วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดความขัดแย้งในเรื่องศาสนา

ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดความขัดแย้งในเรื่องศาสนา






สิ่งที่พึงรู้ :

1- สิ่งที่ไม่มีข้อบกพร่องเลยนั้นมีอยู่ 3 อย่างคือ อัลกุรอาน สุนนะฮฺที่ถูกต้อง และอิจญฺมาอฺ (ความเห็นเป็นเอกฉันท์ของอุละมาอฺ) ที่ชัดเจนไม่เป็นที่กังขา นอกเหนือจากนี้ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดที่จะปราศจากข้อผิดพลาด

2- การปฏิเสธสิ่งที่เป็น “มะอฺลูม มินัดดีน บิฎเฎาะรูเราะฮฺ” (สิ่งที่มีหุก่มชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย) เช่น การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ และหลักศรัทธาอื่นๆ) นั้นถือเป็นกุฟรฺ

3- การคิลาฟ (มีทัศนะที่ต่างกัน) ในส่วนที่เป็นปัญหาอิจญฺติฮาดิยะฮฺ (ปัญหาที่ไม่มีหลักฐาน หรือมีแต่ไม่ชัดเจน หรือสามารถเข้าใจได้หลายมุมมอง) นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

4- ในส่วนของปัญหาคิลาฟ จำเป็นที่เราจะต้องยึดตามสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง แต่ทั้งนี้ ก็ต้องให้เกียรติทัศนะอื่น ตราบใดที่วางอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานและความเข้าใจที่ถูกต้อง

มารยาทที่พึงมีในการเสวนาหรือโต้แย้ง :

1- ตรวจสอบคำพูดให้แน่ใจ: เมื่อได้ข่าวว่าใครคนใดคนหนึ่งพูดอะไร ควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าเขาคนนั้นพูดจริงหรือเปล่า? และต้องทำความเข้าใจคำพูดหรือทัศนะของเขาให้ถ่องแท้ อย่าด่วนสรุป เพราะอาจจะมีความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารกระจายข่าว หรืออาจมีผู้ไม่หวังดีให้ข่าวในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนๆนั้นเป็นผู้รู้

2- กำหนดประเด็นขัดแย้งให้ชัดเจน: หลายต่อหลายครั้งที่สองฝ่ายโต้เถียงกัน ตอบโต้กันไปมา โดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังขัดแย้งกันในประเด็นใด? ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกำหนดประเด็นขัดแย้งให้ชัดเจนก่อน บางครั้งคนสองฝ่ายอาจโต้เถียงกันในประเด็นที่ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่เห็นตรงกัน และหลายๆกรณีก็อาจจะไม่ได้ขัดแย้งจริงๆ แต่เป็นเพียงการใช้ถ้อยคำหรือศัพท์ที่ไม่ถูกที่ ซึ่งหากเปลี่ยนไปใช้คำอื่นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็จะหมดไป

3- อย่ามองเจตนาฝ่ายตรงข้ามในแง่ร้าย: ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะขัดแย้งกับเราเพียงใดเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปมองเจตนาเขาในทางที่ไม่ดี ตราบใดที่เขาเป็นมุสลิม ศรัทธาในอัลกุรอานและสุนนะฮฺ และไม่ออกจากแนวทางอิจญฺมาอฺอุมมะฮฺ ต้องคิดต่อเขาในแง่ดีไว้ก่อน ต้องคิดว่าเขารักอัลลอฮฺ และเราะสูลของพระองค์ และเริ่มสนทนากับเขาบนพื้นฐานนี้โดยที่เรามีความยุติธรรมต่อเขา

ด้วยวิธีการเช่นนี้ จะทำให้เราสามารถนำเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้หากว่าความถูกต้องนั้นอยู่กับฝ่ายเรา แต่ถ้าเรามองเขาในแง่ร้ายตั้งแต่ต้น มองว่าเขามีเจตนาไม่ดี การสนทนาของเราก็จะเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือต้องการเปิดโปงเขา ทำให้เขาเสียหน้า หรือเปิดเผยสิ่งที่เราคิดว่าเขาซ่อนเร้นไว้ข้างใน ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเองก็อาจจะมองเราด้วยความรู้สึกนี้เช่นเดียวกัน สุดท้ายการสนทนาก็จะลุกเป็นไฟ แทนที่จะนำพาไปสู่ความถูกต้อง ก็จะกลายเป็นเพียงความต้องการเอาชนะ และเปิดโปงฝ่ายตรงข้าม

4- ต้องมีความอิคลาศบริสุทธิ์ใจ: จงให้เจตนาและจุดมุ่งหมายของการสนทนานั้น คือการค้นหาสัจธรรมความถูกต้อง อันจะนำมาซึ่งริฎอองค์อัลลอฮฺตะอาลา ชี้แจงความคลุมเครือของปัญหาที่อาจทำให้มุสลิมขัดแย้งกันกันได้ และการรวมพี่น้องมุสลิมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเรามีเจตนาเช่นนี้เราก็จะได้รับผลบุญจากการสนทนานั้น

5- เข้าสู่การสนทนาโดยที่มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ที่จะน้อมรับต่อความถูกต้องแม้ว่าจะอยู่กับฝ่ายตรงข้ามก็ตาม

6- อย่ามั่นใจหรือยึดติดกับทัศนะของตนเองมากเกินไป: ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจในทัศนะของตนเองมากเพียงใดก็ควรคิดเผื่อไว้บ้างว่าความถูกต้องอาจจะอยู่กับฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ด้วยความรู้สึกเช่นนี้จะทำให้เราสามารถยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น หากความถูกต้องนั้นอยู่กับฝ่ายตรงข้าม

7- การยอมรับความถูกต้องจากฝ่ายตรงข้ามถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องและน่าชื่นชม: และการไม่ยอมรับหรือปฏิเสธความถูกต้องนั้นถือเป็นการหยิ่งยโสโอหัง ซึ่งเป็นบาปใหญ่อย่างหนึ่ง ดังปรากฎในตัวบทฮะดีษ ความว่า:

“ความหยิ่งยโสนั้น คือการปฏิเสธความถูกต้อง และดูถูกผู้อื่น” บันทึกโดย มุสลิม

8- ฟังให้ดีให้เข้าใจก่อนตอบหรือโต้แย้ง

9- ให้เวลาที่เพียงพอแก่ฝ่ายตรงข้ามในการตอบ เพราะนั่นคือความยุติธรรม

10- อย่าตัดบท หรือพูดแทรก ควรรอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อนจึงค่อยพูด

11- หากเห็นว่าประเด็นที่กำลังสนทนาอยู่นั้นต้องใช้เวลาในการค้นหาคำตอบ ก็ควรขอเวลาเพื่อกลับไปทบทวน

12- อย่าโต้เถียงแบบข้างๆคูๆ สักแต่ว่าได้เถียงและยืนยันทัศนะของตัวเอง

13- กำหนดนิยามของศัพท์ที่เราใช้ตามความเข้าใจของเรา และเข้าใจนิยามของฝ่ายตรงข้ามให้ตรงตามที่เขาเข้าใจ: บ่อยครั้งที่เกิดการโต้แย้งกันเพราะการใช้ศัพท์ที่เข้าใจไม่ตรงกัน เราเข้าใจอย่างหนึ่ง แต่อีกฝ่ายเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างศัพท์ที่อาจจะเข้าใจต่างกันได้ ก็เช่น คำว่าสุนนะฮฺ แนวทางสะลัฟ หรือ บิดอะฮฺ เป็นต้น

14- ควรเลื่อนการสนทนาออกไป ถ้าเห็นว่าการดำเนินการสนทนาต่อไปนั้นจะทำให้เกิดความขัดแย้งถึงขั้นแตกหัก

15- การคงไว้ซึ่งความรัก และสัมพันธภาพอันดีแม้ว่าจะมีทัศนะที่แตกต่างกัน (ในเรื่องที่สามารถจะมีทัศนะที่แตกต่างกันได้) ย่อมดีกว่าการขัดแย้งและบาดหมางกัน

วัลลอฮุ อะอฺลัม

وصلى الله على نبينا محمد والحمد لله رب العالمين

(ถอดความอย่างย่อจากหนังสือ “อัลเกาะวาอิด อัซซะฮะบิยะฮฺ ฟี อะดะบิล คิลาฟ ” เขียนโดย เชค อับดุลเราะหฺมาน อับดุลคอลิก สามารถอ่านต้นฉบับภาษาอาหรับได้ที่ www.salafi.net
)

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

#ซิกรุ้ลลอฮค่อยๆ

อัลลอฮ ต้าอาลา ทรงตรัสว่า : และท่านจงระลึกถึงพระเจ้าของท่าน ในส่วนตัวของท่าน(เสียงค่อย) โดยมีความน้อบน้อม และเกรงกลัว(พระองค์) และไม่เสียงดังจากคำกล่าว(คืออยู่ระหว่างค่อยและดัง)ทั้งในยามเช้า และยามเย็น #และท่านอย่าเป็นส่วนหนึ่งจากพวกหลงลืม(จากการระลึกถึงอัลลอฮ)
(อัลอะอร้อฟ 205 ตัฟซีรอัลญ่าลาลัยน์)

จากอบูบักร์ , อุมัร และ อุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม

จากอบูบักร์ , อุมัร และ อุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม
มีการอ้างหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้
จากอัลเอาวาม บินหัมซะฮฺ กว่าวว่า "ฉันได้ถามอะบูอุษมานเรื่องการอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ ท่านตอบว่า :
ให้อ่านหลังจากรุกูอ์ ฉันถามว่า (ท่านได้รู้เห็นเรื่องนี้) มาจากใคร ? ท่านตอบว่า : (รู้เห็นมา) จากอะบูบักร์, อุมัร และอุษมาน " - บันทึกโดย อัลบัยฮะกีย์ ใน '' อัสสุนัน อัลกุบรอ '' เล่ม 2 หน้า 202 ; อิบนุอะบูย์ชัยบะฮฺ ใน '' อัลมุศ็อยนัฟ " เล่ม 2 หน้า 212

หะดีษบทนี้อัลบัยฮะกีย์ กล่าวว่า สายรายงานของมันสวยงาม แต่อิบนุอัตตัรกะมานีย์ ซึ่งวิจารณ์สายรายงานหะดีษใน "อัสุนัน อัลกุบรอ" โดยอัลบัยฮะกีย์ข้างต้นค้านว่า สายรายงานของมันเฎาะอีฟ

ชี้แจง
ไม่ว่าสายรายงานของหะดีษนี้จะสวยงามหรือเฎาะอีฟ แต่ตามสมมติฐานที่ว่า สายรายงานของมันสวยงามดังคำกล่าวของอัลบัยฮะกีย์ แต่ทว่าหะดีษบทนี้ก็ยังนำมาเป็นหลักฐานเรื่องการอ่านกุนูตในละหมาดศุยห์เป็นประจำด้วยดุอาฮฺที่ว่า " อัลลอฮุมมะฮฺดินีย์ ฟีมันฮะดัยต์ . . . " ไม่ได้
เนื่องจาก
  1. ในหะดีษข้างต้นระบุเพียงว่า เคราะลีฟะฮ์เหล่านั้นเคยอ่านกุนูตหลังรุกูอ์ในละหมาดศุบห์ แต่ไม่ได้ระบุเลยว่าเป็นการอ่านประจำทุกเช้า แล้วอ่านกุนูตอะไร
    ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาแล้วว่า เรื่องบรรดาเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่ท่านเคยอ่านกุนูต ไม่ว่าในละหมาดศุบห์ หรือละหมาดอื่นนั้นไม่ใช่เป็นประเด็ดขัดแย้ง แต่ประเด็นขัดแย้งอยู่ที่ว่าเป็นการอ่านเป็นประจำทุกเช้าในละหมาดศุบห์ด้วยดุอาอ์ "อัลลอฮุมมะฮ์ดินีย์. . ." ซึ่งข้อความนี้จะไม่ปรากฏมีระบุไว้เลยในหะดีษข้างต้นนี้
  2. มีหลักฐานที่ถูกต้องจากการบันทึกโดยอิบนุอะบูชัยบะฮฺ - "อัลมุศ็อนนัฟ" เล่ม 2 หน้า 213 - โดยรายงานมาจากอุบัยด์ บินอุมัยร์ ยืนยันว่า เคาะลีฟะฮฺ์อุมัร อิบนุลค็อฎฎอบ ร.ฎ. เคยอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์เพื่อขอความช่วยเหลือจากระองค์อัลลอฮ์ และสาปแช่งบรรดากุฟฟารที่หันเหออกจากศาสนาของพระองค์ และอุษมาน บินซิยาด ก็รายงานว่า - "อัลมุศ็อนนัฟ" เล่ม 2 หน้า 214 - เคาะลีฟะฮ์อุษมาน บินอัฟฟาน ร.ฎ. ก็เคยอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้

    อิบนุลก็อยยิม อัลเญาซียะฮ์ได้กล่าวว่า
    - "ซาตุลมะอาด " โดย อิบนุลก็อยยิม อัลเญาซียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 96 - อนึ่งสิ่งที่มีรายงานมาจากบรรดาเศาะหาบะฮฺ(ในเรื่องกุนูต) จะมีสองประเภท คือ ประเภทที่หนึ่ง : เป็นกุนูตนาซิลละฮ์ (กุนูตขณะมีเหตุการณ์ต่างๆ) ตัวอย่างเช่น การอ่านกุนูตของอะบูบักร อัศศิดดีก ร.ฎ. ในตอนทำสงครามระหว่างเศาะหาบะฮ์กับมุซับละมะฮ์อัลกัซซาย และตอนทำสงครามกับพวกอะฮ์ลุลกิตาบ ในทำนองเดียวกันการอ่านกุนูตของอุมัรและการอ่านกุนูตของอะลีย์ตอนที่ท่านทำสงครามกับมุอาวิยะฮ์และชาวเมืองชาม ส่วนประเภทที่สอง : กุนูตในยามปกติซึ่งเจตนารมณ์ของผู้ซึ่งได้เล่าเกี่ยวกับกุนูตประเภทนี้มาจากพวกท่านจะหมายถึงการยืนนานในรุกน์นี้ (หมายถึงในการยืนอิอ์ติดาล) เพื่อขอดุอาอ์และเพื่อยกย่องต่อพระองค์อัลลอฮฺ วัลลอฮุอะอ์ลัม

    และมีการกล่าวในการบันทึกประวัติของอะบูอัลหะสัน อัลกัรญีย์ นักวิชาการแห่งมัซฮับชาฟิอีย์ท่านหนึ่งว่า
    "แท้จริงอะบูอัลหะสันไม่เคยอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์เลย และท่านกล่าวว่าในเรื่องนี้ไม่มีหะดีษถูกต้องเลยแม้แต่บทเดียว" - "อัฎเฎาะอีฟะฮ์ " โดยมุหัมมัด นาศิรุดดีน อัลอัลบานีย์ เล่ม 3 หน้า 388-
จากข้อมูลต่างๆ เพียงเท่าที่ได้นำเสนอและวิเคราะห์มาแล้วนี้จึงสรุปได้ว่า เรื่องการอ่านกุนูตเป้นประจำทุกเช้าในละหมาดศุบห์ด้วยดุอาด์ที่ว่า " อัลลอฮุมมะฮ์ดีนีย์ ฟีมันฮะดัยต์ . . . " (จนจบ) ดังที่ผู้สังกัดมัซฮับชาฟีอีย์ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานที่ถูกต้องไม่ว่าจะจากหะดีษมัรฟูอ์หรือจากหะดีษเมากูฟแม้แต่บทเดียวมายืนยันไว้

จากอะลีย์ บิน อะบูฎอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ

จากอะลีย์ บิน อะบูฎอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
มีการอ้างการรายงานมาจากอับดุลลอฮ์ บินมะอ์กิล (ตาบิอีนระดับอาวุโส, เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. 88) มาอีกว่า " อะลีย์ ร.ฎ. ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ " แล้วยังอ้างคำกล่าวของอัลบัยฮะกีย์ว่า
- อัสสุนัน อัลกุบรอ " โดย อัลบัยฮะกีย์ เล่ม 2 หน้า 204 -
หะดีษนี้เศาะหี้ห์และเป็นที่เลื่องลือ

ข้อโต้แย้ง
แม้หะดีษบทนี้จะเป็นหะดีษที่ถูกต้องดังคำกล่าวของอัลบัยฮะกีย์ แต่ก็ไม่อาจจะนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องการอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์เป็นประจำได้ เนื่องจาก
  1. หะดีษบทนั้นกล่าวลอยๆ เพียงว่า อะลีย์เคยอ่านกุนูนตในละหมาดศุบห์ แต่ไม่ได้ระบุไว้เลยว่า อะลีย ร.ฎ. จะอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ด้วยดุอาอ์ที่ว่า
    " อัลลอฮุมมะฮ์ดินีย์ ฟีมันฮะดัยต์ . . ." อ่านมันเป้นประจำดังที่พวกเราอ่านกัน
  2. มีรายงานจากหะดีษบทอื่นระบุชัดเจนว่า กุนูตที่อะลีย์ บินอะบูฏอลิบ ร.ฎ. อ่านในละหมาดศุบห์ดังกล่าวนั้น เป็นกุนูตนาซิละฮ์ และท่านก็ไม่เคยอ่านมันมาก่อนนอกจากในครั้งนั้นหรือเพียงบางครั้งเท่านั้น
อิบนุอะบูชัยบะอ์ - "อัลมุศ็อนนัฟ" โดย อิบนุอะบูชัยบะฮ์ เล่ม 2 หน้า 209 - ได้บันทึกด้วยสายรายงานที่ถูกต้องจากอุรวะฮ์ บินอัลหาริษ อัล ฮัมดานีย์ จากอัชชะอ์บีย์ ว่า
"อัชชะอ์บีย์ กล่าวว่า : เมื่ออะลีย์อ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ ประชาชน (ชาวเมืองกูฟะฮ์) ก็คัดค้านท่านในเรื่องนี้ ท่านจึงกล่าวว่า : ฉันเพียงแต่ขอ (ดุอาอ์) ให้มีชัยชนะเหนือศัตรูของเรา (คือมุอาวิยะฮ์) เท่านั้น "

นอกจากนี้อับดุรเราะห์มาน บินมุฆ็อฟฟัล ก็ได้รายงานมาจากอะลีย์เช่นเดียวกันว่าอะลีย์ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบห์และขอดุอาอ์ให้มีชัยชนะเหนือมุอาวิยะฮ์ และขอดุอา์ให้มีชัยชนะเหนือมุอาวิยะฮ์, อัมร์ บินอัลอาศ, อะบูอัสสัลมา และ อับดุลลอฮ์ บิน ก็อยส์ ตลอดจนผู้สนับสนุนพวกเขาเหล่านี้ - ดังที่บันทึกโดย อิบนุอะบูย์ชัยบะฮ์ ใน " อัลมุศ็อนนัฟ " เล่ม 2 หน้า 216 -
ดุอาอ์ที่ขอให้มีชัยชนะเหนือศัตรูแบบนี้ ก็คือดุอาอ์ในกุนูต " นาซิละฮ์ " ที่น่าสังเกตก็คือ เรื่องการอ่านกุนูต แม้จะเป็นกุนูตนาซิลละฮ์ บรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ไม่น่าจะอ่านกันพร่ำเพรื่อหรือบ่อยมากนัก มิฉะนั้นประชาชนชาวเมืองกูฟะฮ์ก็คงจะไม่พากันคัดค้านอะลีย์เมื่อท่านอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ ดังข้อความของหะดีษบทแรกนั้น อีกทั้งยังมีรายงานจากอิบรอฮีม อันนะคออีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ. 96 ) อีกว่าชาวเมื่องกูฟะฮ์นั้นเพิ่งจะรู้จักกุนูตก็จากการที่อะลีย์อ่านเพื่อขอให้มีชัยชนะเหนือมุอาวิยะฮ์นั่นเอง และชาวเมืองชามเพิ่งได้รู้เรื่องกุนูตก็เพราะมุอาวิยะฮ์ได้อ่านกุนูตเพื่อขอให้มีชัยเหนืออะลีย์เช่นเดียวกัน - ดู " นัศบุรรอยะฮ์" โดย อัชชัยละอีย์ เล่ม 2 หน้า 131 -


สรุปแล้วกุนูตที่อะลีย์ บินอะบูฎอลิบ ร.ฎ. เคยอ่าน(บางครั้ง) ในละหมาดศุบห์ จึงเป็น กุนูตนาซิละฮ์ ไม่ใช่กุนูตด้วยดุอาอ์ว่า " อัลลอฮุมมะฮ์ดินีย์ . . . " และท่านก็ไม่ได้อ่านเป็นประจำทุกเช้าดังที่มีการอ้าง

จากอะบูฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ

จากอะบูฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
มีการอ้างข้อมูลจาก "อัซซุรกอนีย์ " อันเป็นหนังสืออธิบายหะดีษ "อัลมุวัฏเฏาะอ์" ของ อิมามมาลิก บินอะนัส ดังต่อไปนี้ - " อัซซุรกอนีย์" เล่ม 1 หน้า 456
มีการยืนยันมาว่า อะบูฮุร็อยฮ์ ร.ฎ. เคยอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ทั้งขณะที่ท่านนะบีย์ฯ ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากท่านตายไปแล้ว "

ข้อโต้แย้ง
ข้ออ้างเรื่องอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. อ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ ขณะท่านนะบีย์ ฯ ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เขียนไม่เคยค้นพบทั้งสายรายงานและตัวบทจึงไม่สามารถวิเคราะห๋ได้ นอกจากที่ว่าการอ่านกุนูตหลังจากท่านะบีย์ ฯ เสียชีวิตไปแล้ว อันเป็นหะดีษที่ถูกต้องบันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษ เลขที่ 126; มุสลิม หะดีษเลขที่ 296/676; อะบูดาวูด หะดีษเลขที่ 1440; อันนะสาอีย์ หะดีษเลขที่ 1074 ฯลฯ แต่หะดีษบทนี้ไม่สามารถนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องการอ่านกุนูตในละหมาดศุยห์เป็นประจำด้วยดุอาอ์ " อัลลอฮุมมะฮ์ดินีย์ ... "
ดังที่มีการปฏิบัติกันอยู่ได้เนื่องจาก
  1. กุนูตที่อะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. อ่านดังรายงานข้างต้นเป็นการสาธิต "กุนูตนาซิลละฮ์" ดังข้อมความตอนท้ายของหะดีษที่ว่า (แล้วท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ก็ขอพรให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาและสาปแช่งต่อบรรดากาฟิร)
  2. กุนูตที่อะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. อ่านดังที่ระบุไว้ในหะดีษบทนั้นมิได้จำกัดเฉพาะในละหมาดศุบห์อย่างเดียว แต่ท่านอ่านในละหมาดซุฮ์ริและในละหมาดอิชาอ์ด้วย
  3. ในกรณีสมมุติฐานให้ว่า มีรายงานที่ถูกต้องว่าอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. เคยอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าก่อนหรือหลังท่านนะบีย์ฯ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เสียชีวิต แต่กุนูตที่อะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. อ่านก็จะต้องเป็นกุนูตนาซิละฮ์ไม่ใช่กุนูตด้วยดุาอ์ที่ว่า " อัลลอฮุมะฮ์ดินีย์ ฟีมันฮะดัยต์ . . . " เหมือนที่หลายคนอ่านกัน และท่านก็คงจะไม่อ่านมันเป็นประจำด้วย


เหตุผลก็เพราะอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. เคยรายงานหะดีษที่ถูกต้องบทหนึ่งมาจากท่านนะบีย์ ฯ ด้วยตัวเองว่า ปกติ ท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะไม่อ่านกุนูตในละหมาดศุบห์ เว้นแต่เมื่อท่านจะขอพรให้แก่ชนกลุ่มใด หรือจะสาปแช่งชนกลุ่มใดเท่านั้น ดังที่ได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นการอ้างเรื่องการอ่านกุนูตในละหมาดศุบห์เป็นประจำของอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ด้วยดุอาอ์ว่า " อัลลอฮอุมมะดินีย์ . . . " จึงไม่มีรายงานมาแม้แต่บทเดียว

อิมามชาฟิอี ท่านมีหลักการในการหุก่มไว้ 5 ประการ คือ

### อิมามชาฟีอี ###
อิมามชาฟิอี ท่านมีหลักการในการหุก่มไว้ 5 ประการ คือ
  1. กุรอาน
  2. ซุนนะฮฺ
  3. อิจญ์มาอฺ
  4. ฟัตฺวาของเศาะหาบะฮฺ
  5. กิยาส
เรียงตามลำดับดังกล่าวมา ซึ่งอันนั้นท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัล อูม เล่มที่7 หน้า 165 มีความว่า

ความรู้มีหลายระดับ
อันดับหนึ่ง คำภีร์และซุนนะฮฺ
อันดับสอง มติเอกฉันท์ ต่อสิ่งที่ไม่มี ระบุในคัมภีร์และซุนนะฮฺที่ประจักชัด
อันดับที่สาม คำกล่าวของสาวกบางส่วนที่ไม่มีใครขัดแย้ง อันดับสี่ คำแตกต่างของบรรดาสาวก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
อันดับห้า กิยาส

จากหลักการทั้งห้าประการดังกล่าวนี้ มีอยู่อันหนึ่งที่เคยเกิดความเข้าใจผิดกันมามาก นั่นคือ ฟัตฺวาของเศาะหะบะฮฺ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกาลุศเศาะหาบี
อันหมายถึงทัศนะ ของสาวกผู้หนึ่งที่มีต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่มีตัวบทอันชัดเจนมาเป็นหลักฐาน

การเข้าใจผิดเกิดขื้นจากการที่ไปพบทัศนะของท่านอิมามชาฟิอีใน โกลญะดีด ที่ให้ไว้ ณ เมืองอียิปต์ไปหักล้างกับ โกลกอดีม ที่ให้ไว้ ณ เมืองบัฆดาด และปัญหานั้นเคยมีทัศนะของ สาวก เคยให้ไว้ก่อนแล้ว

ท่านอิมามนำมาเป็นหลักฐาน ความจริงมันมีขึ้นในบางปัญหา แต่บางคนเข้าใจว่าท่านอิมามเลิกใช้ทัศนะหรือ
ฟัตฺวาของเศาะหะบะฮฺไปโดยสิ้นเชิง ถึงกับทำให้ ผู้แต่งหนังสือในสมัยหลังๆนี้ เขียนออกมาชัดๆเลยว่า ท่านอิมามชาฟิอีเลิกใช้ฟัตฺวาเศาะหะบะฮฺ หรือ เกาลุศเศาะหาบี ไปแล้วในโกลญะดีด โดยผู้เข้าใจผิดเขียนโคลงไว้ตอนหนึ่งว่า
คำของเศาะหาบีในญะดีดของชาฟิอีไม่ใช้เป็นหลักฐาน ส่วนในกอดีดเป็นหลักฐานมาก่อน ทว่าอันนี้อ่อน ดังนี้นจึงถูกผลัก
บรรดาผู้รู้ในบ้านเรา เมื่อได้อ่านพบอย่างนี้ก็เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะเมื่อมันเป็นภาษา อาหรับแล้วคิดว่าเป็นหลักฐานได้ทันที โดยไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริง

ด้วยเหตุนี้ เกาลุศเศาะหาบี จึงได้เป็นเรื่องใหญ่อยู่พักหนึ่ง แต่ต่อมาเงียบหายไปเพราะจำนนต่อความจริงที่ได้มาจาก คำของท่านอิมามเอง ในหนังสือ อัล อุม เล่ม7 หน้า 265
มีข้อความว่า

สิ่งที่มีอยู่ในคำภีร์และซุนนะฮฺแล้ว ข้ออ้างของผู้ที่ทราบทั้งสองดีแล้วย่อมฟังไม่ขึ้น นอกจากต้องทำตามทั้งสองเท่านั้น หากปรากฎว่าไม่มีอยู่ในทั้งสอง เราก็หันไปสู่คำกล่าว ของบะะดาสาวก หรือคนได คนหนึ่งจากบรรดาสาวก

ข้อความชัดเจนอยู่แล้วจาก อิมามชาฟิอี เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาปัญหาหนึ่ง ไปตรวจดูใน กุรอาน หรือหะดีษ หรืออิจญ์มาอฺ ตลอดจนทัศนะ ของสาวกก็ไม่พบหุกุมอันนี้
จะทำอย่างไร

ท่านอิมามชาฟิอีบอกว่า ให้ใช้กิยาส เพราะเกิดความ จำเป็น อันนี้จะเห็นได้จากคำของท่านเอง ที่ตอบกับอิมามฮัมบาลี ซึ่งอิมามฮัมบาลีกล่าวว่า

ข้าพเจ้าถามอิมามชาฟิอีถึงเรื่องกิยาส และท่านตอบว่า
เฉพาะกิยาสจะใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำ เป็น
จากหนังสือ ตารีค มะซาฮิบ อัล อิสลามียะฮฺ

อาจมีข้อสงสัยว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วไปค้นในกุรอานไม่พบหุก่ม จะเป็นไปได้หรือ ทั้งๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังเสมอว่า กุรอานมีทุกสิ่ง ทุกอย่างครบสมบูรณ์ อันนี้ขอชี้แจงว่า เรื่องที่กุรอานมีทุกสิ่งทุกอย่างครบสมบูรณ์นั้นจริงที่สุด คือครบในเรื่องหลักการ ส่วนปัญหาปลีกย่อยนั้น ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ถ้าจะให้กุรอานระบุไว้เสียทุก ปัญหาทุกมัสอะละฮฺแล้ว กุรอานก็คงไม่สิ้นสุดลงเพียง 30 ญุซอฺ แต่จะต้องมีมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮฺทีเดียวซึ่งเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น ที่ว่ากุรอานครบสมบูรณ์นั้น ก็หมายถึงว่ามี หลักการในการตัดสินปัญหาไว้อย่างครบครัน

ขอยกตัวอย่างไว้สักเรื่องหนึ่ง เช่น ข้าวเปลือกในเมืองไทยเรานี้แหละว่าทำไมจึงต้องออกซะกาต ทั้งๆที่ไม่มีตัวบทระบุไว้เลย จะค้นในกุรอานก็ไม่มี มีแต่เพียงว่า จงบริจากซะกาต แล้วในบทหะดีษก็ได้มาขยายว่า สิ่งที่ต้องออกซะกาตมี เงิน ทอง ปศุสัตว์ เมล็ดพืชบางอย่าง เช่น ข้าวสาลี เป็นต้น

ทีนี้บรรดานักปราชญ์หรืออุละมาอฺได้พิจารณาแล้วว่า
ในตัวหะดีษนั้นบอกว่า ข้าวสาลีต้องออกซะกาต เพราะใช้เป็นอาหารหลักแล้วข้าวสารก็เป็นอาหารหลักของเราเช่นกัน จึงมีลักษณะตรงกันว่าทั้งสองอย่างเป็นอาหาร
จึงได้เอาหุกุมของข้าวสาลีมาใช้แก่ข้าวเปลือก คือต้องออกซะกาตเหมือนกันโดยใช้หลัก กิยาสหรือเปรียบเทียบนั่นเอง อันนี้โดยฝีมือของอุละมาอฺจากตัวอย่างที่หยิบยกมาอ้างแล้วนี้

ท่านผู้อ่านคงทราบดีว่า การที่ไม่ได้มีหุกุมปัญหาปลีกย่อย ระบุอยู่ในกุรอานนั้น มิได้หมายความว่ากุรอานบกพร่อง
ไม่สมบูรณ์ ตรงกันข้าม กุรอานสมบูรณ์ ในหลักการใหญ่ๆทุกอย่าง ส่วนปัญหาปลีกย่อยนั้นต้องอาศัยหลักอื่นๆ
เช่น อิจญ์มาอฺ หรือกิยาส เป็นต้น

จึงจะได้หุกุมมา แนวทางอีกอย่างหนึ่งของอิมามชาฟิอีที่แตกต่างกับของผู้อื่นนั่นก็คือ ท่านถือว่า กุรอานกับ ซุนนะฮฺที่แท้และที่ชัดเจนนั้น มีน้ำหนักเท่ากันในการยึดถือเป็นหลักฐานซึ่งอันนี้อิมามคนอื่นๆ ถือว่าฐานะของซุนนะฮฺนั้นต่ำกว่ากุรอาน ในด้านการเป็นหลักฐาน

ดังนั้น จากคำพูดของอิมาม ชาฟิอีในหนังสือ อัลอุม
ที่ผ่านมาแล้วส่อให้เห็นได้ชัดว่า ท่านได้จัดอันดับของที่มาจากหุกุมไว้ ห้าอันดับด้วยกัน
อันดับที่หนึ่ง คือ คัมภีร์และซุนนะฮฺที่ประจักษ์ชัด ฯลฯ
การยึดถือที่มีของหุกุม ไม่เหมือนกัน หรือจัดอันดับไม่เหมือนกัน นี้จึงมีผลทำให้ปัญหาปลีกย่อยของแต่ละ
ฝ่ายมีหุกุม ไม่เหมือนกันด้วย
____________
Fakprasert Kosem

เราสามารถฟังการบายาน ของกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆได้หรือไม่?

เราสามารถฟังการบายาน ของกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆได้หรือไม่?

เราไม่สามารถร่วมรับฟังการบายาน(หรือการบรรยาย)ของกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆได้ ทั้งนี้เพราะเนื้อหาการบายานของพวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ หรืออ้างอิงได้ว่ามาจากคำสอนของอิสลามที่แท้จริง เพราะพวกเขามักจะอ้างผู้อาวุโส หรือไม่ก็อ้างเมาลานาเท่านั้น (โดยไม่ได้อ้างอัลกุรฺอานและหะดีษ) ซึ่งไม่รู้ว่าการอ้างเช่นนั้นมีพื้นฐานมาจากความจริงมากน้อยเพียงใด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องหลีกห่างการฟังบายานของพวกเขา เพราะเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่านั่นเรื่องจริง หรือเรื่องนิยายที่แต่งขึ้นมาเอง

สำหรับกิจกรรมของพวกเขา เราไม่สามารถร่วมกิจกรรมของพวกเขาได้เช่นกัน เพราะกิจกรรมบางอย่างไม่มีในแบบฉบับของท่านนบีมุหัมมัด หรือบางอย่างก็เป็นการอุตริขึ้นมาเอง ดั่งเช่น การเดินฆัสในตอนเย็นนั้น ไม่ใช่เป็นการเดินเชิญชวนธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีพิธีกรรมที่ไม่ใช่คำสอนของท่านนบีมุหัมมัด แฝงเข้าไปด้วย

ส่วนการเรียนกับโต๊ะครูที่ออกตับลีฆหยุดเรียนกับโต๊ะครูที่เขาออกตับลีฆแล้วสอนในสิ่งที่ผิดหลักการอย่างชัดเจน อาทิเช่นสอนว่า "ในการนมาซเวลาอ่านฟาติหะฮฺเมื่ออ่านถึงอายะฮฺสุดท้ายแล้วก่อนที่จะว่า "อามีน" เค้าบอกว่าให้ว่า "ซุบฮานัลลอฮุ" แล้วก็ว่าอามีน อัลลอฮุจะอภัยโทษให้" คำสอนข้างต้นเป็นคำสอนที่สวนทางกับคำสอนของท่านนบีมุหัมมัด ถ้าบุคคลใดกระทำเช่นนั้นถือว่าเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺแล้ว

วิธีนมาซญะนาซะฮฺตามแบบฉบับของท่านนบีมีดังนี้

วิธีนมาซญะนาซะฮฺตามแบบฉบับของท่านนบีมีดังนี้

การนมาซญะนาซะฮฺ (นมาซให้แก่คนตาย)


หลังจากที่ห่อกะฝั่นเสร็จแล้ว ก็ให้นำศพไปที่ลางกว้างเพื่อที่จะนมาซญะนาซะฮฺ (อันที่จริงท่านนบีมุหัมมัดจะนมาซญะนาซะฮฺที่ลานกว้างเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเท่านั้นที่ท่านนบีจะนมาซญะนาซะฮฺในมัสญิด) ฉะนั้นการนมาซญะนาซะฮฺที่ลานกว้างถือว่าประเสริฐกว่า
โดยวางผู้ตายไปทางทิศกิบละฮฺ ซึ่งวางด้านหน้าของอิมาม (ส่วนศีรษะจะอยู่ด้านขวาและด้านซ้ายของอิมามล้วนอนุญาตทั้งสิ้น เพราะไม่พบหลักฐานระบุให้วางศีรษะไปทางใด) ส่วนการยืนของอิมามนั้น มีแบบอย่างให้กระทำกล่าวคือ หากเป็นศพผู้ชายให้อิมามยืนตรงบริเวณศีรษะของผู้ตาย แต่ถ้าเป็นศพผู้หญิงให้อิมามยืนตรงบริเวณส่วนกลางของศพนั่นเอง


เงื่อนไขการนมาซญะนาซะฮฺ
1. ศพจะต้องเป็นมุสลิม ส่วนศพกาฟิรฺไม่อนุญาตให้นมาซ หรือขอดุอาอ์ให้


2. ศพจะต้องวางอยู่ด้านหน้าของผู้นมาซ แม้ว่าจะศพจะถูกฝังแล้วก็ตาม ซึ่งท่านรสูลุลลอฮฺทำเช่นนั้น


3. ศพจะต้องอาบน้ำญะนาซะฮฺ หรือตะยัมมุม และกะฝั่นแล้ว


4. ศพจะต้องปราศจากจากหนี้สิน หรือมีทรัพย์มรดกทิ้งไว้จ่ายหนี้ หรือมีผู้รับรองว่าจะจ่ายหนี้แทนเขา เพราะท่านรสูลุลลอฮฺเข้มงวดในในการนมาซญะนาซะฮฺให้แก่ผู้ที่มีหนี้สินอย่างมาก



วิธีนมาซญะนาซะฮฺ
1. การนมาซญะนาซะฮฺ วาญิบผู้นมาซจะต้องอาบน้ำนมาซ เพราะท่านรสูลุลลอฮฺเรียกการขอดุอาอฺให้แก่ผู้ตายว่า “การนมาซ” ฉะนั้นทุกๆ การนมาซจำเป็นจะต้องมีน้ำนมาซอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวกับบรรดาเศาะหาบะฮฺว่า
« صَلُّوا عَلَى النَّجَاشِىِّ »


“พวกท่านจงนมาซ (ญะนาซะฮฺ) ให้แก่กษัตริย์นะญาชีย์เถิด”
จะสังเกตเห็นได้ว่า ท่านรสูลุลลอฮฺสั่งให้บรรดาเศาะหาบะฮฺนมาซญะนาซะฮฺ (ฆออิบ) โดยท่านรสูลใช้คำว่า “ศ็อลลู” ซึ่งเป็นคำเดียวที่ท่านรสูลใช้เรียกการนมาซฟัรฺฎู หรือการนมาซสุนนะฮฺนั่นเอง


2. เนียต (ตั้งเจตนา) ว่านมาซญะนาซะฮฺ โดยไม่อนุญาตให้กล่าวคำเนียตออกมาเป็นคำพูดแต่อย่างทั้งสิ้น


ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า “แท้จริงการงานต่างๆ ล้วนขึ้นอยู่กับเจตนา และทุกๆ บุคคลจะได้รับในสิ่งที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้เท่านั้น”


3. จากนั้นให้ยกมือทั้งสองแล้วกล่าวตักบีรฺว่า
اللهُ أَكْبَرُ
คำอ่าน “อัลลอฮุ อั๊กบัรฺ”
คำแปล “พระองค์อัลลอฮฺทรงยิ่งใหญ่”


4. จากนั้นให้อ่านสูเราะฮฺฟาติหะฮฺ


بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ (1) الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ (2) الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ (3) مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ (4) إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ (5) اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُسْتَقِيمَ (6) صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغْضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلاَ الضَّالِّينَ (7)


คำอ่าน “บิสมิ้ลลาฮิรฺร่อมานิรฺร่อฮีม
อัลฮัมดุลิ้ลลาฮี้ ร็อบบิ้ลอาล่ามีน
อัรฺร่อมานิรฺร่อฮีม
มาลี่กี้เยามิดดีน
อียาก้านะอฺบุดู้ ว่าอียาก้านัซต้าอีน
อิฮฺดี้นัศศิรอฏ็อลมุซต้ากีน
ศิรอฏ็อลล่าซีน่าอันอัมต้า อ้าลัยฮิม ฆ็อยริลมัฆดูบี้อ้าลัยฮิม ว่าลัฎฎอลลีน”


คำแปล “ด้วยนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
การสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิแด่พระองค์อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ผู้ทรงสิทธิ์ขาดแห่งวันตอบแทน
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ
ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแนวทางอันเที่ยงตรงแด่พวกเราด้วยเถิด
(คือ) แนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงโปรดปรานแด่พวกเขา ซึ่งมิใช่แนวทางของพวกที่ถูกกริ้ว (พวกยิว) และไม่ใช่แนวทางของพวกที่หลงผิด (พวกคริสเตียน)”
5. กล่าวตักบีรฺ (ครั้งที่สอง) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ” โดยครั้งนี้ไม่ต้องยกมือแต่ประการใด
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า


أَنَّ رَسُولَ اللَّهُ صلى الله عليه وسلم كَبَّرَ عَلَى جَنَازَةٍ فَرَفَعَ يَدَيْهِ فِى أَوَّلِ تَكْبِيرَةٍ وَوَضَعَ الْيُمْنَى عَلَى الْيُسْرَى


“แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺตักบีรฺนมาซญะนาซะฮฺ โดยท่านรสูลยกมือทั้งสองของท่านในตักบีรฺแรก (เท่านั้น) จากนั้นก็นำมือขวาทับบนมือซ้าย”
ต่อมาให้อ่านเศาะละวาตนบีดังนี้


اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ وَ عَلَى آلِ مُحَمَّدٍ
كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إِبْرَاهِيْمَ وَ عَلَى آلِ إِبْرَاهِيْمَ
إِنَّكَ حَمِيْدٌ مَجِيْدٌ
اللَّهُمَّ بَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ وَ عَلَى آلِ مُحَمَّدٍ
كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إِبْرَاهِيْمَ وَ عَلَى آلِ إِبْرَاهِيْمَ
إِنَّكَ حَمِيْدٌ مَجِيْدٌ


คำอ่าน “อัลลอฮุมม่า ศ็อลลิ อ้าลา มุฮัมหมัด ว่า อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด, ก้ามา ศ็อลลัยต้า อ้าลา อิบรอฮีม ว่า อ้าลา อาลิ อิบรอฮีม อินน่าก้า ฮะมีดุม ม่าญีด
อัลลอฮุมม่า บาริก อ้าลา มุฮัมหมัด ว่า อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด ก้ามา บาร็อกต้า อ้าลา อิบรอฮีม ว่าอะลา อาลิ อิบรอฮีม อินนะก้า ฮะมีดุม ม่าญีด”


คำแปล “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา (สดุดี) แด่ (นบี) มุหัมมัด และวงศ์วานของท่าน (นบี) มุหัมมัด, เสมือนที่พระองค์ทรงเมตตา (สดุดี) แด่ (นบี) อิบรอฮีม และวงศ์วานของท่าน (นบี) อิบรอฮีม, แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง


โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แด่ (นบี) มุหัมมัด และวงศ์วานของ (นบี) มุหัมมัด, เสมือนที่พระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แก่ (นบี) อิบรอฮีม และวงศ์วานของ (นบี) อิบรอฮีม, แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง”


5. กล่าวตักบีรฺ (ที่สาม) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ”(การกล่าวตักบีรฺม่รวมถึงยกมือ หากมีการยกมือ ฮาดิษจะระบุไว้ว่าให้ตักบีรฺพร้อมกับยกมือ) แล้วอ่านดุอาอ์ว่า


« اللَّهُمَّ اغْفِرْ لَهُ وَارْحَمْهُ وَاعْفُ عَنْهُ وَعَافِهِ وَأَكْرِمْ نُزُلَهُ وَوَسِّعْ مُدْخَلَهُ وَاغْسِلْهُ بِالماَءِ وَالثَلْجِ وَالبَرَدِ وَنَقِّهِ مِنَ الْخَطَايَا كَمَا يُنَقَّى الثَّوْبُ الأَبْيَضُ مِنَ الدَّنَسِ وَأَبْدِلْهُ دَارًا خَيْرًا مِنْ دَارِهِ وَأَهْلاً خَيْرًا مِنْ أَهْلِهِ وَزَوْجًا خَيْرًا مِنْ زَوْجِهِ وَأَدْخِلْهُ الجَنَّةَ وَأَعِذْهُ مِنْ عَذَابِ القَبْرِ وَمِنْ عَذَابِ النَّار »


คำอ่าน “อัลลอฮุมมัฆฟิรฺ ล่าฮู วัรฺฮัมฮุ วะอฺฟุ อันฮุ ว่าอาฟี้ฮี ว่าอั๊กริม นุซุล่าฮู ว่าวัซเซี๊ยะอฺ มุดค่อล่าฮู วัฆซิลฮุ บิ้ลมาอี้ วัซซัลยี่ วัลบ้าร่อดี้ ว่านักกี้ฮี มินัลค่อฏอยาย่า ก้ามา ยุนักก็อยเซาบุลอั๊บย่าฎุ มินัดด้านัซ ว่าอั๊บดิ้ลฮุ ดาร็อนค็อยรอน มิน ดารี่ฮี ว่าอะฮฺลัน ค็อยรอน มินอะหฺลี่ฮี ว่าเซายัน ค็อยรอน มิน เซายี่ฮี ว่าอัดคิลฮุลญันน่าต้า ว่าอ้าอิซฮุ มิน อ้าซาบิ้ลก็อบรี่ ว่ามินอ้าซาบินนารฺ”
คำแปล “โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่เขา, ทรงเมตตาต่อเขาทรงให้เขามีความปลอดภัย, ทรงอภัยโทษให้แก่เขา, ทรงทำให้ที่ลงของมีเกียรติ, ทรงทำให้ที่ข้าวของเขากว้างขวาง, ขอพระองค์ทรงโปรดชำระล้างเขาด้วยน้ำ, น้ำหิมะ, และน้ำลูกเห็บ และทรงโปรดทำให้เขาบริสุทธิ์ผุดผ่องจากความผิดต่างๆ ของเขา เสมือนกับที่พระองค์ทำให้เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องจากสิ่งสกปรก, ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนบ้านที่ดีกว่าบ้านของเขา และครอบครัวที่ดีกว่าครอบครัวของเขา, เปลี่ยนคู่ครองที่ดีกว่าคู่ครองของเขา, พระองค์ทรงทำให้เขาเข้าสวรรค์, ขอพระองค์ทรงปกป้องเขาจากการลงโทษในหลุมฝังศพ และการจากลงโทษในไฟนรกด้วยเถิด”


7. กล่าวตักบีรฺ (ที่สี่) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ” (สุนนะฮฺนบีไม่ยกมือทั้งสอง)
ไม่ต้องกล่าวอะไรทั้งสิ้น
จากนั้นให้กล่าวว่า
السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ


คำอ่าน “อัซซ่าลามุอ้าลัยกุม ว่าเราะหฺม่าตุ้ลลอฮฺ”
คำแปล “ขอความสันติสุข และความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮฺจงประสบแด่พวกท่านด้วยเถิด”
พร้อมหันหน้าไปทางขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า


أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم صَلَّى عَلَى جَنَازَةٍ فَكَبَّرَ عَلَيْهَا أَرْبَعًا وَسَلَّمَ تَسْلِيمَةً وَاحِدَةً


“แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺนมาซญะนาซะฮฺโดยตักบีรฺสี่ครั้ง และให้สลามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”,



والله أعلم

การใช้ภาชนะของคนนอกศาสนิกในการประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม

การใช้ภาชนะของคนนอกศาสนิกในการประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม

รายงานจากอะบีซะอฺละบะห์ ว่า เขาได้ถามท่านรสูล โดยกล่าวว่า “แท้จริงพวกเรา(ได้เดินทาง)ผ่านพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์ โดยพวกเขาจะต้มหมูในหม้อของพวกเขา และจดื่มสุราในภาชนะของพวกเขา” ท่านตอบว่า “ถ้าพวกท่านพบ(หม้อและภาชนะ)อื่น ก็ให้ท่านทั้งหลายจงรับประทานและดื่มใน(หม้อและภาชนะ)นั้น แต่ถ้าหากพวกท่านไม่พบ(หม้อและภาชนะ)อื่น ให้พวกท่านจงล้างมันด้วยน้ำ และจงรับประทานและจงดื่ม”
(บันทึกโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และติรฺมีซีย์)

รายงานจากยาบิร ได้กล่าวว่า “พวกเราได้เคยออกไปทำสงครามพร้อมกับท่านรสูล และพวกเราได้เอาภาชนะและถุงหนังใส่น้ำของมุชริกิน(พวกตั้งภาคี) พวกเราได้นำมาใช้ โดยท่านรสูลไม่ได้ตำหนิพวกเรา”
(บันทึกหะดิษโดยอบูดาวูด)

ท่านรสูลุลลอฮ์ ได้ถูกถามถึงหม้อหุงต้มของพวกบูชาไฟ(คือพวกที่ยึดถือว่า โลกนี้มีต้นกำเนิดอยู่สอง ได้แก่แสงสว่าง และความมืด แสงสว่างคือความดี ความมืดคือความชั่วร้าย) ท่านตอบว่า “พวกท่านจงล้างมันให้สะอาดและจงใช้มันในการหุงต้ม”
(บันทึกหะดิษโดยติรฺมีซีย์)

จากหลักฐานข้างต้นแสดงว่า อนุญาตให้ใช้ภาชนะ(หม้อ กระทะ จาน ชาม ช้อน....)ของพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์(ยิว คริสต์)และพวกตั้งภาคี(บูชาไฟ,พุทธ,พราหมณ์..)ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องล้างให้สะอาดเสียก่อน แต่หากมีภาชนะอื่นที่สะอาดก็ควรใช้ภาชนะนั้น เช่นหากเราอยู่ห้องพักกับเพื่อนต่างศาสนิก หากเพื่อนต่างศาสนิกนำจานไปใส่หมู เมื่อเรานำมาใช้เราก็ต้องล้างให้สะอาด แต่ถ้าเราแยกภาชนะจะเป็นการดีกว่า...ที่กล่าวมาเป็นเพียงภาชนะเท่านั้น ไม่รวมถึงอาหารเครื่องดื่ม ถึงแม้ภาชนะที่สะอาด แต่อาหารนั้นหะรอม ก็รับประทานไม่ได้ เช่น คนศาสนิกนำน้ำมันปาล์มไปทอดหมู เราก็นำน้ำมันนั้นไปทำกับข้าวอีกที่ ถือว่าเจือปนสิ่งหะรอม ไม่เป็นที่อนุมัติจากศาสนา นอกจากมีความจำเป็นตามที่ศาสนาระบุไว้


والله أعلم


การเปลือยกายและมองอวัยวะเพศระหว่างสามีภริยา

การเปลือยกายและมองอวัยวะเพศระหว่างสามีภริยา

คำถาม:

ฉันอยากทราบว่าการนอนหลับกับคู่ครองโดยไม่สวมเสื้อผ้านั้นเป็นที่อนุญาตหรือไม่ในอิสลาม ถ้าเป็นที่อนุญาตแล้ว เมื่อโอบกอดกันขณะหลับ จำเป็นต้องอาบน้ำญะนาบะฮฺก่อนละหมาดหรือไม่ หรือเพียงแค่อาบน้ำละหมาด?
...................................................................................................


มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

สำหรับคำถามในส่วนแรกนั้น เป็นสิ่งที่อนุมัติสำหรับคู่ครอง
อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า

(وَالَّذِينَ هُمْ لِفُرُوجِهِمْ حَافِظُونَ ، إِلَّا عَلَى أَزْوَاجِهِمْ أوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُمْ فَإِنَّهُمْ غَيْرُ مَلُومِينَ) (المؤمنون : ٥-6 )

“และบรรดาผู้ที่สงวนอวัยวะเพศของพวกเขา เว้นแต่กับบรรดาภรรยาของพวกเขา หรือกับสตรีใต้การครอบครองของพวกเขา (ทาสี) ซี่งในกรณีเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ” [อัลมุอฺมินูน 23:5-6]

อิมาม อิบนุ หัซมฺ رحمه الله กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงใช้ให้พวกเราสงวนอวัยวะเพศ ยกเว้นกับบรรดาภรรยาของพวกเราหรือกับสตรีที่อยู่ใต้อำนาจของพวกเรา (ทาสี) ซึ่งจะไม่ถูกตำหนิในกรณีนั้น นี่เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆ ซึ่งหมายรวมทั้งการมอง การสัมผัส และการคลุกคลีปะปนกัน (อัลมุหัลลา, 9/165)

สำหรับหลักฐานจากซุนนะฮฺ มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ และฉันเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺจากภาชนะซึ่งถูกวางไว้ระหว่างฉันกับท่าน ท่านเร่งรีบตักจนฉันกล่าวว่า
“เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง” (บันทึกโดย อัลบุคอรี, 258; มุสลิม, 321 ในสำนวนนี้บันทึกโดยมุสลิม)

อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวว่า อัลดาวุดี ใช้หลักฐานนี้บอกว่าเป็นที่อนุมัติให้ชายมองเอาเราะฮฺของภรรยาและอนุมัติให้หญิงมองเอาเราะฮฺของสามี และได้รับการสนับสนุนโดยรายงานจาก อิบนุหิบบาน จาก สุลัยมาน อิบนุ มูซา ซึ่งถูกถามเกี่ยวกับการที่ผู้ชายมองอวัยวะเพศของภรรยา เขากล่าวว่า ฉันได้ถาม อะฏออ์ แล้วเขากล่าวว่า ฉันได้ถามท่านหญิงอาอิชะฮฺ และนางได้กล่าวถึงหะดีษนี้ อัลหาฟิซกล่าวว่า นี่คือรายงานที่เจาะจงสำหรับเรื่องนี้เลยทีเดียว

ยังมีหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
“จงรักษาเอาเราะฮฺของท่าน ยกเว้นกับบรรดาภรรยาและสตรีผู้อยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน” (บันทึกโดย อบูดาวูด, 4017; อัตติรมิซี, 2769 หะดีษนี้อยู่ในระดับหะซัน; อิบนุมาญะฮฺ, 1920; รายงานโดย มุอัลละกอ โดย อัลบุคอรี, 1/508)

อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวเกี่ยวกับหะดีษนี้ว่า สำหรับข้อความ
“ยกเว้นสำหรับภรรยาของพวกท่าน” หมายถึง อนุญาตให้ภรรยามองเอาเราะฮฺของสามีและอนุญาตให้สามีมองเอาเราะฮฺของภรรยา

อิบนุ หัซมฺ กล่าวว่า เป็นที่หะลาลสำหรับผู้ชายในการมองอวัยวะเพศหญิงของภรรยาและทาสีของเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาได้รับอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ และเป็นที่อนุญาตให้พวกนางมองอวัยวะเพศของเขา ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องนั้น หลักฐานของเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีถึงรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ และท่านหญิงมัยมูนะฮฺ เหล่ามารดาของผู้ศรัทธา (ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยพวกนาง) ซึ่งรายงานว่าพวกนางเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺร่วมกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ เพื่อทำความสะอาดจากหะดัษใหญ่ ในภาชนะหนึ่ง

รายงานจากท่านหญิงมัยมูนะฮฺชี้ให้เห็นชัดเจนว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ไม่ได้ปกปิดร่างกาย เพราะรายงานของนางระบุว่า
“ท่านจุ่มมือลงในภาชนะแล้วเทน้ำลงบนอวัยวะเพศแล้วชำระล้างมันด้วยมือซ้ายของท่าน” ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตามความคิดเห็นส่วนน้อยของบางคน เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้เพิกเฉยบางคนที่ต้องการสร้างความยากลำบากโดยการอนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์แต่ห้ามมองอวัยวะเพศ (อัลมุหัลลา, 9/165)
ชัยคฺ อัลอัลบานี กล่าวว่า การห้ามมองนั้นหมายถึงห้ามมองในสิ่งที่จะนำสู่เพศสัมพันธ์ที่หะรอม ดังนั้น เมื่ออัลลอฮฺทรงอนุมัติให้สามีมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาได้แล้ว การที่พระองค์จะทรงห้ามเขามองอวัยวะเพศของนางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สอดรับกัน เป็นไปไม่ได้ (อัสสิลสิละฮฺ อัฎฎออีฟะฮฺ, 1/353)

เกี่ยวกับเฏาะฮาเราะฮฺ (ความสะอาด) ในกรณีนี้ การโอบกอดขณะนอนหลับ ตราบใดที่มิได้ทำให้หลั่งน้ำมะนียฺ (อสุจิ) หรือมีเพศสัมพันธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำญะนาบะฮฺ

แต่ถ้ามีการหลั่งน้ำมะซียฺ (น้ำเมือกใสที่หลั่งเองเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ) ทั้งสองต้องชำระล้างอวัยวะเพศและอาบน้ำละหมาด
_____

โดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด
ที่มา Islamqa.com คำถามหมายเลข 13486
_____

https://islamqa.info/en/answers/13486/is-it-permissible-for-husband-and-wife-to-remove-their-clothes-when-sleeping-what-effect-does-that-have-on-tahaarah-purity-cleanliness

การอ่านอัลฟาติหะฮฺในละหมาด

การอ่านอัลฟาติหะฮฺในละหมาด


อ่านอัลฟาติหะฮฺและซูเราะฮฺ ( قراءة الفاتحة والسورة ) หลังจากอ่านดุอาอิสติฟตาห์แล้ว ให้ผู้ละหมาดอ่าน ซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์จนจบต้น และให้กล่าวค่อย ๆ ว่า

أَعُوْذُ بِاللهِ مِنَ الشَّيْطَانِ الرَّجِيْمِ

คำอ่าน ( อะอูซุบิลลาฮิ มินัช ชัยฏอนิร เราะญีม )
ความหมาย “ ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พ้นจากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง ”

หรือกล่าวว่า

أَعُوْذُ بِاللهِ السَّمِيْـعِ العَلِيمِْ مِنَ الشَّيْطَانِ الرَّجِيمِْمِنْ هَـمْزِهِ، وَنَفْخِهِ وَنَفْثِهِ

คำอ่าน ( อะอูซุบิลลาฮิส สะมีอิล อะลีม, มินัช ชัยฏอนิร เราะญีม, มิน ฮัมซิฮี วะ นัฟคิฮี วะ นัฟษิฮฺ )

ความหมาย “ ข้าขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่งให้พ้นจากชัยฏอนผู้ถูกสาป แช่ง จากการกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน ”
บันทึกโดยอาบูดาวูดและอัตติรมิซีย์
หลังจากนั้น ให้กล่าวบิสมิลลาฮ์ ค่อย ๆ ว่า
بِسْمِ اللهِ الرَّحْـمَنِ الرَّحِيْـمِ
คำอ่าน ( บิสมิลลาฮิร เราะห์มานิร เราะฮีม )
ความหมาย “ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง
บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม

การอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติฮะฮฺในละหมาดนั้นเป็นรู่ก่น ผู้ละหมาดจำเป็นต้องอ่าน และต้องอ่านอย่างถูกต้องและ ชัดเจน และหยุด(วักฟฺ)ทีละอายะฮฺ ผู้ที่ละหมาดโดยไม่อ่านซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮฺในละหมาดถือว่าการละหมาด ของเขานั้นใช้ไม่ได้ (ไม่เซาะฮ์) ท่านอุบาดะฮ์อิบนุสศอมิต ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านรอซูลุลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

لاَ صَلاَةَ لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ

ไม่มีการละหมาดที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่ไม่อ่านอัลฟาติฮะฮ์
บันทึกโดยอะหมัด,อัลบุคอรีย์,มุสลิมและอาบูดาวูด

ท่านอาบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า
ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى صَلاَةً لَمْ يَقْرَأْ فِيْهَا بِأُمِّ الْقُرْآنِ فَهِىَ خِدَاجٌ هِىَ خِدَاجٌ غَيْرُ تَمَامٍ

ผู้ใดละหมาดครั้งหนึ่งครั้งใดโดยไม่อ่านอุมมุลกุรอาน-คืออัลฟาติฮะฮ์-ในละหมาดนั้นแน่นอนการ ละหมาดนั้นบกพร่อง บกพร่อง ไม่สมบูรณ์
บันทึกโดยมุสลิม

อิหม่ามและผู้ละหมาดคนเดียวจำเป็นต้องอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติฮะฮฺในทุกร็อกอะฮ์ ส่วนผู้ที่ละหมาดเป็นมะอฺมูมนั้น นักวิชาการมีมุมมองและความเข้าใจที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งเข้าใจว่ามะอฺมูมต้องอ่านอัลฟาติฮะฮ์ในทุกกรณี อีกส่วนหนึ่งเข้าใจว่า ให้มะฮมูมอ่านอัลติฮะฮ์แต่เฉพาะในละหมาดที่อ่านค่อยเช่นละหมาดซุฮรฺและอัศรฺ ส่วนละหมาดที่อิหม่ามต้องอ่านดังเช่นมัฆริบและอิชาอฺนั้น มะอฺมูมไม่ต้องอ่านอัลฟาติฮะฮ์ แต่ให้นิ่งฟังการ อ่านของอิหม่ามด้วยอาการสงบ

และการอ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์นี้นั้น
สมควรอ่านที่ละอายะฮ์ ไม่สมควรอ่านต่อเนื่องกันหลาย ๆ อายะฮ์ดังปรากฏ ในรายงานของท่านอิหม่ามอะหมัด
จากท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ว่า
ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม
อ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์หยุดทีละอายะฮ์
كَانَ يُقَطِّعُ قِرَاءَتَهُ آيَةً آيَةً
ท่านรอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านหยุดทีละอายะฮ์ๆ ดังนี้

และท่านอิหม่ามอัลฮากิมบันทึกในหนังสืออัลมุสตัดร็อกจากท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ไว้อีกว่า

كَانَ يُقَطِّعُ قِرَاءَتَهُ آيَةً آيَةً

ท่านรอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านหยุดทีละอายะฮ์ๆ อ่านว่า (อัลฮัมดุลิลลาฮิร็อบบิล อาละมีน) แล้วก็หยุด (อัรเราะหฺมานิรร่อฮีม) แล้วก็หยุด



والله أعلم بالصواب

เมื่ออิมามอ่านสูเราะฮฺฟาติหะฮฺเสียงดัง

เมื่ออิมามอ่านสูเราะฮฺฟาติหะฮฺเสียงดัง


การอ่านสูเราะฮฺฟะติหะฮฺในขณะละหมาดนั้น จำเป็นแก่ผู้ทำละหมาดในทุกร็อกอะฮฺ ไม่ว่ากรณีละหมาดคนเดียว หรือเป็นญามะอะฮฺ หรือละหมาดที่ให้อ่านเสียงดังใน 2 ร็อกอะฮฺแรก หรือที่อ่านเสียงค่อยก็ตาม

รายงานจากท่านอุบาดะฮฺ อิบนุซ ซอมิต ร่อฎียัลลอฮฺอันฮุม เล่าว่า ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ไม่นับเป็นการละหมาด สำหรับผู้ที่ไม่อ่านฟะติหะฮฺ" (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)
แต่มีความขัดแย้งของบรรดาอุละมาอฺ กรณีเมื่ออิมามอ่านเสียงดังมะมูมจำเป็นต้องอ่านสูเราะฮฺฟาติหะฮฺหรือไม่
บรรดานักวิชาการมีความเห็นแบ่งออกเป็น 3 ทัศนะ คือ
ทัศนะแรก มะมูมไม่ต้องอ่านฟาติหะฮฺในทุกกรณี เป็นทัศนะของอิมามอบูหะนีฟะฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงเอ็นดูเมตตาท่าน)
ทัศนะที่สอง จะต้องอ่านฟาติหะฮฺในทุกกรณี เป็นทัศนะของอิมามชาฟิอีฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ
ทัสนะที่สาม เมื่อมะมูมได้ยินการอ่านของอิมามให้เขานิ่งฟัง โดยไม่อ่านฟาติหะฮฺ ซึ่งการฟังการอ่านของอิมามดีกว่าการอ่านของเขา เป็นทัศนะของอิมามมาลิก ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ อิมามอะหฺมัด บิน หันบัล ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กลุ่มหนึ่งจากลูกศิษย์ของอิมามชาฟิอีย์ และอิมามอบูหะนีฟะฮฺ คำฟัตวาครั้งแรกของอิมามชาฟิอีย์ และท่านมุหัมมัด บุตรของอัลหะสัน

หลักฐานของทั้งสามทัศนะ
-ทัศนะที่ว่ามะมูมไม่ต้องอ่านฟาติหะฮฺในทุกกรณี
...ท่านอิมามอบูหะนีฟะฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ นั้นเห็นว่า จะอ่านอะไรก็ได้ในละหมาด ไม่จะเป็นต้องอ่านฟาติหะฮฺ ถึงแม้ว่าผู้ที่ละหมาดจะมีความสามรถอ่านฟาติหะฮฺได้เป็นอย่างดีก็ตาม
โดยอาศัยหลักฐานดังนี้
فَاقْرَءُوا مَا تَيَسَّرَ مِنَ
"...ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านอัลกุรอานตามแต่สะดวกเถิด..."(อัลกุรอาน สุเราะฮฺอัลมุซซัมมิล 73:20)
จากหะดิษ "ต่อจากนั้นก็อ่านสิ่งที่สะดวก สำหรับท่านจากอัลกุรอาน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์)
ญุมฮูรุ้ลอุลามาอฺได้โต้แย้งทัศนะข้างต้นว่า
คำว่า "สิ่งที่สะดวกสำหรับท่าน "หะดิษของท่านอิมามอบูดาวูด ได้อธิบายว่า หมายถึง "การอ่านฟาติหะฮฺ"
ดังหะดิษที่ว่า "ต่อจากนั้นจงอ่านจากอุมมุลกุรอาน (ฟาติหะฮฺ) และตามที่อัลลอฮฺประสงค์"(บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด)
-ทัศนะที่ว่ามะมูมต้องอ่านฟาติหะฮฺในทุกกรณีของทุกร็อกอะฮฺ
ไม่ว่าละหมาดคนเดียว ทั้งที่อ่านเสียงดัง อ่านเสียงค่อย ละหมาดญามะอะฮฺ ทั้งที่อิมามอ่านเสียงเบา อ่านเสียงดัง
โดยอาศัยหลักฐานดังนี้
รายงานจากท่านอุบาดะฮฺ อิบนุซอมิต ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดไม่อ่านฟาติหะฮฺ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นไม่ได้ละหมาด" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)
รายงานจากท่านอบีอุร็อยเราะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดกระทำละหมาดใดๆ โดยที่เขาไม่อ่านอุมมุลกิตาบ(อัลฟาติหะฮฺ) ในละหมาดนั้นๆ ถือว่าดารละหมาดนั้นบกพร่อง(3 ครั้ง) ไม่สมบูรณ์"
มีผู้กล่าวกับท่านอบีฮุร็อยเราะฮิว่า "ก็พวกเราอยู่หลังอิมามนี่! ท่านอบูฮุร้อยเราะฮฺ กล่าวว่า "จงอ่านฟาติหะฮฺในใจ(อ่านเสียงค่อย)ของท่านซิ! ...." (บันทึกหะดิษโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซีย์ นะซาอีย์ อิบนิมาญะฮฺ และมาลิก)
รายงานจากท่่านอุบาดะฮฺ บิน อัซซอมิต ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำละหมาดศุบฮฺ การอ่านเป็นที่ลำบาก(ไม่ค่อยสะดวก) แก่ท่าน เมื่อละหมาดเสร็จแล้ว ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ฉันเห็นว่า พวกท่านอ่านขณะที่อยู่หลังอิมาม ใช่หรือไม่ ? ท่านอุบาดะฮฺกล่าวว่า "ใช่แล้วครับ พวกเราทำเช่นนั้นจริงๆ โอ้ท่านรสูล ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "พวกท่านอย่าทำเช่นนี้ เว้นแต่ให้อ่านฟาติหะฮฺได้เท่านั้น เพราะที่จริงไม่นับว่าเป้นละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่าน "อัลฟาติหะฮฺ" (บันทึกหะดิษโดยอัติรมีซีย์(2/116) อบุดาวูด (1/217) อันนะซะอีย์(2/141))
รายงานจากท่านยะซี๊ด อิบนิ ชะริ๊ก เล่าว่า เมื่อท่านได้ถามท่านอุมัร อิบนิล ค็อฏฏอบ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ ถึงเรื่องการอ่านขระละหมาดอยู่กับอิมาม ท่านอุมัร กล่าวว่า "จงอ่านฟาติหะฮฺ" ชะริีก กล่าวว่า ทั้งๆที่ท่านกำลังเป็นอิมามนำละหมาดอยู่นะหรือ? ท่านอุมัรกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าฉันเป็นอิมามอยู่ก็ตาม" ชะริ๊กกล่าวว่า "แม้ว่าขณะนั้นท่านกำลังอ่านเสียงดังอยู่นะหรือ? ท่านอุมัรกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าขณะนั้นฉันกำลังอ่านเสียงดังอยู่ก็ตาม" (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ อัลบัยฮะกียื ท่านอัดดาร่อกุฎนีย์ และท่านอัฏฏอฮาวีย์ )
รายงานจากท่านอบิลมุหีเราะฮฺ จากท่าน จากท่านอุบัย อิบนิ กีะอ์บฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
"แท้จริงท่านอุบัย อิบนิ ก๊ะอืบฺ นั้น อ่านฟะติหะฮฺขระอยู่หลังอิมาม" (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรียื ท่านอัลบัยฮะกียื และอัฎฎาร่อกุฏนีย์)
รายงานจากท่านมุญาฮิด เล่าว่า
"ฉันได้ยินยินท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ อิบนิล อ๊าศ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ อ่านฟะติหะฮฺขณะอยู่หลังอิมาม" (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะเฮียะฮฺ)

-ทัศนะที่ว่าเมื่อมะมูมได้ยินการอ่านของอิมามให้เขานิ่งฟัง โดยไม่อ่านฟาติหะฮฺ
เมื่อมะมูมได้ยินการอ่านของอิมามให้เขานิ่งฟัง โดยไม่อ่านฟาติหะฮฺ ซึ่งการฟังการอ่านของอิมามดีกว่าการอ่านของเขา และเมื่อเขาไม่ได้ยินการอ่านของอิมาม เช่นนั้นให้เขาอ่านในใจของเขา กรณีนี้การอ่านของเขาดีกว่าการนิ่งฟัง
โดยอาศัยหลักฐานดังนี้
พระองค์อัลลอฮ์ ศุบอานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
وَإِذَا قُرِئَ الْقُرْآنُ فَاسْتَمِعُوا لَهُ وَأَنصِتُوا لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ ( 204 )
“และเมื่ออัล-กุรอานถูกอ่านขึ้น ก็จงสดับฟังอัล-กุรอานนั้นเถิด และจงนิ่งเงียบ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการเอ็นดูเมตตา" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 7:204)
รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า
"ด้วยอายะที่ว่า وَإِذَا قُرِئَ الْقُرْآنُ :วะอิซากุริอัลกุรฺอาน:(เมื่ออัลกุรอานถูกอ่าน) เขากล่าวว่าอายะฮฺข้างต้นถูกประทานลงมาขระบรรดาเศาะหาบะฮฺอ่านเสียงดังข้างหลังท่านรสูลในขณะละหมาด" (หนังสือ อัสบาบุนุซูลิลกุรฺอาน หน้า 233)
รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เล่าว่า
"แท้จริงอิมามถุกแต่งตั้งเพื่อให้ปฏิบัติตาม ดังนั้นเมื่อิมามตักบีรฺ พวกท่านจงตักบีรฺตาม (โดยไม่อ้อยอิ่ง) และเมื่ออิมามอ่าน(อัลกุรอาน) พวกท่านจงนิ่งฟัง"(บันทึกหะดิษโดยมุสลิม หะดิษเลขที่ 612 อะหฺมัด หะดิษเลขที่ 9069 นะซาอีย์ หะดิษเลขที่ 912 และอิบนุมาญะฮฺ หะดิษเลขที่ 837)
รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
"เมื่อท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เสร็จสิ้นจากการละหมาดซึ่งเป็นละหมาดอ่านเสียงดัง ท่านรสูลก็กล่าววขึ้นว่า เมื่อครู่นี้มีบุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านอ่านพร้อมกับแันหรือไม่? ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "ใช่ครับท่านรสูลุลลอฮฺ ท่านรสูลจึงกล่าวขึ้นว่า (แันถึงว่า) ฉันถูกแข่งขันด้วยอัลกุรอาน ท่านอบุอุร้อยเราะฮฺ กล่าวว่า จากนั้นผู้คนทั้งหลาย จึงยุติการอ่าน ขณะท่านรสูลุลลอฮฺอ่านเสียงดังในขณะละหมาด" (หะดิษเศาะเฮียะฮฺ บันทึกโดยติรมีซีย์ หะดิษเลขที่ 287 นะซาอีย์ หะดิษเลขที่ 910 อะหฺัด หะดิษเลขที่ 7485 และมาลิก หะดิษเลขที่ 179)
รายงานจากท่านญาบีรฺ บุตรอับดุลลอฮฺ กล่าวว่า
"บุคคลใดที่ละหมาดหนึ่งร้อกอะฮฺโดยไม่อ่านฟาติหะฮฺในร้อกอะฮฺนั้น เช่นนั้นถือว่าเขายังมิได้ละหมาด เว้นแต่เขายืน(เป็นมะมูม หลังอิมาม"(หะดิษเศาะเอียะฮฺ บันทึกโดยมาลิก หะดิษเลขที่ 173)
รายงานจากท่านอะฏออ์ บุตรของยะสาริ เล่าว่า
"เขาเคยถามท่านวัยดฺ บุตรของษาบิตเกี่ยวกับการอ่านขณะยืนละหมาดพร้อมอิมาม เขาตอบว่า ไม่มีการอ่านใดๆ ขระยืนร่วมกับอิมาม"(หะดิษเศาะเฮียะฮ์ บันทึกหะดิษโดยมุสลิม หะดิษเลขที่ 903 และนาซาอียื หะดิษเลขที่ 951)
รายงานจากท่านนาฟิอฺ เมื่อท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของอุมัรฺถุกถามว่า
"บุคคลหนึ่งยืนหลังอิมามจะต้องอ่าน(ฟาติหะฮฺ)หรือไม่ เขาตอบว่า "เมื่อบุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านยืนละหมาดหลังอิมาม เช่นนั้นการอ่านของอิมามพอเพีบงแล้วสำหรับเขา และเมื่อเขาละหมาดเพียงลำพัง เช่นนี้เขาจงอ่าน(ฟะติหะฮฺ)เถิด ท่านนาฟิอฺเล่าต่อว่า ปรากฏว่าท่านอับดุลลอฮฺ บุตรอุมัริไม่อ่าน(ฟาติหะฮฺ) ขณะยืนละหมาดหลังอิมาม" (บันทึกหะดิษโดยมาลิก หะดิษเลขที่ 178)

والله أعلم بالصواب

จำเป็นต้องอ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺ

จำเป็นต้องอ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺ


กรณีการอ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺถือว่าเป็นรุก่นในละหมาด

เพราะ "บิสมิลลาฮฺ" ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺ

ตามหลักฐานดังนี้


حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ حُجْرٍ السَّعْدِيُّ، حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، أَخْبَرَنَا الْمُخْتَارُ بْنُ فُلْفُلٍ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، حوَحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، - وَاللَّفْظُ لَهُ - حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، عَنِ الْمُخْتَارِ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ بَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ذَاتَ يَوْمٍ بَيْنَ أَظْهُرِنَا إِذْ أَغْفَى إِغْفَاءَةً ثُمَّ رَفَعَ رَأْسَهُ مُتَبَسِّمًا فَقُلْنَا مَا أَضْحَكَكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ أُنْزِلَتْ عَلَىَّ آنِفًا سُورَةٌ ‏"‏ ‏.‏ فَقَرَأَ ‏"‏ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ ‏{‏ إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ * فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ * إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الأَبْتَرُ‏}‏ ‏"‏ ‏.‏ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ أَتَدْرُونَ مَا الْكَوْثَرُ ‏"‏ ‏.‏ فَقُلْنَا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَإِنَّهُ نَهْرٌ وَعَدَنِيهِ رَبِّي عَزَّ وَجَلَّ عَلَيْهِ خَيْرٌ كَثِيرٌ هُوَ حَوْضٌ تَرِدُ عَلَيْهِ أُمَّتِي يَوْمَ الْقِيَامَةِ آنِيَتُهُ عَدَدُ النُّجُومِ فَيُخْتَلَجُ الْعَبْدُ مِنْهُمْ فَأَقُولُ رَبِّ إِنَّهُ مِنْ أُمَّتِي ‏.‏ فَيَقُولُ مَا تَدْرِي مَا أَحْدَثَتْ بَعْدَكَ ‏"‏ ‏.‏ زَادَ ابْنُ حُجْرٍ فِي حَدِيثِهِ بَيْنَ أَظْهُرِنَا فِي الْمَسْجِدِ ‏.‏ وَقَالَ ‏"‏ مَا أَحْدَثَ بَعْدَكَ ‏"‏


จากท่าน อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า
" ขณะที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อยู่กับพวกเราในวันหนึ่ง ท่านได้งีบหลับไปชั่วครู่ หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้นมาแล้วยิ้ม พวกเราถามว่า อะไรทำให้ท่านหัวเราะหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า ซูเราะห์หนึ่งได้ถูกประทานลงมาให้ฉันสักครู่นี่เอง

แล้วท่านก็อ่าน บิสมิ้ลลาฮิรเราะห์มานนิรร่อฮีม อินนาอะอ์ฏอยนากัลเกาษัร ฟะศ็อลลิลิร๊อบบิก่าวันฮัร อินน่าซานิอะกะฮุวัลอับตัร

หลังจากนั้นท่านได้ถามว่า พวกเจ้าทั้งหลายรู้ไหมว่า อัลเกาษัร คืออะไร พวกเราตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านกล่าวว่า มันคือแม่น้ำซึ่งองค์อภิบาลของฉันผู้ทรงเกียรติและสูงส่งสัญญาจะมอบให้แก่ฉัน ซึ่งมีความดีอย่างมากมาย มันคือแหล่งน้ำที่ประชาชาติของฉันจะกลับไปพบกับฉันในวันกิยามะห์ ณ.ที่นี้ ภาชนะของมันมีจำนวนเท่ากับดวงดาว ขณะนั้นจะมีคนกลุ่มหนึ่งถูกกันออกจากพวกเขา (ไม่ให้เข้ามาหาฉันที่แหล่งน้ำ) ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันพวกเขาคือประชาชาติของฉัน พระองค์กล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใหม่ในศาสนาหลังจากเจ้าจากพวกเขามา"

(มุสลิม/หมวดที่4/บทที่14/ฮะดีษเลขที่ 0790)
ซึ่งอัล-กุรอาน สูเราะฮฺ อัล-ฟาติหะฮฺ มีทั้งหมด 7 อายะฮ์ รวม بِسْمِ الله الرحمن الرحِيْمِ ด้วย ดังนี้

بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ ( 1 )

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ ( 2 )

การสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ ( 3 )

ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ ( 4 )

ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทน

إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ ( 5 )

เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ

اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُسْتَقِيمَ ( 6 )

ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง

صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغْضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا الضَّالِّينَ ( 7 )

(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด

ฉะนั้นเมื่อไม่อ่านบิสมิลลาฮฺก่อนฟาติหะฮฺ การละหมาดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้นั่นเอง ส่วนกรณีอิมามไม่อ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺ การละหมาดของอิมามใช้ไม่ได้ ส่วนกรณีที่เป็นมะมูมนั้นถือว่าละหมาดใช้ได้ ซึ่งอยู่ในกรณีเดียวกันกับอิมามไม่มีน้ำละหมาด แล้วเกินนำละหมาด เช่นนี้มะมูมละหมาดใช้ได้ ส่วนอิมามต้องละหมาดใหม่

สำหรับกรณีอ่านบิสมิลลาฮฺ แต่อ่านเสียงค่อยนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง การอ่านบิสลาฮฺเสียงค่อยเช่นนี้เป็นแบอย่างจากท่านรสูลุลลอฮ์ ศ้อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม นั้นเอง

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى، وَابْنُ، بَشَّارٍ كِلاَهُمَا عَنْ غُنْدَرٍ، قَالَ ابْنُ الْمُثَنَّى حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ، قَالَ سَمِعْتُ قَتَادَةَ، يُحَدِّثُ عَنْ أَنَسٍ، قَالَ صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَأَبِي بَكْرٍ وَعُمَرَ وَعُثْمَانَ فَلَمْ أَسْمَعْ أَحَدًا مِنْهُمْ يَقْرَأُ ‏{‏ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ‏}

จากท่านอนัส (บินมาลิก) รายงานว่า
"ฉันเคยละหมาดพร้อมกับท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร และท่านอุสมาน โดยฉันไม่ได้ยินผู้ใดจากท่านเหล่านี้ อ่าน บิสมิ้ลลาฮ์ฮิรเราะห์มานนิรรอฮีม (ด้วยเสียงดัง)"
(มุสลิม/หมวดที่4/บทที่13/ฮะดีษเลขที่ 0786)
والله أعلم بالصواب