วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

ตักลีด



ตักลีด หมายถึง การยึดถือ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอยู่ในกฏหุก่มทางศาสนาตามแนวทางของมัซฮับใดมัซอับหนึ่ง หรือการยอมรับอย่างหลับหูหลับตาตามในคำกล่าวของบุคคลหนึ่งๆโดยมิทราบถึงหลักฐาน หรืออ้างอิงคำกล่าวของเขาโดยไม่ทราบว่าคำกล่าวของเขาโดยไม่ทราบว่าคำกล่าวนั้นมีหลักฐานที่ถูกต้องใดๆรับรองหรือไม่

อัลลอฮฺทรงกล่าวตำหนิการปฏิบัติแบบตักลีดเอาไว้หลายอายะฮฺ เช่น พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

وَإِذَا قِيلَ لَهُمْ تَعَالَوْا إِلَىٰ مَا أَنزَلَ اللَّهُ وَإِلَى الرَّسُولِ قَالُوا حَسْبُنَا مَا وَجَدْنَا عَلَيْهِ آبَاءَنَا أَوَلَوْ كَانَ آبَاؤُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ شَيْئًا وَلَا يَهْتَدُونَ ( 104 ) อัล-มาอิดะฮฺ - Ayaa 104

"และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมา ถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ 104)

บรรดาอุละมาอฺของชาวสลัฟ รวมทั้งอุละมาอฺมุจญ์ตะฮีดดีนทั้งหลาย ต่างก็ห้ามจากการตักลีด เนื่องการตักลีดเป็นสาเหตุนำมาซึ่งความขัดแย้ง และความอ่อนแอในระหว่างพี่น้องมุสลิม และเอกภาพในการปฏิบัติและการกลับคืนสู่สิ่งที่อัลลอฮฺและท่านรสูลกล่าวในกรณีขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่พบว่าบรรดาเศาะหาบะฮ์ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ ตักลีดผู้หนึ่งผู้ใดในระหว่างพวกเขาเป็นการเฉพาะในทุกๆเรื่อง เช่นเดียวกับบรรดาอิมามทั้ง 4 ก็ไม่ได้สั่งใช้ให้ยึดติด(ตะอัศศุบ) ทัศนะของพวกเขาเลย และพวกเขายังเคยละทิ้งทัศนะของตนเนื่องหะดิษหนึ่งของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเขาเคยห้ามมิให้ผู้อื่นตักลีดพวกเขา โดยไม่ทราบหลักฐานเสียก่อน


อิมามอบูฮะนีฟะฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :

حَرَامٌ عَلَى مَنْ لَمْ يَعْرِفْ دَلِيْلِيْ أَنْ يُفْتِيَ بِكَلاَمِيْ فَإِنَّنَا بَشَرٌ نَقُولُ اْلقَولَ اْليَومَ نَرْجِعُ عَنْهُ غَدًا

"เป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ที่ไม่รู้ชัดในหลักฐานที่ฉันอ้างอิง แล้วมาชี้ขาดในคำพูดของฉัน เพราะเรา นั้นก็คือคนธรรมดา เราพูด วันนี้อย่างนี้ พรุ่งนี้เราอาจจะกลับคำพูดใหม่ก็ได้"

อิมามมาลิก ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :

إِنَّما أَنا بَشَرٌ أُخْطِئُ وأُصِيْبُ فَانْظُرُوْا فِي رَأْيِي فَكُلُّ ما وَافَقَ اْلكِتَابَ وَالسُّنَّةَ فَخُذُوْهُ وَكُلُّ ما لَمْ يُوَافِقِ اْلكِتَابَ وَالسُّنَّةَ فَاتْرُكُوهُ

"เราเป็นคนธรรมดา มีผิดมีถูก จงพิจารณาคำพูดของฉันด้วย หากถูกต้องตรงกับอัลกรุอ่านและแบบ ฉบับของท่านร่อซูล ท่านทั้ง หลายจงรับไป แต่ถ้าหากคำพูดของฉันขัดกับอัลกรุอ่านและแบบฉบับ ของท่านร่อซูล ก็จงทิ้งไปเสีย"

อิมามชาฟิอี ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าว่า :

إِذَا وَجَدْ تُمْ فِي كِتابِيْ خِلاَفَ سُنَّةِ رَسُوْلِ اللهِ صلى الله عليه وسلم فَقُولُوْا بِسُنَّةِ رَسُول اللهِ صلى الله عليه وسلم وَدَعُوْا ما قُلْتُ

"เมื่อพวกท่านพบว่าในหนังสือของฉันขัดกับแบบฉบับของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกท่านก็จงพูดตามแบบ ฉบับของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และจงทิ้งคำพูดของฉันเสีย"

อิมามอะหมัด อิบนุฮัมบัล ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :

لا تُقَلِّدْنِي وَلا تُقَلِّدْ مالكًا وَلا الشَّافِعِي وَلا اْلأَوْزَاعِي ولا الثَّوْرِي وَخُذْ مِنْ حَيْثُ أَخَذُوْا

"อย่าตามฉันหรือตามอิหม่ามมาลิก ชาฟิอี เอาซาอี และเซารี แต่จงเอาจากสิ่งที่พวกเขาเอามา"





พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า


اتَّبِعُوا مَا أُنزِلَ إِلَيْكُم مِّن رَّبِّكُمْ وَلَا تَتَّبِعُوا مِن دُونِهِ أَوْلِيَاءَ قَلِيلًا مَّا تَذَكَّرُونَ ( 3 ) อัล-อะอฺรอฟ - Ayaa 3


"พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใดๆ อื่นจากพระองค์ ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรำลึก"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 3)

والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2562

#กินข้าวกับช้อนเป็นบิดอะฮฺไหม ?

ตอบโดย : ชัยคฺ มุกบิล บิน ฮาดีย์ อัล-วาดิอีย์ -รอหิมาฮุลลอฮฺ-
 คำถาม :
ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าชาวซุนนะฮฺห้ามการรับประทานอาหารกับช้อน ?
 คำตอบ :
ไม่ถูก , อัลฮัมดุลิลลาฮฺ เรารับประทานอาหารกับช้อน มันไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม)แต่อย่างใด การรับประทานอาหารกับช้อนไม่ถูกนับเป็นบิดอะฮฺ
เพราะบิดอะฮฺนั้น มันเกิดขึ้นในเรื่องของศาสนา ซึ่งสิ่งนี้มันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องนี้เลย(เรื่องศาสนา)
📚 อ้างอิง : قناة سوكنة السلفية
📍 #ใจความสำคัญที่ได้ : บิดอะฮฺ หรืออุตริกรรมที่หลงผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านรอซูลﷺได้เตือนให้ระวังอย่างหนักนั้น หมายถึงบิดอะฮฺที่เกิดขึ้นในเรื่องของศาสนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดุนยา (ขับมอเตอร์ไซค์ - นั่งเครื่องบิน - ลำโพง - ไมโครโฟน - ช้อน - โทรทัศน์ - จานดำ ฯลฯ)

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2562

การเปลือยกายและมองอวัยวะเพศระหว่างสามีภริยา

การเปลือยกายและมองอวัยวะเพศระหว่างสามีภริยา

คำถาม:

ฉันอยากทราบว่าการนอนหลับกับคู่ครองโดยไม่สวมเสื้อผ้านั้นเป็นที่อนุญาตหรือไม่ในอิสลาม ถ้าเป็นที่อนุญาตแล้ว เมื่อโอบกอดกันขณะหลับ จำเป็นต้องอาบน้ำญะนาบะฮฺก่อนละหมาดหรือไม่ หรือเพียงแค่อาบน้ำละหมาด?
...................................................................................................


มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

สำหรับคำถามในส่วนแรกนั้น เป็นสิ่งที่อนุมัติสำหรับคู่ครอง
อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า

(وَالَّذِينَ هُمْ لِفُرُوجِهِمْ حَافِظُونَ ، إِلَّا عَلَى أَزْوَاجِهِمْ أوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُمْ فَإِنَّهُمْ غَيْرُ مَلُومِينَ) (المؤمنون : ٥-6 )

“และบรรดาผู้ที่สงวนอวัยวะเพศของพวกเขา เว้นแต่กับบรรดาภรรยาของพวกเขา หรือกับสตรีใต้การครอบครองของพวกเขา (ทาสี) ซี่งในกรณีเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ” [อัลมุอฺมินูน 23:5-6]

อิมาม อิบนุ หัซมฺ رحمه الله กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงใช้ให้พวกเราสงวนอวัยวะเพศ ยกเว้นกับบรรดาภรรยาของพวกเราหรือกับสตรีที่อยู่ใต้อำนาจของพวกเรา (ทาสี) ซึ่งจะไม่ถูกตำหนิในกรณีนั้น นี่เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆ ซึ่งหมายรวมทั้งการมอง การสัมผัส และการคลุกคลีปะปนกัน (อัลมุหัลลา, 9/165)

สำหรับหลักฐานจากซุนนะฮฺ มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ และฉันเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺจากภาชนะซึ่งถูกวางไว้ระหว่างฉันกับท่าน ท่านเร่งรีบตักจนฉันกล่าวว่า
“เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง” (บันทึกโดย อัลบุคอรี, 258; มุสลิม, 321 ในสำนวนนี้บันทึกโดยมุสลิม)

อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวว่า อัลดาวุดี ใช้หลักฐานนี้บอกว่าเป็นที่อนุมัติให้ชายมองเอาเราะฮฺของภรรยาและอนุมัติให้หญิงมองเอาเราะฮฺของสามี และได้รับการสนับสนุนโดยรายงานจาก อิบนุหิบบาน จาก สุลัยมาน อิบนุ มูซา ซึ่งถูกถามเกี่ยวกับการที่ผู้ชายมองอวัยวะเพศของภรรยา เขากล่าวว่า ฉันได้ถาม อะฏออ์ แล้วเขากล่าวว่า ฉันได้ถามท่านหญิงอาอิชะฮฺ และนางได้กล่าวถึงหะดีษนี้ อัลหาฟิซกล่าวว่า นี่คือรายงานที่เจาะจงสำหรับเรื่องนี้เลยทีเดียว

ยังมีหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
“จงรักษาเอาเราะฮฺของท่าน ยกเว้นกับบรรดาภรรยาและสตรีผู้อยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน” (บันทึกโดย อบูดาวูด, 4017; อัตติรมิซี, 2769 หะดีษนี้อยู่ในระดับหะซัน; อิบนุมาญะฮฺ, 1920; รายงานโดย มุอัลละกอ โดย อัลบุคอรี, 1/508)

อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวเกี่ยวกับหะดีษนี้ว่า สำหรับข้อความ
“ยกเว้นสำหรับภรรยาของพวกท่าน” หมายถึง อนุญาตให้ภรรยามองเอาเราะฮฺของสามีและอนุญาตให้สามีมองเอาเราะฮฺของภรรยา

อิบนุ หัซมฺ กล่าวว่า เป็นที่หะลาลสำหรับผู้ชายในการมองอวัยวะเพศหญิงของภรรยาและทาสีของเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาได้รับอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ และเป็นที่อนุญาตให้พวกนางมองอวัยวะเพศของเขา ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องนั้น หลักฐานของเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีถึงรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ และท่านหญิงมัยมูนะฮฺ เหล่ามารดาของผู้ศรัทธา (ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยพวกนาง) ซึ่งรายงานว่าพวกนางเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺร่วมกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ เพื่อทำความสะอาดจากหะดัษใหญ่ ในภาชนะหนึ่ง

รายงานจากท่านหญิงมัยมูนะฮฺชี้ให้เห็นชัดเจนว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ไม่ได้ปกปิดร่างกาย เพราะรายงานของนางระบุว่า
“ท่านจุ่มมือลงในภาชนะแล้วเทน้ำลงบนอวัยวะเพศแล้วชำระล้างมันด้วยมือซ้ายของท่าน” ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตามความคิดเห็นส่วนน้อยของบางคน เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้เพิกเฉยบางคนที่ต้องการสร้างความยากลำบากโดยการอนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์แต่ห้ามมองอวัยวะเพศ (อัลมุหัลลา, 9/165)
ชัยคฺ อัลอัลบานี กล่าวว่า การห้ามมองนั้นหมายถึงห้ามมองในสิ่งที่จะนำสู่เพศสัมพันธ์ที่หะรอม ดังนั้น เมื่ออัลลอฮฺทรงอนุมัติให้สามีมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาได้แล้ว การที่พระองค์จะทรงห้ามเขามองอวัยวะเพศของนางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สอดรับกัน เป็นไปไม่ได้ (อัสสิลสิละฮฺ อัฎฎออีฟะฮฺ, 1/353)

เกี่ยวกับเฏาะฮาเราะฮฺ (ความสะอาด) ในกรณีนี้ การโอบกอดขณะนอนหลับ ตราบใดที่มิได้ทำให้หลั่งน้ำมะนียฺ (อสุจิ) หรือมีเพศสัมพันธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำญะนาบะฮฺ

แต่ถ้ามีการหลั่งน้ำมะซียฺ (น้ำเมือกใสที่หลั่งเองเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ) ทั้งสองต้องชำระล้างอวัยวะเพศและอาบน้ำละหมาด
_____

โดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด
ที่มา Islamqa.com คำถามหมายเลข 13486
_____

https://islamqa.info/en/answers/13486/is-it-permissible-for-husband-and-wife-to-remove-their-clothes-when-sleeping-what-effect-does-that-have-on-tahaarah-purity-cleanliness

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

#ข้อมูลข่าวสารที่บรรดานบีได้รับ

#ข้อมูลข่าวสารที่บรรดานบีได้รับ
_
การเศาะละวาตและการกล่าวสลามของเราที่มีต่อท่านนบี (ศ็อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะไปถึงท่าน เมื่อใดก็ตามที่เรากล่าว และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อบูฮุร็อยเราะฮฺ รายงานว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า :-
_
"จงอย่าเอาหลุมฝังศพของฉันเป้นสถานที่แห่งการฉลองรื่นเริง และจงอย่าเปลี่ยนบ้านของพวกท่านให้เป็นหลุมฝังศพ(โดยไม่นมาซในบ้าน) ไม่ว่าพวกท่านอยู่ที่ไหน จงเศาะละวาตฉัน เพราะการเศาะละวาตของท่านจะถึงฉัน
(บันทึกโดย อบูดาวูด, อะหฺมัด และคนอื่นๆ)
_
ครั้งหนึ่ง อัลฮะซัน บุตรของอัลฮะซัน บินอะลี เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลุมฝังศพของท่านนบีและกล่าวสลามแก่ท่าน ดังนั้น อัลฮะซันจึงบอกเขาว่า แค่กล่าวสลามเมื่อเข้ามาในมัสญิดของท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็พอแล้ว ดังนั้น เขาจึงได้เล่าฮะดีษข้างต้นให้ฟังและกล่าวเสริมว่า :-
_
"ท่านและบรรดาผู้อยู่ในอันดะลุส (กล่าวคือ สเปน) ล้วนเท่ากัน (ในเรื่องการกล่าวสลามของท่านไปถึงท่านนบี)'"
(บันทึกโดย สะอี๊ด บินมันซูร, อิบนุอบีชัยบ๊ะฮฺ และคนอื่นๆ )
_
เมื่อเรากล่าวเศาะละวาต หรือ กล่าวสลามแก่ท่านนบี (ศ็อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงแต่งตั้งมลาอิก๊ะฮฺให้นำคำวิงวอนเหล่านี้ไปยังท่านนบี อิบนุมัสอู๊ด รายงานว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า :-
" อัลลอฮฺทรงมีมลาอิก๊ะฮฺที่เดินทางทั่วโลกเพื่อนำสลามจากอุมมะฮฺของฉันมายังฉัน(หลังจากฉันตายไป) "
(บันทึกโดย อบูดาวูดและคนอื่นๆ )
_
นี่แสดงว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่สามารถได้ยินการกล่าวสลามของบรรดาสาวกของท่านอย่างเป็นอิสระ ท่านได้รับการกล่าวสลามโดยอาศัยมลาอิก๊ะฮฺเป็นสื่อกลางนำไปยังท่านเท่านั้น โดยไม่คำนึงว่าผู้กล่าวสลามกำลังยืนอยู่ข้างหน้าหลุมฝังศพของท่าน หรืออยู่ในจุดที่ห่างไกลที่สุดของโลก

ฮะดีษนี้สอดคล้องกับกฏทั่วไปที่ว่า คนตายไม่สามารถได้ยินสิ่งใดจากโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านรอซูลุลลอฮฺไม่สามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังความตายของท่าน คนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าท่าน ก็อย่าหวังว่าจะได้ยิน
_
เนื่องจากสถานะพิเศษของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กับ อัลลอฮฺ ท่านนบีอาจรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่มีขอบเขตจำกัด นอกเหนือไปจากการกล่าวสลามถึงท่าน โดยสองช่องทางที่เป็นไปได้นั่นคือ :-
1. เช่นเดียวกับวิญญาณของผู้ศรัทธาคนอื่นๆ ท่านนบีอาจถามจากวิญญาณของผู้ศรัทธาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
2. ท่านอาจได้รับการบอกโดยมลาอิก๊ะฮฺ เกี่ยวกับเรื่องการกล่าวสลาม
สองประเด็นนี้ไม่ถูกจำกัดสำหรับท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ของเรา แต่อาจใช้กับบรรดานบีท่านนอื่นๆ ด้วย ดังที่เราได้เห็นมาก่อนหน้านี้ในการพูดถึงเรื่องการเดินทางในยอมค่ำคืน ดูเหมือนว่าบรรดานบีจะรู้อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นหลังความตายของนบีเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น นบีมูซารู้ว่า สาวกของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะเหนือกว่าสาวกของท่าน
________
(มีต่อ) #กรณียกเว้นของการได้ยินของคนตาย
จากหนังสือ ชีวิตในหลุมฝังศพ จากความตายจนกระทั่งฟื้นคืนชีพ
เขียน
มุฮัมมัด มุสตอฟา อัลญิบาลี
แปล
บรรจง บินกาซัน

#กรณียกเว้นของการได้ยินของคนตาย

#กรณียกเว้นของการได้ยินของคนตาย
_
มีกรณียกเว้นบางกรณีสำหรับกฏทั่วไปที่ว่า คนตายไม่สามารถได้ยินสิ่งใดจากชีวิตนี้ แต่กรณียกเว้นนั้นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนจากคัมภีร์กุรอานหรือซุนนะฮฺ ถ้าหลักฐานนี้ได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง กรณียกเว้นนั้นก็เป็นที่ยอมรับและอยู่ในขอบเขตของมัน เราไม่สามารถเอากรณียกเว้นมาใช้เป็นกฏทั่วไปได้
_
#หลุมของทุ่งบะดัรฺ
_
อุมัรฺ, อบูฏ็อลฮะฮฺ และสาวกคนอื่นๆ รายงานว่า หลักจากมุสลิมได้รับชัยชนะในสงครามบะดัรฺแล้ว ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้สั่งให้โยนศพที่น่ารังเกียจที่สุด 24 ศพ จากศพของชาวกุเรชลงไปในหลุมขยะ หลังจากนั้น ท่านนบียังคงอยู่ใกล้ๆ กับสนามรบเป็นเวลาสามวันสามคืน เมื่อท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาสาวกของท่านพร้อมจะออกเดินทาง พวกเขาได้ไปยืนที่ปากหลุมนั้น ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิซะซัลลัม) ได้ตะโกนเรียกชื่อคนตายและเอ่ยชื่อพ่อของพวกเขา แล้วกล่าวว่า :-
_
" อบูญะฮัล บินฮิชา, อุมัยยะฮฺ บิดเคาะลัฟ, อุตบ๊ะฮฺ บินเราะบีอ๊ะฮฺ, ชัยบ๊ะฮฺ บินเราะบีอ๊ะฮฺ, วะลีด บินอุตบ๊ะฮฺ พวกท่านไม่อยากที่จะเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์กระนั้นหรือ ? ความจริงเราได้พบแล้วว่า สัญญาของพระผู้อภิบาลของเราที่มีต่อเราเป็นความจริงแล้ว พวกท่านเห็นหรือยังว่า สัญญาของพระผู้อภิบาลของพวกท่านเป็นความจริง "
_
ตรงนี้ อุมัรฺ และสาวกคนอื่นๆ ได้อุทานออกมาว่า " ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ท่านพูดกับพวกเขาได้อย่างไร หลังจากที่พวกเขาตายไปสามคืนแล้ว ? ท่านพูดกับร่างที่ไม่มีวิญญาณได้อย่างไร ? พวกเขาจะได้ยินอย่างไรเมื่ออัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงกล่าวว่า " แท้จริง เจ้าไม่สามารถทำให้คนตายได้ยินเจ้า " (กุรอาน 27:80 และ 30:52)
ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ตอบว่า : -
_
"ขอสาบานด้วยพระองค์ ผู้ทรงกำชีวิตของมุฮัมมัดไว้กับพระหัตถ์ พวกท่านไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ฉันกำลังพูด ดีไปกว่าที่พวกเขาได้ยิน แท้จริง ตอนนี้ พวเขาสามารถได้ยินสิ่งที่ฉันพูด แต่พวกเขาไม่สามารถตอบอะไรฉันได้"
(บันทึกโดย อัลบุคอรี : 3065, 3976, มุสลิม: 2873-2874, อะหมัด และคนอื่น)
_
เกาะดาด๊ะฮฺ ได้อธิบายฮะดีษนี้ว่า :-
" อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงให้ชีวิตพวกเขาเพื่อที่จะได้ยินคำพูดของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในฐานะเป็นการตำหนิและดุ และเพื่อทำให้พวกเขาเสียใจมากขึ้นสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป "
(บันทึกโดย อัลบุคอรี :3946)
_
เมื่อท่านหญิงอาอิชะฮฺ ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้และท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า " ความจริงแล้ว พวกเขาได้ยินสิ่งที่ฉันพูด นางได้แย้ง โดยบอกว่า สิ่งที่ท่านนบีพูดนั้นจริงๆแล้วคือ : -
_
" ความจริงแล้ว ตอนนี้พวกเขารู้ดีว่า สิ่งที่ฉันเคยบอกพวกเขานั้นเป็นความจริง "
_
หลังจากนั้น ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ได้อ่านอายะฮฺกุรอานที่มีใจความว่า
" แท้จริง เจ้าไม่สามารถทำให้คนตายได้ยินเจ้า และเจ้าไม่สามารถทำให้คนหูหนวกได้ยินคำเรียกร้อง ในขณะที่พวกเขาหันหลังให้เจ้า "
(กุรอาน 27:80 และ 30:52)
(บันทึกโดย อัลบุคอรี : 1370- 1371ม 3979-3981, มุสลิม: 932 และคนอื่นๆ )
_
เรามีประเด็นสำคัญๆ สองสามประเด็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับฮะดีษข้างต้น
_
1. ความเข้าใจของเศาะฮาบ๊ะฮฺ :
จากรายงานข้างต้น เป็นที่ชัดเจนว่า อุมัรฺ, ท่านหญิงอาอิชะฮฺ และสาวกคนอื่นๆ เข้าใจว่า คนตายไม่สามารถได้ยิน
_
2. การยอมรับของท่านนบี :
เมื่อ อุมัรฺและสาวกคนอื่นๆ แย้งท่านนบี (ศ็อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่าคนตายไม่สามารถได้ยิน ท่านไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่คนเหล่านั้นแย้ง และกล่าวว่า " พวกท่านผิดเพราะคนตายได้ยินจริงๆ " แต่ท่านยอมรับความเข้าใจของสาวกเหล่านั้นและอธิบายให้พวกเขาได้ทราบว่า สถานการณ์ของหลุมทิ้งศพนั้นเป็นสถารการณ์พิเศษ อัล อัลบานีย์ ได้กล่าวว่า :-
_
"เราต้องสันนิษฐานว่า สาวกเหล่านี้มีความเข้าใจมาก่อนแล้วจากท่านนบี มิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาไม่น่าจะรีบแย้งท่านและถึงแม้เราจะสันนิษฐานว่า สาวกเหล่านี้รีบแย้งท่านนบีโดยไม่มีความรู้ มันก็เป็นหน้าที่ของท่านนบีที่จะต้องอธิบายให้สาวกเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม เราไม่พบรายงานที่กล่าวถึงการอธิบายนั้นเลย..ท่านเพียงแต่ชี้ว่า คนตายเหล่านั้นสามารถได้ยินท่านในเวลาเฉพาะ ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า ทานนบียอมรับความเข้าใจโดยทั่วไปของบรรดาสาวกของท่านที่นำโดยอุมัรฺเกี่ยวกับเรื่องนี้ "
(อัลอายาดุล บัยยินาต หน้า 49-50)
_
3. สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งสำหรับท่านนบี :
การได้ยินพวกบูชาเจว็ดที่เสียชีวิตเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือบรรทัดฐานปกติ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันเป้นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งสำหรับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อิบนุอฏียะฮฺ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่จากอันดะลุส(สเปน) กล่าวว่า : -
_
"ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่สมภูมิบะดัรฺนั้นเป้นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งสำหรับท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ทรงทำให้คนตายสามารถได้ยินท่าน ถ้าหากท่านรอซูลลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่บอกเราถึงเรื่องนี้ เราก็อาจเข้าใจการพูดกับคนตายเหล่านั้นของท่านว่าเป็นแค่การตักเตือนสำหรับผู้ปฏิเสธที่ยังมีชีวิตเช่นเดียวกับเป็นการตอกย้ำหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา "
(อัลญามิอฺ ลิอะฮฺกาม อัลกุรอาน 27:80)
_
อิบนุฏฏีน นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่จากอาฟิรกาเหนือ กล่าวว่า :-
_
"ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างฮะดีษของอิบนุอุมัรฺ (ในเรื่องหลมฝังศพ) และอายะฮฺกุรอาน 27:80 ไม่มีข้อสงสัยว่าคนตายไม่สามารถได้ยิน แต่อัลลอฮฺทรงทำให้สิ่งที่โดยปกติแล้วไม่ได้ยินสามารถได้ยิน..."
(รายงานโดย อิบนุฮะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ใน ฟัตฮัลบารีย์ 3:298)
_
4. ซุนนะฮฺของบรรดานบีก่อนหน้านี้ :
เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะรู้ว่า การพูดกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่คนเหล่านี้ถูก อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทำลายไปแล้ว เป็นการปฏิบัติที่ทำกันมานานของนบี ทั้งหลาย อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงกล่างถึงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาของนบีซอลิฮฺ (อะลัยฮิสลาม) ว่า : -
_
'' ดังนั้น ความหมายนะอันรุนแรงฉับพลันจึงได้คร่าชีวิตพวกเขา ยังผลให้พวกเขานอนคว่ำหน้าตายอยู่ในบ้านของพวกเขาเอง ดังนั้น ซอลิฮฺจึงหันไปจากพวกเขาและกล่าวแก่พวกเขาว่า 'หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันได้นำสาส์นของพระผู้อภิบาลของฉันมายังพวกท่าน และฉันได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อผลดีของพวกท่านเอง แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะพวกท่านไม่ชอบผู้แนะนำสิ่งที่ดี' '' (กุรอาน 7:78-79)
_
อิบนุกะษีรฺ ให้ความเห็นเรื่องนี้โดยกล่าวว่า :-
_
'' นี่เป็นการตำหนิของนบีซอลิฮฺ (อะลัยฮิสลาม) ที่มีต่อคนของท่านหลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงทำลายพวกเขาเพราะการไม่เชื่อฟังท่าน เป็นกบฏต่ออัลลอฮฺ ปฏิเสธสัจจธรรม และหันห่างออกจากทางนำ นบีซอลิฮฺ พูดสิ่งนี้แก่พวกเขาหลังจากที่พวกเขาถูกทำลาย เป็นการตำหนิและดุพวกเขาและคนเหล่านั้นได้ยิน ดังที่มีรายงานอยู่ในอัลบุคอรีและมุสลิม "
(ตัฟซีรฺ อัลกุรอาน อัลอะซีม 7:78-79)
_
ในทำนองเดียวกัน อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ทรงกล่าวถึงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาของนบีชุอัยบ์ (อะลัยฮิสลาม) ว่า : -
" ดังนั้น แผ่นดินไหวรุนแรงก็ได้คร่าชีวิตพวกเขา จนพวกเขานอนคว่ำหน้าตายอยู่ภายในที่พักอาศัยของพวกเขา บรรดาผู้ถือว่า ชุอัยบ์ เป็นผู้โกหกนั้นได้ถูกทำลายล้างเสียจนเหมือนกับว่า พวกเขาไม่เคยอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยของพวกเขาเลยท้ายที่สุด ผู้ที่ถือว่า ชุอัยบ์ เป็นผู้โกหกต่างหากที่เป็นผู้ได้รับความหายนะ แล้ว ชุอัยบ์ ได้จากสถานที่ของเขาไปและกล่าวว่า ' หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันได้นำสาร์นของพระผู้อภิบาลของฉันมายังพวกท่านแล้ว และฉันได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วในฐานะผู้ปรารถนาดีต่อพวกท่าน แล้วเรื่องอะไรที่ฉันจะมาสลดใจต่อคนปฏิเสธสัจธรรม ( กุรอาน 7:91-93)
_
5.กรณียกเว้นไม่อาจลบล้างกฏทั่วไป :
บางคนใช้คำพูดของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิซะซัลลัม) ที่กล่าวว่า " พวกท่านไม่สามารถได้ยินฉัน ดีไปกว่าพวกเขา" มาเป็นหลักฐานว่า คนตายสามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะมันเป็นการเปลี่ยนกรณียกเว้น ซึ่งเป้นสิ่งมหัศจรรย์ที่ถูกประทานแก่ท่านนบีในสถานการณ์เช่นนั้นให้มาเป็นกรณีทั่วไป ซึ่งแย้งกับตัวของคัมภีร์กุรอาน
________
(มีต่อ) #คนตายที่เพิ่งถูกฝังได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ที่ติดตามมากับเขา
จากหนังสือ ชีวิตในหลุมฝังศพ จากความตายจนกระทั่งฟื้นคืนชีพ
เขียน
มุฮัมมัด มุสตอฟา อัลญิบาลี
แปล
บรรจง บินกาซัน

#คนตายที่เพิ่งถูกฝังได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ที่ติดตามมากับเขา

#คนตายที่เพิ่งถูกฝังได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ที่ติดตามมากับเขา
กรณียกเว้นอีกกรณีหนึ่งคือ การที่คนตายได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ที่้ติดตามเขามา ในตอนที่คนเหล่านั้นได้จากสถานที่ฝังศพของเขาไป
ในฮัดีษของอนัส ที่นำมาอ้างก่อนหน้านี้ ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า :-
" แท้จริง เมื่อผู้ศรัทธาถูกวางในหลุมฝังศพของเขาและผู้ติดตามได้เดินออกไปจากเขาแล้ว เขาสามารถได้ยินเสียงสะท้อนของฝีเท้าของพวกเขา"
(บันทึกโดย อัลบุคอรี :1338, 1374 และมุสลิม :2870)

ในทำนองเดียวกัน ในฮะดีษของ อัลบะรออ์ บินอาซิบ ที่เราได้นำมาอ้างก่อนหน้านี้ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้กล่าวว่า :-
"เขาได้ยินเสียงย่ำฝีเท้าของผู้ติดตามเขา ในขณะที่พวกเขาเดินออกไปจากหลุมศพของเขา "
(บันทึกโดยอบูดาวูด, อะหมัด และคนอื่นๆ)
ดังที่เราได้กล่าวข้างต้นเกี่ยวกับฮะดีษเรื่องหลุมศพที่บะดัรฺนี่เป็นอีกข้อยกเว้นหนึ่งสำหรับกฏทั่วไป มันใช้เฉพาะกับเวลาที่คนตายถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และมลาอิก๊ะฮฺได้มาสอบถามเขา ซึ่งไม่อาจทำให้กรณีอื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้น เราจึงต้องเอาฮะดีษนี้และความหมายของอายะฮฺกุรอาน 27:80 มาปรับให้เข้ากันตามความเข้าใจของอุมัรฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ และสาวกคนอื่นๆ
_____
(มีต่อ) #ผู้ตายไม่สามารถตอบหรือให้ความช่วยเหลือ
จากหนังสือ ชีวิตในหลุมฝังศพ จากความตายจนกระทั่งฟื้นคืนชีพ
เขียน
มุฮัมมัด มุสตอฟา อัลญิบาลี
แปล

.

บรรจง บินกาซัน

(ตัดน้ำออกเอาแต่เนื้อ ถ้ามาเต็มคงไม่อ่านกัน ) เกณฑ์การพิจารณาเลือกคู่ครองในอิสลาม

(ตัดน้ำออกเอาแต่เนื้อ ถ้ามาเต็มคงไม่อ่านกัน )
เกณฑ์การพิจารณาเลือกคู่ครองในอิสลาม
___
1 พ่อแม่ ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูล และต้นกำเนิด
การที่จะรู้ว่าคนไหนมีต้นกำเนิดที่ดี ต้องอาศัยการสอบถามหรือเป็นที่รู้จักในสังคม ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ และพ่อแม่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่รู้จัก มีความหวังดี และบริสุทธิ์ใจต่อลูกมากที่สุด
พึงระวังว่า การพิจารณาว่าคนไหนมีต้นกำเนิดที่ดีหรือไม่ดี ต้องไม่เป็นการดูถูกผู้อื่นและหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนตามประเพณีนิยมของญาฮีลียะฮ์ แต่การเลือกคู่ครองที่มีคุณสมบัติที่ดี มีวงศ์ตระกูลที่ดีและได้รับการยอมรับในสังคม นับเป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต เพราะมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับแร่ธาตุดังที่ นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวไว้
ผู้ใดที่มีธาตุแท้แห่งความดีในสมัยญาฮีลียะฮ์
(ยังไม่เข้ารับอิสลาม) เขาก็ยังดำรงอยู่ในธาตุแท้แห่งความดีเมื่อรับอิสลาม หากเขามีความเข้าใจในศาสนา
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์/3353, มุสลิม/6877)
_
2 การยึดมั่นในศาสนา
สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการสังเกตทางพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมาให้เห็น หากชายคนหนึ่งดำรงละหมาดพร้อมญะมาอะฮ์เป็นกิจวัตร อ่านอัลกุรอานและดำรงตนในกรอบศาสนาที่ดี ให้สามารถสันนิษฐานเบื้องต้นว่าเขาเป็นคนดี
แต่ในความเป็นจริงอาจมีนิสัยตรงกันข้ามก็ได้ ดังนั้นการพิจารณาคนๆ หนึ่งนั้น ไม่ควรมองที่พฤติกรรมภายนอกเพียงอย่างเดียว
ดังที่ท่านอุมัรบินค็อฎฎอบ เคยซักประวัติคนๆ หนึ่งว่า มีใครที่รู้จักชายคนนั้นบ้างไหม มีคนตอบว่า ฉันรู้จัก ท่านอุมัรจึงถามต่อว่า ท่านเคยติดต่อกับเขาเรื่องเงินทองหรือไม่ คนๆ นั้นตอบว่า ไม่ อุมัรจึงกล่าวว่า บางทีท่านอาจพบเจอเขาที่มัสยิดเป็นครั้งคราว ความจริงแล้วท่านยังไม่ได้รู้จักชายที่ฉันถามถึง
การที่จะทราบถึงศาสนาของใครคนหนึ่ง จำเป็นต้องอาศัยการคลุกคลี การคบค้าสมาคมหรือมีความใกล้ชิดกันในระยะเวลาหนึ่ง ดังสุภาษิตจีนกล่าวว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
ผู้ที่จะมีข้อมูลส่วนตัวได้ คือ เพื่อนร่วมสถาบัน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเดินทาง เพื่อนบ้าน ผู้บังคับบัญชาหรือลูกน้อง ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใครเป็นคู่ชีวิต จำเป็นต้องหาข้อมูลส่วนตัวจากผู้ใกล้ชิดก่อนเป็นอันดับแรก เป็นการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นว่าชายหรือหญิงที่หมายปองนั้น มีนิสัยและยึดมั่นในศาสนาเพียงใด
_
3 ความรักและชอบพอซึ่งกันและกัน
ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงามและเป็นพรอันประเสริฐที่อัลลอฮ์ ทรงประทานให้แก่มนุษย์
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คำนี้มักถูกใช้ไปในทางที่ผิด หนุ่มสาวมักจะใช้คำนี้เพื่อสนองตอบอารมณ์ใคร่ของตนเองสู่การทำบาปใหญ่ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส (ซินา) ซึ่งถือเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดของชัยฎอน และเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของเยาวชนมุสลิมยุคปัจจุบัน
ความรักก่อนแต่งงานของหนุ่มสาว เป็นความรักที่มีอารมณ์ใฝ่ต่ำเป็นทางที่ชัยฏอนยั่วยุสนับสนุน และมักจะลงเอยด้วยการมีความสัมพันธ์ต้องห้าม พึงทราบว่าหนุ่มสาวที่ถูกต้อนเข้ากับดักนี้แล้ว
น้อยคนที่จะสามารถประคับประคองเข้าสู่ฝั่งแห่งความปลอดภัย คำว่า จีบก่อนแต่ง หรือ รักก่อนแต่ง ถือเป็นคำพูดแห่งชัยฏอนและวาทกรรมสมัยญาฮีลียะฮ์ ที่มักดลใจให้หนุ่มสาวตกอยู่ในกับดักที่อันตราย และกำลังโยนตัวเองเข้าสู่หลุมดำของชีวิต
ความรักที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้นต่อเมื่อบ่าวสาวตกลงปลงใจ เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามหลักการศาสนา ถือเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันและกันบนพื้นฐานของความเข้าใจ มีความบริสุทธิ์และความจริงใจที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการวาดฝันกลางอากาศ การเสแสร้งแกล้งทำ หรือ การแสดงละครตบตากันเพียงเพื่อคล้อยตามอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
_
4 ทรัพย์สินเงินทอง
ทรัพย์สินเงินทองถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งของการเลือกคู่ครอง และอาจเป็นตัวเลือกสำคัญในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่คนส่วนมากและสังคมมุสลิม ต่างได้รับอิทธิพลจากลัทธิบูชาวัตถุ ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นที่จะครอบครองทรัพย์สมบัติ การทุจริตฉ้อโกงกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปยอมรับ ความดีสามารถวัดได้แต่เพียงภายนอก แต่เบื้องหลังอาจเป็นคนทุจริตผิดศีลธรรมก็ได้
มุสลิมที่ตระหนักในเรื่องศาสนาจะต้องมีความรอบคอบและพิถีพิถันว่าทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากไหน จากการประกอบอาชีพที่สุจริตหรือไม่ เพราะอิสลามถือว่าทรัพย์สินเงินทองที่ครอบครองโดยวิธีที่ทุจริตนั้นไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจในโลกนี้ แต่จะต้องถูกสอบสวนในวันอาคิเราะฮ์ และเป็นสาเหตุสำคัญของการได้รับโทษทัณฑ์จากไฟนรก และความดีที่ปฏิบัติโดยใช้จ่ายทรัพย์สินที่มาจากสิ่งหะรอมจะไม่มีคุณค่าใดๆ แม้แต่น้อย เพราะ
อัลลอฮ์ คือความดีงาม และพระองค์ไม่ทรงตอบรับกิจการใดๆ เว้นแต่ความดีงามเท่านั้น (บันทึกโดยมุสลิม/2393)
คนที่มีบ้านใหญ่โต รถยนต์คันหรูและเงินทองที่มากมาย แสดงตนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ชอบทำบุญ ทำทาน แต่หากทรัพย์สมบัติได้มาจากการประกอบอาชีพที่ทุจริตแล้ว ความดีงามที่ปฏิบัติมาก็สูญเปล่า อัลลอฮ์ จะไม่ทรงตอบรับแม้กระทั่งการขอดุอาอ์ ดังปรากฏในหะดีษว่า
ชายพเนจรคนหนึ่งใส่เสื้อที่ขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่ยาวไกล เขาได้ยกมือพลางขอดุอาอ์ว่า โอ้อัลลอฮ์ โอ้อัลลอฮ์ ทั้งๆ ที่อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ และสิ่งที่เขาบริโภคนั้น ล้วนมาจากสิ่งหะรอมทั้งสิ้น แล้วอัลลอฮ์ จะทรงตอบรับดุอาอ์ของเขาได้อย่างไร ? (บันทึกโดยมุสลิม/ 2393)
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเลือกคู่ชีวิต ต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของทรัพย์สินเงินทองของว่าที่คู่สมรสว่า มีความชอบธรรมมากน้อยเพียงใด ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้จะมีผลต่อการสร้างครอบครัวที่มีความสุขและความเป็นสิริมงคลทั้งชีวิตของตนเอง คู่สมรสและลูกหลานต่อไป
ผู้ชายที่มีเงินจากแหล่งสกปรกมักมีพฤติกรรมที่สกปรกและจะกระทำต่อภรรยาและลูกๆ ของเขาด้วยวิธีการที่สกปรกเช่นกัน ในขณะที่ผู้หญิงที่รับเงินจากแหล่งที่สกปรก จะแสดงพฤติกรรมต่อสามีและลูกๆ ด้วยวิธีการที่สกปรกอย่างมิต้องสงสัย
_
5 จรรยามารยาท
นะบีมุฮัมมัด ได้เปรียบเปรยมนุษย์เสมือนแร่ธาตุซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่ต่างกัน จรรยามารยาทคือส่วนประกอบที่สำคัญของแร่ธาตุที่อัลลอฮ์ ทรงสร้างมา ซึ่งเป็นพรสวรค์และทรงบันดาลให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นหากพรสวรรค์นี้ถูกหลอมรวมกับการยึดมั่นในศาสนาที่ถูกต้อง ถือเป็นคุณสมบัติที่ประเสริฐสุด เป็นรัศมีที่ส่องสว่าง ดังจะเห็นได้จากคนที่ไม่ยึดมั่นในศาสนาหรืออาจไม่ได้เป็นมุสลิม แต่กลับมีจิตใจที่อ่อนโยน ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนที่ชอบทำบุญทำทาน แต่คนที่ปฏิบัติตามศาสนาที่เคร่งครัดหากเป็นมุสลิมะฮ์ก็ใส่ฮิญาบเรียบร้อย แต่อาจเป็นคนที่พูดจาก้าวร้าว ขี้เหนียว ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องเฟ้นหาบุคคลที่มีจรรยามารยาทที่ดีมาแต่กำเนิด และได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ดี บวกกับการได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยคุณธรรม แน่นอนว่าเขาจะเป็นคนที่ประเสริฐที่สุด และสามารถกระทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหมือนดั่งบรรดาเศาะฮาบะฮ์และเหล่าบรรพชนรุ่นแรกที่ศอลิห์ได้ปฏิบัติมาแล้ว
จรรยามารยาทเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ หากได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยวิธีการที่ดีจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจรรยามารยาทจึงไม่ใช่เป็นเรื่องพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว ทุกคนจำเป็นต้องหาพรแสวง เพื่อดัดแปลงเปลี่ยนนิสัยและเสริมสร้างจรรยามารยาทที่ดี ดังที่นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวความว่า
แท้จริงความรู้ได้มาจากการมุมานะที่จะเรียนรู้ ความสุภาพอ่อนโยนได้มาจากการฝึกฝนให้เกิดความอ่อนโยน บุคคลใดที่มุ่งมั่นแสวงหาความดี เขาจะพบกับความดีเป็นแน่แท้ และบุคคลใดที่ระมัดระวังจากความชั่วร้าย เขาย่อมแคล้วคลาดจากความชั่วร้ายอย่างแน่นอน
(บันทึกโดยอัลบานีย์ในอัสซิลซิละฮฺ อัศเศาะฮีหะฮฺ/342)
_
6 รูปร่างหน้าตา
รูปร่างหน้าตาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความพึงพอใจซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้นะบีมุฮัมมัด จึงกล่าวความว่า
ผู้ใดหมั้นหมายผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง หากเขาสามารถมองผู้หญิงคนนั้นซึ่งอาจทำให้เขาแต่งงานกับหล่อนได้ ก็จงกระทำเถิด (บันทึกโดยอาหมัด/14626)
ท่านญาบิร ซึ่งเป็นผู้เล่าหะดีษได้กล่าวเสริมว่า
ฉันได้ขอหมั้นหญิงชาวบะนีสะลิมะฮ์คนหนึ่ง และฉันได้แอบซ่อนตัวที่ต้นอินทผาลัม กระทั่งฉันได้ดูนางจนเป็นที่พอใจ ฉันจึงแต่งงานกับนาง
นะบีมุฮัมมัด ได้เคยถามท่านอัลมุฆีเราะฮ์ซึ่งได้หมั้นกับหญิงสาวชาวอันศอร์ว่า ท่านเคยดูนางหรือยัง
อัลมุฆีเราะฮ์ตอบว่า ยัง
นะบีมุฮัมมัด จึงกล่าวว่า จงไปดูนางเถิดเพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตคู่ของเจ้ามีความยั่งยืน
(บันทึกโดยอัตติรมีซีย์/1110)
หากชายชาตรีชอบสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย แล้วสตรีก็มีความพึงพอใจชายชาตรีผู้มีหน้าตาหล่อเหลาเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่อยากจะบอกแก่หนุ่มสาวว่า ความสวยงาม และความหล่อเหลาด้านรูปร่างหน้าตาเป็นเพียงภาพลวงตาภายนอกและสามารถดำรงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะเลือนหาย ความสวยงามภายในจิตใจและความหล่อทางนิสัยต่างหากที่จะติดตัวบุคคลอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นสายใยคอยผูกมัดชีวิตคู่ให้สามารถดำเนินไปอย่างถาวรนิรันดร์
การเลือกคู่ครองที่เน้นความสวยงามหรือความหล่อเหลาเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ชีวิตคู่ต้องอับปาง และไม่สามารถนำนาวาไปสู่ชายฝั่งแห่งความสุขที่แท้จริงได้
สถิติการหย่าร้างซึ่งเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ไม่ใช่มาจากสาเหตุเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ไม่ดีแต่อย่างใด แต่มาจากทั้งคู่หรือคนใดคนหนึ่งมีนิสัยที่ไม่ดีต่างหาก ใครที่ติดตามข่าวคราวสังคมในแวดวงดาราและวงการนางงามทั้งหลาย น่าจะเข้าใจสัจธรรมในข้อนี้ดี
_
7 หนุ่มสด สาวพรหมจรรย์
ความหนุ่มสดและสาวพรหมจรรย์ซึ่งเป็นฐานะของผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน และถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของหนุ่มสาว
นะบีมุฮัมมัด เคยถามท่านญาบิร ว่า ท่านแต่งงานกับใคร ญาบิรตอบว่า หญิงหม้าย นะบีมุฮัมมัด จึงตอบว่า ทำไมท่านไม่เลือกสาวบริสุทธิ์ (ที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน) เพราะท่านจะได้มอบความสำราญให้แก่นาง และนางก็จะได้ให้ความสำราญแก่ท่าน
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์/5247และมุสลิม/3710)
ท่านอุมัรบินค็อฏฏอบ ได้กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายพึงแต่งงานกับสาวพรหมจรรย์เถิด เพราะนางมีปากหวานกว่า มีมดลูกที่ดีกว่า และนางจะพึงพอใจสิ่งที่ง่ายๆ (ว่านอนสอนง่ายกว่า)(มุศ็อนนัฟอิบนิอะบีชัยบะฮฺ 3/465)
_
8 เกียรติยศและวงศ์ตระกูล
เกียรติยศและวงศ์ตระกูลที่ดีไม่ได้หมายความถึงการมีทรัพย์สินเงินทองที่มากมาย ในอดีตการที่ตระกูลหนึ่งจะเป็นที่เคารพนับถือนั้น เนื่องจากคนในตระกูลมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ในสมัยอวิชชา(ญาฮิลียะฮ์) ยุคแรก ท่านฮาติม อัฎฎออีย์ เป็นผู้นำเผ่าอาหรับที่ได้รับการยกย่องมาก ซึ่งท่านไม่ได้เป็นผู้ร่ำรวย เช่นเดียวกับบนีฮาชิม ต้นตระกูลของนะบีมุฮัมมัด ไม่ได้เป็นตระกูลที่มั่งมี แต่ประชาชนยกย่องเนื่องจากความดีงามที่ได้สะสมไว้ต่างหาก
เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันค่านิยมนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ประชาชนทั่วไปมักยกย่องคนร่ำรวยมากกว่าคนที่มีจิตใจดีมีคุณธรรม คนรวยมักได้รับความเคารพนับถือ ถึงแม้จะเป็นเจ้าพ่อแห่งความชั่วร้ายก็ตาม ในขณะเดียวกันคนยากจนจะถูกมองด้วยสายตาที่ดูหมิ่นดูแคลน แม้นว่าเขาจะเป็นคนดีมีคุณธรรมก็ตาม
_
ทั้ง 8 ประการถือเป็นเกณฑ์ขั้นพื้นฐานในการพิจารณาคู่ครอง โดยที่อิสลามไม่บีบบังคับให้คู่บ่าวสาวเลือกคุณสมบัติของคู่ครองเป็นการเฉพาะ เพียงแต่เป็นการแนะนำ ให้ผู้ชายได้เลือกสตรีที่เพียบพร้อมด้วยศาสนาอันงดงาม มีกริยามารยาทที่ดี แทนการเลือกสตรีผู้มีทรัพย์สมบัติ วงศ์ตระกูลและรูปร่างหน้าตาเป็นอันดับแรก ดังที่นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวความว่า
_
โดยปกติแล้วสตรีจะถูกขอแต่งงานเนื่องด้วยสาเหตุ 4 ประการ คือ
1) เนื่องจากทรัพย์สินของนาง
2) วงศ์ตระกูล
3) ความสวยงาม และ
4) ศาสนาของนาง
ดังนั้นจงเลือกแต่งงานกับสตรีที่ยึดมั่นในศาสนา แน่นอนชีวิตของท่านจะประสบความสำเร็จ
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์/ 5090, มุสลิม/ 3708)
_
เช่นเดียวกันผู้ปกครองของหญิงสาวที่ต้องเลือกสามีให้ลูกสาวเป็นผู้มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมด้วยศาสนาและมารยาทที่ดี ดังที่นะบี มุฮัมมัด ได้กล่าวความว่า
_
หากมีคนขอหมั้น (ลูกสาวท่าน) โดยที่ท่านพึงพอใจในศาสนาและมารยาทของเขาแล้ว ท่านจงจัดการแต่งงานให้เขาเถิด หากท่านไม่กระทำ ความวุ่นวายบนผืนแผ่นดินและความปั่นป่วนอันใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์/ 1107)
_
การครองคู่สามีภรรยา บุคคลสองคนต้องลงเรือชีวิตลำเดียวกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งคู่ต้องช่วยเหลือประคับประคองด้วยความรัก ความเข้าใจ หาไม่แล้วชีวิตคงจะล่มเสียก่อนที่จะถึงที่หมาย ความเหมาะสมในด้านต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วจึงเป็นสิ่งที่สมควรพิจารณา
_
อิสลามให้สิทธิแก่ผู้ปกครองในการจัดการแต่งงานลูกสาวหรือผู้อยู่ใต้ปกครองให้แก่ชายที่เขาเห็นชอบ โดยที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ลูกสาวทราบก่อน
_
แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อหรือผู้ปกครองสามารถยกลูกสาวให้แต่งงานแก่ชายใดก็ได้ตามอำเภอใจ หากลูกสาวไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบพอชายคนนั้น และนางได้ฟ้องร้องต่อผู้นำ ก็สามารถยกเลิกการแต่งงานนั้นได้ ดังหะดีษบทหนึ่งรายงานว่า
_
หญิงสาวนางหนึ่งเข้าพบนะบีมุฮัมมัด และบอกแก่ท่านว่า "บิดาของฉันจัดการแต่งงานฉันกับหลานของตัวเอง เพื่อต้องการความมีหน้ามีตา"
ท่านนะบี จึงให้สิทธิแก่นางที่จะตัดสินเรื่องราวเอง
หญิงสาวคนนั้นจึงกล่าวว่า ความจริงแล้วฉันยินดีรับการกระทำของพ่อ เพียงแต่ฉันต้องการสอนเหล่าสตรีว่า การตัดสินใจที่จะจัดการแต่งงานลูกสาวแก่ใครคนหนึ่งนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับบิดาเพียงฝ่ายเดียว
(บันทึกโดยอัตติรมิซีย์/3282)
______
จากหนังสือ "แต่งงานง่าย ซินายาก"
โดย อ.มัสลัน มาหะมะ

(หนุ่มสาวมุสลิมที่ชอบเล่นแฟนโปรดอ่านและทำความเข้าใจ) การเป็นเพื่อนและแฟนระหว่างชายกับหญิง

(หนุ่มสาวมุสลิมที่ชอบเล่นแฟนโปรดอ่านและทำความเข้าใจ)
การเป็นเพื่อนและแฟนระหว่างชายกับหญิง
_
คำถาม
ผมเป็นวัยรุ่นอายุสิบห้าปี ผมรู้ว่าการมีแฟนอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัว แต่จะเป็นไรหรือไม่ถ้าหากเราจะคบกันเป็นแค่เพื่อนอย่างลับๆ โดยไม่ให้ใครรู้ ด้วยวิธีนี้ผมรับประกันว่าเราสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ได้และไม่กระทำผิดประเวณีจนกว่าจะถึงเวลาของการแต่งงาน ไม่ทราบว่ากรณีแบบนี้เคยมีหรือไม่ในเรื่องราวของความรักในสมัยก่อน ?
_
คำตอบ
#ประการแรก
การเล่นแฟนไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับครอบครัวเพียงเท่านั้น ทว่ามันยังจะสร้างความเสียหายให้กับสังคมด้วย ผู้ที่เล่นแฟนถูกสัญญาว่าต้องได้รับการลงโทษ ความพิโรธ และการชำระโทษจากอัลลอฮฺ การเล่นแฟนเป็นโรคที่ทำลายหัวใจ และนำไปสู่ความลามาที่ต่ำทรามและความผิด
ชัยฏอนจะคอยชักใยและเปิดทางให้ผู้ที่เล่นแฟนหลงตามจนกระทั่งกระทำซินาในที่สุด
เรื่องนี้มีข้อเสียที่ต้องระวังมากมาย อาทิ
การละเมิดต่อเกียรติของผู้อื่น
การทำลายความไว้วางใจ
การอยู่สองต่อสอง
การสัมผัสกัน
การจูบ
การพูดด้วยถ้อยคำที่ลามก
และท้ายที่สุดคือการกระทำผิดประเวณี
สิ่งที่ผู้ถามกล่าวว่า “โดยไม่ให้ใครรู้” นั้น เป็นสิ่งที่แปลกยิ่ง เหตุใดที่เขาลืมนึกถึงพระผู้อภิบาลของเขาที่ทรงรู้ความลับและสิ่งที่ซ่อนเร้น และทรงรู้สิ่งที่ลวงตาและสิ่งที่ซ่อนไว้ในอกเล่า ?
ดังนั้น เราจึงขอตักเตือนท่าน ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัยรุ่น ให้เอาใจใส่ต่อหัวใจของท่านด้วยการปลูกฝังและบ่มเพาะมันบนการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและคำนึงถึงพระองค์อยู่เสมอ
ให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺไม่ล่วงละเมิดต่อเกียรติของผู้อื่น ให้มุ่งมั่นปฏิบัติความดีเพื่อวันที่ท่านต้องพบกับพระผู้อภิบาลของท่านด้วยงานต่างๆ ของท่าน ให้ระลึกถึงความลับที่ต้องถูกเปิดเผยทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
ให้ท่านรู้ว่าท่านเองก็มีพี่สาวน้องสาว และสักวันหนึ่งท่านเองก็จะต้องมีภรรยาและบุตรสาว ท่านจะยอมรับให้พวกเธอเหล่านั้นคนใดคนหนึ่งถูกกระทำเหมือนที่ท่านได้กระทำกับผู้หญิงคนอื่นๆ หรือไม่ ?
แน่นอนว่าท่านย่อมต้องไม่ยินดีด้วย คนอื่นก็ไม่ยินดีที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับพี่น้องและลูกสาวของพวกเขาเช่นเดียวกัน พึงทราบเถิดว่า ท่านอาจจะเห็นผลกรรมของความชั่วของท่านปรากฎอยู่กับคนในครอบครัวของท่านบางคนก็เป็นได้ ซึ่งเป็นการลงโทษที่อัลลอฮฺทรงให้ประสบกับท่านเนื่องจากความผิดนั้น
ท่านควรต้องเลือกคบเพื่อนที่ดี และง่วนอยู่กับสิ่งที่อัลลอฮฺรักและโปรดปราน จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีคุณค่าสูงส่ง จงเพิกเฉยต่อสิ่งที่ต่ำต้อยและไร้ค่า จงใช้เวลาในวัยหนุ่มของท่านในการปฏิบัติความดีและเชื่อฟังอัลลอฮฺ
การค้นหาความรู้และเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ จงทราบเถิดว่า ในอดีตนั้น มีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกับท่าน บางคนอาจจะมีอายุน้อยกว่าท่านด้วยซ้ำ ได้ท่องจำอัลกุรอานและหาความรู้ และถูกส่งโดยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เป็นดาอีย์ผู้เชิญชวนสู่อัลลอฮฺและเรียกร้องผู้คนสู่การน้อมรับศาสนาอิสลาม
เราขอสั่งเสียให้ท่านแต่งงานด้วยหญิงที่ดีมีศาสนา ที่ช่วยดูแลศาสนาของท่าน และคอยให้กำลังใจเพื่อให้ท่านดำเนินตนอยู่บนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ เป็นคนที่คอยดูแลลูกๆ ของท่านและอบรมเลี้ยงดูพวกเขาให้มีจริยธรรมและศาสนา
จงอย่าสนใจผู้หญิงที่ยินดีออกนอกบ้านไปกับชายอื่นที่ไม่อนุญาตให้นางไปพบและสนทนาด้วย เพราะคนที่ยินดีทำเช่นที่ว่า ยังจะมีสิ่งใดห้ามนางไม่ให้ทำเช่นนั้นได้อีกในอนาคต ?
พึงระลึกว่า แท้จริงท่านได้ทำให้พระผู้อภิบาลของท่านพิโรธด้วยการทำมะอฺศิยะฮฺเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยการอยู่สองต่อสอง การพบปะ การพูดคุยและสนทนา รวมทั้งพฤติกรรมเลวทรามที่ใหญ่หลวงกว่าที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
และพึงทราบเถิดว่า ซินานั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับอวัยวะเพศเท่านั้น แต่ตาก็ทำซินาได้ หูก็ทำซินา มือก็ทำซินา และเท้าก็ทำซินา เช่นที่มีรายงานยืนยันจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นบทนำสู่การซินาของอวัยวะเพศ ดังนั้น อย่าปล่อยให้ชัยฏอนล่อลวงท่านได้
เพราะแท้จริงมันเป็นศัตรูของท่าน มันปรารถนาให้ท่านประสบกับสิ่งที่ชั่วร้าย และคอยสั่งให้ท่านทำสิ่งที่เลวทรามและความผิดบาป
ท่านเชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน กล่าวว่า
“การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างสองคนที่รักกันโดยไม่ถูกต้องตามหลักศาสนานั้น นี่แหละคือหายนะ มันเปรียบดังการตัดคอและแทงหลัง ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้ผู้ชายติดต่อกับผู้หญิง หรือผู้หญิงติดต่อกับผู้ชาย
โดยอ้างว่าเขาต้องการแต่งงานกับนาง แต่ที่ถูกคือเขาต้องบอกให้ผู้ปกครองทราบว่าเขาปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง หรือให้นางเป็นคนบอกแก่ผู้ปกครองว่าต้องการแต่งงานกับเขา เป็นต้น
เช่นที่ท่าน อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ปฏิบัติ เมื่อครั้งที่ได้เสนอลูกสาวของท่านที่ชื่อหัฟเศาะฮฺแก่อบูบักรฺและอุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ส่วนการที่ผู้หญิงทำการติดต่อกับผู้ชายโดยตรงนั้นเป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ”
อ้างจาก “อัสอิละฮฺ อัล-บาบิล มัฟตูหฺ” คำถาม หมายเลข 868
__
#ประการที่สอง
คำถามที่ท่านบอกว่ามีกรณีเช่นนี้ในเรื่องเล่าสมัยก่อนนั้น แท้จริง การมีอยู่ของเรื่องเล่าเหล่านั้นไม่ได้เป็นข้ออ้างที่สามารถนำมาใช้ได้กับหลักการทางศาสนบัญญัติ เพราะการชี้ขาดว่าสิ่งใดต้องห้ามหรือสิ่งใดอนุมัตินั้นต้องนำมาจากหลักฐานของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ และเนื้อหาที่มีอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะคำเป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้าม
บางเรื่องเล่าที่ท่านยกมาอ้างนั้นเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นก่อนอิสลาม เช่นเรื่องของอันตะเราะฮฺและคนอื่นๆ เรื่องเล่าแบบนี้ก็มีปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว ซึ่งมันมิอาจจะนำมาใช้เป็นหลักฐานทางศาสนาได้ เพราะอิสลามเป็นศาสนาที่มาเพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากอารมณ์ใฝ่ต่ำของมนุษย์ สู่การนอบน้อมภักดีต่ออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
เราขอต่ออัลลอฮฺให้ทรงประทานทางนำและการบรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จแก่ท่าน
เว็บไซต์อิสลามถามตอบ
www.islamqa.com ฟัตวาหมายเลข 20949
ขออภัยที่ tag เพราะสังคมมุสลิมทุกวันนี้มันเละจริงๆครับ ช่วยๆกันทำงานศาสนาเถอะครับ

#ผู้ตายไม่สามารถตอบหรือให้ความช่วยเหลือ

#ผู้ตายไม่สามารถตอบหรือให้ความช่วยเหลือ
คนตายไม่สามารถช่วย(หรือทำอันตราย) คนมีชีวิต นอกจากจะไม่สามารถได้ยินพวกเขาแล้ว คนตายยังไม่มีอำนาจในการตอบสนองคำวอนของของคนเหล่านั้นด้วย อัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ทรงกล่าวว่า :-
"....อัลลอฮฺองค์เดียวกันนี้แหละที่เป็นพระผู้อภิบาลของสูเจ้า อำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ สิ่งทั้งหลายที่สูเจ้าวิงวอนนอกไปจากพระองค์นั้น มิได้เป็นเจ้าของ แม้แต่หญ้าเพียงใบหนึ่ง ถ้าหากสูเจ้าวิงวอนพวกมัน พวกมันก็ไม่อาจได้ยินการวิงวอนของสูเจ้า และถ้าหากพวกมันได้ยิน พวกมันก็ไม่สามารถตอบสูเจ้าได้ และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพพวกมันจะปฏิเสธการที่สูเจ้าตั้งพวกมันเป็นพระเจ้า ไม่มีใครบอกสูเจ้ารู้ถึงเรื่องนี้ได้นอกไปจากผู้ทรงรอบรู้ " ( กรุอาน 35:13-14)
อายะฮฺดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาวิงวอนนอกไปจากอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) นั้น ไม่สามารถได้ยินหรือช่วยเหลือพวกเขาได้ ตรงนี้ คำว่า " สิ่งทั้งหลายที่สูเจ้าวิงวอน" มิใช่มีเพียงแค่รูปปั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลที่รูปปั้นเหล่านั้นเป็นตัวแทนด้วย เพราะพวกเขา (มิใช่รูปเจว็ดของพวกเขา) คือผู้ที่จะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อที่จะบอกปัดคนที่วิงวอนพวกเข้า
(ดู อายะตุล บัยยินาต หน้า 43-46 )
_____
(มีต่อ) #ผู้ตายที่เป็นคนดีไม่สามารถสื่อสารกับโลกนี้ได้
จากหนังสือ ชีวิตในหลุมฝังศพ จากความตายจนกระทั่งฟื้นคืนชีพ
เขียน
มุฮัมมัด มุสตอฟา อัลญิบาลี
แปล
บรรจง บินกาซัน

ดุอาหลังละหมาด (บางส่วน)

ดุอาหลังละหมาด (บางส่วน)
اللَّهُـمَّ أَعِنِّي عَلَى ذِكْرِكَ وَشُكْرِكَ وَحُسْنِ عِبَادَتِكَ
อ่านว่า
อัลลอฮุมมะ อะอฺินนี อฺะลาซิกริกะ วะชุกริกะ วะฮุสนิอฺิบาดะติกะ
ความว่า
โอ้ อัลลอฮฺ โปรดช่วยเหลือฉันในการรำลึกถึงพระองค์ ขอบคุณพระองค์ และทำอิบาดะฮฺอย่างสวยงามต่อพระองค์
ดุอาอ์นี้มาจากหะดีษ เศาะเฮียะห์
บันทึกโดยอบูดาวูด (1522) นะซาอียฺ (1303)

แท้จริงในกรณีการโต้เถียงกับพวกอธรรม เมื่อหลักฐานของอัลลอฮ ได้โต้แย้งบนพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ไม่กลับตัว ตรงกันข้ามพวกเขายังคงดื้อรั้นต่อไป

ลองอ่านดูนะ
อิบนุกอ็ยยิม ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน กล่าวว่า
إن السنة في مجادلة أهل الباطل إذا قامت عليهم حجة الله ، و لم يرجعوا ، بل أصروا على العناد ، أن يدعوهم إلى المباهلة ، و قد أمر الله سبحانه ، بذلك رسوله صلى الله عليه و سلم ، و لم يقُل : إن ذلك ليس لأمتك من بعدك . و دعا إليها ابنُ عمه عبد الله بن عباس ، من أنكر عليه بعض مسائل الفروع ، و لم يُنكر عليه الصحابة ، و دعا إليها الأوزاعي سفيان الثوري في مسألة رفع اليدين ، و لم يُنكَر عليه ذلك ، و هذا من تمام الحجة
แท้จริงในกรณีการโต้เถียงกับพวกอธรรม เมื่อหลักฐานของอัลลอฮ ได้โต้แย้งบนพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ไม่กลับตัว ตรงกันข้ามพวกเขายังคงดื้อรั้นต่อไป ตามสุนนะฮ ให้เชิญชวนพวกเขาไปสู่ อัลมุบาฮะละฮ( การวิงวอนเพื่อให้พระเจ้าสาปแช่งคนที่กล่าวเท็จ) และแท้จริงอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บัญชาแก่รอซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น โดยที่พระองค์ไม่เคยตรัสว่า “ แท้จริงการกระทำดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตแก่อุมมะฮของเจ้า หลังจากเจ้า” และลูกพี่ลูกน้องของท่าน คือ อับดุลลอฮ บิน อับบาส ได้เชิญชวนผู้ที่คัดค้านเขาในบางประเด็นที่เป็นปัญหาข้อปลีกย่อย โดยที่บรรดาเหล่าสาวก(คนอื่นๆ)ไม่ได้คัดค้านเขา และ อัลเอาซาอีย์ เคยเชิญชวนท่านอัษเษารีย์ ให้ไปสู่การทำอัลมุบาฮะละฮ ในประเด็นปัญหาการยกมือทั้งสอง และเขา(อัษเษารีย์)ก็ไม่ได้คัดค้านเขา(อัลเอาซาอีย์) ต่อการกระทำนั้น และนี้คือ เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้หลังฐาน(ที่นำมาอ้าง)สมบูรณ์ – ซาดุลมะอาด เล่ม 3 หน้า 643
والله أعلم بالصواب

#ชี้เเจงหะดีษเกี่ยวกับความประเสริฐของค่ำคืนนิศฟูชะอฺบาน

#ชี้เเจงหะดีษเกี่ยวกับความประเสริฐของค่ำคืนนิศฟูชะอฺบาน
โดยชัยคฺ อัล-อัลลามะฮฺ ดร.ศอลิหฺ บิน เฟาซาน บิน อับดุลลอฮฺ อัล-เฟาซาน -หะฟิซอฮุลลอฮฺ-
คำถาม :
ขออัลลอฮฺทรงประทานดีงามแก่ท่าน , หะดีษต่างๆที่เกี่ยวกับความประเสริฐของค่ำคืนนิศฟูชะอฺบาน(คืนที่15ชะอฺบาน)นั้น เป็นหะดีษศอฮีฮฺหรือไม่ ?
คำตอบ :
ไม่เลย ! ไม่ศอฮีฮฺเลย ไม่มีหะดีษศอฮีฮฺเกี่ยวกับค่ำคืนคืนนิศฟูชะอฺบาน หรือวันที่ 15 เดือนชะอฺบานเลย
ฉะนั้นจึงไม่มีการละหมาดในค่ำคืนนิศฟูชะอฺบาน หมายความว่าไม่เจาะจง(ค่ำคืนนั้น)ในการละหมาด ส่วนคนที่ละหมาดเป็นประจำอยู่เเล้วก็ให้เขาละหมาดในคืนนิศฟูชะอฺบานเหมือนกับคืนอื่นๆ เเต่ถ้าเขาเจาะจงละหมาดคืนนั้นโดยเฉพาะ(คืนอื่นไม่ละหมาด) สิ่งนี้เป็นบิดอะฮฺ ! หรือว่าทำการถือศิลอดในวันที่ 15 เดือนชะอฺบานโดยเฉพาะ นี่ก็เป็นบิดอะฮฺ ! นอกจากผู้ที่ทำการถือศิลอดอยู่เเล้ว เช่นการที่เขาถือศิลอดในอัยยาม อัล-บีฎอยู่เเล้ว(วันที่ 13,14,15 ของทุกๆเดือน) ก็ให้เขาถือศิลอดในวันนั้นๆในเดือนชะอฺบานเเละในเดือนอื่นๆด้วย
📚 แปลจาก : https://youtu.be/JJpep5d7CWA

อ่านและทำความเข้าใจกันเถอะครับ #การฉลองคืนที่สิบห้านิศฟุชะอฺบานไม่มีรูปแบบจากท่านนบี

อ่านและทำความเข้าใจกันเถอะครับ
#การฉลองคืนที่สิบห้านิศฟุชะอฺบานไม่มีรูปแบบจากท่านนบี
_
คืน15นิศฟุชะอฺบานอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด
หากจะมองถึงกิจกรรมหรืออิบาดะฮฺที่มีการยึดปฏิบัติในบ้านเมืองเราในเดือนชะอฺบานนี้แล้ว เราพบว่า มีการปฏิบัติอิบาดะฮฺมากมาย อาทิ มี การอ่านยาซีนในค่ำคืนที่ 15 ของเดือนชะอฺบาน มีการละหมาดในรูปแบบเฉพาะ และมีการเลี้ยงอาหาร เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้อธิบายถึงคุณค่าของคืนนิศฟุชะอฺบานโดยอ้างหลักฐานจากอัลกุรอานที่ว่า
إِنّا أَنزَلنٰهُ فى لَيلَةٍ مُبٰرَكَةٍ ۚ إِنّا كُنّا مُنذِرينَ ﴿٣
"แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาในคืนอันจำเริญ แท้จริงเราเป็นผู้ตักเตือน"
فيها يُفرَقُ كُلُّ أَمرٍ حَكيمٍ ﴿٤
"ในคืนนั้นทุก ๆ กิจการที่สำคัญถูกจำแนกไว้แล้ว"
(อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัดดุคอน 44:3-4)
สองอายะฮฺดังกล่าว ยุมฮูรฺอุละมาอฺ(มติส่วนใหญ่ของนักวิชาการ) มีทัศนะว่าคืนอันจำเริญข้างต้น คือคืนลัยละตุลก็อดริ บางท่านกล่าว่าคือคืนนิศฟุชะอฺบาน ซึ่งทัศนะดังกล่าวถือว่าใช้ไม่ได้
_
เนื่องจากพระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า เดือนเราะมะฎอนคือเดือนที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาในเดือนนั้น ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่าอัลกุรอานถูกประทานในเดือนเราะมะฎอน อีกทั้งสูเราะฮฺอัดดุคอนก็มากล่าวย้ำว่าคืนที่อัลกุรอานถูกประทานเป็นคืนที่มีความจำเริญ ซึ่งมิใช่คืนนิศฟุชะอฺบานแต่อย่างใด
_
ด้วยทัศนะที่ว่าคืนอันจำเริญหมายถึงคือ นิศฟุชะอฺบานนี่เอง ทำให้มุสลิมบางคนถึงกับเชื่อว่าคืนดังกล่าวพระองค์อัลลอฮฺทรงกำหนดอายุ ริสกีย์ ความผาสุก และพระองค์จะทรงลบล้างความทุกข์ยากให้หมดไป โดยพยายามทำอิบาดะฮฺต่างๆ ทั้งในมัสยิดและบ้าน หรือพยายามอ่านสูเราะฮ์ยาซีนและขอดุอาอ์เพื่อให้พระองค์อัลลอฮฺทรงลบล้างความผิด และขจัดทุกข์ภัยต่าง ให้หมดไปจากชีวิตของตน
___
อันที่จริงการกระทำข้างต้นไม่มีหลักฐานจากท่านรสูลุลลอฮฺและบรรดาเศาะฮะบะฮฺ หรือหลักฐานที่ส่งเสริมให้กระทำ
ดังนั้น การกระทำสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นโมฆะ และถ้าหากว่ายังมีการกระทำอยู่ถือว่าเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นในศาสนา
#ความเป็นมาของการประกอบพิธีกรรมในคืนนิศฟุชะอฺบาน
การประกอบพิธีกรรมในคืนนิศฟุชะอฺบานเกิดเมื่อ ฮ.ศ.448
ที่มัสยิดอัลอักศอ
ซึ่งท่านอิหม่ามอัลฏ็อรฺฏสีย์ได้เล่าไว้ว่า "มีชายผู้หนึ่งที่ชื่อ อิบนุ อบิลหัมรออฺ มุ่งหน้ามายังบัยตุลมักดิส
จากนั้นเขายืนละหมาดในคืนนิศฟุชะบานในมัสยิดอัลอักศอ ต่อมาก็มีบุคคลมาละหมาดเป็นมะมูมเขาจากคนหนึ่งเป็นสอง สาม สี่คน จนกระทั้งมีจำนวนมาก
ครั้นพอในปีถัดมาเขาก็มาละหมาดพร้อมกับมะมูมจำนวนมากมาย จากนั้นการกระทำดังกล่าวได้แพร่กระจายไปตามมัสยิดต่างๆ จนกระทั่งขจรขจายไปทั่วประเทศ สุดท้ายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปสำหรับนักทำอิบาดะฮฺ
(หนังสือ ดุรฺเราะตุนนาศิฮีน หน้า 220)
___
#ส่วนในเมืองไทยเราก็มีการประกอบพิธีกรรมในคืนนิสฟุชะอฺบานคืนที่15ด้วยเช่นกัน
_
โดยมีละหมาดสองร้อกอะฮฺ
ภายหลังละหมาดมัฆริบเสร็จแล้ว
ในร็อกอะฮฺแรก อ่านฟาติหะฮฺ และสูเราะฮฺอัลกาฟิรูน
ส่วนร็อกอะที่สอง อ่านฟาติฮะฮฺ และสูเราะฮฺอัลอิคลาศ
จากนั้นก็ให้สลาม
_
ภายหลังละหมาดเสร็จแล้วให้อ่านสูเราะฮฺยาซีน หนึ่งจบ ครั้นอ่านเสร็จให้ขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺให้มีอายุยืนเพื่อทำอิบาดะฮฺและภัคดีต่อพระองค์อัลลอฮฺต่อไป
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้วก็ให้อ่านสูเราะฮฺยาซีนจนจบอีกเป็นครั้งที่สอง อ่านจบแล้วก็ให้ขอดุอาอ์เพิ่มพูนริซกีย์(ปัจจัยยังชีพ) เพื่อเป็นเสบียงในการทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้วก็ให้อ่านสูเราะฮฺยาซีนจนจบอีกเป็นครั้งที่สาม อ่านจบแล้วก็ให้ขอดุอาอ์ให้เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในอีมานของพระองค์
_
ครั้นขอดุอาอ์เสร็จแล้ว ก็ยังเสริมให้อ่านดุอาอ์เฉพาะสำหรับคืนนิศฟุชะบานอีก
_
ดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นสิ่งอุตริกรรมขึ้นใหม่ทั้งสิ้น วาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องออกห่าง และรณรงค์ให้ขจัดสิ่งที่สวนทางกับสุนนะฮฺของท่านนบีอย่างสุดความสามารถ
_
อนึ่งมุสลิมบางกลุ่มยังคงนิยมละหมาดคืนนิศฟุชะบานอยู่นั้น เป็นเพราะพวกเขาอ้างหะดิษที่ระบุว่า
"โอ้ท่านอาลี บุคคลใดที่ละหมาด100ร็อกอะฮฺในคืนนิศฟุชะอฺบานแล้วไซร้ โดยอ่านฟาติฮะฮฺ(หนึ่งจบ) และอ่านสูเราะฮฺอัลอิคลาศสิบจบในทุกๆร้อกอะฮฺ เช่นนั้นพระองค์อัลลอฮฺจะทรงกำหนดให้แก่เขาทุกๆความต้องการ (ของเขา)"
!!! หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเมาฎููอฺ (หะดิษเก๊)
_
อีกหะดิษหนึ่ง...
_
"เมื่อถึงคืนนิศฟุชะบาน เช่นนั้นพวกท่านจงยืนขึ้น
(ละหมาดสุนนะฮฺ)ในยามค่ำคืน และพวกท่านจงถือศิลอด(สุนนะฮฺ)ในวลากลางวันเถิด"
_
หะดิษข้างต้น บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ (หะดิษเลขที่ 1378) ทว่าหะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเฎาะอิฟ ญิดดัน (อ่อนหลักฐานอย่างมาก) หรือเป็นหะดิษเมาฎูอฺ (หะดิษเก๊)
_____
#การปฏิบัติอิบาดะฮฺในค่ำคืนที่15 (คืนนิศฟุชะอฺบาน )
_
การอ่านอัลกุรอาน #ไม่ว่าจะเป็นสูเราะฮฺใดถือว่าเป็นอิบาดะฮฺที่ดีเลิศที่สุดในจำนวนบรรดาซิกิรฺทั้งหลาย
ดังที่ท่านอิหม่าม อันนะวะวีย์ ได้กล่าวไว้ว่า
“การอ่านอัลกุรอานคือซิกิรที่ดีที่สุด”
#ถึงกระนั้นก็ตามแต่การอ่านอัลกุรอานไม่ได้มีการกำหนดเจาะจงเวลาเป็นการเฉพาะที่ชัดเจนและมีการกำหนดสถานที่อ่านที่ชัดเจนเช่นเดียวกับการกำหนดเจาะจงอ่านสูเราะฮฺยาซีนในค่ำคืนดังกล่าวเป็นการเฉพาะเพราะการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏแบบอย่างจากท่านนบีและเศาะหาบะฮฺถึงแม้ว่าจะมีหะดีษบางส่วนที่กล่าวถึงความประเสริฐในค่ำคืนดังกล่าวแต่หะดีษดังกล่าวล้วนเป็นหะดีษที่มีสายรายงานอ่อนไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงและยืนยันถึงความประเสริฐและส่งเสริมให้กระทำดังกล่าวได้
อาทิ หะดีษที่รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ ที่มีความว่า
“เมือค่ำคืนวันที่ 15 ของเดือนชะอฺบานได้มาถึง พวกท่านจงลุกขึ้น (ทำอิบาดะฮฺ) ในยามค่ำคืนนั้น และจงถือศีลอดในเวลากลางวันของมัน” ซึ่งเป็นหะดีษเฎาะอีฟอาจถึงขั้นเมาฎูอฺ
(ดู ละฎออิฟ อัลมะอาริฟ ของ อิบนุ เราะญับ และ อัสสิลสิละฮฺ อัฎเฎาะอีฟะฮฺ ของ อัลอัลบานีย์ 2132)
_
การเจาะจงละหมาดกิยามุลลัยในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน
_
การละหมาดกิยาลุมลัยหรือตะฮัจญุด เป็นอีกอิบาดะฮฺหนึ่งที่ควรส่งเสริมและเป็นหนึ่งในการละหมาดที่ท่านนบี ไม่เคยทอดทิ้ง และเป็นสิ่งที่มุสลิมทุกคนสามารถทำได้ไม่ว่าในคืนใดก็ตาม โดยไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดเจาะจงค่ำคืนใดค่ำคืนหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือเจาะจงละหมาด ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นมุสตะหับบะฮฺ
อย่างไรก็ตาม การเจาะจงทำอิบาดะฮฺในค่ำคืนของวันที่ 15 ชะอฺบานเป็นการเฉพาะ #เนื่องเพราะเชื่อว่ามีความประเสริฐเหลื่อมล้ำกว่าค่ำคืนอื่นๆหรือมีความเชื่อว่ามีผลบุญมากมายมหาศาลนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏในแบบฉบับของท่านนบีและเศาะหาบะฮฺ
แต่เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จึงต้องแบ่งประเด็นการละหมาด
กิยามุลลัยหรือตะฮัจญุดในเดือนนี้ออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน
_
*กรณีที่ 1 กรณีที่ละหมาดเป็นประจำอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับการมาถึงของเดือนชะอฺบาน และประจวบเหมาะกับการมาถึงค่ำคืนที่ 15 ของชะอฺบาน ในกรณีนี้ถือว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นการละหมาดที่เคยปฏิบัติอย่างเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และไม่ถือว่าเป็นการอุตริแต่ประการใด
_
**กรณีที่ 2 กรณีที่ไม่ได้ละหมาดเป็นประจำอย่างเป็นกิจวัตร แต่มารอเจาะจงละหมาดเฉพาะในค่ำคืนของวันที่ 15 ชะอฺบานนี้ เพราะมีความเข้าใจว่าจะมีผลบุญมากมายมหาศาล กรณีนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีแบบอย่างที่ถูกต้องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แม้ว่าจะมีหะดีษที่บ่งบอกถึงความประเสริฐในการลุกขึ้นทำอิบาดะฮในค่ำคืนแห่งนี้ก็ตาม แต่หะดีษเหล่านั้นล้วนเป็นหะดีษที่เฎาะอีฟมากๆ ซึ่งไม่สารามรถนำเป็นหลักฐานอ้างอิงได้
_
***กรณีที่ 3 กรณีที่มีการเจาะจงละหมาดด้วยการกำหนดจำนวนร็อกอัตที่แน่นอน อาทิ 1,000 หรือ 100 ร็อกอัต และย้อนกลับไปกลับมาจนถึงจำนวนที่กำหนดไว้ กรณีนี้ถือว่าเป็นการละหมาดที่อุตริที่ใหญ่หลวง เพราะไม่มีในแบบฉบับของท่านนบี แม้ว่ามีการอ้างถึงหะดีษที่ระบุถึงการละหมาดในลักษณะดังกล่าว
_
ท่านอิมามอันนะวะวีย์กล่าวว่า “การละหมาดที่เรียกว่าละหมาดเราะฆออิบและการละหมาดอัลฟิยะฮฺในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน 100 ร็อกอัตนั้น ทั้งสองละหมาดนี้เป็นสิ่งที่อุตริ(บิดอะฮฺ)และน่ารังเกียจ และอย่าไปหลงเชื่อกับการที่ละหมาดทั้งสองถูกกล่าวถึงในหนังสือ “กูตุลกุลูบ และ อิหฺยาอฺอุลุมมิดดีน” และอย่าไปหลงเชื่อกับหะดีษที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เพราะทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่จอมปลอม (บาฏิล)...”
(ดู อัลมัจญ์มูอฺ เล่ม 7 หน้า 61)
_
ท่านอิมาม อัลอิรอกีย์ กล่าวว่า “ หะดีษต่างๆ ที่กล่าวถึงการละหมาดในค่ำคืนวันที่ 15 ของเดือนชะอฺบาน ล้วนแต่เป็นหะดีษปลอม (เมาฎูอฺ) และเป็นสิ่งที่โกหก (อุปโลกน์ขึ้นมา) ทั้งสิ้น”
_
ท่านอิมาม อบูชามะฮฺ กล่าวว่า “แท้จริงมีสายรายงานที่เกี่ยวกับการละหมาดในค่ำคืนวันที่ 15 ชะอฺบาน สองหะดีษซึ่งทั้งสองหะดีษนั้น ล้วนแต่เป็นหะดีษปลอม”
_
ท่านอิมามอัชเชากานีย์กล่าวว่า “หะดีษที่กล่าวถึงในเรื่องดังกล่าวเป็นหะดีษเมาฎูอฺ(หะดีษปลอม)” (อัลฟะอาวิด อัลมัจญ์มูอะฮฺ หน้า 15)
____________
การอ่านซูเราะฮยาสีนนั้น เป็นเรื่องดี แต่การไปจำกัดวันและสถานที่ในการอ่าน โดยเชื่อว่ามีความประเสริฐ และได้บุญนั้น ต้องมีหลักฐานที่เป็นสุนนะฮ แต่ในกรณีนี้ไม่มีสุนนะฮให้ปฏิบัติเช่นนั้น ก็ถือว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นบิดอะฮ
เช็คอับดุลอะซีซ บิน บาซ กล่าวว่า
أن الاحتفال بليلة النصف من شعبان بالصلاة أو غيرها أو تخصيص يومها بالصيام بدعة منكرة عند أكثر أهل العلم، وليس له أصل في الشرع المطهر، بل هو مما حدث في الإسلام بعد عصر الصحابة رضي الله عنهم
การฉลองคืนนิสฟุชะอฺบาน ด้วยการละหมาด หรืออื่นจากนั้น หรือ กำหนดวันนิสฟุชะอฺบานโดยเฉพาะ ด้วยการถือศีลอด นั้น เป็นบิดอะฮ ที่ต้องห้าม ในทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก และไม่มีที่มาจากบทบัญญัติอันบริสุทธิ์ สำหรับมัน ในทางกลับกัน มันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในอิสลาม หลังจากสมัยของเหล่าเศาะหาบะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม – ดู ริสาละฮ อัตตะหฺซีร์ มินัลบิดอะฮ หน้า 19
_____
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า :
وإياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة
ความว่า :
“และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”-
(รางานโดย อะบูดาวุด: 4607 และติรมีซีย์ : 2676)
_
ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،
..
_
อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า
قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด) ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา) นั้นคือ ชาวบิดอะฮ
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181
______
เรื่องของการทำอิบาดะฮในอิสลาม ต้องวางอยู่บนหลักการของ คำสังใช้ และคำสั่งห้ามจากศาสนบัญญัติ แล้วปฏิบัติตาม การเจาะจงทำอิบาดะฮในคืนนิสฟุชะอบานเป็นการเฉพาะ ไม่มีคำสอนจากศาสนา มีแต่ความคิดเห็น
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวถึงหลักการเกี่ยวกับอิบาดะฮว่า
وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ، وَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“และในเรื่องของ อัลกุรบาต(เรื่องการแสดงความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์) จะถูก “จำกัดตามตัวบท” เท่านั้น จะไปแปรเปลี่ยนมันตามการอนุมานเปรียบเทียบต่างๆ(กิยาส)หรือแนวคิดต่างๆไม่ได้ -ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276
ข้อเขียนข้างต้น เป็นหลักการของผู้ที่ยึดกิตาบุลลอฮและสุนนะฮ เป็นบรรทัดฐานในการประกอบศาสนากิจ ใครจะเชื่อ หรือไม่ ใครจะยอมรับหรือไม่ มันเป็นเรืองของพวกท่านไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย

ในครั้งที่ท่านอับดุลลอฮฺ บินเราะวาหะฮฺ ได้กล่าวลาสหายของเขา เพื่อจะร่วมออกเดินทางไปทำสงครามมุอ์ตะฮฺ

ในครั้งที่ท่านอับดุลลอฮฺ บินเราะวาหะฮฺ ได้กล่าวลาสหายของเขา เพื่อจะร่วมออกเดินทางไปทำสงครามมุอ์ตะฮฺ
ท่านก็ได้ร้องไห้ พลันกล่าวว่า
“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะความรักความปรารถนาที่มีต่อพวกท่าน และไม่ได้เศร้าเสียใจเพราะต้องจากโลกนี้ไป แต่ฉันได้นึกถึงอายะฮฺหนึ่งในอัลกุรอาน ซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า
﴿ وَإِن مِّنكُمۡ إِلَّا وَارِدُهَاۚ كَانَ عَلَىٰ رَبِّكَ حَتۡمٗا مَّقۡضِيّٗا ٧١ ﴾ [مريم: ٧١]
ความว่า
“และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้า นอกจากจะเป็นผู้ผ่านเข้าไปในมัน (ทั้งคนดีและคนชั่วจะต้องผ่านนรก คนดีจะเดินผ่านไป ส่วนคนชั่วจะเข้าไปอยู่ในมัน) มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วสำหรับพระเจ้าของเจ้า” (สูเราะฮฺมัรยัม : 71)
-
ซึ่งฉันจะเป็นเช่นไร หลังจากที่ผ่านเข้าไปในนั้น”
-
(อัล-เมาสูอะฮฺ อัล-กุรอานียะฮฺ
โดยอิบรอฮีม บินอิสมาอีล อัล-อับยารีย์ : 1/233)
___________

การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา

การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา
الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ
عَنْ أَمِيْرِ المُؤْمِنِيْنَ أَبِيْ حَفْصٍ عُمَرَ بْنِ الخَطَّابِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ: سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ ﷺ يَقُوْلُ : "إنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وإِنَّما لِكُلِّ امْرِيءٍ ما نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ ورَسُوْلِهِ فَهِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ ورَسُوْلِهِ ، ومَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيْبُها أَوِ امْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ إِلَى مَا هَاجَرَ إِليهِ"
رَوَاهُ إِمَامَا المُحَدِّثِيْنَ، أَبُوْ عَبْدِ اللهِ مُحَمَّدُ بْنُ إِسْمَاعِيْلَ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ بْنِ المُغِيْرَةِ بْنِ بَرْدِزْبَهْ البُخَارِيُّ، وَأَبُوْ الحُسَيْنِ مُسْلِمُ بْنُ الحَجَّاجِ بْنِ مُسْلِمٍ القُشَيْرِيُّ النَّيْسَابُوْرِيُّ فِيْ صَحِيْحَيْهِمَا الْلَذَيْنِ هُمَا أَصَحُّ الكُتُبِ المُصَنَّفَةِ.

ความว่า:
จากท่านอมีรุลมุอ์มินีน อบูหัฟฺศฺ อุมัรฺ อิบนุ อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้เล่าว่า: ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า: "แท้จริงการงานทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับเจตนา และแท้จริงสำหรับทุกคนนั้นคือสิ่งที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขามีเจตนาเพื่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ ดังนั้นการอพยพของเขาก็จะเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขาเพื่อโลกนี้ที่เขาก็จะได้รับ หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย ดังนั้นการอพยพของเขาก็จะเป็นไปตามความประสงค์ที่เขาได้อพยพ"
_
หะดีษรายงานโดยสองอิมามของบรรดานักวิชาการหะดีษ นั่นคือท่านอบูอับดิลลาฮฺ มุหัมมัด อิบนุ อิสมาอีล อิบนุ อิบรอฮีม อิบนุ อัล-มุฆีเราะฮฺ อิบนุ บัรฺดิซบะฮฺ อัล-บุคอรีย์ และท่านอบู อัล-หุสัยนฺ มุสลิม อิบนุ อัล-หัจญาจญ์ อิบนุ มุสลิม อัล-กุชัยรียฺ อัล-นัยสาบูรีย์ ในหนังสือเศาะหี้หฺของท่านทั้งสองซึ่งเป็นหนังสือที่ประพันธ์ที่มีความถูกต้องมากที่สุด.
_________________
อัล-บุคอรีย์, อัล-ญามิอฺ, ภาค: ไม่ระบุ, บท: ไม่ระบุ, เลขที่: 1. และสำนวนหะดีษเป็นของท่าน
มุสลิม, อัล-ญามิอฺ, ภาค: อัล-อิมาเราะฮฺ, บท: คำกล่าวของท่านนบี "แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา", เลขที่: 1907

ละหมาดวันศุกร์ซึ่งเป็นการละหมาดวาญิบสำหรับผู้ที่มีเงื่อนไขครบตามที่ศาสนากำหนดเอาไว้ เพราะเนื้อความที่ถามมามุ่งหมายถึงตัวละหมาดวันศุกร์ ซึ่งมี 2 รอกอะฮฺ และมีเงื่อนไขว่าต้องทำแบบญะมาอะฮฺ โดยกำหนดว่าผู้ที่ทำละหมาดวันศุกร์ต้องทันการละหมาดญะมาอะฮฺนั้น 1 รอกอะฮฺ

ฉะนั้น ถ้าละหมาดทัน 1 รอกอะฮฺพร้อมกับอิหม่ามก็ถือว่าละหมาดวันศุกร์ของผู้ที่ทัน 1 รอกอะฮฺนั้นใช้ได้ ถ้าไม่ทันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นการละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ ดังนั้น หากมัสบู๊กมาทันอิหม่ามในรอกอะฮฺที่ 2 การละหมาดวันศุกร์ของเขาใช้ได้ และให้ลุกขึ้นทำอีก 1 รอกอะฮฺ (เพื่อให้ครบ 2 รอกอะฮฺ) ภายหลังการให้สล่ามของอิหม่าม

ส่วนถ้ามัสบู๊กมาทันอิหม่ามภายหลังอิหม่ามเงยจากการรุ่กัวะอฺในรอกอะฮฺที่ 2 ก็ถือว่าไม่ได้ญุมอะฮฺ โดยหลังจากอิหม่ามให้สล่ามก็ให้ผู้นั้นขึ้นทำละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ (อัลฟิกฮุ้ลมันฮะญีย์ เล่มที่ 1 หน้า 207)

ทั้งนี้มีหลักฐานที่รายงานโดย อันนะซาอีย์ , อิบนุมาญะฮฺ และ อัดดาร่อกุฏนีย์ จากท่านอิบนุ อุมัร (ร.ฎ.) ว่า : ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ผู้ใดทัน 1 รอกอะฮฺจากละหมาดวันศุกร์และละหมาดอื่นๆ เขาผู้นั้นก็จงเพิ่มเข้าไปอีก 1 รอกอะฮฺ และการละหมาดของเขาก็สมบูรณ์แล้ว (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 208)

อนึ่ง การทัน 1 รอกอะฮฺที่ถือว่าได้ญุมอะฮฺนั้นคือทันอิหม่ามในขณะอิหม่ามก้มรุกัวะอฺในรอกอะฮฺที่ 2 โดยผู้ที่เป็นมัสบู๊กนั้นมีฎ่อมะอฺนีนะฮฺ (การสงบนิ่ง) ก่อนที่อิหม่ามจะเงยศรีษะจากขั้นที่น้อยที่สุดของการรุ่กัวะอฺนั้น ส่วนในกรณีที่ทันอิหม่ามหลังจากที่อิหม่ามเงยศรีษะจากการรุ่กัวะอฺแล้วถือว่าไม่ได้ญุมอะฮฺ เมื่ออิหม่ามให้สล่ามแล้วก็ให้ผู้นั้นลุกขึ้นทำ 4 รอกอะฮฺของการละหมาดซุฮฺริ โดยการตั้งเจตนาในกรณีนี้ ให้ตั้งเจตนา (เหนียต) ละหมาดญุมอะฮฺพร้อมกับอิหม่าม เพราะมัสบู๊กผู้นี้เข้าสู่การละหมาดในขณะที่ละหมาดของอิหม่ามยังไม่เสร็จสิ้นนั้นเอง

ส่วนในกรณีที่อิหม่ามให้สล่ามแล้ว กรณีนี้ให้ตั้งเจตนาละหมาดซุฮฺริเท่านั้น (กิตาบอัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 432)

และการละหมาดทัน 1 รอกอะฮฺและถือว่าได้ญุมอะฮฺนั้นเป็นทัศนะของมัซฮับชาฟีอีย์ และนักวิชาการส่วนใหญ่ อิบนุ อัลมุนซิรเล่าจาก อิบนุ มัสอู๊ด , อิบนุ อุมัร , อนัส อิบนุ มาลิก , สะอีด อิบนุ อัลมุซัยยับ , อัลอัสวัต, อัลก่อมะฮฺ, อัลหะซัน อัลบะซอรีย์ , มาลิก , อัลเอาซาอีย์ ฯลฯ ส่วน อะฎออฺ , ฏอวู๊ส , มุญาฮิด และมักฮูล กล่าวว่า ผู้ใดไม่ทันฟังคุฏบะฮฺ ก็ให้ละหมาดซุฮฺริ 4 รอกอะฮฺ ในขณะที่ อัลฮะกัม , ฮัมมาด และ อบูฮะนีฟะฮฺ กล่าวว่า : ผู้ใดทันการอ่านตะซะฮฺฮุดพร้อมกับอิหม่าม ถือว่าผู้นั้นทันญุมอะฮฺโดยให้เขาผู้นั้นละหมาด 2 รอกอะฮฺหลังจากการให้สล่ามของอิหม่าม และถือว่าการละหมาดวันศุกร์ของเขาสมบูรณ์ ในขณะที่ ชัยค์ อบูฮามิด เล่าเอาไว้จากนักวิชาการเหล่านั้นว่า ผู้ใดตักบีร่อตุ้ลอิฮฺรอมก่อนการให้สล่ามของอิหม่ามผู้นั้นทันละหมาดญุมอะฮฺ อย่างนี้ก็มี (ดู กิตาบ อัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 433)

والله أعلم بالصواب
อ.อาลี เสือสมิง ได้ตอบไว้ครับ 


การใช้ศพหรือหลุมศพคนดีๆหรือวาลียุลลอฮ เป็นสื่อกลาง ทั้งๆที่การกระทำแบบนี้ไม่ปรากฏในยุคของท่านนบี ศ็อลฯ และเคาะลิฟะฮผู้ทรงธรรมทั้งสี่ท่านเลย

สิ่งที่ท่านนบี ศ็อลฯ สอนในการดุอาต่ออัลลอฮ ตาอาลา นั้น ก็ให้ใช้พระนามอัลลอฮเป็นสื่อกลาง
ไม่ใช่ใช้หลุมศพเป็นสือกล่าง

รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน บุร็อยดะฮฺ จาก บิดาของเขา เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَمِعَ رَجُلًا يَقُولُ " اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ أَنِّي أَشْهَدُ أَنَّكَ أَنْتَ اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ الْأَحَدُ الصَّمَدُ الَّذِي لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ " ، فَقَالَ : «لَقَدْ سَأَلْتَ اللَّهَ بِالِاسْمِ الَّذِي إِذَا سُئِلَ بِهِ أَعْطَى وَإِذَا دُعِيَ بِهِ أَجَابَ»

ความว่า
“แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยินชายคนหนึ่ง วิงวอนขอดุอาอ์ ว่า
โอ้อัลลอฮฺ
แท้จริงฉันได้ปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพยกเว้นพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงเอกกะ
ทรงเป็นที่พึ่ง
พระองค์ไม่ประสูติ
และไม่ทรงถูกประสูติ
และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์
ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“แท้จริงท่านได้วอนขอจากอัลลอฮฺ ด้วยพระนามที่เมื่อพระองค์ถูกร้องขอด้วยมัน พระองค์จะประทานให้ และเมื่อพระองค์ถูกวิงวอนขอด้วยมัน พระองค์ก็จะตอบรับ”

(บันทึกโดยอบูดาวูด 2/79 หมายเลข 1493 )


ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า :
وإياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة
ความว่า :
“และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”
-
(รางานโดย อะบูดาวุด: 4607 และติรมีซีย์ : 2676)


ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،


อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า

قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศ็อลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด)
ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน
ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา)
นั้นคือ ชาวบิดอะฮ
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181


ชัยค์อัรรูมีย์ อัลหะนะฟีย์ ฮ.ศ 834 (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَمَنْ اَحْدَثَ شَيْئًا يَتَقَرَّبُ بِهِ اِلَى اللهِ تَعَالَى مِنْ قَوْلٍ اَوْ فِعْلٍ ، فَقَدْ شَرَعَ مِنَ الدِّيْنِ مَا لَمْ يَاْذَنْ بِهِ اللهُ فَعُلِمَ اَنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ مَنَ الْعِبَادَةِ الدِّيْنِيَّةِ لاَ تُكُوْنُ اِلاَّ سَيِّئَةً
แล้วผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาใหม่ นำมันไปแสดงการใกล้ชิด(อิบาดะฮ) ต่ออัลลอฮ จากคำพูดหรือการกระทำ แน่นอนเขาได้บัญญัติศาสนา
สิ่งซึ่งอัลลอฮไม่ทรงอนุมัติด้วยมัน ,เขาก็จะรู้ว่า ทุกบิดอะฮจากอิบาดะฮที่เกี่ยวกับศาสนา มันจะไม่เป็นอย่างอื่นนอกจาก เป็นสิ่งที่เลว
-
อิลมุอุศูลิลบิดอีของ อาลี บิน หะซัน อัลหัมบะลีย อัลอะษะรีย หน้า 101


อัลหาฟิซฮิบนุหะญัรปราชญ์มัซฮับชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า

فالبدعة في عرف الشرع مذمومة ، بخلاف اللغة ، فإن كل شيء أُحدث على غير مثال يسمى بدعة سواء كان محموداً ، أو مذموماً

บิดอะฮในนิยามของศาสนบัญญัตินั้น คือ สิ่งที่ถูกตำหนิ ต่างกับบิดอะฮในทางภาษา เพราะทุกสิ่ง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนนั้น ถูกเรียกว่า บิดอะฮ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกชมเชยและถูกตำหนิก็ตาม
-
ดูฟัตหุลบารีย์ 13/253


สำหรับ คำว่า "สุนนะฮเคาะลิฟะฮ" นั้น อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قلت: ليس المراد بسنة الخلفاء الراشدين إلا طريقتهم الموافقة لطريقته صلى الله عليه وسلم، قال القاري في المرقاة: فعليكم بسنتي: أي بطريقتي الثابتة عني واجباً أو مندوباً، وسنة الخلفاء الراشدين: فإنهم لم يعملوا إلا بسنتي
ข้าพเจ้ากล่าวว่า " จุดประสงค์ของคำว่า สุนนะฮเคาะลิฟะฮรอชิดีน นั้น ไม่ใช่อื่นใด นอกจาก แนวทางของพวกเขา ที่สอดคล้องกับแนวทางของรซูลุลลอฮ (ศอ็ลฯ ) ,อัลกอรีย์ ได้กล่าวใน อัลมิรกอต ว่า "พวกท่านจงยึดมั่นด้วยสุนนะฮของฉัน" หมายถึงแนวทางของฉัน ที่แน่นอนจากฉัน ที่เป็นวาญิบและเป็นสุนัต ,และ(คำว่า ) "สุนนะฮบรรดาเคาะลิฟะฮรอซิดีน" ก็เพราะพวกเขาจะไม่ปฏิบัตินอกจาก ด้วยสุนนะฮของฉัน -
ดู ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 50

ลำดับขั้นของศาสนา

ลำดับขั้นของศาสนา
_
مَرَاتِبُ الدِّيْنِ
.
عَنْ عُمَرَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَيْضاً قَالَ :
"بَيْنَماَ نَحْنُ جُلُوْسٌ عِنْدَ رَسُوْلِ اللهِ ﷺ ذَاتَ يَوْمٍ ، إِذْ طَلَعَ عَلَيْنَا رَجُلٌ شَدِيْدُ بَيَاضِ الثِّيَابِ ، شَدِيْدُ سَوَادِ الشَّعْرِ ، لَا يُرَى عَلَيْهِ أَثَرُ السَّفَرِ وَلَا يَعْرِفُهُ مِنَّا أَحَدٌ ، حَتَّى جَلَسَ إِلَى النَّبِيِّ ﷺ ، فَأَسْنَدَ رُكْبَتَيْهِ إِلَى رُكْبَتَيْهِ ، وَوَضَعَ كَفَّيْهِ عَلَى فَخِذَيْهِ ، وَقَالَ : يَا مُحَمَّدُ أَخْبِرْنِيْ عَنِ الإِسْلَامِ .
فَقَالَ رَسُوْلُ اللهِ ﷺ : " الإِسْلَامُ أَنْ تَشْهَدَ أَنْ لَا إِلهَ إِلَّا اللهُ وَأَنْ مُحَمَّداً رَسُوْلُ اللهِ ، وَتُقِيْمَ الصَّلَاةَ ، وَتُؤْتِيَ الزَّكَاةَ ، وَتَصُوْمَ رَمَضَانَ ، وَتَحُجَّ البَيْتَ إِنِ اسْتَطَعْتَ إِلَيْهِ سَبِيْلاً "
قَالَ : صَدَقْتَ .
فَعَجِبْنَا لَهُ يَسْأَلُهُ وَيُصَدِّقُهُ !
قَالَ : فَأَخْبِرْنِيْ عَنِ الإِيْمَانِ .
قَالَ : " أَنْ تُؤْمِنَ بِاللهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ وَتْؤْمِنَ بِالْقَدَرِ خَيْرِهِ وَشَرِّهِ " .
قَالَ : صَدَقْتَ .
قَالَ : فَأَخْبِرْنِيْ عَنِ الإِحْسَانِ .
قَالَ : " أَنْ تَعْبُدَ اللهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ ، فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ " .
قَالَ : فَأَخْبِرْنِيْ عَنِ السَّاعَةِ .
قَالَ : " مَا المَسْؤُوْلُ عَنْهَا بِأَعْلَمَ مِنَ السَّائِلِ " .
قَالَ : فَأَخْبِرْنِيْ عَنْ أَمَارَاتِهَا .
قَالَ : " أَنْ تَلِدَ الأَمَةُ رَبَّتَهَا ، وَأَنْ تَرَى الحُفَاةَ الْعُرَاةَ الْعَالَةَ رِعَاءَ الشَّاءَ يَتَطَاوَلُوْنَ فِيْ الْبُنْيَانِ " .
ثُمَّ انْطَلَقَ ، فَلَبِثْتُ مَلِيّاً ، ثُمَّ قَالَ : " يَا عُمَرُ أَتَدْرِيْ مَنِ السَّائِلُ ؟ " .
قُلْتُ : اللهُ وَرَسُوْلُهُ أَعْلَمُ .
قَالَ : " فَإِنَّهُ جِبْرِيْلُ أَتَاكُمْ يُعَلِّمُكُمْ دِيْنَكُمْ. "
رَوَاهُ مُسْلِمٌ.
_
ความว่า: จากท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้เล่าว่า: "วันหนึ่ง ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งอยู่กับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ﷺ ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าที่ขาวโพลน มีผมที่ดำสนิท และไม่เห็นร่องรอยของการเดินทาง ได้ปรากฏขึ้นมายังพวกเรา และไม่มีผู้ใดเลยในหมู่พวกเราที่รู้จักเขา จนในที่สุดเขาได้เข้ามานั่งที่ท่านนบี ﷺ แล้วเขาก็เอาเข่าทั้งสองข้างของเขายันกับเข่าทั้งสองข้างท่านนบี ﷺ และได้วางมือของเขาบนขาของท่านนบี ﷺ แล้วเขาก็กล่าวขึ้นว่า “โอ้มุหัมมัดเอ๋ย จงบอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับอิสลามเถิด?” แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ก็กล่าวว่า: อิสลามคือ
- การที่ท่านกล่าวปฎิญานว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ และมุหัมมัดนั้นเป็นเราะสูลของอัลลอฮฺ”
- การที่ท่านดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
- จ่ายซะกาต
- ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน
- และไปประกอบพิธีหัจญ์ ณ บัยติลละฮฺ หากท่านมีความสามารถเดินทางไปได้.
เขากล่าวว่า “จริงอย่างที่ท่านพูด”
(ท่านอุมัรฺกล่าวว่า) ดังนั้นพวกเราพากันแปลกใจที่เขาถามท่านนบี แล้วเขาก็รับรองว่าท่านนบีพูดจริง.
เขากล่าวอีกว่า “จงบอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับอีมานเถิด ?” ท่านนบี จึงตอบว่า
- การที่ท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
- ต่อบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์
- ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์
- ต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์
- ต่อวันปรโลก
- และเชื่อต่อการกำหนดสภาวะของพระองค์ทั้งที่ดีและไม่ดี”
แล้วเขากล่าวว่า “จริงอย่างที่ท่านพูด”
แล้วเขาก็กล่าวอีกว่า “ดังนั้นท่านจงบอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับอิหฺสานเถิด ?”
ท่านนบีตอบว่า “คือการที่ท่านทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺเสมือนกับว่าท่านเห็นพระองค์ แม้ว่าท่านไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นท่านแน่นอน”
แล้วเขากล่าวอีกว่า “ดังนั้นท่านจงบอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับวันกิยามะฮฺเถิด ?” ท่านนบีตอบว่า “ผู้ที่ถูกถาม ไม่ได้รู้มากไปกว่าผู้ถามเลย”
แล้วเขาก็กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจงบอกให้ฉันรู้ถึงสัญญานของมันเถิด”
ท่านนบีตอบว่า “คือการที่ทาสีจะคลอดลูกเป็นนายของนาง, ท่านจะได้เห็นผู้ที่ไม่สวมร้องเท้า ไม่มีเสื้อผ้าจะสวมใส่ เป็นผู้ยากจนข้นแค้น และเลี้ยงแพะ แต่กลับแข่งขันกันสร้างอาคารสูง ๆ ”
จากนั้น เขาก็จากไป และฉัน (หมายถึงอุมัรฺ) ก็หายหน้าไปหลายวัน ต่อมาท่านนบี ﷺ ก็ถามฉันว่า “โอ้อุมัร ท่านรู้ไหมว่า ผู้ถามครั้งนั้นเป็นใคร ?” ฉันตอบว่า “อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้”
ท่านนบีตอบว่า “แท้จริงเขาคือ ญิบรีล ท่านมาหาพวกท่าน เพื่อสอนพวกท่านเรื่องศาสนาของพวกท่าน” หะดีษบันทึกโดยมุสลิม
_________
มุสลิม, อัล-ญามิอฺ, ภาค: การศรัทธา, บท: อธิบายถึงการศรัทธา อิสลาม และอิหฺสาน, เลขที่: 8

(แบบเนื้อๆ ไม่น้ำ) #เงื่อนไขในการตอบรับอิบาดะฮฺ

(แบบเนื้อๆ ไม่น้ำ)
#เงื่อนไขในการตอบรับอิบาดะฮฺ
ประการที่ 1. ต้องมีความบริสุทธิ์ใจ (อัลอิคลาศ)
ประการที่ 2. ต้องถูกต้องตามบทบัญญัติ (อัลอิตติบาอ์)
_
#เงื่อนไขประการที่หนึ่งมีความบริสุทธิ์ใจ
_
#หลักฐานจากอายะฮฺอัลกุรอาน
อัลลอฮฺตรัสว่า
«إِنَّا أَنْزَلْنَا إِلَيْكَ الْكِتَابَ بِالْحَقِّ فَاعْبُدِ اللَّهَ مُخْلِصًا لَهُ الدِّينَ، أَلا لِلَّهِ الدِّينُ الْخَالِصُ»
ความว่า “แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์มายังเจ้าด้วยสัจธรรม ดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺโดยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนาต่อพระองค์ (2) พึงทราบเถิด การอิบาดะฮฺโดยบริสุทธิ์ใจนั้นเป็นของอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว...”
(สูเราะฮฺอัซซุมัร อายะฮฺที่ 2-3)
.
อิบนุกะษีร ได้อรรถาธิบายอายะฮฺนี้ว่า “อัลลอฮฺจะไม่ทรงรับกิจการใดๆ เว้นแต่เสียว่าผู้ที่ปฏิบัตินั้นจะต้องมีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีสำหรับพระองค์” (Ibn Kathir, 1983 : 6/78)
อิบนุกะษีร คือ อิสมาอีล อิบนฺ อุมัร อิบนฺ กะษีร อิบนฺ ดัรอฺ อัลกุรชีย์ อัดดิมัชกีย์ อะบุลฟิดาอ์ เขาเป็นนักท่องจำอัลกุรอาน นักประวัติศาสตร์ นักนิติศาสตร์ นักอรรถาธิบายอัลกุรอาน เกิดในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 701 เป็นผู้ที่มีความใฝ่รู้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย และได้แต่งตำราไว้มากมาย ประชาชนได้คัดลอกตำราของเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เสียชีวิตที่ดามัสกัสในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 774 (Ibn al-‘Imad al-Hanbali, n.d. : 6/231 ; Ibn Kathir, 1966 : 14/31,46 ; al-Zirigli, n.d. : 1/320)
_
#หลักฐานจากอัลหะดีษ
อัลลอฮฺทรงตรัสในหะดีษกุดซีย์ ว่า
«أَنَا أَغْنَى الشُّرَكَاءِ عَنْ الشِّرْكِ، فَمَنْ عَمِلَ لِي عَمَلاً أَشْرَكَ فِيهِ غَيْرِي فَأَنَا مِنْهُ بَرِيءٌ وَهُوَ لِلَّذِي أَشْرَكَ»
ความว่า “ฉันเป็นผู้ที่เหนือกว่าในบรรดาผู้ที่พวกเขาตั้งภาคีทั้งหลาย บุคคลใดก็ตามที่ปฏิบัติกิจการต่างๆ โดยตั้งภาคีพร้อมกับฉัน ดังนั้น ฉันห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี และสิ่งดังกล่าวก็เพื่อสิ่งที่เขาตั้งภาคี”
หะดีษกุดซีย์ คือหะดีษที่ท่านนบีพาดพิงถึงอัลลอฮฺโดยระบุว่า อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ดำรัส (ดูอัฏเฏาะฮาน ตัยสีรอัลมุศเฏาะละฮฺ หน้า 20)
_
#หลักฐานจากบรรดาสะลัฟศอลิหฺ
.
ยะหฺยา อิบนฺ อะบีกะษีร กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงเรียนรู้ในเรื่องของการตั้งเจตนา เพราะแท้จริงการตั้งเจตนานั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้บรรลุผลจากการปฏิบัติ” (al-Asbahani, 1400 : 3/70)
ยะห์ยา อิบนฺ ศอและฮฺ อัฏฏออีย์ อัลยะมานีย์ อะบูนัศรฺ อิบนฺ อะบีกะษีร เป็นนักปราชญ์ชาวยะมามะฮฺ เป็นตาบีอีน เป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ (ثقة) ในด้านการรายงานหะดีษ เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 129 (Ibn Manie‘a, n.d. : 5/555 ; al-‘Asqallani, 1325 : 11/268)
.
ฟุฎ็อยลฺ อิบนฺ อิยาฎฺ ได้อ่านอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า (บางส่วนจากอายะฮฺที่ 7 สูเราะฮฺฮูด และสูเราะฮฺอัลมุลกฺ อายะฮฺที่ 2) แล้วเขากล่าวว่า “มีความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง” พวกเขากล่าวว่า “โอ้อบูอาลี อะไรคือมีความบริสุทธิ์ใจและถูกต้อง? ท่านฟุฎ็อยลฺ อิบนฺ อิยาฎ กล่าวว่า “เมื่อปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยกับความบริสุทธิ์ใจแต่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง การปฏิบัตินั้นก็จะไม่ถูกตอบรับ และหากปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องแต่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ การปฏิบัตินั้นก็จะไม่ถูกตอบรับ จนกว่าจะมีทั้งความบริสุทธิ์ใจและความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ใจคือ เมื่อปฏิบัติสิ่งใดก็เพื่ออัลลอฮฺ และความถูกต้องคือ เมื่อปฏิบัติสิ่งใดก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของสุนนะฮฺ”
อบูอาลีย์ อัลฟะฎีล อิบนฺ อิยาฎ อิบนฺ มัสอูด อัฏฏอลิกอนีย์ เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น เป็นนักอิบาดะฮฺ มีความน่าเชื่อถือได้ และเป็นอิมามผู้มีชื่อเสียง เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 187 (al-Asbihani, 1400 : 8/84 ; al-Dhahabi, 1402 : 8/421; al-‘Asqallani, 1325 : 8/294 ; Ibn Kalkan, n.d. : 4/47)
_
_
#เงื่อนไขประการที่สองต้องถูกต้องตามบทบัญญัติ
_
#หลักฐานจากอัลกุรอาน
.
อัลลอฮฺตรัสว่า
«اتَّبِعْ مَا أُوحِيَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ لا إِلَهَ إِلا هُوَ وَأَعْرِضْ عَنِ الْمُشْرِكِينَ»
ความว่า “จงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิด ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเถิด” (สูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 106)
.
และอัลลอฮฺตรัสว่า
«قُلْ إِنَّمَا أَتَّبِعُ مَا يُوحَى إِلَيَّ مِنْ رَبِّي»
ความว่า “จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) ว่า แท้จริงฉันจะปฏิบัติตามเฉพาะสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน...” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 203 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ)
_
#หลักฐานจากอัลหะดีษ
.
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
«تَرَكْتُ فِيكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا كِتَابَ اللَّهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ»
ความว่า “ฉันได้ทิ้งไว้สำหรับพวกท่านสองประการ ซึ่งถ้าพวกท่านยึดมันไว้ให้มั่น (ในบางสำนวนใช้คำว่า กัดมันด้วยฟันกราม) แล้วจะไม่หลงทาง คือ กิตาบุลลอฮฺ(อัลกุรอาน) และแบบฉบับนบีของพระองค์”
หะดีษบันทึกโดยมาลิก ในอัลมุวัฏเฏาะ หมายเลข 1395 ดู อัลมิชกาฮฺ อัลมะศอบีฮฺ ของ อัลอัลบานีย์ หมายเลข 1/66
.
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวคุตบะฮฺในวันอีด ซึ่งตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า
«أَمَّا بَعْدُ فَإِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّهِ، وَخَيْرَ الْهُدَى هُدَى مُحَمَّدٍ، وَشَرَّ الأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا، وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ» وفي رواية النسائي : «وَكُلَّ ضَلاَلَةٍ فِي النَّارِ»
ความว่า “อนึ่ง ดังนั้น แท้จริงคำกล่าวที่ประเสริฐที่สุดก็คือ อัลกุรอาน และทางนำที่ดีที่สุดคือทางนำของมูฮัมหมัด และการงานต่าง ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่นั้นเป็นสิ่งที่ชั่วช้า และทุก ๆ อุตรินั้นเป็นการหลงผิด” และในสำนวนของนะสาอีย์เพิ่มคำว่า “และทุกๆ การหลงผิดนั้นคือการลงนรก”
หะดีษบันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 1435 อบูดาวูด หมายเลข 3991 อัตติรมีซีย์ หมายเลข 5/44 อิบนุมาญะฮฺ หมายเลข 44, 45 อัดดารีมีย์ หมายเลข 208 และอะห์มัด 13815, 13909, 14455 และในสำนวนของอันนะสาอีย์ หมายเลข 1560 และอัลอัลบานีย์ กล่าวในหนังสือมิชกาฮฺ อัลมะศอบีฮฺว่า : การเพิ่มของอันนะสาอีย์นั้น ศอเหี้ยะห์
.
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวเกี่ยวกับผู้ที่อุตริสิ่งใดขึ้นในศาสนาว่า
«مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ»
ความว่า “ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกิจการศาสนาของพวกเรา ซึ่งเราไม่ได้สั่ง ดังนั้น สิ่งนั้นจะถูกผลักไส”
หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลข 2499 มุสลิม หมายเลข 3242 อบูดาวูด หมายเลข 3990 อะห์มัด หมายเลข 24840, 25124
.
«مَنْ عَمِلَ عَمَلاً لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ»
ความว่า “ผู้ใดกระทำกิจการใดกิจการหนึ่ง ซึ่งไม่มีระบุในคำสั่งของเรา ดังนั้นกิจการนั้นจะถูกผลักไส”
หะดีษบันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 3243
.
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวเกี่ยวกับผู้ที่แสวงหาแนวทางใหม่จากอิสลามว่า
«مَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي»
ความว่า “ผู้ใดรังเกียจแนวทางของฉัน ดังนั้นเขาไม่ใช่พวกของฉัน”
หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลข 4675 มุสลิม หมายเลข 2487 อันนะสาอีย์ 3165 อัดดาริมีย์ หมายเลข 2075 และอะห์มัด หมายเลข 6188, 13045, 13230, 13534, 22376.
_
#หลักฐานจากบรรดาสะลัฟ
.
อบูบักร์ อัศศิดดีก ได้กล่าวบนมินบัร หลังจากที่บรรดามุสลิมีนได้มาให้สัตยาบันกับท่านว่า “อนึ่ง อัลลอฮฺทรงเลือกสำหรับเราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สิ่งนั้นคือกิตาบุลลอฮฺ (อัลกุรอาน) ที่อัลลอฮฺทรงให้มันเป็นทางนำสำหรับเราะสูลของพวกท่าน ดังนั้นจงยึดมั่นกับมันแล้วท่านจะได้รับทางนำ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺทรงให้ทางนำด้วยอัลกุรอานแก่เราะสูลของพระองค์แล้ว”
อบูบักร์ เป็นผู้ปกครองหรือเคาลีฟะฮฺในรัฐอิสลามคนแรกหลังจากที่ท่านศาสนทูตเสียชีวิต เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 13 ศพของท่านฝังอยู่เคียงข้างท่านเราะสูล
รายงานโดยบุคอรีย์ ในกิตาบอัลอิอฺติศอม หมายเลข 6727
.
อบู อัลอาลียะฮฺ กล่าวว่า “พวกท่านจงเรียนรู้เกี่ยวกับอิสลาม เมื่อพวกท่านเรียนรู้มันก็จงอย่าแสวงหาแนวทางอื่นจากมัน และสำหรับพวกท่านคือแนวทางอันเที่ยงตรง ดังนั้นแท้จริงมันคืออิสลาม พวกท่านอย่าได้หันเหออกจากอิสลามคือไปทางซ้ายทีขวาที และสำหรับพวกท่านคือแนวทางของนบีของพวกท่านและเศาะหาบะฮฺของท่าน และท่านจงเกรงกลัวการปฏิบัติตามอารมณ์ ซึ่งมันจะทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับการเป็นศัตรูและความเกลียดชัง...” (al-Lalaka’iy, n.d. : 1/56 ; Ibn Waddah, 1402 : 32)
รอฟิอฺ อิบนฺ มะฮฺรอน อะบู อัลอาลียะฮฺ อัรริยาฮีย์ อยู่ทันในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เข้ารับอิสลามในวัยหนุ่ม ในช่วงการปกครองของ เคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺ มีหลายทัศนะขัดแย้งกันในเรื่องปีตายของเขา แต่ทัศนะส่วนมากมีความเห็นว่าเขาเสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 90 (al-‘Asqallani, 1325 : 4/284-286 ; al-Dhahabi, 1402 : 4/207-213)
_____________