ลำดับขั้นของหลักฐาน
ตอน : ซุนนะห์ของท่านนบีและซุนนะห์ของบรรดาคอลีฟะห์
คือเรื่องราวที่ถูกรายงานมาจากคำพูด,การกระทำ หรือการยอมรับของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งจำแนกได้ดังนี้
1. ซุนนะห์เกาลียะห์ คือเรื่องราวที่ได้จากคำพูดของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เฃ่นเหตุการณ์ที่บรรดาศอฮาบะห์ถามเกี่ยวกับเรื่องน้ำทะเล ท่านตอบว่า
هُوَ الطَّهُوْرُ مَاؤهُ الحِلُّ مَيْتَتُهُ
“น้ำทะเลนั้นสะอาด และสัตว์ทะเลที่ตายก็เป็นที่อนุมัติ” อิบนิมาญะห์ ฮะดีษเลขที่ 380
2. ซุนนะห์เฟียะอ์ลียะห์ คือเรื่องราวที่ได้จากการกระทำของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในด้านการอธิบายอัลกุรอาน หรืออธิบายข้อบัญญัติของศาสนา เช่นวิธีการอาบน้ำละหมาด,วีธีการละหมาด, วิธีการทำฮัจญ์ และในภาคสังคมเช่น ข้อบัญญัติเกี่ยวกับซื้อขาย เป็นต้น ตัวอย่างในกรณีทีกล่าวนี้มีมากมาย
ส่วนการกระทำของท่านที่เป็นกิจวัตร เช่นการกิน,การดื่ม และการใช้ชีวิตทั่วไปตามวิสัยของปุถุชน ไม่ถือเป็นข้อบัญญัติของศาสนา นอกจากกรณีที่ท่านเจาะจงกล่าวถึงเป็นการเฉพาะ
3. ซุนนะห์ตั๊กรีรี่ยะห์ คือเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบรรดาศอฮาบะห์ซึ่งท่านนบีเองก็รับทราบและไม่ได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด เช่นเหตการณ์ที่ อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ รายงานว่า ชายสองคนได้ออกเดินทางไปด้วยกัน เมื่อเข้าเวลาละหมาดปรากฏว่าไม่มีน้ำที่จะทำน้ำละหมาด ทั้งสองจึงได้ละหมาดด้วยการทำตะยำมุม แต่หลังจากนั้นทั้งสองได้พบน้ำขณะที่เวลาละหมาดยังคงมีอยู่ คนหนึ่งได้ทำการอาบน้ำละหมาดแล้วละหมาดใหม่ แต่อีกคนหนึ่งไม่ได้ทำใหม่ เมื่อเรื่องนี้มาถึงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านก็ยอมรับในการกระทำของบุคคลทั้งสองโดยกล่าวว่า
فَقَالَ للَّذِي لَمْ يُعِدْ :أَصَبْتَ السُنَّةَ وَأجْزَأتْكَ صَلاَتُكَ وَقَالَ للَّذِي أعَادَ: لَكَ الأجْرُ مَرَّتَيْنِ
ท่านนบีได้กล่าวแก่คนที่ไม่ได้ทำละหมาดใหม่ว่า เจ้าทำถูกต้องตามซุนนะห์แล้ว และการละหมาดของเจ้าก็ใช้ได้ และท่านก็กล่าวแก่คนที่อาบน้ำละหมาดและทำละหมาดใหม่ว่า สำหรับเจ้าได้รางวัลสองครั้ง” สุนันนะซาอีย์ ฮะดีษเลขที่ 430
ซุนนะห์ทั้งสามประเภทนี้เรียงลำดับก่อนหลังในการใช้อ้างเป็นหลักฐานได้ดังนี้
1 – ซุนนะห์ทางด้านคำพูดและการกระทำควบคู่กันมีน้ำหนักในการใช้อ้างเป็นหลักฐานมากที่สุด กรณีนี้เช่น การละหมาดและการทำฮัจญ์ ที่ท่านนบีทั้งสั่งสอนด้วยวาจาและทำให้ดู
خُذُوا عَنِّي مَنَاسِكَكُمْ
“พวกเจ้าจงเอารูปแบบวิธีการทำฮัจญ์จากฉัน” สุนันนะซาอีย์ ฮะดีษเลขที่ 3012
صَلُّوا كَمَا رَأيْتُمُوْنِي أُصَلِّي
“พวกเจ้าจงละหมาดเหมือนอย่างที่เห็นฉันละหมาด”ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 595
2 – ให้ยึดเอาซุนนะห์ทางด้านการกระทำก่อนคำพูดของท่านนบี ด้วยเหตุที่การกระทำ โดยเฉพาะวิธีการปฏิบัติอิบาดะห์มีผลต่ออุมมะห์มากกว่า ขณะที่บรรดาฟุกอฮาอ์ (นักวิชาการด้านฟิกฮ์) กลับเห็นต่างว่า ให้ยึดเอาคำพูดก่อนการกระทำของท่านนบี เนื่องจากซุนนะห์ทางด้านคำพูดนั้นมีผลต่อประชาชาติอิสลามมากที่สุดใน ส่วนการกระทำของท่านนั้น บางกรณีก็เป็นเรื่องเฉพาะนบีเท่านั้น ไม่มีผลบังคับใช้ต่อประชาชาติอิสลาม
3 – ให้ยึดเอาซุนนะห์ทางด้านการยอมรับของท่านนบีเป็นกรณีสุดท้ายในการใช้อ้างเป็นหลักฐาน
คือคำพูดหรือการกระทำของคอลีฟะห์ท่านหนึ่งท่านใด ไม่ว่าจะเป็นท่านอบูบักร์ อัศศิดดี๊ก,ท่านอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ,ท่านอุสมาน บินอัฟฟาน และท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَاشِدِيْنَ المَهْدِيْيِنَ عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَوَاجِذِ
“จำเป็นต่อพวกท่านทั้งหลายที่จะต้องปฏิบัติตามซุนนะห์ของฉัน และซุนนะห์ของบรรดาคอลีฟะห์ผู้ปราชญ์เปรื่องผู้ได้รับทางนำ พวกเจ้าจงยึดให้มั่นดั่งกัดด้วยฟันกราม” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 2600
ฮะดีษข้างต้นนี้ ท่านนบีไม่ได้กล่าวเจาะจงเป็นการเฉพาะว่าจะต้องเป็นคอลีฟะห์ท่านหนึ่งท่านใด แต่ท่านได้กล่าวโดยรวมว่า “บรรดาคอลีฟะห์” นอกจากสองท่านแรกคือ ท่านอบูบักร์ และ อุมัร ที่ถูกระบุไว้ในคำรายงานอีกบทหนึ่งเป็นการเฉพาะคือ
عَنْ ابْنِ مَسْعُودٍ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : اقْتَدُوا بِاللَّذَيْنِ مِنْ بَعْدِي مِنْ أَصْحَابِي أَبِي بَكْرٍ وَعُمَرَ
อับดุลลอฮ์ อิบนิ มัสอู๊ด รายงานว่า “พวกท่านจงปฏิบัติตามบุคคลทั้งสองหลังจากฉันผู้เป็นศอฮาบะห์ของฉัน คือ อบูบักร์และอุมัร” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 3741
ซุนนะห์ของบรรดาค่อลีฟะห์นี้ใช้เป็นหลักฐานทางศาสนาด้วย จากการรับรองของท่านนีบตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แต่จะใช้อย่างไร ?
นี่คือประเด็นที่เราจะชี้แจงให้ทราบดังนี้
คำพูดและการกระทำของบรรดาค่อลีฟะห์ บางครั้งก็มาขยายความซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม หรือบางครั้งก็มาเจาะจง แจกแจง และบางครั้งก็มาแจ้งฮุก่มในเรื่องนั้นๆให้ทราบ ตัวอย่างเช่น เราทราบว่าการสุญูดติลาวะห์ อยู่ในฮุก่มซุนนะห์ ไม่ใช่วาญิบ (คือไม่มีผลบังคับใช้ขั้นเด็ดขาด) เนื่องจากการกระทำของท่านอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ในเหตุการณ์ที่ท่านกำลังคุตบะห์ โดยบางครั้งท่านอ่านอายะห์ที่เกี่ยวกับการสุญูด ท่านก็ลงจากมิมบัรมาสุญูดแล้วกลับขึ้นไปคุตบะห์ต่อ และบางครั้งท่านก็อ่านผ่านเลยไปโดยไม่ได้ลงมาสุญูดแต่อย่างใด
ส่วนซุนนะห์ของค่อลีฟะห์ท่านใดที่แย้งกับซุนนะห์ของท่านนบี อย่างนี้ให้ถือเป็นบทเฉพาะกาล หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า “ลิ้ลมัสละฮะห์” คือถูกนำมาใช้เฉพาะกิจ เพื่อแก้ไข,ป้องกันหรือขจัดปัญหาเป็นการชั่วคราวตามแต่กรณี และเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นก็ให้กลับไปยึดเอาซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นหลัก
เรายกตัวอย่างในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของคอลีฟะห์ อุสมาน อิบนิ อัฟฟาน สักสองสามตัวอย่างดังนี้
1 – คุตบะห์ก่อนละหมาดอีด
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในวันอีดทั้งสอง (อีดิ้ลฟิตร์ กับอีดิ้ลอัฏฮา) นั้นท่านนบีจะทำการละหมาดอีดก่อนแล้วจึงทำการคุตบะห์ รวมถึงในยุคของท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร และยุคต้นของท่านอุสมาน ตามการรายงานที่ถูกระบุไว้ในศอเฮียะห์บุคอรีและมุสลิม แต่มาในยุคปลายของท่านอุสมาน ได้มีการคุตบะห์อีดก่อนแล้วจึงละหมาดอีดตามหลัง (ดูฟัตฮ้ลบารี เล่มที่ 2 หน้าที่ 451) ซึ่งเหตุและปัจจัยที่ทำให้ท่านอุสมานทำเช่นนี้ก็เพื่อแก้ปัญหากรณีที่ผู้คนละหมาดอีดไม่ทัน (ซึ่งต่างจากยุคของมัรวานที่ทำการคุตบะห์ก่อนเพื่อให้ผู้คนได้ฟังคุตบะห์) แต่พอมาถึงยุคของท่านอาลี อิบนิ อบีตอลิบ ก็กลับไปยืนตามซุนนะห์ของท่านนบีดั่งเดิมคือ ละหมาดอีดก่อนแล้วจึงคุตบะห์
2 – ละหมาดสี่ร๊อกอะห์ที่มีนาระหว่างการทำฮัจญ์
ในยุคของท่านนบี, อบูบักร์, อุมัร และช่วงต้นของการปกครองในยุคของท่านอุสมาน ได้มีการละหมาดย่อที่มีนาจำนวน 2 ร๊อกอะห์ แต่ช่วงครึ่งหลังการปกครองของท่านอุสมาน ได้ทำการละหมาดเต็มที่มีนา คือจำนวน 4 ร๊อกอะห์ ทำให้ศอฮาบะห์หลายท่านไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ บางท่านก็ละหมาดตาม, บางท่านก็ตามและกลับไปละหมาดย่อใหม่อีกครั้งจำนวน 2 ร๊อกอะห์ เช่นท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อุมัร และบางท่านก็ไม่ตาม เช่นท่านอาลี อิบนิ อบีตอลิบ เป็นต้น
روى سفيان بن عيينة ، عن جعفر بن محمد قال : " اعتل عثمان بمنى فأتي علي ، فقيل له : صل بالناس ، فقال علي : إن شئتم ، ولكن أصلي بكم صلاة رسول الله صلى الله عليه وآله ، يعني ركعتين . فقالوا : لا ، إلا صلاة أمير المؤمنين عثمان أربعا . . فأبى علي أن يصلي بهم "
ซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะห์ รายงานจาก ญะอ์ฟัร บิน มูฮัมหมัดว่า “ท่านอุสมานเกิดป่วยที่มีนา เมื่อท่านอาลีมาถึงก็มีคนกล่าวแก่ท่านว่า โปรดนำผู้คนละหมาดด้วยเถิด ท่านอาลีตอบว่า ได้..หากพวกท่านต้องการ แต่ทว่าฉันจะนำละหมาดพวกท่านด้วยแบบการละหมาดของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮี หมายถึงละหมาดสองร๊อกอะห์ พวกเขากล่าวว่า ไม่เอา..นอกจากการละหมาดตามแบบของท่าน อุสมานคือ สี่ร๊อกอะห์...ดังนั้นท่านอาลีจึงปฏิเสธที่จะนำละหมาดพวกเขา” (ศอเฮียะห์บุคอรี 2 : 154 ศอเฮียะห์มุสลิม 1 : 261)
บรรดานักวิชาการพยายามที่จะชี้เหตุและปัจจัยของการกระทำที่ต่างจากซุนนะห์ของท่านนบีหลายมุมมองด้วยกัน เช่น บางท่านกล่าวว่า เพราะท่านอุสมานมีภรรยาหรือมีหลักทรัพย์อยู่ที่มักกะห์, บางท่านกล่าวว่า เพราะท่านอุสมานต้องการปักหลักอยู่ที่มักกะห์ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นการทำฮัจญ์ท่านก็เดินทางกลับนครมะดีนะห์ แต่เหตุและปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือ ป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการละหมาดฟัรดูเนื่องจากช่วงเวลานั้นมีมุสลิมใหม่ร่วมเดินทางมาทำฮัจญ์เป็นจำนวนมาก
และเมื่อมาถึงยุคการปกครองของท่านอาลี อิบนิ อบีตอลิบ ท่านก็ได้กลับมานำละหมาดย่อที่มีนา 2 ร๊อกอะห์เหมือนในยุคของท่านนบี,ท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร และในช่วงต้นการปกครองของท่านอุสมานดั่งเดิม
3 – ประกาศห้ามทำอุมเราะห์พร้อมฮัจญ์
การทำอุมเราะห์พร้อมฮัจญ์หรือการทำฮัจย์แบบตะมัตตัวอ์นี้ มีมาตั้งแต่ในยุคของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม,ท่านอบูบักร์ ,ท่านอุมัร และท่านอุมัรเองก็เคยประกาศให้ระงับการทำอุมเราะห์พร้อมฮัจญ์เป็นการชั่วคราวมาแล้ว เนื่องจากเกรงว่า บรรดาผู้คนจะไม่มาทำอุมเราะห์นอกฤดูฮัจญ์ และมาประกาศห้ามอีกครั้งในยุคของท่านอุสมาน บินอัฟฟาน ทำให้เกิดการเห็นต่างในหมู่ศอฮาบะห์
قال مروان بن الحكم : شهدت عثمان وعليًّا رضي الله عنهما ، وعثمان ينهى عن المتعة ، وأن يُجْمع بينهما ، فلما رأى عليٌّ أهَلّ بهما : لبيك بعمرة وحجة ، قال : ما كنت لأدَع سنة النبي صلى الله عليه وسلم لِقول أحَد
มัรวาน บิน ฮะกัม กล่าวว่า ฉันเคยอยู่ร่วมกับท่านอุสมานและท่านอาลี (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อท่านทั้งสอง) ขณะที่ท่านอุสมานห้ามการทำฮัจญ์ตะมัตตัวอ์ คือการทำอุมเราะห์พร้อมฮัจญ์ เมื่อท่านอาลีทราบดังนั้น ท่านจึงประกาศเจตนาทำอุมเราะห์พร้อมฮัจญ์โดยกล่าวว่า ข้าตอบรับคำเรียกร้องของพระองค์ท่านด้วยการทำอุมเราะห์และฮัจญ์ ท่านกล่าวว่า ฉันไม่เคยทิ้งซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เพราะคำใคร” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 1461
เราไม่ได้ปฏิเสธซุนนะห์ของค่อลีฟะห์ท่านใด เรายืนยันว่าซุนนะห์ของบรรดาค่อลีฟะห์ นั้นใช้อ้างเป็นหลักฐานในการอธิบายความอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ส่วนซุนนะห์ของค่อลีฟะห์ที่แย้งกับซุนนะห์ของท่านนบีนั้นจะถูกใช้เป็นบทเฉพาะกาล หรือที่เรียกว่าในทางวิชาการว่า “ลิ้ลมัสละฮะห์” ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น คือถูกนำมาใช้เฉพาะกิจ เพื่อแก้ไข,ป้องกันหรือขจัดปัญหาเป็นการชั่วคราวตามแต่กรณี และเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นก็ให้กลับไปยึดเอาซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นหลัก
เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ ขอพระองค์อย่าให้หัวใจของเรามีอคติต่อบรรดาค่อลีฟะห์,บรรดาศอฮาบะห์ และปวงผู้ศรัทธา เรานำเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อให้ท่านได้เข้าใจถึงลำดับขั้นของการใช้หลักฐานเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น