็กล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺและอดทน ซึ่งคนมุอ์มินนั้นจะได้รับผลบุญในทุกกิจกรรมของเขา จนแม้กระทั่งยังได้รับผลบุญในอาหารหนึ่งคำที่เขายกขึ้นจะป้อนใส่ปากภรรยาของเขาเอง”
[บันทึกโดยอะหมัด ตามสำนวนนี้ หมายเลข 1492 และอัลนาอูฏกล่าวว่า สายรายงานหะสัน และบันทึกโดยอับดุลเราะซาก หมายเลข 2031]
และด้วยประการเหล่านี้ทั้งปวง การอธิบายหลักศรัทธาทั้งหกจึงได้จบลงด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ นั้นก็คือ
การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
ต่อมะลาอิกะฮฺของพระองค์
ต่อคัมภีร์ของพระองค์
ต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์
ต่อวันอาคิเราะฮฺ
และต่อกฎอัลเกาะดัร ทั้งดีและชั่ว โดยทุก ๆ หลักการเหล่านี้ต่างก่อให้เกิดผลที่ทรงคุณค่าแก่คนมุมิน
#คุณค่าของการศรัทธาในหลักศรัทธาต่าง
1. การศรัทธาต่ออัลลอฮฺก่อให้เกิดความรักต่ออัลลอฮฺ เกิดการเทิดทูน ขอบคุณ ภักดี เชื่อฟัง เกรงกลัว และปฏิบัติตามคำสั่งของต่อพระองค์
2. การศรัทธาต่อมะลาอิกะฮฺก่อให้เกิดความรักและความละอายต่อพวกเขา ตลอดจนสามารถนำตัวอย่างการภักดีของพวกเขามาเป็นข้อคิดและเตือนสติได้
3-4. การศรัทธาต่อคัมภีร์ และศาสนทูตต่าง ๆ ก่อให้เกิดพลังศรัทธาอย่างแรงกล้าต่ออัลลอฮฺและเกิดความรักต่อพระองค์ อีกทั้งยังก่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับบทบัญญัติของอัลลอฮฺ สิ่งอัลลอฮฺชอบ สิ่งที่อัลลอฮฺไม่ชอบ และสภาพของโลกอาคิเราะฮฺ ตลอดจนก่อให้เกิดความรักต่อบรรดาศาสดาของอัลลอฮฺ และเชื่อฟังต่อพวกเขา
5. การศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮฺ ก่อให้เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อกระทำกิจกรรมการภักดีและความดีต่าง ๆ ตลอดจนเกิดความกระดากและไม่เคยชินกับการกระทำสิ่งฝ่าฝืนและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ
6. การศรัทธาต่อกฎอัลเกาะดัร ก่อให้เกิดความสุขใจ ความสงบจิต และพอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำหนด
และเมื่อคนมุสลิมมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว เขาก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบที่จะได้เข้าสรวงสวรรค์ โดยรอแต่เพียงการกระทำการภักดีต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์อีกอย่างเดียวเท่านั้น ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า :
ความว่า : และผู้ใดที่กระทำการภักดีต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ พระองค์ก็ให้เขาได้เข้าสรวงสวรรค์ที่มีแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลผ่านข้างใต้ โดยพวกเขาจะคงอยู่ในนั้นนานไปตลอดกาล และนั้นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง (อันนิสาอฺ : 13)
สิ่งที่อัลลอฮฺทรงกระทำ ทรงสร้าง และทรงกำหนดต่อสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์นั้น ล้วนแต่มีคุณประโยชน์และแฝงด้วยข้อคิดและวิทยปัญญา เป็นต้นว่า สิ่งดีและความดีที่พระองค์ทรงสร้างนั้นบ่งถึงความปรานีของพระองค์ ความเด็ดขาดและการลงโทษที่พระองค์ทรงสร้างก็บ่งถึงความโกรษกริ้วของพระองค์ ความละมุนละไมและการให้เกียรติที่พระองค์ทรงสร้างก็จะบ่งถึงความรักของพระองค์ ในขณะที่ความต่ำต้อยและความด้อยค่าที่พระองค์ทรงสร้างจะบ่งถึงความกริ้วโกรธและความเกลียดชังของพระองค์ และความด้อยและเด่นที่พระองค์ทรงสร้างก็เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเกิดขึ้นของวันแห่งพันธะสัญญา (วันกิยามัต)
____________
มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อับดุล อัต-ตุวัยญิรีย์
แปล: สุกรี นูร จงรักสัตย์
ตรวจ : อุษมาน อิดรีส
จากหนังสือ : มุคตะศ็อร อัล-ฟิกฮฺ อัล-อิสลามีย์
สำนักงานความร่วมมือเพื่อการเผยแพร่และสอนอิสลาม อัร-ร็อบวะฮฺ กรุงริยาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น