วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺกับการฮุก่มของเหล่านักปราชญ์อิสลาม

ชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺกับการฮุก่มของเหล่านักปราชญ์อิสลาม

เหล่านักปราชน์ระดับอวุโสของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ฮุกุ่มว่าชีอะฮ์เป็น กาเฟร คำวินิจฉัยดังกล่าวนี้ได้ให้ทัศนะโดยบรรดานักปราชน์อาวุโสของอะฮ ์ลิสซุนนะฮ์ เช่น ท่านอิหม่ามมาลิก
ท่านอิหม่ามอะฮ์หมัด
ท่านอิหม่ามบุคคอรีย์
ท่านอิหม่ามอิบนุหัซฺมิน
และท่านอื่น ๆ ต่อไปนี้ข้าพเจ้าใคร่จะนำเสนอคำวินิจฉัยข้อชี้ขาด(ฟัตวา)ของบรรดาอุลามะอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่มีต่อชีอะฮ์ อัร-รอฟิเฏาะห์ ที่เรียกตัวพวกเขาเองว่า ชีอะฮ์อิษนาอิชะรียะฮ์ หรือ อัล-ญะฟะรียะฮ์ จากคำกล่าวของอุลามะอฺซุนนะฮ์นั้นเป็นที่รู้กันดีและได้ยืนยันเ อาไว้ในตำราสำคัญ ๆ ของพวกเขาด้วย

ดังนั้นข้าพเจ้าขอนำเสนอคำชี้ขาดของท่านอิหม่าม มาลิก จากนั้น จะเป็นของท่านอิหม่ามอะฮ์มัด อิหม่ามบุคคอรีย์และของอุลามะอฺท่านอื่นๆตามลำดับแต่ละสมัย และข้าพเจ้าจะเลือกคำวินิจฉัยของอุลามะอฺระดับอวุโสและอุลามะอฺ ผู้ใช้ชีวิตในหมู่ชีอะฮ์ในเมืองเดียวที่ทำการประพันธ์และศึกษาเกี่ยวกับลัทธิของพวกเขา

  1. อิหม่าม มาลิก(ร.ฏ.) ท่านอัล-ค๊อลลาล ได้รายงานจาก อะบีบักร อัล-มะรูซี ท่านกล่าวว่า : ฉันได้ยิน อะบา อับดิลลาห์ กล่าวว่า: ท่านอิหม่ามมาลิก(ร.ฏ.)กล่าวว่า:
    "บุคคลที่ทำการด่าบรรดาอัครสาวกท่านศาสนทูตมุฮัมมัด(ซ.ล.)นั้น เขาย่อมไม่มีส่วนใดเลย(ที่มีพันธะ)ต่อศาสนาอิสลาม"
    (หนังสือ อัส ซุนนะฮ์ ของท่าน อบูบักร มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัด อัล-ค๊อลลาล เล่ม2 หน้า557)

    ท่านอิบนุ กาษีร กล่าวว่า
    อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า
    "มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์และบรรดาผู้อยู่ร่วม(อุดมเดียวกัน)กับเขา ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังเข้มแข็งเหนือพวกไร้ศรัทธา อีกทั้งมีความเมตตาในระหว่างพวกเขากันเอง เจ้าเห็นพวกเขาทำการก้มและกราบ(ในนมัสการ)โดยแสวงหาความโปรดปรานและความพอพระทัยจากอัลลอฮ์(ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) อันเครื่องสังเกตุของพวกเขามีปรากฏอยู่ในใบหน้าของพวกเขาจากร่องรอยของการกราบ(คือบรรดาซอฮาบะฮ์ของร่อซูลลอฮ์)นั้นคือลักษณะขอ งพวกเขาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์เตารอฮฺและลักษณะของพวกเขาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีย์อินญีล ซึ่งระบุว่าเสมือนกับพืชที่ผลิหน่อของมันออกมา แล้วหน่อนั้นก็ทำให้พืชเจริญงอกงามขึ้น จนมันแข็แกร่ง แล้วยืนอยู่บนลำต้นของมันได้ สร้างความชื่นชมแก่ผู้ปลูกเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้พวกไร้ศรัทธา(กาเฟร)รู้สึกโกรธแค้นต่อพวกเขา.....(อั ล-ฟัตฮฺ อายะฮ์ที่ 29)

    ท่านอิบนุ กาษีร กล่าวว่า :
    "จากอายะฮ์ดังกล่าวนี้ ท่านอิหม่ามมาลิก(ร.ฏ.)ได้ถอดการวินิฉัยออกมา(จากอายะฮ์ดังกล่าว)ไว้ในรายงานหนึ่งจากท่านว่า
    ชีอะฮ์อัร-ฟิเฏาะห์นั้น ถือว่าเป็นกาเฟรเนื่องจากพวกเขาได้โกรธเคืองต่อบรรดาซอฮะบะฮ์(ร .ฏ.)
    ท่านกล่าวอีกว่า:
    เป็นเพราะพวกเขา(ชีอะฮ์ อัร-รอฟิเฏาะห์)ได้มีความโกรธแค้นต่อบรรดาซอฮาบะฮ์ และผู้ใดที่โกรธแค้นบรรดาซอฮะบะฮ์(ร.ฏ.) เขาย่อมเป็นกาเฟร ด้วยเหตุของอายะฮ์นี้ และได้มีนักปราชน์กลุ่มหนึ่งได้มีความเห็นสอดคล้องกับท่านอิหม่ามมาลิกต่อคำสิ่งดังกล่าวเช่นกัน"(ตัฟซีร อิบนุ กาษีร เล่ม4หน้า219 / ตัฟซีร รูฮุล มะอานีย์ ของท่าน อะลูซีย์ เล่ม26 หน้า116)

    ท่านอิหม่าม อัล-กุรตูบีย์กล่าวว่า:
    "ท่านอิหม่ามมาลิกได้กล่าวเอาไว้อย่างสวยงามและตีความได้ถูกต้อง ดังนั้นผู้ใดที่ตำหนิคนหนึ่งคนใดจากบรรดาซอฮาบะฮ์ หรือตำหนิในสายรายงานของพวกเขา แท้จริงแล้วเขาย่อมทำการโต้ตอบคัดค้านต่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลกและเขาได้ทำลายหลักชาริอะฮ์ต่างๆของชนมุสลิมีน"(ตัฟซีร อัล-กุรตูบีย์ เล่ม16 หน้า297)
  2. ท่านอิหม่าม อะฮฺมัด อิบนุ ฮัมบัล(ร.ฏ.) มีสายรายงานมากมายที่รายงานจากท่านในเรื่องการกล่าวว่าชีอะฮ์อัรรอฟิเฏะห์นั้นเป็นกาเฟร มีรายงายจาก อัล-ค๊อลลาล จาก อบี บักร อัล-มะรูซี ท่านกล่าวว่า:
    ฉันได้ถาม อบา อับดิลลาห์(อิหม่ามอะฮ์หมัด)เกี่ยวกับ ผู้ที่ทำการด่าท่าน อบูบักร ท่านอุมัรและท่านหญิงอาอิชะฮ์?
    ท่านอิหม่ามอะฮ์หมัดกล่าวตอบว่า:
    "ฉันไม่เห็นว่าเขา(ที่ทำการด่า ต่อพวกเขา)อยู่บนศาสนาอิสลามเลย"
    (หนังสือ อัส ซุนนะฮ์ ของท่าน อัลค๊อลลาล เล่ม2 หน้า557)

    ได้มีระบุไว้จาก"กิตาบ อัส ซุนนะฮ์"ของท่านอิหม่ามะฮ์มัด(ร.ฏ.)ในขณะที่ท่านกล่าวถึงพวกชีอะฮ์ อัร รอฟิเฏาะห์ว่า:
    พวกเขา(ชีอะฮ์)เหล่านั้นได้ประกาศพ้นพันธะไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อบรรดาอัครสาวกของท่านร่อซูลลอฮ์(ซ.ล.) พวกเขาได้ทำการด่าทอ ตำหนิให้เสียหายและกล่าวว่าบรรดาซอฮะบะฮ์ตกมุรตัดเป็นกาเฟร นอกจากสี่ท่านคือท่านอลี ท่านอัมมาร ท่านอัลมิคดารและท่านซัลมาน ดังนั้นพวกชีอะฮ์ อัรรอฟิเฏาะห์จีงไม่มี(ส่วนเกี่ยวข้องใดๆ)กับอิสลามสักสิ่งเดีย วเลย"
    (อัส ซุนนะฮ์ ของท่านอิหม่ามอะฮ์มัด หน้าที่82)

    อิบนุ อับดุลกอวีย์ กล่าวว่า:
    ท่านอิหม่ามอะฮ์มัดได้กล่าวกาเฟรต่อผู้ที่พ้นพันธะไม่เกี่ยวข้องกับบรรดาซอฮะบะฮ์และผู้ที่ด่าทอมารดาแห่งศรัทธาชนท่านหญิงอาอิ ชะฮ์และทำการกล่าวหาว่าพระนางทำซีนาโดยที่อัลลอฮ์ได้ทรงยืนยันค วามบริสุทธิ์ของนางไว้แล้ว และท่านอะฮ์มัดได้อ่านโองการที่ว่า:"อัลลอฮ์ได้ทรงตักเตือนพวกเ จ้า มิให้พวกเจ้าหวนกลับไปทำสิ่งที่เสมือนกับเรื่องนั้นอีกตลอดไป หากพวกเจ้าเป็นผู้มีศรัทธา"(อัน-นูร 17) (จากหนังสือ มา ซฺาฮะบะ อิลัยฮิ อัลอิหม่าม อะฮ์มัด ของท่านอัลดุลกอวีย์ อัตตะมีมีย์ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.480 หน้าที่21)
  3. ท่านอิหม่าม บุคคอรีย์(ร.ฮ.) ท่านกล่าวว่า
    "ฉันไม่คิดที่จะละหมาดตามหลังพวกญะฮ์มียะฮ์(ญับรียะฮ์)และพวกชีอะฮ์(อิมามียะฮ์)อัรรอฟิเฏาะห์หรือทำการละหมาดตามหลังพวกยิวและคริสต์ และย่อมไม่มีการให้สลามกับพวกเขา ไม่การเยี่ยมคนป่วยของพวกเขา ไม่มีการนิกะฮ์กับพวกเขา ไม่นำพวกเขามาเป็นพะยาน ไม่กินสัตว์ที่พวกเขาเชือด"
    (อัล-อิหม่ามบุคคอรีย์ หนังสือ ค๊อลกุลอัฟอาล อัลอิบาด หน้า125
  4. ท่านอับดุลลอฮ์ บิน อิดรีส ท่านกล่าวว่า
    "มุสลิมนั้นย่อมไม่มีหุ้นส่วนใด ๆ กับพวกชีอะฮ์อัรรอ ฟิเฏาะห์"
    (หนังสือ อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)
  5. ท่านอับดุรเราะห์มาน บิน มะฮ์ดีย์
    ท่านอิหม่านบุคคอรีย์กล่าวว่า:
    ท่านอับดุรเราะห์มาน บิน มะฮ์ดีย์ กล่าวว่า
    "ทั้งสองคืออีกสองศาสนา ก็คือศาสนาอัล-ญะฮ์มียะฮ์และศาสนาชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์"
    (มัจญะมั วะ ฟาตาวา เล่ม35 หน้า415)
  6. ท่านอัล-ฟิรยาบีย์ รายงานโดย อัล-ค๊อลลาล,
    เขากล่าวว่า:
    ฮัรบฺ บิน อิสมาอีล อัล-กิรมานีย์เล่าให้ฉันฟังว่า,
    มูซา บิน ฮารูณ บิน ซิยาด กล่าวว่า :
    ฉันได้ยินอัลฟิรยาบีย์และผู้ชายคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับผู้ที่ ทำการด่าทออบูบักร
    ท่านฟิรยาบีย์กล่าวตอบว่า
    "เขา(ผู้ด่าทออบูบักร)คือกาเฟร"
    ชายผู้นั้นกล่าวถามอีกว่า
    "แล้วเราจะละหมาดญะนาซะฮ์ของเขาอย่างไร?"
    ท่านกล่าวว่า
    "ไม่ต้องละหมาดให้เขา"
    ดังนั้นฉัน(มูซา บิน ฮารูณ)จึงถามท่านฟิรยาบีย์ว่า ท่านจะทำอย่างไรในเมื่อเขาก็กล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ ?
    ท่านกล่าวตอบว่า
    "พวกท่านอย่าสัมผัสเขาด้วยมือของพวกท่าน พวกท่านจงยกเขาไว้บนแผ่นกระดานแล้วทำการฝังเขาแบบลับจากสายตาคน "
    (อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)
  7. ท่านอะฮ์หมัด บิน ยูนุส ท่านกล่าวว่า
    "ถ้าหากยิวคนหนึ่งได้เชือดแพะและชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ได้เชือดแพะด้วย แน่นอนว่าฉันจะรับประทานแพะยิวเชือดและฉันไม่รับประทานสัตว์ที่ ชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์เชื่อดเด็ดขาดเป็นเพราะว่าเขานั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(ตกมุรตัด)
    (อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)
  8. ท่าน อบู ซัรอะฮ์ อัร-รอซีย์ ท่านกล่าวว่า
    "เมื่อฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำการตำหนิผู้หนึ่งผู้ใดจากบรรดาซอฮาบะฮ์ท่านร่อซูลลุลอฮ์(ซ.บ.) ดังนั้นท่านพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขาผู้นั้นคือผู้นอกศาสนา เพราะคำพูดของเขานั้นนำพาไปสู่การทำลายอัล-กุรอ่านและซุนนะฮ์"( หนังสืออัลกิฟายะฮ์ หน้า49)
  9. ท่าน อิบนุ กุตัยบะฮ์ ท่านกล่าวว่า
    "แท้จริงพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ที่ทำการรักท่านอลี จนกระทั้งถือว่าท่านประเสริฐกว่าผู้ที่ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวก่อนถึงความประเสริฐและพวกเขาอ้างว่าท่านอาลีมีส่วนร่วมในการเป็นนบี กับร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเขากล่าวบรรดาอิหม่ามรอบรู้สิ่งเร้นลับ คำกล่าวและประการแปลกๆเหล่านั้นย่อมผนวกไว้ซึ่งความโกหกมุสาและ กุฟรที่โง่เขลาเบาปัญญาเป็นอย่างยิ่ง"
    (อัล-อิคติลาฟ ฟิดริดดิ อะลัลญะฮ์มิวัลมุชับบิฮะฮ์ หน้า47)
  10. ท่านอัลดุลกอฮิร อัล-บุฆดาดีย์ ท่านกล่าว่า
    "สำหรับพวกที่ชอบให้อารมณ์จากพวกญารูดียะฮ์ พวกฮิชามียะฮ์ พวกญะฮ์มียะฮ์และพวกชีอะฮ์อิหม่ามมียะฮ์ ที่ทำการกล่าวกาเฟรกับบรรดาซอฮาบะฮ์ที่มีเกียตรินั้น แท้จริงเราขอกล่าวว่าพวกเขาเป็นกาเฟร และไม่อนุญาติให้ทำการละหมาดญะนาซะฮ์ต่อพวกเขาและละหมาดตามหลัง พวกเขา" (หนังสือ อัล-ฟัรกฺ บัยน่า อัล-ฟิร๊อก หน้า357)
  11. ท่าน อัล-กอฏี อบู ยะอฺลา ท่านกล่าวว่า
    "สำหรับพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์นั้น ฮุกุ่มชี้ขาดในพวกเขาแล้ว คือ การพวกเขากล่าวว่าบรรดาซอฮะบะฮ์เป็นคนกาเฟรและคนชั่วนั้น คำกล่าวนั้นย่อมนำเข้าสู่นรกและเขา(ที่กล่าวเช่นนั้น)ย่อมเป็นกาเฟร"
    (หนังสือ อัล-มั๊วะตะมัต หน้า267)
    และพวกชีอะฮ์อิมามียะฮ์นั้น ภายหลังจากที่พวกเขาได้เผยแพร่หลักการของพวกเขาแล้ว พวกเขาต่างกล่าวว่าส่วนมากจากบรรดาซอฮะบะฮ์นั้นเป็นกาเฟร
  12. ท่าน อิบนุ ฮัซมิน ท่านกล่าวว่า
    "สำหรับคำกล่าวของพวกเขา(พวกคริสต์)ในการอ้างว่า อัล-กุรอ่านถูกบิดเบือน ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าบรรดชีอะฮ์อิมามียะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ไม่ใช่มุสลิมีน,แท้จริงพวกเขาชนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ท่านร่อซูลลุลอฮ์เสียชีวิตได้25ปี พวกเขาคือกลุ่มชนที่เจริญตามแนวทางของพวกยิวและคริสต์ในเรื่องความโกหกมุสาและกุฟร"
    (หนังสือ อัล-ฟิซ๊อล เล่ม2 หน้า213)

    ท่านกล่าวอีกว่า
    "ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวของพวกชีอะฮ์ทั้งรุ่นก่อนและรุ่นปัจจุบันนั้น คืออัล-กุรอ่านถูกเปลี่ยนแปลง"
    จากนั้นท่านกล่าวอีกว่า
    "คำกล่าวที่ว่าสองข้างปกอัลกุรอ่านนั้นถูกเปลี่ยนแปลง ย่อมถือว่าเป็นกุฟรอย่างชัดเจนและเป็นการโกหกมุสาต่อท่านร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)" (หนังสือ อัล-ฟิซ็อล เล่ม5 หน้า40) ท่านกล่าวอีกว่า
    "พวกท่านพึ่งทราบเถิดว่า แท้จริงร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)นั้นไม่ได้ซ่อนเร้นคำหนึ่งคำใดจากชาริอะฮ์เลย และท่านไม่เคยบอกให้รู้เป็นพิเศษจากคนหนึ่งคนใดจากบุตรสาวของท่านลูกพี่ลูกน้องของท่าน ภรรยาของท่าน สาวกของท่านจากหลักชาริอะฮ์ใดๆที่เป็นการซ้อนเร้นจากคนผิวแดง คนผิวดำ จากคนเลี้ยงแกะเลย และไม่มี ณ ที่ท่าน ในความลับ สัญลักษ์ สิ่งเร้นลับภายใน ที่บรรดามนุษย์มีความต้องการที่จะรับรู้ ดังนั้นถ้าหากว่าท่านเก็บซ่อนสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ท่านก็ย่อมไม่ไช่ผู้ทำการเผยแพร่ดังที่ท่านถูกบัญชาใช้ และผู้ใดที่กล่าวแบบนี้ เขาย่อมเป็นกาเฟร..."
    (หนังสือ อัล-ฟิซ๊อล เล่ม2 หน้า274-275)
  13. ท่าน อัล-อิสฟิรอยีนีย์ ได้ถ่ายทอดจากส่วนหนึ่งของหลักการยึดมั่นของพวกเขา(ชีอะฮ์อิมามียะฮ์) เช่น การกล่าวว่าส่วนมากของบรรดาซอฮะบะฮ์เป็นกาเฟร และคำกล่าวของพวกเขาที่ว่า
    "อัลกุรอ่านได้ถูกบิดเบือนจากที่เคยเ ป็น เกิดการบิดเบือนเปลี่ยนแปลงในอัลกุรอ่าน และพวกเขาได้รอคอยอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาเพื่อเขาได้ออกมาและ ทำการสอนหลักชาริอะฮ์ต่อพวกเขา"
    และท่านอัล-อิสฟิรอยีนีย์จึงกล่าวว่า
    "แท้จริงกลุ่มชีอะฮ์อิหมามียะฮ์ทั้งหมดได้มีมติเห็นพร้องกันในการนี้"
    จากนั้นได้ทำการฮุกุ่มพวกเขาว่า
    "พวกเขา(ชีอะฮ์อิหมามิยะฮ์)ไม่มีสภาพการณ์ใดๆที่มีจากศาสนาอิสลามเลย มันไม่ไช่อื่นใดนอกจากเป็นการกุฟุรเท่านั้น เนื่องจากว่าไม่มีสิ่งใดๆเหลือไว้ในศาสนาเลย"
    (หนังสือ อัต ตัฟซีร ฟิดดีน หน้า24-25)
  14. ท่านอิหม่าม ฮุจญะตุลอิสลาม อบู ฮามิด อัล-ฆอซฺาลีย์(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า
    "เพราะความบกพร่องในความเข้าใจของพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ที่ทำการกล่าวในเรื่อง บะดาอฺ(เพิ่งนึกออก เพิ่งเข้าใจ ถูก เพิ่งนึกขึ้นได้ หลังจากที่เคยคลุมเคลือหรือเข้าใจผิดมาก่อน เช่น พระองค์ ได้เข้าใจว่า ทีแรกว่าศอฮาบะห์เป็นคนดี จึงลงอัล-กุรฺอานมาชมเชย แล้วมารู้ใน ภายหลังว่าเป็นคนไม่ดี ) พวกชีอะฮ์อิหม่ามียะฮ์ได้รายงานจากท่านอลี(ร.ฏ.)ว่า ท่านจะไม่รายงานถึงเรื่องเร้นลับ เพราะกลัวอัลลอฮ์จะนึกขึ้นได้แล้วพระองค์ก็ทำการเปลี่ยนมัน
    (สาย รายนี้ได้ระบุเอาไว้เอาไว้ในหนังสือ อัล-บิฮาร ของมัจญฺลิซีย์ เล่ม4หน้า97 และมีอีกสายงานรายหนึ่งในทำนองเดียวกันนี้จากท่านอะลีย์บินอัล- ฮุเซ็น ดูในตัฟซีร อัล-อัยยาชีย์ เล่ม2หน้า215, บิฮารุลอันวาร เล่ม4หน้า118, อัล-บุรฮาน เล่ม2หน้า299,ตัฟซีร อัส-ซอฟีย์ เล่ม3 หน้า75)

    พวกเขาได้เล่าจาก ท่านญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด ท่านกล่าวว่า
    "ไม่มีสิ่งใดที่พึ่งประจักษ์ต่ออัลลอฮ์เสมือนกับกา รพึ่งประจักษ์ต่อประองค์ในเรื่องการบรรชาให้เชือดนบีอิสมาอีล"
    ( สายรายงานนี้อยู่ในหนังสือ กิตาบบุตเตาฮีด หน้า336 ของท่าน อิบนุ บาบะวัยฮฺ)

    และนี่ย่อมเป็นกุฟุรที่ชัดเจนยิ่ง เป็นการพาดพิงถึงพระองค์ในเรื่องการไม่รู้(มาก่อน)และการ(พึ่ง) มาเปลี่ยนแปลง และมันย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะพระองค์ทรงรอบรู้อย่างครอบคลุมในทุกๆสิ่ง"
    (หนังสือ อัล-มุสตัศฟา เล่ม1หน้า110)

    ท่านอิหม่ามฆอซาลีย์กว่าวอีกว่า
    "ถ้าหากว่ามีผู้หนึ่งมาชี้แจงว่า ท่านอบูบักร อุมัร(ร.ฏ.)กุฟุร แน่นอนว่าเขาย่อมขัดและแวกแนวจากอิจญฺมะอฺ เป็นเพราะเขาได้ทำการค้านสิ่งที่ได้รายงานมาในเรื่องสิทธิ์ของพวกเขาในการถูกสัญญาว่าจะได้เข้าสวรรค์และการที่พวกเขาได้รับการ สรรเสริญ ได้รับการชี้ขาดว่าศาสนาของพวกเขานั้นถูกต้อง การยึดมั่นของพวกนั้นมั่นคง และพวกเขาคือผู้ดีเลิศก่อนคนอื่นๆทั่วไปหลังจากนบี(ซ.ล.)ด้วยฮาดิษต่างๆที่มายืนยันมากมาย...."

    จากนั้นท่านกล่าวอีกว่า
    "ผู้ที่กล่าวอย่างเช่นดังกล่าวนั้น(กล่าวว่าอบูบักร อุมัรเป็นกาเฟร)ทั้งๆที่ฮาดิษต่างๆได้ถึงพวกเขาแล้วและเขายึดมันว่าพวกเขา(อบูบักร อุมัร)นั้นเป็นกาเฟร แน่แท้แล้วว่าเขา(ผู้กล่าวนั้น)ย่อมเป็นกาเฟร! เนื่องด้วยสาเหตุของการโกหกมุสาต่อร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้นผู้ใดที่กล่าวโกหกต่อท่านร่อซุลลอฮ์(ซ.ล.)สักคำกล่าวเดี ยว เขาย่อมเป็นกาเฟร"
    (หนังสือ ฟาฏออิฮุลบาฏินียะฮ์ หน้า139)
  15. อัล-กอฏี อิยาฏ ท่านกล่าวว่า
    "เราขอตัดสินอย่างเด็ดขาดว่า พวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ที่เลยเถิดนั้นเป็นกาเฟร เพราะพวกเขากล่าวว่า บรรดาอิหม่ามนั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี"(คำจริงแล้วคำกล่าวนี้มันเป็นความจำเป็นอันหนึ่งของลัทธิชีอะฮ์อิหมามียะฮ์ และผู้ใดที่ปฏิเสธความจำเป็นในมัซฮับชีอะฮ์แล้วย่อมเป็นกาเฟร

    เชคฺของพวกเขา คือ อัล-มะมะกอนีย์ กล่าวว่า :
    ส่วนหนึ่งจากความจำเป็นต่างๆของมัซฮับของเรา ก็คือ แท้จริงบรรดาอิหม่าม(อ.)ประเสริฐกว่าบรรดานบีของบนีอิสรออีล ซึ่งเสมือนกับที่ตัวบทที่มุตะวาติรได้ระบุเอาไว้...จีงไม่เป็นที่สงสัยต่อผู้ที่ร่ำเรียนฮาดิษต่างๆของอะฮ์ลิลบัยตฺ(อ.)(คือบรรดาอิหม่าม12) ว่ามีอภินิหารที่แวกแนวจากธรรมดาทั่วไปที่ออกมาจากพวกเขาที่เสมือนกับบรรดานบี ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมากกว่าเสียอีก

    และแท้จริงบรรดานบีและชนรุ่นก่อนๆนั้นจะมีหนึ่งประตูหรือสองประตูจากวิชาความรู้ที่ถูกเปิดให้กับพวกเขา แต่บรรดาอิหม่าม(อ.)นั้นจะถูกเปิดด้วยสาเหตุของการทำอิบาดะฮ์และการภักดีจนทำให้บ่าวนั้นเฉกเช่นความเป็นพระเจ้าเมื่อเขาได้กล่ าวสิ่งหนึ่งว่าจงเป็น มันก็จะเป็นขึ้นมาจากทั้งหมดของทุกๆประตู,ตันเกี๊ยะห์ อัล-มะกอล เล่ม3หน้า232

    ท่านลองพิจารณาดูให้ดีน่ะครับว่า
    ความประเสริฐของบรรดาอิหม่ามแรกๆแล้วประเสริฐกว่าบรรดานบี แต่สิ้นสุดด้วยกับว่าพวกเขานั้นเฉกเช่นอัลลอฮ์ นี่ย่อมเป็นคำกล่าวของพวกนอกศาสนาโดยแท้!!!)
    และท่านกล่าวอีกว่า
    "เราขอกล่าวกาเฟรกับผู้ที่ทำการปฏิเสธอัลกุรอาน หรือว่าปฏิเสธสักอักษรเดียว หรือว่าทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งจากอัลกุรอ่านหรือว่าทำการเพิ่ม
    อย่างเช่นการกระทำของพวกบาฏินียะฮ์และอิสมาอีลียะฮ์"
    (ข้อสังเกตุที่สำคัญ ก็คือมีส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามะอฺได้พาดพึงคำกล่าวในเรื่องการบิดเบือนอัลกุรอ่านนั้นไปยังชีอะฮ์อิสมาอีลียะฮ์ แต่ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคำกล่าวเหล่านั้นมันเป็นคำกล่าวของพวกชีอะฮ์อิมามียะฮ์อิษนาอะชาริยะฮ์ไม่ไช่อิสมาอีลียะฮ์)
  16. ท่านอัส-ซัมอานีย์ (เสียชีวิต ปีที่562ฮ.ศ.) ท่านกล่าวว่า
    "อุมมะฮ์อิสลามได้มติเห็นพร้องกันบนการกล่าวว่าพวก ชีอะฮ์อิมามียะฮ์เป็นกาเฟร เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าบรรดาซอฮาบะฮ์นั้นเป็นผู้ที่ลุ่มหลงและ พวกเขาได้ปฏิเสธมติของบรรดาซอฮะบะฮ์และกล่าวหาพาดพิงสิ่งอันไม่ ควรต่อไปพวกเขา"
    (หนังสืออัล-อังซาบ เล่ม6หน้า341)
  17. อิหม่าม ฟัครุดดีน อัร-รอซีย์(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า
    "บรรดาอุลามะอฺอะชาอิเราะห์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับพวกชีอะฮ์จากสามหนทางด้วยกัน

    (1) พวกเขาได้กล่าวกุฟุรกับบรรดามุสลิมมีนระดับชั้นอวุโสคนสำคัญ ดังนั้นผู้ใดที่ทำการกล่าวกาเฟรกับมุสลิมคนหนึ่ง เขาก็ย่อมเป็นกาเฟรด้วย
    ท่านศาสนทูต(ซ.ล.)กล่าวว่า
    "ผู้ใดที่กล่าวกับพี่น้องของเขาว่า "โอ้ กาเฟร แน่นอนว่าคำกล่าวนั้นจำกลับไปสู่คนใดคนหนึ่งจากนั้นสอง" ดังนั้นจีงวายิบ(จำเป็น)ที่จำต้องกล่าวว่าพวกชีอะฮ์เป็นกาเฟร

    (2) พวกชีอะฮ์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับชนกลุ่มหนึ่งที่ท่านร่อซุลลุลลอฮ์ได้กล่าวสรรญเสริญพวกเขาและให้เกียตริในสถานภาพของพวกเขา ดังนั้นการที่ชีอะฮ์ได้กล่าวกาเฟรกับพวกเขานั้น ย่อมเป็นการกล่าวโกหกมุสาต่อท่านร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)

    (3) ประชาชาติอิสลามได้มติเป็นเอกฉันท์บนการกล่าวกาเฟรกับผู้ที่ทำก ารกล่าวกุฟุรกับบรรดาซอฮะบะฮ์ระดับอวุโส"
    (หนังสือ นิฮายะฮฺ อัล-อุกูล หน้า212 ของท่าน อิหม่าม อัรรอซีย์)
  18. ท่านอลี บิน ซุลฏอล บิน มุฮัมมัด อัลกอรีย์
    ( เสียชีวิต ฮ.ศ. 1014 )
    ท่านกล่าวว่า
    " สำหรับผู้ที่ด่าทอคนหนึ่งจากซอฮาบะฮฺ เขาย่อมเป็นคนชั่วและผู้ที่ทำบิดอะฮฺ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ นอกจากเขาเชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่อนุมัติ เสมือนกับส่วนหนึ่งของชีอะฮฺได้กระทำอย่างนั้น หรือเขาเชื่อว่า(การด่าทอซอฮาบะฮฺ)ได้ผลบุญ ซึ่งเสมือนกับอุปนิสัยของพวกเขา หรือเขาเชื่อว่าซอฮาบะฮฺและอะฮฺลิสซุนนะฮฺนั้นเป็นกาเฟร ดังนั้นเขา(ที่เชื่อเช่นนั้น)ย่อมเป็นกาเฟรโดยมติเอกฉันท์"
    (ดู ชัมมุลอะวาริฏ ฟี ซัมมิรร่อวาฟิฏ หน้า 6 ท่านอัลกอรีย์กล่าวอีกว่า " ส่วนหนึ่งจากทำสิ่งทำให้ชีอะฮฺเป็นกาเฟรนั้น คือสิ่งที่พวกเขาอ้างว่า อัลกุรอานมีการบิดเบือนและตัดทอน " ชัมมุลอะวาริฏ ฟี ซัมมิรร่อวาฟิฏ หน้า 259)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น