วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

อะกีดะห์ของอิมามอิบนฺกะษีรเป็นอะกีดะห์เดี่ยวกันกับอิมามอัซซะหะบีย์ เชคของท่าน

อะกีดะห์ของอิมามอิบนฺกะษีรเป็นอะกีดะห์เดี่ยวกันกับอิมามอัซซะหะบีย์ เชคของท่าน
คนที่ไม่เคยลงลึกในอะกีดะห์สลัฟ มักจะเข้าใจผิดในแนวทางสลัฟ โดยเฉพาะหากคนๆนั้นเคยผ่านการเรียนเตาฮีดตามแนวทางการตะวีลบรรดาตัวบทที่เกี่ยวกับศีฟาตของอัลลอฮฺ ก็ยิ่งไม่เข้าใจแนวทางสลัฟ เพราะความรู้ตามแนวทางอิลมฺกะลามจะปิดบังมิให้เข้าใจแนวทางสลัฟอย่างถูกต้อง
ดังนั้น จึงไม่แปลกเลย ที่จะเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจผิดในแนวทางของอุลามาอฺสายสลัฟ เช่น อิบนฺกุดามะห์ อิบนฺรอญับ อัซซะหะบีย์ และอิบนฺกะษีร
คนกลุ่มนี้ นอกจากยังไม่เข้าใจแนวทางสลัฟแล้ว ยังเข้าใจผิดต่อแนวทางอุลามาอฺสายสลัฟ โดยยึดบางคำพูดของอุลามาอฺเหลานี้มาสนับสนุนสิ่งที่ตนคิดว่า สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง ทั้งๆในความเป็นจริงแล้ว อะกีดะห์ของอุลามาอฺสายสลัฟช่างต่างกันนักกับอะกีดะห์ที่พวกเขายึดและเชื่อกับมัน
อุลามาอฺเหล่านี้ต่างเชื่อว่าอัลลอฮฺทรงอยู่เหนืออะรัช ไม่มีใครแม้แต่คนเดี่ยวที่ทำการตะวีล เห็นได้จากหนังสือที่พวกเขาเขียนขึ้นมา โดยเฉพาะอิบนฺกุดามะห์และอัซซะหะบีย์ ได้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากใครได้อ่านและเปิดใจ น่าจะเข้าใจว่า ท่านทั้งสองเชื่ออัลลอฮฺทรงอยู่เหนืออะรัช ตามที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคำภีย์อัลอุกรอาน และตามที่ปรากฏในหะดีษและคำพูดของบรรดาศอหะบะห์นบี
ส่วนอิมามอิบนฺกะษีร แม้จะไม่ได้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับเรื่องการมีอยู่ของอัลลอฮฺเหนืออะรัชโดยเฉพาะ แต่ท่านก็มีหนังสือตัฟซีร และย้ำตลอดว่า ตามแนวททางสลัฟ ซึ่งท่านเป็นศิษย์เอกของอิมามอัซซะหะบีย์ ความรู้และความเชื่อ จะรับโดยตรงจากอิมามอัซซะหะบีย์
ฉะนั้น คนที่เอาคำพูดของอิบนฺกะษีร แล้วเข้าใจเอง โดยไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับอะกีดะห์สลัฟ และอะกีดะห์ของอุลามาอฺสายสลัฟอย่างอัซซะหะบีย์ แน่นอนจะต้องเข้าใจผิด เป็นเรื่องธรรมาดา
อิบนฺกะษีรกล่าวอย่างชัดเจนว่า
وَأَمَّا قَوْلُهُ تَعَالَى: {ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ} فَلِلنَّاسِ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَقَالَاتٌ كَثِيرَةٌ جِدًّا، لَيْسَ هَذَا مَوْضِعَ بَسْطِهَا، وَإِنَّمَا يُسلك فِي هَذَا الْمَقَامِ مَذْهَبُ السَّلَفِ الصَّالِحِ: مَالِكٌ، وَالْأَوْزَاعِيُّ، والثوري، وَاللَّيْثُ بْنُ سَعْدٍ، وَالشَّافِعِيُّ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ، وَإِسْحَاقُ بْنُ رَاهَوَيْهِ وَغَيْرُهُمْ، مِنْ أَئِمَّةِ الْمُسْلِمِينَ قَدِيمًا وَحَدِيثًا، وَهُوَ إِمْرَارُهَا كَمَا جَاءَتْ مِنْ غَيْرِ تَكْيِيفٍ وَلَا تَشْبِيهٍ وَلَا تَعْطِيلٍ. وَالظَّاهِرُ الْمُتَبَادَرُ إِلَى أَذْهَانِ الْمُشَبِّهِينَ مَنْفِيٌّ عَنِ اللَّهِ، فَإِنَّ اللَّهَ لَا يُشْبِهُهُ شَيْءٌ مِنْ خَلْقِهِ، وَ {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} [الشُّورَى:11] بَلِ الْأَمْرُ كَمَا قَالَ الْأَئِمَّةُ -مِنْهُمْ نُعَيْم بْنُ حَمَّادٍ الْخُزَاعِيُّ شَيْخُ الْبُخَارِيِّ -: "مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِخَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ، وَمَنْ جَحَدَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ". وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولَهُ تَشْبِيهٌ، فَمَنْ أَثْبَتَ لِلَّهِ تَعَالَى مَا وَرَدَتْ بِهِ الْآيَاتُ الصَّرِيحَةُ وَالْأَخْبَارُ الصَّحِيحَةُ، عَلَى الْوَجْهِ الَّذِي يَلِيقُ بِجَلَالِ اللَّهِ تَعَالَى، وَنَفَى عَنِ اللَّهِ تَعَالَى النَّقَائِصَ، فَقَدْ سَلَكَ سَبِيلَ الْهُدَى.
ความว่า และคำกล่าวของพระองค์ที่ว่า (ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ) สำหรับอุลามาอฺในเรื่องนี้มีทัศนะมากมายเหลือเกิน ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ที่ๆจะอธิบายทั้งหมด และแท้จริงแล้ว แนวทางสลัฟศอและห์ในเรื่องนี้ (เช่น) อิมามมาลิก อัลเอาซาอีย์ อัษเษารีย์ อัลลัยษ์ บิน สะอัด อิมามอัชชาฟีอีย์ อิมามอะห์มัด อิสหาก บิน รอฮะวัยฮ์ และท่านอื่นๆจากบรรดาอิมามทั้งหลาย ทั้งยุคก่อนและยุคใหม่ คือ การรายงานมันดังที่ได้มาจากท่านนบี โดยไม่มีการตักยีฟ ไม่มีการตัชบีฮฺ และตะฏีล
และความหมายซอฮิรที่มีอยู่ในความคิดของกลุ่มมุชับบิฮะห์ถูกปฏิเสธจากอัลลอฮฺ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงไม่มีสิงใดๆจากมัคลูกคล้ายพระองค์ (ดังที่อัลลอฮฺกล่าวความว่า) ไม่มีสิ่งใดๆเสมือนพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยิน ทรงเห็น
ทว่า เรื่องนี้ดังที่บรรดาอิมามได้กล่าว เช่น ท่านนุอัยม์ บิน หัมมาด อัลคุซาอีย์ เชคของอิมามอัลบุคอรีย์ ว่า ใครทำการตัชบิฮฺอัลลอฮฺกับมัคลูกของพระองค์ แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา และใครที่ปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮฺได้ให้คุณลักษณะซาตของพระองค์ แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา และไม่มีสิ่งใดๆจากสิ่งที่พระองค์และท่านรอซูลได้กล่าวถึงคุณลักษณะซาตของพระองค์นั้นเป็นการตัชบีฮฺ
ดังนั้น ใครผู้ใดทำการยืนยันต่ออัลลอฮฺ (ตาม) ที่ปรากฏในอายะห์อัลกุรอานที่ชัดเจน และในตัวบทหะดีษที่ศอเฮี้ยะ ตามความเหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺตะอาลา และทำการปฏิเสธความไม่สมบูรณ์จากอัลลอฮฺตะอาลา ซึ่งแท้จริงแล้ว เขาได้เดินบนทางนำ (ของอัลลออฺ)
ชัดเจนมากว่า อิบนฺฺกะษีรทำการปฏิเสธความหมายซอฮิรที่ไม่เหมาะสมกับอัลลอฮฺตะอาลา ซึ่งเป็นความหมายซอฮิรที่คู่ควรกับมัคลูก ที่มีอยู่ในความคิดและสมองของคนที่ทำการตัชบีฮฺอัลลอฮฺกับมัคลูก
แน่นอน อะกีดะห์นี้ คือ อะกีดะห์ของเชคของท่าน อัซซะหะบีย์ได้กล่าวในหนังสือ อัลอุลุว์ลิลอะลีย์อัลฆ็อฟฟาร หน้า ๒๕๑ ว่า
الْمُتَأَخّرُونَ من أهل النّظر قَالُوا مقَالَة مولدة مَا علمت أحدا سبقهمْ بهَا قَالُوا هَذِه الصِّفَات تمر كَمَا جَاءَت وَلَا تَأَول مَعَ اعْتِقَاد أَن ظَاهرهَا غير مُرَاد فتفرع من هَذَا أَن الظَّاهِر يَعْنِي بِهِ أَمْرَانِ أَحدهمَا أَنه لَا تَأْوِيل لَهَا غير دلَالَة الْخطاب كَمَا قَالَ السّلف الاسْتوَاء مَعْلُوم وكما قَالَ سُفْيَان وَغَيره قرَاءَتهَا تَفْسِيرهَا
يَعْنِي أَنَّهَا بَيِّنَة وَاضِحَة فِي اللُّغَة لَا يبتغى بهَا مضائق التَّأْوِيل والتحريف
وَهَذَا هُوَ مَذْهَب السّلف مَعَ اتِّفَاقهم أَيْضا أَنَّهَا لَا تشبه صِفَات الْبشر بِوَجْه إِذْ الْبَارِي لَا مثل لَهُ لَا فِي ذَاته وَلَا فِي صِفَاته
الثَّانِي أَن ظَاهرهَا هُوَ الَّذِي يتشكل فِي الخيال من الصّفة كَمَا يتشكل فِي الذِّهْن من وصف الْبشر فَهَذَا غير مُرَاد
ความว่า อุลามาอฺยุคหลังจากพวกที่ใช้ตรรกะได้กล่าวด้วยคำกล่าวใหม่ที่ฉันไม่เคยพบเห็นคนก่อนๆแม้แต่คนเดี่ยวกล่าวด้วยมัน พวกเขากล่าวว่า ศีฟาตเหล่านี้ต้องรายงานดังที่ปรากฏ และจะไม่มีการตะวีล พร้อมๆกับเชื่อว่า ซอฮิรของมันไม่ได้เป็นเป้าประสงค์ จึง (มีประเด็นที่) ออกจาก (คำกล่าว) นี้ ว่า ความหมายซอฮิรนั้น สองสิ่ง หนึ่ง คือ มิอาจทำการตะวีลใดๆต่อศีฟาตอัลลอฮฺนอกจาก (ความหมายจาก) การบ่งชี้ของคำพูด ดังที่สลัฟได้กล่าวว่า อัลอิสติวาอฺเป็นที่รู้กัน และดังที่ท่านสุฟยานและท่านอื่นๆได้กล่าวว่า การอ่านของมัน คือ การอธิบายสำหรับมัน ความหมายก็คือ มันเป็นที่ชัดเจนในภาษาอาหรับ ไม่จำเป็นต้องใช้แนวทางตะวีลและตะห์รีฟ และสิ่งนี้คือแนวทางสลัฟ พร้อมกันนั้น พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า ศีฟาตอัลลอฮฺไม่คล้ายศีฟาตมัคลูก อย่างแน่นอน เพราะไม่มีสิ่งใดๆเสมือนอัลลอฮฺ ในซาตและศีฟาตของพระองค์
สอง คือ ซอฮิรที่มีอยู่ในความคิดและมันสมอง (ของมัคลูก) จากศีฟาต (มัคลูก) ดังที่ปรากฏในความคิดจากการให้คุณลักษณะของมัคลูก ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใชเป้าประสงค์
ดังนั้น ชัดเจนมากว่า อุลามาอฺสายสลัฟ ต่างแยกแยะระหว่างซอฮิรที่คู่ควรกับอัลลอฮฺกับซอฮิรที่คู่ควรกับมัคลูก ดังที่ผมได้นำเสนอมาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน กลับใส่ร้ายคนที่ให้ความหมายซอฮิรที่คู่ควรกับอัลลอฮฺ ด้วยข้อหาที่ร้ายแรง ถึงขึ้นตัดสินกาฟีร
จึงไม่แปลกเลย ที่อุลามาอฺสลัฟจะขนานนามให้กับกลุ่มญะห์มิยะห์และมุตะซีละห์ว่าเป็นกลุ่มตามนัฟซู (อะห์ลุลอะห์วาอฺ) เพราะพวกเขาไม่ยอมรับฟังสิ่งที่อุลามาอฺสุนนะห์นำเสนอ และใส่ร้ายอุลามาอฺสุนนะห์ว่าเป็น มุชับบิฮะห์และมุญัสสิมะห์
เราขอยืนยัน ว่า อัลลอฮฺทรงอยู่เหนืออะรัช อัลลอฮฺทรงมีมือ อัลลอฮฺทรงมีใบหน้า อัลลอฮฺทรงรอบรู้ อัลลอฮฺทรงได้ยิน อัลลอฮฺมีคุณลักษณะดังที่พระองค์และรอซูลได้ให้คุณลักษณะซาตของพระองค์ โดยไม่มีการตัชบิฮฺกับมัคลูก ไม่มีการตะวีลออกจากความหมายซอฮิรที่คู่ควรกับพระองค์ ไม่ปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลได้ให้คุณลักษณะซาตของพระองค์ และไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้
ใครกล่าวหาว่าร้ายเราเกินกว่าสิ่งที่เราเชื่อและยืนยัดกับมัน พึ่งรู้เถิดว่า เขาไม่ต่างอะไรเลยกับกลุ่มญะห์มิยะห์และมุตะซีละห์ ในความเชื่อ ความคิด และแนวทาง
ขอให้อัลลอฮฺทรงมองฮิดายะห์แด่ผู้ที่ต้องการความสัจจริง และผู้ที่ต้องการยืนยัดในความเชื่อของเขา ทั้งๆที่รู้ว่า สลัฟไม่เห็นด้วยกับแนวทางนั้น ก็อย่าได้คิดว่า ตนอยู่ในแนวทางสลัฟ เพราะนั่นมันไม่ใช่แนวทางสลัฟ วัลลอฮูอะลัม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น