วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลในประเภทต่างๆ / แปลและเรียบเรียงโดย อ. ชะรีฟ วงศ์เสงี่ยม


ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลในประเภทต่างๆ

แปลและเรียบเรียงโดย อ. ชะรีฟ วงศ์เสงี่ยม

Description of Appeal to Emotion

ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวของผู้คนมาเป็นเครื่องมือทำให้คนยอมรับในสิ่งที่ตนเองได้นำเสนอ  แทนที่จะใช้หลักฐานมาอ้างเป็นเหตุผล  สิ่งนี้จะพบมากในโฆษณา ชวนเชื่อต่างๆ และในหลายๆครั้งด้วยกันที่ อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวของคนเราอยู่เหนือเหตุและผล

Description of Appeal to Consequences of a Belief

เอาผลดี หรือผลในทางบวกที่จะเกิดขึ้นตามมาถ้าได้ทำหรือเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาอ้างเป็นเหตุผลให้ผู้คนเชื่อหรือทำในสิ่งที่ตนเองได้นำเสนอ เช่น คุณจะต้องเชื่อน่ะว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง เพราะคุณจะได้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของศาสนา และยังปฏิบัติตามที่อารมณ์ต้องการได้อีกด้วย      

ที่จะเรียกว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญนั้นจะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง
1.  คนๆนั้นที่ถูกยกมาอ้างนั้นจะต้องมีความเชี่ยวชาญที่พอเพียงในเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่  
2. สิ่งที่นำเสนอขึ้นมาจะต้องอยู่ในสาขาวิชา หรือ ด้านที่เขาผู้นั้นเชี่ยวชาญ เช่น กำลังถกกันเรื่องโรคหัวใจ แต่กลับไปยก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมา แต่เป็นด้านมะเร็ง ไม่ใช่ด้านหัวใจเป็นการเฉพาะ
3. ตรวจดูว่าผู้เชี่ยวชาญที่เรายกมานั้น มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคนอื่นๆเขาขัดแย้งกันในประเด็นนั้นๆหรือไม่ และถ้ามีข้อขัดแย้งระหว่างผู้ที่เชี่ยวเฉพาะด้านด้วยกัน เราพอที่จะหาข้อสรุปได้ไหมว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน 
4. ผู้เชี่ยวชาญที่เรายกมาอ้างอิงนั้นจะต้องไม่มีอคติในเรื่องนั้นๆอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ให้เราอ้างอิงผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆมา  ที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสีย ในเรื่องนั้นๆมาจะเป็นการดีมาก  
6. ผู้เชี่ยวชาญ หรือหลักฐานอ้างอิงที่ยกขึ้นมาอ้างนั้น จะต้อง รู้ได้ว่าเป็นใคร หรือ มาจากหนังสือเล่มไหน ไม่ใช่กล่าวขึ้นลอยๆว่า ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวเอาไว้ อย่างนั้น อย่างนี้  หรือ หนังสือเล่มนั้นได้กล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่ไม่ได้บอกว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร ใครเป็นคนเขียน มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนมากน้อยแค่ไหน หรือว่าไม่มีเลย
คนๆหนึ่งอาจจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ แต่ความเชี่ยวชาญของเขานั้นไม่ได้เป็นข้อยืนยัน หรือ ข้อพิสูจน์เสมอไปว่าสิ่งที่กล่าวอ้างมานั้นจะต้องเป็นจริงเสมอ  เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สิ่งที่เรานำเสนอมีความน่าเชื่อถือแล้ว เราจะต้อง พิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมด้วยหลักฐานให้ฝ่ายตรงกันข้ามได้เห็นเองเลยว่า สิ่งที่เรานำเสนอนั้นมีหลักฐานอะไรมาสนับสนุน
- ในกรณีที่เป็นหลักฐานประเภท บุคคลที่เป็นพยานยืนยัน  หรือให้การรับรอง เราจะต้องระวังเอาไว้ด้วยว่า บุคคลนั้นเลือกที่จะมุ่งไปตรงจุดใดจุดหนึ่งที่ตนเองให้ความสนใจเป็นพิเศษหรือไม่ หรือ มุ่งไปเฉพาะจุดที่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือ จุดยืนของตนเองหรือไม่ โดยละเลยข้อมูลที่ไม่สอดคล้อง หรือขัดกับจุดยืน หรือ ความเชื่อของตนเอง
ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องถามคำถามว่า บุคคลนั้นที่ให้การเป็นพยายาน หรือ ยืนยัน หรือให้ การรับรอง  มีความสัมพันธ์อะไรหรือไม่กับสิ่งที่เขากำลังให้การสนับสนุนอยู่นั้น  ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่าเขาผู้นั้นจะมีอคติแอบแฝงอยู่ในการยืนยันของเขา ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
บุคคลที่ถูกอ้างอิงเพื่อเป็นหลักฐานนั้น มีความเชี่ยวชาญ หรือ ผ่านการฝึกในเรื่องนั้นมามากน้อยเพียงไร  ใช้เวลามากน้อยเพียงไรในการศึกษาเรื่องนั้นๆ  และเขาผู้นั้น สามารถที่จะเข้าถึงข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริงที่จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนั้นๆอย่างไร เช่น เขาเป็นบุคคลที่เห็นเหตุการด้วยตัวเองหรือไม่ หรือ นักรายงานข่าวตามหนังสือพิมพ์ได้เห็นเหตุการณ์นั้นๆด้วยตนเองหรือไม่  หรือ เพียงแค่ได้รับฟังต่อมาอีกทีหนึ่ง  ในขบวนการค้นหาความจริงนั้น เราจะต้องใช้สิ่งที่เป็น ข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริงที่เป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary sources) คือข้อมูลที่ได้มาจากต้นกำเนิดของเรื่องนั้นๆ  มากกว่าที่จะใช้ แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary sources)

Description of Ad Hominem Tu Quoque

ให้เหตุผลว่า หลักฐานหรือเหตุผลของคนใดคนหนึ่งเชื่อถือไม่ได้ เพราะ มันขัดกับสิ่งที่เขาได้เคยพูดเอาไว้ หรือเพราะมันขัดกับการกระทำของเขา ซึ่งความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เช่น นาย ก. ได้พิสูจน์ให้นาย ข. รู้ว่า การสูบบุหรี่นั้นเป็นเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง จากนั้นอีก 5 วัน นาย ข. ก็เห็นว่านาย ก. กำลังสูบบุหรี่อยู่ นาย ข. จึงทึกทักเอาเองว่า คำพูดของนาย ก.ที่ว่า การสูบบุหรี่นั้นเป็นเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้  ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น การกระทำของนาย ก. นั้นไม่สามารถไปหักล้างหลักฐานที่นาย ก. ได้นำเสนอกับนาย ข.ได้

*  ยานี้จะช่วยให้คุณหายไข้ได้ ( ข้อความนี้ถือเป็น ความจริง )   เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรับประทานยานี้  ( ข้อความนี้ถือเป็น ความเห็นส่วนตัว ) ตามหลักแล้วจะต้องมี ข้อความอีกข้อความหนึ่ง หรือหลายข้อความก็ได้ เข้ามาแซรกตรงกลาง ซึ่งเป็นข้อความที่เป็นความจริง เพื่อทำให้ข้อความที่ว่า  เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรับประทานยานี้ มีน้ำหนักในเชิงบังคับขึ้นมา  ข้อที่ว่าก็คือ คุณต้องการที่จะหายจากอาการไข้นี้   เมื่อเรียงข้อความต่างๆเข้าด้วยกันก็จะได้ ยานี้จะช่วยให้คุณหายไข้ได้   คุณต้องการที่จะหายจากอาการไข้นี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรับประทานยานี้    หรือน้ำหนักจะมีมากขึ้นถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ยานี้เป็นชนิดเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณหายไข้ได้ และคุณเองก็ต้องการที่จะหายจากอาการไข้นี้ให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรับประทานยานี้     
Inconsistency
นำเสนอเหตุผลมามากกว่าหนึ่งอย่าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่เหตุผลเหล่านั้นจะถูกต้องพร้อมๆกันได้ทั้งหมด เพราะเหตุผลมันขัดแย้งกัน หรือตรงกันข้ามกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ให้เราทึกทักไปก่อนว่า มีข้อความหนึ่งเป็นข้อความที่ถูก และใช้ข้อความนั้นเป็นความจริงขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ข้อความอื่นนั้นเป็นเท็จ  
เช่น:  นาย ก. สูงกว่านาย ข.  นาย ข. สูงกว่านาย ค. ในขณะที่นาย ค. สูงกว่านาย ก. 
Denying the Antecedent
เหตุผลหรือหลักฐานที่นำเสนออาจจะเป็นจริง แต่กระนั้นก็ตามข้อสรุปอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ เช่นถ้าคุณรับอิสลาม คุณจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง  แต่เพราะคุณไม่ได้รับอิสลาม ดังนั้นคุณจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง จะเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นเลยว่าถ้าไม่ได้รับอิสลามแล้วจะไม่มีสิทธิที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ก่อการร้าย เขาผู้นั้นที่ไม่รับอิสลาม อาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรงได้อันเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ    


Examples:
(i)
If you get hit by a car when you are six then you will die young.
But you were not hit by a car when you were six.
Thus you will not die young.
(Of course, you could be hit by a train at age seven.)


Affirming the Consequent
เหตุผลหรือหลักฐานที่นำเสนออาจจะเป็นจริง แต่กระนั้นก็ตามข้อสรุปอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ เช่นถ้าคุณรับอิสลาม คุณจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง  เนื่องจากคุณถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกรุนแรง นั่นก็หมายความว่า คุณเข้ารับอิสลาม จะเห็นได้ว่าการที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง แล้วจะหมายความว่าเขาผู้นั้นเข้ารับอิสลาม เพราะอาจจะมีสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เข้าผู้นั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง  
Division
ทึกทักเอาว่า เนื่องจากถ้ามองโดยรวมแล้ว สิ่งนั้นๆมีลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้น รายละเอียดของสิ่งนั้นๆจึงจะต้องมีลักษณะหรือคุณสมบัติเช่นนั้นด้วย  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นเลยว่า ถ้าลักษณะโดยรวมของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเช่นไร แล้ว รายละเอียดของสิ่งนั้นๆจะต้องมีลักษณะเป็นเช่นนั้นด้วย  เช่น สมองเป็นสิ่งที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้  ดังนั้นเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมองจึงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้เช่นกัน  แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเซลล์ประสาทเป็นสิ่งที่ไร้ความรู้สึก ไม่มีชีวิตไม่สามารถรับรู้อะไรได้ 
Examples:
(i) Each brick is three inches high, thus, the brick wall is three inches high.
Composition
ส่วนหนึ่งจากทั้งหมดมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด จึงทึกทักเอาว่า ทั้งหมดจึงมีลักษณะเช่นนั้นด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเลย
Examples:
(i) The brick wall is six feet tall. Thus, the bricks in the wall are six feet tall.
(ii) Germany is a militant country. Thus, each German is militant.
(iii) Conventional bombs did more damage in W.W. II than nuclear bombs. Thus, a conventional bomb is more dangerous than a nuclear bomb. (From Copi, p. 118)
Straw Man
Straw Man   สร้างจุดยืนใหม่ที่ไม่แท้จริง ให้กับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจุดยืนที่สามารถถูกหักล้าง หรือโจมตีได้ง่าย  ทั้งที่ในความเป็นจริง อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีจุดยืนเช่นนั้นเลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่ตัวเองจะได้โจมตีจุดยืน (ที่ไม่เป็นจริง) ที่ตนเองสร้างขึ้นมาให้กับอีกฝ่าย  เพื่อสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้างจุดยืนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย

เช่น นาย ก. พูดกับนาย ข. เมื่อไปเยี่ยมนาย ข.ที่ห้องว่า ห้องนายนี้ รก และสกปรก จริงๆ ตกลงจะให้ห้องรก และสกปรกอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งปีใช่ไหม ? ” เราจะเห็นได้ว่า การที่ห้อง รก และสกปรก นั้นไม่ได้เป็นสิ่งเดียว หรือมีความหมายเดียวกับ การปล่อยห้องให้ รก และ สกปรกทั้งปี  มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย  คำถามคือ จำเป็นด้วยหรือที่ถ้า นาย ก. ปล่อยให้ห้อง รก และสกปรก แล้วจะหมายความว่า เขาจะต้องปล่อยให้มัน รก และสกปรกทั้งปี...เปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย           

หรือ สมมุติว่า คุณ อิบรอฮีม พูดกับ คุณ ธงไชยว่า  ผมไม่เห็นด้วย กับการ ที่คุณจะให้ธนาคารมาติดตั้งตู้ ATM และเก็บค่าเช่าที่ เดือนละ 4 พันบาทต่อเดือน เพราะ เท่ากับคุณมีส่วนช่วยในเรื่องระบบดอกเบี้ย คุณธงไชยก็พูดกับ คุณ อิบรอฮีมว่า นี่ ตกลงคุณจะให้ผมนั่งงอมือ งอเท้า ไม่ต้องทำมาหากินเลยหรืออย่างไร คนเราต้องการช่องทางในการทำมาหากินจะเห็นได้ว่า คุณ ธงไชย ได้นำเสนอ หรือ ทึกทักจุดยืนของคุณ อิบรอฮีมผิดไป เพราะถ้าเราจะถามกลับว่า การไม่เห็นด้วยให้มีการติดตั้งตู้ ATM เพื่อเก็บค่าเช่า นั้น มีความหมายเดียวกับ การนั่งงอมือ งอเท้า โดยไม่ยอมทำมาหากิน อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือเปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย

หรือ เช่น นาย อารีฟ พ่ายแพ้นาย ก.ในการถกกันในเรื่องหนึ่ง จึงได้พูดขึ้นว่า    “ นาย ก. เรียนตรรก หรือ ขบวนการใช้เหตุผลอย่างถูกต้องไป ก็เพื่อ เอาไว้รังแกคนอื่น กดคนอื่นให้ต่ำลงโดยมองว่าแต่ละครั้งที่มีการถกกันในเรื่องใดๆ นาย ก. ชนะทุกครั้งในการนำเสนอเหตุผลเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  แต่จุดยืน หรือ เจตนาที่แท้ของนาย ก. ที่เรียนตรรก มาไม่ได้เป็นเช่นที่นาย อามีนกล่าวเลย แต่เรียนเพื่อ ที่จะแยกถูกออกจากผิด แยกความจริงออกจากความเท็จ ทำให้สัจธรรมความจริง ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนกับอีกฝ่าย โดยมิได้มีเจตนา ไปรังแกคนอื่น หรือ กดคนอื่นให้ต่ำลงแต่อย่างใด เพียงแต่ นาย ก. มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงความจริง และ โต้แย้งในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือ ความผิดพลาดในการใช้เหตุผล  ซึ่งอาจจะทำให้ต้องเกิดการเสียความรู้สึกกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำใจ เมื่อมีการถกในประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่ขัดแย้งกัน
เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังและสังเกตุ อีกทั้งจับประเด็นดูให้ดีว่ามีการกระทำผิดในการใช้เหตุผลข้อนี้หรือไม่  นั้นคือ นาย ก. มองข้ามจุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  และแทนที่จุดยืนหรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  ด้วยกับ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือ สิ่งที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ซึ่งง่ายต่อการถูกหักล้าง หรือโต้แย้ง โดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปว่า จุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. เป็นเช่นนั้นจริง  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะได้สร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้าง หรือโต้แย้งนาย ข. ได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นาย ก. รู้ตัวว่าไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐาน หรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีไม่ซื่อสัตย์นี้ในการสร้างภาพ ซึ่งคนที่วิเคราะห์ไม่เป็น จับประเด็นไม่เป็น หรือไม่ได้เรียนรู้กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้องมาดีพอ หรือไม่ได้เรียนรู้การตรวจจับความผิดพลาดในการใช้เหตุผลประเภทต่างๆมา ก็อาจจะหลงเข้าใจไปว่า นาย ก. สามารถโต้ตอบ หักล้าง นาย ข. ได้แล้ว แต่จริงๆแล้วเปล่าเลย      

"Senator Jones says that we should not fund the attack submarine program. I disagree entirely. I can't understand why he wants to leave us defenseless like that."
ไม่จำเป็นเลยว่า การที่ Senator Jones ไม่ต้องการให้งบประมาณกับเรือดำน้ำโจมตี แล้วจะหมายความว่าเขาต้องการจะให้ประเทศนั้นๆ พ่ายแพ้ไม่มีทางสู้ นี่เป็นการสรุปสาเหตุของฝ่ายตรงกันข้ามเอาเอง ถ้าจะให้ถูกเราจะต้องถาม และให้เขาบอกถึงเหตุผลที่เขาพูดเช่นนั้นออกมาว่าทำไม
Bill and Jill are arguing about cleaning out their closets:
Jill: "We should clean out the closets. They are getting a bit messy."
Bill: "Why, we just went through those closets last year. Do we have to clean them out everyday?"
Jill: "I never said anything about cleaning them out every day. You just want too keep all your junk forever, which is just ridiculous."
ไม่จำเป็นเลยว่า การที่ Jill บอกให้ Bill ทำความสะอาดห้องส้วมแล้วจะหมายความว่า Jill ต้องการให้ทำความสะอาดห้องส้วมทุกวัน   จะเห็นได้ว่า Bill ได้สรุปสาเหตุที่ Jill บอกให้ Bill ทำความสะอาดห้องส้วมเอาเอง  จุดยืน

Irrelevant Conclusion (ignoratio elenchi)  เหตุผลที่ให้ไปไม่ตรงประเด็นในการที่จะใช้เป็นหลักฐานที่จะนำมาใช้สนับสนุนข้ออ้างของตนได้ /   ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ยกมาอ้างนั้น จะไปสนับสนุนข้อสรุปของตนเอง  แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่เกี่ยวกันเลย หรือมันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกันเลย 
For example, a Christian may begin by saying that he will argue that the teachings of Christianity are undoubtedly true. If he then argues at length that Christianity is of great help to many people, no matter how well he argues he will not have shown that Christian teachings are true.          
Begging the Question (petitio principii)
สมมุติเอาเองว่า บี เป็นจริง จึงเป็นเหตุทำให้ เอ ถูกต้องไปโดยปริยาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องไปพิสูจน์กันก่อนว่า บีเป็นความจริงหรือไม่
Bill: "God must exist."  พระเจ้ามีจริงอย่างแน่นอน
Jill: "How do you know."
คุณรู้ได้อย่างไร
Bill: "Because the Bible says so."
 เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้เช่นนั้น
Jill: "Why should I believe the Bible?"
 ทำไมผมต้องเชื่อในคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วย
Bill: "Because the Bible was written by God."
ก็เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลมาจากพระเจ้า  
จะเห็นได้ว่า เริ่มต้นจากพระเจ้า ( ที่ทำสีน้ำเงินเอาไว้) และสุดท้ายก็กลับมาที่เดิม คือ พระเจ้า ( ที่ทำสีน้ำเงินเอาไว้)  แต่ตามหลักแล้วคุณจะต้องไปหาหลักฐานจากแหล่งอื่นที่จะมาพิสูจน์ว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลมาจากพระเจ้า  
คุณสมมุติเอาเองโดยปราศจากหลักฐานว่า ไบเบิ้ลมาจากพระเจ้า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่า ความเชื่อที่ว่าพระเจ้ามีจริงนั้นถูกต้องไปโดยปริยาย  แต่ตามหลักการแล้วคุณจะต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่า ไบเบิ้ลมาจากพระเจ้าจริงๆ  หรือ พิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า พระเจ้ามีจริง และ ไบเบิ้ลนั้นมาจากพระเจ้า
            หรือ เราถามว่า : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอัล-กุรอานไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถ้าตอบว่า : ก็เพราะอัล-กุรอานได้บอกเอาไว้ ...ถ้าตอบอย่างนี้ถือว่าผิดพลาดในการใช้เหตุผล ทั้งนี้ก็เพราะ ผู้ที่ถามเขาไม่เชื่อว่าอัล-กุรอานมาจากพระเจ้า... เพราะฉะนั้นการที่เราตอบเช่นนั้นถือว่าเราไปทึกทักเอาเองว่าเขาเชื่อว่าอัล-กุรอานมาจากพระเจ้า
            ลองอ่านบทสนทนาต่อไปนี้ดู:
ก. นายฮัมซะชอบกินส้ม
ข. นายฮัมซะจะชอบกินส้มไม่ได้เด็ดขาด
 ก.ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่ผมมีหลักฐานยืนยันว่าฮัมซะชอบกินส้ม
ข. ก็เพราะมันค้านกับความเชื่อของผม
            ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่านาย ข. ใช้เหตุผลที่ผิดพลาด เพราะไปทึกทักเอาเองว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นเป็นจริง ทั้งๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์
Complex Cause  
บี เป็นสาเหตุทำให้เกิด เอ ขึ้น ... จริง แต่ไม่ใช่ บี อย่างเดียว  แต่มีสาเหตุอื่นๆอีกที่มีส่วนพอๆกันที่ทำให้เกิด เอ ขึ้นมา


Wrong Direction
 เอ ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิด บี แต่กลับกัน บีต่างหากที่ทำให้เกิด เอ ขึ้น 

Examples:
(i) Cancer causes smoking.

(ii) The increase in AIDS was caused by more sex education. (In fact, the increase in sex education was caused by the spread of AIDS.)  การใช้ถุงยาง กับ โรคเอดส์
Genuine but Insignificant Cause  
เอ เป็นสาเหตุทำให้ บี เกิดขึ้นจริง แต่ เอมีส่วนน้อยมากที่ทำให้เกิด บีขึ้น แต่จะต้องไปหากันว่า แล้วอะไรเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิด บีขึ้น


Examples:
(i) Smoking is causing air pollution in Edmonton. (True, but the effect of smoking is insignificant compared to the effect of auto exhaust.)

Joint Effect  
ทึกทักเอาว่าที่ เกิด เอ ขึ้นก็เพราะ บี เป็นสาเหตุทำให้ เอ เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง เอ และ บี เกิดขึ้นมาโดยมี ซี เป็นสาเหตุหลัก 
Examples: 
(i) We are experiencing high unemployment which is being caused by a low consumer demand. (In fact, both may be caused by high interest rates.)
Coincidental Correlation (post hoc ergo propter hoc) 
ไม่จำเป็นต้องเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิ่งนั้นๆขึ้น ถึงแม้ว่าดูผิวเผินแล้วเหมือนจะใช่สาเหตุ
Examples:   
(i) Immigration to Alberta from Ontario increased. Soon after, the welfare rolls increased. Therefore, the increased immigration caused the increased welfare rolls.
Converse Accident
นำเอากฎข้อยกเว้นมาใช้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วต้องใช้กฎเกณฑ์โดยทั่วไป  

Examples:
(i) Because we allow terminally ill patients to use heroin, we should allow everyone to use heroin.   คือโดยทั่วไปแล้วเฮโรอินเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต แต่ก็อาจจะอนุญาตในบางกรณีเท่านั้น ไม่ใช่เพราะการที่มีคนหนึ่งสามารถใช้เฮโรอินได้แล้วจะหมายความว่า ทุกคนก็สามารถใช้ได้ด้วย


Accident
ในความเป็นแล้วจะต้องใช้กฎข้อยกเว้น แต่กลับนำกฏเกณฑ์โดยทั่วไปมาใช้  
Examples:
(i) The law says that you should not travel faster than 50 kph. Thus, even though your father could not breathe, you should not have travelled faster than 50 kph.
โดยปรกติไม่อนุญาตให้ขับเร็วเกิน 50 ก.ม. ต่อชั่วโมง แต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้น ไม่ใช่จะไม่อนุญาตให้ขับเร็วเกิน 50 ก.ม. ต่อชั่วโมงทุกสถานการณ์
Fallacy of Exclusion
หลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดขาดหายไป ซึ่งยังผลทำให้ได้ข้อสรุปอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้านำหลักฐานที่ขาดหายไปมาแล้ว ก็จะทำให้ข้อสรุปเปลี่ยนไปจากเดิมในทันที
The requirement that all relevant information be included is called the "principle of total evidence".
Slothful Induction 
ไม่ยอมรับผลหรือข้อสรุปที่มีหลักฐานพอเพียงมาสนับสนุน และกล่าวในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับผลสรุปนั้น
Examples:
(i) Hugo has had twelve accidents in the last six months, yet he insists that it is just a coincidence and not his fault. (Inductively, the evidence is overwhelming that it is his fault. This example borrowed from Barker, p. 189)

False Analogy
เปรียบเทียบว่า ก. และ ข. ว่ามีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน แต่เมื่อวิเคราะห์ดูในรายละเอียดของ ก. และ ข. แล้ว ก. และ ข. ไม่เหมือนกัน ที่จะสามารถนำใช้เปรียบเทียบกันได้ 

เช่น เปรียบคนที่ยืนหลังอิหม่ามที่อ่านอัล-กุรอานนานว่าเหมือนหนูเห็นเหล็ก คือ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเพราะไม่รู้ความหมาย  หรือชีอะฮฺเปรียบเทียบ ว่ารุก่นอีหม่าน 5 ข้อไม่มีกล่าวเอาไว้ในอัล-กุรอาน เหมือนกับที่ ละหมาดมัฆริบไม่ได้ถูกกล่าวเอาไว้ในอัล-กุรอาน หรื่อ เปรียบเทียบว่า อัล-กุลัยนี่เชื่อถือไม่ได้เพราะในฮะดีษของเขาระบุว่าอัล-กุรอานไม่สมบูรณ์ โดยเทียบกับอิหม่ามบุคคอรี โดยบอกว่าในหนังสือของอิหม่ามบุคอรีก็มีฮะดีษดออีฟเช่นกัน
Unrepresentative Sample
สุ่มตัวอย่างไม่ถูกต้อง โดยไม่ครอบคลุมพอ
Hasty Generalization  
ด่วนสรุป และเหมารวมว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น 
Style Over Substance
เอาลีล่า หรือเทคนิคในการนำเสนอหลักฐานมาเป็นเครื่องตัดสินความถูกต้อง โดยที่ไม่ดูที่เนื้อหาสาระ  ดังนั้นสไตล์หรือลีล่าในการนำเสนอข้อมูล ไม่มีผลทำให้ตัวเนื้อหาเป็นจริง หรือเป็นเท็จขึ้นมาได้

Anonymous Authorities
ยกหลักฐานอ้างอิงแต่ไม่บอกแหล่งที่มา หรือ ตัวบุคคลว่าเป็นใคร  เพียงแต่ยกหรืออ้างขึ้นมาลอยๆเท่านั้น  ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้


Appeal to Authority (argumentum ad verecundiam)
            มีความผิดพลาดในการยกหลักฐานมาสนับสนุน เช่น บุคคลที่ยกมาอ้างนั้น ไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญโดยตรงในเรื่องนั้นๆ  หรือ ยกผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆมาจริง แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆขัดแย้งกัน หรือ ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้น เพียงพูดออกมาลอยๆ ไม่จริงจังอะไร
            ในการอ้างผู้รู้นั้น เราจะต้องถามก่อนว่า เรื่องที่เรากำลังถก หรือ พูดคุยกันอยู่นั้นเป็นเรื่องอะไร  และผู้รู้ หรือ นักวิชาการที่ถูกมาอ้างเพื่อสนับสนุนจุดยืนหนึ่งจุดยืนใดนั้น เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะในด้านนั้นๆ ที่กำลังถกกันหรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่ การอ้างอิงก็ย่อมไม่มีน้ำหนัก   /  ความเป็นผู้รู้ โดยตัวของมันเองไม่สามารถที่ใช้เป็นหลักฐานได้ แต่สิ่งที่ใช้เป็นหลักฐานข้อยืนยันก็คือ สิ่งที่ผู้รู้คนนั้นได้พิสูจน์ให้ดูอย่างเป็นรูปธรรมในสิ่งที่เขาได้อ้างเป็นจุดยืน  ในกรณีที่มีการอ้างผู้รู้ที่ไม่เฉพาะด้าน

           
Attacking the Person (argumentum ad hominem)
หนึ่งในบรรดาการใช้เหตุผลที่ผิดพลาด หรือ ที่เรียกว่าเหตุผลวิบัติก็คือ การที่คนๆหนึ่งแทนที่จะไปหักล้างโดยตรงที่หลักฐานหรือเหตุผลที่อีกฝ่ายได้ยกมา  แต่กลับมุ่งโจมตีไปที่ตัวบุคคลนั้นที่ยกเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงขึ้นมาแทน  อาจจะโจมตีที่ บุคลิก เชื้อชาติ  ศาสนา การศึกษา หรือ สภาพแวดล้อมของคนนั้นๆ หรือ โจมตีว่าคนนั้นๆไม่ยอมปฏิบัติตามที่ตัวเองบอก  หรือโจมตีว่า คนนั้นๆเรียนก็ไม่จบ  ทั้งนี้เพราะไม่สามารถหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานที่เขาผู้นั้นยกมาได้  จึงต้องสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้างที่หลักฐานหรือเหตุผลที่เขาผู้นั้นยกมาได้แล้ว  แต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  
หนึ่งในความผิดพลาดในการใช้เหตุผลก็คือ การปฎิเสธหลักฐานหรือเหตุผลของอีกฝ่ายที่ได้นำเสนอ โดยใช้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความจริงที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายที่ได้นำเสนอหลักฐานและเหตุผลในเป็นเหตุผลในการปฎิเสธ และสร้างภาพว่า การปฎิเสธของตนเองนั้นตั้งอยู่บนหลักฐานและเหตุผลที่แท้จริง  ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
 เช่น นาย ก. พูดกับนาย ข.ว่า ผมเชื่อว่าการทำแท้งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรม นาย ข. ก็ตอบกลับว่า แน่นอนล่ะซิ ก็เพราะว่าคุณเป็นพระ คุณเลยกล่าวเช่นนั้น นาย ก. ก็ตอบไปเช่นกันว่า แล้วคุณจะว่าอย่างไรกับหลักฐานและเหตุผลที่ผมได้นำเสนอไปเพื่อพิสูจน์จุดยืนของผมว่าการทำแท้งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรม นาย ข. เพียงตอบกลับมาว่า หลักฐานและเหตุผลที่คุณยกมาไม่มีความหมายอะไร เพราะอย่างที่ผมบอกคุณไปแล้วว่า เพราะคุณเป็นพระ ดังนั้นคุณจึงกล่าวว่า เช่นนั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังบวชมาหลายปี คุณจึงมีความคิดเช่นนั้น ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อในสิ่งที่คุณพูด’  ความผิดพลาดในการใช้เหตุของ นาย ข. เช่นนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า  Fallacy: Ad Hominem หรือ  against the man  or  against the person

           หรือ เช่น นาย ก. ซึ่งเป็นมุสลิมนำเสนอหลักฐานยืนยันกับนาย ข. ซึ่งเป็นชาวคริสต์ว่า  คัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข นาย ข. จึงกล่าวว่า คุณพูดเช่นนี้ก็เพราะคุณเป็นมุสลิม คุณไม่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่แรกแล้ว นาย ก. จึงกล่าวกลับไปว่า แล้วคุณจะว่าอย่างไรกับหลักฐานและเหตุผลที่ผมได้นำเสนอเพื่อพิสูจน์ในจุดยืนของผม นาย ข. จึงกล่าวเพียงว่า หลักฐานเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไร เพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ที่คุณพูดเช่นนี้ก็เพราะคุณเป็นมุสลิม และยิ่งคุณพยายามจับผิดไบเบิ้ลมาโดยตลอดด้วย  ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อในสิ่งที่คุณกล่าว

Appeal to Popularity (argumentum ad populum)
เชื่อว่าถูกต้องและเป็นจริงเพียงเพราะ มีผู้คนจำนวนมาก เชื่อเช่นนั้น หรือเพียงเพราะ อารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัวพาให้เชื่อไปเช่นนั้น


Prejudicial Language
ใช้ถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกส่วนตัว หรือถ้อยคำที่ทำให้ใครที่ไม่เชื่อเหมือนตนเองดูเหมือนเป็นคนผิด  ทั้งนี้เพื่อจูงใจคนให้เชื่อในเหตุผลของตนเอง 
Examples:
(i) Right thinking Canadians will agree
Appeal to Consequences (argumentum ad consequentiam)
ใช้ผลที่จะตามมาเป็นเหตุผลทำให้อีกฝ่ายเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการพิสูจน์  เช่น คนๆหนึ่งไม่ต้องการให้คนอีกคนหนึ่งรับอิสลามก็เลยพูดว่า  อย่ารับอิสลามน่ะ เพราะถ้าคุณรับอิสลามแล้ว คุณจะต้องถูกมองเป็นผู้ก่อการร้าย  การที่ถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่สามารถใช้มาเป็นเหตุผลหักล้างความเที่ยงแท้ของศาสนาอิสลามได้  หรือไม่สามารถใช้เป็นเงื่อนไขได้ว่า เพราะฉะนั้น คุณจะต้องไม่รับอิสลาม  การที่คุณรับอิสลามและถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานหรือเหตุผลหักล้างได้เลยว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ไม่แท้จริง 
ความจริงก็คือความจริง ถึงแม้ว่าผลที่จะออกมาจากการเชื่อหรือยึดถือความจริงนั้น จะถูกมองไปในทางลบ หรือทางที่ไม่ดีก็ตาม  เช่น อิสลามคือศาสนาที่แท้จริง ถึงแม้ว่า ผลที่จะตามมาจากการรับอิสลามจะออกมาในทางลบก็ตาม  เพราะผลที่จะออกมาในทางลบนั้น ตัวมันเองไม่ได้เป็นเหตุผลหรือหลักฐานหักล้างความเป็นศาสนาที่แท้จริงของอิสลามได้  
หรือสมมุติ คนสองกลุ่มทะเลาะกัน และเราก็รู้ว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มที่ถูกต้อง แต่กลุ่มที่อยู่บนความจริง อยู่บนความถูกต้องกลับถูกมองในแง่ลบ ในทางที่เสียหาย โดยคนทั่วไป  แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมขอถามคุณว่า ถ้าคุณเป็นผู้รักความจริง รักความยุติธรรม คุณจะเลือกเข้าข้างฝ่ายไหน?.... ( หรือ สองประเทศกำลังรบกัน หรือเรื่องอื่นๆ)
โลจิคข้อนี้ต่างกับคำพูดที่ว่า อย่าขับรถฝ่าไฟแดงน่ะ เพราะคุณจะถูกตำรวจจับ  ซึ่งสามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ เพราะเราพิสูจน์รู้แล้วว่า ข้อความที่ว่า  เพราะคุณจะถูกตำรวจจับเป็นข้อความที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้  และการขับรถฝ่าไฟแดงโดยตัวของมันก็เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย

Example:
(i) You can't agree that evolution is true, because if it were, then we would be no better than monkeys and apes.

(ii) You must believe in God, for otherwise life would have no meaning. (Perhaps, but it is equally possible that since life has no meaning that God does not exist.)   ชี้แจง: เราไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เพราะกลัวว่าชีวิตในโลกนี้จะไร้เป้าหมาย แต่เราเชื่อในพระเจ้าเพราะเราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานอื่นๆที่เชื่อถือได้ แต่ความรู้สึกว่าชีวิตมีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมายเป็นผลพลอยได้จากการเชื่อในพระเจ้า 

Appeal to Pity (argumentum ad misercordiam)
ใช้ความน่าสงสาร หรือความน่าเห็นอกเห็นใจ มาเป็นเหตุผลให้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่ตนเองนำเสนอ เช่น นาย หนึ่ง กับ นาย สอง โต้วาทีกัน  ผลที่ปรากฏออกมาก็คือ นาย สอง โต้นายหนึ่งไม่ได้เลย แต่นายสองก็กล่าวกับ ผู้ฟังว่า วันนี้ทั้งๆที่ผมป่วยมาก แต่ผมก็ยังมาโต้วาที แต่สงสัยว่านายหนึ่งคงไม่ทราบว่าผมป่วยกระมั่ง   จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่านายสองจะป่วยก็ตาม แต่นั้นก็มิได้เป็นเหตุผลทำให้ผู้ฟังต้องเชื่อในสิ่งที่นายสองได้นำเสนอ หรือ ไปหักล้างเหตุผล หรือหลักฐานของนายหนึ่งได้  
มีในบางกรณีเราจะต้องใช้วิจารณญาณของเราเองในการตัดสิน เนื่องจากความไม่ชัดเจน เช่น นักเรียนได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้ทำงานชิ้นหนึ่ง ให้เวลา 3 เดือน  3 เดือนได้ผ่านไปโดยที่นักเรียนคนนั้นทำงานยังไม่เสร็จเลย พอเจออาจารย์ก็พูดกับอาจารย์ว่า          อาจารย์ครับ ผมป่วยเข้าโรงพยาบาล เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจึงยังทำงานไม่เสร็จ


Appeal to Force (argumentum ad baculum)
ใช้ผลร้ายที่จะตามมา มาเป็นเหตุผลทำให้คนใดคนหนึ่งเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้นำเสนอ
Examples:
(i) You had better agree that the new company policy is the best bet if you expect to keep your job.  


Complex Question
คนๆหนึ่งนำเสนอสิ่งสองสิ่งดูคล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน หรือ เป็นประเด็นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องหรือเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป โดยที่คนๆนั้นต้องการให้คุณ ยอมรับทั้งสองพร้อมๆกัน หรือ ไม่ก็ปฏิเสธทั้งสองพร้อมๆกัน ซึ่งความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเลย  หรือ คนๆหนึ่งพูดหรือถามคำถามโดยทึกทักเอาเองว่า ผู้ที่ถูกถามนั้น มีทั้งสองสิ่งพร้อมๆกัน 


Examples:
(i) You should support home education and the God-given right of parents to raise their children according to their own beliefs.


Slippery Slope
คนๆหนึ่งต้องการที่จะปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ ห้ามไม่ให้ใครทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยใช้ผลเสียของสิ่งนั้นๆที่จะตามมาเป็นเหตุผลสนับสนุนจุดยืนของตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องมีผลเสียติดตามมา 
Examples:
(i) If we pass laws against fully-automatic weapons, then it won't be long before we pass laws on all weapons, and then we will begin to restrict other rights, and finally we will end up living in a communist state. Thus, we should not ban fully-automatic weapons.
Argument From Ignorance (argumentum ad ignorantiam)
ทึกทักเอาเองว่าเหตุผลหรือข้ออ้างทั้งหลายนั้น ถ้าไม่เป็นจริง ก็ต้องเป็นเท็จ หรือ ถ้าไม่เท็จ ก็ต้องเป็นจริง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น      
As Davis writes, "Lack of proof is not proof." (p. 59)
Examples:
(i) Since you cannot prove that ghosts do not exist, they must exist. เนื่องจากคุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าญินนั้นมีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่า ญินจะต้องมีอยู่จริง

False Dilemma
จำกัดตัวเลือกให้ฝ่ายตรงข้ามได้เลือก เช่น ตัวเลือก 2 ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องมีเพียงแค่ตัวเลือก 2 ตัวนั้นเท่านั้น แต่ตัวเลือกมีมากว่านั้น การทำเช่นนี้เหมือนกับมัดมือชก 


False Dilemma  คือ
การจำกัดหรือกำหนดตัวเลือกให้ฝ่ายตรงข้ามได้เลือก เช่น กำหนดตัวเลือกให้เลือกเพียง 2 ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องมีเพียงแค่ตัวเลือก 2 ตัวนั้นเท่านั้น แต่ตัวเลือกมีมากว่านั้น การทำเช่นนี้เหมือนกับมัดมือชก  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะโน้มน้าวให้ฝ่ายตรงกันข้ามเชื่อและคล้อยตามในสิ่งตนนำเสนอ เป็นวิธีที่ไม่ซื่อสัตย์ ถ้าฝ่ายที่ถูกชักชวนด้วยวิธีนี้ไม่รู้ วิธีการโต้ตอบ ก็อาจจะหลงและคล้อยตามได้ โดยถูกบังคับทางอ้อมให้เลือกในสิ่งที่เขานำเสนอมาให้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงตัวเลือกไม่ได้มีเพียงแค่นั้น  
- นำเสนอสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา และสรุปเอาเองว่า ถ้าทำตามสิ่งที่ตนเองได้นำเสนอแล้วจะทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น .... แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสิ่งที่ ถูกนำเสนอ และสิ่งที่เขาผู้นั้นอ้างว่า จะได้จากการทำตามสิ่งที่เขานำเสนอนั้น ต่างก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับการพิสูจน์ความถูกต้อง และความเป็นจริงทั้งคู่  เช่น คำพูดที่ว่า มาออกตับลีฆ 40 วันซิ แล้ว อิหม่านจะเพิ่มอย่างแน่นอน ตรงนี้เราจะต้องมาพิสูจน์กันก่อนว่า 1. ทำไมต้องออกตับลีฆ และ 2. อิหม่านจะเพิ่มเพราะออกตับลีฆ  3. ตกลงถ้าไม่ออกตับลีฆฺแล้วอีหม่านจะไม่เพิ่มใช่ไหม

A deductive argument เป็นการให้เหตุผลที่มี ข้อเสนอที่จะมีผลทำให้ข้อสรุปถูกต้องและเป็นจริง   และถ้าข้อเสนอเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ข้อสรุปจะเป็นสิ่งที่ผิด ( การที่จะได้ข้อสรุปที่เป็นจริงออกมานั้น สิ่งที่ใช้นำเสนอทั้งหมดจะต้องถูกต้องและเป็นจริงด้วย ) ( สิ่งที่นำเสนอยืนยันถึงความเป็นจริงของข้อสรุปที่จะมีมา แต่ที่สำคัญ ข้อเสนอจะต้องเป็นจริงด้วย )
There are 32 books on the top-shelf of the bookcase, and 12 on the lower shelf of the bookcase. There are no books anywhere else in my bookcase. Therefore, there are 44 books in the bookcase.   

An inductive argument   เป็นการให้เหตุผลที่มีข้อเสนอที่ได้ข้อสรุปที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความจริง  โดยประเภทนี้จะมีการให้ข้อนำเสนอที่มีน้ำหนักมาก จนกระทั่งว่าถ้าข้อเสนอเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าข้อสรุปจะผิดพลาด
It has snowed in Massachusetts every December in recorded history.
Therefore, it will snow in Massachusetts this coming December.  ( ไม่มีอะไรมายืนยันได้ 100 % ว่าหิมะจะตกในเดือนธันวาคมที่จะมาถึง พูดได้แต่ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้น)

- ข้อสรุปไม่จำเป็นจะต้องอยู่ท้ายประโยคเสมอไป อาจจะอยู่หน้าสุด หรือกลางประโยคก็ได้ 
- ( arguments คือ คำพูดที่เราใช้เพื่อพยายามทำให้ใครคนใดคนหนึ่งมั่นใจ ต่อบางสิ่งที่เรากำลังนำเสนอต่อเขา หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ arguments คือ เหตุผลต่างๆที่ถูกนำเสนอเพื่อให้เกิดการยอมรับในข้อสรุปบางอย่าง)
-  ( แต่ เราจะต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง คำที่กล่าวขึ้นมาลอยๆเพื่อยืนยัน หรือ บอกกล่าวสิ่งหนึ่งสิ่งใด กับ คำที่กล่าวออกมาเพื่อพยายามทำให้ใครคนใดคนหนึ่งมั่นใจ ต่อบางสิ่งที่เรากำลังนำเสนอต่อเขา ) 
- ( ไม่เสมอไปที่เหตุผลที่คนๆหนึ่งให้ออกมาเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อในข้อสรุปของตนเอง จะไปสนับสนุนข้อสรุปของคนๆนั้น )
- ( สิ่งที่นำเสนออาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นก็ตาม ไม่เป็นเหตุผลเสมอไปที่จะได้ข้อสรุปเช่นนั้นเช่นนี้ออกมา)  ( แต่หลายๆกรณีที่ ถ้าสิ่งที่นำเสนอเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้ว ข้อสรุปที่ได้ออกมาก็จะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ด้วย )   
-  ( อีกอย่างก็คือ เราจะต้อง แยกแยะให้ออกระหว่าง สิ่งที่เรียกว่า  argument  และ explanation เพราะถ้าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเห็นด้วยกับข้อสรุปนั้นแล้ว เหตุผลที่ให้ออกไปจะถูกเรียกว่า เป็นคำอธิบายต่อสิ่งนั้นๆ )  
- All popes reside at the Vatican.
John Paul II resides at the Vatican.
Therefore, John Paul II is a pope.
   ( ตรงนี้ถ้าจะจี้ให้เกิดความชัดเจนแล้ว เราจะต้องถามว่า เฉพาะโป๊ปอย่างเดียวเท่านั้นใช่ไหมที่อยู่ในวาทิกัน คนอื่นที่ไม่ใช่โป๊ปไม่มีเลยใช่ไหม )
Arguments with this form are invalid. This is easy to see with the first example. The second example may seem like a good argument because the premises and the conclusion are all true, but note that the conclusion's truth isn't guaranteed by the premises' truth.
( ไม่จำเป็นเลยว่า ถ้าข้อเสนอเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นความจริงแล้ว จะบังคับให้ข้อสรุปเป็นจริงไปด้วยโดยไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ บางทีข้อสรุปที่ได้ออกมาอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้อย่างเช่นในกรณีนี้  )
- เลือกที่จะโจมตีที่ตัวบุคคล โดยละเลยที่จะหักล้างหลักฐาน หรือเหตุผลที่เขาผู้นั้นได้นำเสนอ

- พยายามทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามโกรธ ด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด หรือแสดงอาการที่เสียมารยาทใส่  วิธีที่ดีที่จะจัดการกับสภาพเช่นนี้ก็คือ ให้แสดงอาการขบขันต่อสิ่งๆนั้นแบบพอควร และ อยู่ในอาการสงบมากกว่าที่จะแสดงอาการโกรธออกมา

- มุ่งโจมตีในจุดๆหนึ่งของฝ่ายตรงกันข้าม ที่สามารถบิดเบือนให้ดูเกินความจริงไปได้

- การที่มีผู้รู้สองกลุ่มขัดแย้งกันในประเด็นหนึ่งประเด็นใด แล้วไปเหมาว่า พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆโดยรวม...ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เช่น นักประวัติศาสตร์ 2 กลุ่ม ขัดแย้งกันว่า ฮิตเลอร์ ฆ่ายิวไปกี่คน กลุ่มที่ 1 บอกว่า 6 ล้านคน ส่วนกลุ่มที่ 2 บอก 5 ล้านคน... เพราะฉะนั้นจึงสรุปเหมารวมเอาว่า ทั้งสองกลุ่มไม่รู้จริงในเรื่อง เหตุการณ์นี้...ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองกลุ่มรู้ดีในเหตุการณ์นี้ เพียงแต่ขัดแย้งกันในรายละเอียดบางอย่างเท่านั้น...
- เอาผลเสียที่จะเกิดขึ้นในประด็น หรือกรณีหนึ่งกรณีใด มาเป็นตัววางเงื่อนไขบังคับให้เกิดสิ่งหนึ่งๆขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย  เช่นถ้าคุณไม่รับศาสนาคริสต์ คุณจะต้องมีบาปติดตัวไปตลอด

- เลือกที่จะนำเสนอแต่หลักฐาน หรือเหตุผลที่สนับสนุนจุดยืนของตนเอง แต่ละเลยต่อหลักฐานที่จะมาหักล้างจุดยืนของตนเอง

- สมมุติเอาเองว่ามีเพียงแค่สองตัวเลือก แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากกว่านั้น

- การที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นๆจะไม่มี

ถามคำถามฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่อาจจะที่จะตอบแบบกระฉับ หรือตอบแบบสั้นๆได้ หรือถามคำถามที่ถ้าตอบไปแล้วผู้ฟังไม่อาจที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานมาพอสมควรในเรื่องนั้นๆ
           
- ถามคำถามที่บ่งให้รู้ว่า ผู้ถามได้ทึกทักเอาเองว่าผู้ถูกถามจะต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้

- ทำให้สิ่งที่ต้องใช้เป็นกฏโดยทั่วไป  มายืนยันว่าต้องเป็นเช่นนั้นในทุกๆกรณี โดยไม่มีข้อยกเว้น  เช่นกฏโดยทั่วไปเมื่อไฟแดง จะต้องหยุดรถ นี่คือกฏทั่วไป แต่กระนั้นก็ตามอนุญาตให้ผ่าไฟแดง ได้ในกรณีที่ฉุกฉิน

พูดอะไรให้เกินกว่าที่เป็นจริง  หรือทำให้สิ่งบางสิ่งดูง่ายดายเกินกว่าความเป็นจริง ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันมีอะไรที่ซับซ้อนไปมากกว่านั้น          
- พยายามดิสเครดิตแหล่งอ้างอิงของฝ่ายตรงกันข้าม

- ใช้คำพูดที่ เร้าอารมณ์ ความรู้สึก เพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามมากกว่าที่จะใช้หลักฐาน และเหตุผล

- Argument By Personal Charm ใช้ความมีเสน่ห์ส่วนตัว หรือ ความเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ทำให้คนคล้อยตามในสิ่งที่พูด โดยที่ผู้ที่คล้อยตามก็มิได้พิจารณาถึง หลักฐาน และเหตุผล ที่ผู้พูดได้นำเสนออย่างรอบคอบ

- ใช้ความน่าสงสารของตัวเอง  มาเป็นหลักฐานพิสูจน์จุดยืนของตัวเอง หรือเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นนั้นๆ

- นำเสนอสิ่งหนึ่งที่ตัวมันเองจะต้องได้รับการพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จ มาเป็นเสมือนข้อเท็จจริง  และนำสิ่งที่ถูกทึกทักว่าเป็นความจริงนั้น ไปพิสูจน์สิ่งอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งอย่างใดมา 

- ทึกทักเอาไว้คนหนึ่งคนใดที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว  เขาจะเชี่ยวชาญในรายละเอียด หรือสาขาที่แตกออกไปจากเรื่องนั้นๆด้วย ...ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเช่นนั้น

- อ้างอิงหลักฐานอย่างลอยๆ เช่นผู้รู้กล่วว่า นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า  ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ... เพราะเราไม่สามารถที่จะไปสืบค้น พิสูจน์ได้เลยว่า สิ่งที่อ้างมานั้นเป็นจริงหรือเท็จ  .... แต่ในทางศาสนาแล้ว เราจะต้องอ้างดังนี้เช่น ท่านอิบนุฮะญัรกล่าวว่าเอาไว้ใน ฟัตฮุลบารีว่า บรรดาอุละมาอฺในยืนยันเอาไว้ว่า....

- ถ้าจะให้ดูน่าเชื่อถือจะต้อง ยกคำพูดของเจ้าของคำพูดมาเลย พร้อมบอกถึงบริบทที่เจ้าของคำพูดนั้นๆออกมา

- อ้างอิงหลักฐาน แต่หลักฐานที่อ้างนั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไปสนับสนุน ข้ออ้างของเขาผู้นั้นเลย  หรืออ้าง ผู้ที่เชี่ยวชาญ ซึ่งดูภายนอกดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่ ถ้าวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่าเขาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้รู้ในด้านนั้นๆ
- ยกคำพูด หรือหลักฐานออกนอกบริบท หรือตัดต่อ ศัลยกรรมหลักฐาน... ที่สำคัญเราจะต้องยกสถานการณ์ หรือสภาพแวดล้อมที่คนๆนั้นพูดสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกมา

- เอาการเปลี่ยนจุดยืนในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ของคนหนึ่งๆมาเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของสิ่งนั้น... ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราจะต้องถามไปว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนจุดยืนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นสิ่งหนึ่ง เขามีอะไรเป็นหลักฐานสนับสนุนตัวเอง ...หรือให้ถามกลับไปว่า ช่วยพิสูจน์มาว่า จุดยืนของเรานั้นผิดตรงไหน

- สิ่งหนึ่งที่ใดที่มีลักษณะที่คล้ายกัน ไม่จำเป็นว่าสองสิ่งนั้นจะมีความเกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กัน

- นำสิ่งที่เป็นรูปธรรม มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นนามธรรม

- สองสิ่งเกิดขึ้น แต่ไม่จำเป็นว่าสิ่งหนึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอีกสิ่งขึ้น

- อ้างสาเหตุที่ผิด เพื่ออธิบายว่าสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นเพราะอะไร

- เอาสาเหตุเพียงอย่างเดียวมาอธิบายสิ่งหนึ่งๆที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่สิ่งนั้นๆที่เกิดขึ้นมาปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ
Division
- ทึกทักเอาเองว่า ภาพรวมของสิ่งๆหนึ่ง ก็มีลักษณะที่เหมือนกันกับรายละเอียด หรือส่วนปลีกย่อยของสิ่งๆนั้น  เช่น พูดว่า อะตอมเป็นสิ่งที่ไร้สี  แมวประกอบไปด้วยอะตอม ดังนั้นแมวจึงเป็นสิ่งที่ไร้สี   

- ทึกทักเอาเองว่า สิ่งที่เป็นจริงหรือเกิดขึ้นจริงกับสิ่งๆหนึ่งเมื่อมองโดยภาพรวม ต้องเป็นจริงหรือเกิดขึ้นจริงด้วยกับสิ่งๆนั้น ถ้ามองในรายละเอียด หรือปลีกย่อย  เช่นพูดว่า มนุษย์เราประกอบไปด้วยอะตอม  และมนุษย์เราเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกนึกคิด  เพราะฉะนั้นอะตอมจึงต้องมีความรู้สึกนึกคิดด้วยเช่นกัน

- นำกลุ่มของสิ่งต่างๆขึ้นมาเสนอ โดยเสนอแนวทางราวกับว่า ถ้ารับก็จะต้องรับสิ่งต่างๆทั้งหมด หรือถ้าปฏิเสธก็จะต้องถือว่าปฏิเสธทั้งหมด  แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งแต่ละสิ่งนั้นสามารถที่จะถูกยอมรับ หรือถูกปฏิเสธ ด้วยตัวของมันเองอย่างเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นเงื่อนไขว่าถ้าปฏิเสธ ข้อที่ 1 นั่นหมายความว่าเท่ากับปฏิเสธ ข้อที่ 2 3 4 5 ไปด้วย หรือ ถ้ายอมรับในข้อที่ 1 นั่นหมายความว่าเท่ากับยอมรับ ข้อที่ 2 3 4 5 ไปด้วย ... เปล่าเลย แต่ทว่า แต่ละข้อนั้นเป็นอิสระจากกันและกันในการที่จะถูกยอมรับ หรือ ปฏิเสธ ... เช่นพูดว่า คุณสนับสนุนเสรีภาพ และ สิทธิ์ที่จะพกพาอาวุธไปไหนก็ได้ ไหม .... ไม่จำเป็นเลยว่าถ้าผมเห็นด้วยกับเสรีภาพ แล้วจะเป็นเงื่อนไขบังคับผมว่า เพราะฉะนั้นผมจะต้องเห็นด้วยกับการอนุญาตให้พกพาอาวุธไปไหนก็ได้... เปล่าเลย  หรือ เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด ไม่จำเป็นเลยว่า ถ้าเราเห็นด้วยกับจุดหนึ่งจุดใดของหนังสือ แล้วจะหมายความว่า เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่หนังสือเล่มนั้นกล่าว

- ทึกทักเอาเองว่า ถ้าอนุญาต หรือยอมให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้น ย่อมจะทำให้สิ่งที่ไม่ดีอีกสิ่งเกิดขึ้นตามมาด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน เช่น พูดว่า ถ้าผมยกเว้นคุณ มันก็จะทำให้ผมยกเว้นคนอื่นๆไปด้วย ... ซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขที่จะมาบังคับกันว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเลย

- ในสิ่งที่นำมาเป็นหลักฐานนั้น มีทั้งความจริง และความเท็จปนกันอยู่

- นับแต่เป้าที่โดน แต่เป้าที่พลาดไม่ยอมนับ ... มองแต่ด้านที่เป็นบวก หรือด้านที่ได้เปรียบ แต่ไม่ยอมมองด้านลบ หรือ ด้านที่จะทำให้เสียเปรียบ 

- เลือกที่จะหักล้าง แต่หลักฐานของอีกฝ่ายที่ง่ายต่อการหักล้าง และสร้างภาพว่า ตนเองได้ชนะเหนือฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว โดยที่ละเลยที่จะหักล้างหลักฐานที่ยากที่จะหักล้างได้ของอีกฝ่าย
- นำเสนอคำอธิบายที่แปลกประหลาดต่อเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้น แทนที่จะคิดหาคำอธิบายที่ธรรมดาทั่วไปที่เป็นไปได้เสียก่อน
- ทึกทักเอาว่า สถานภาพของคนหนึ่ง จะคงอยู่กับเขาคนนั้นตลอดเวลาไม่ว่าเขาผู้นั้นจะในสถานการณ์ไหนก็ตามหรือ บริบทไหนก็ตาม.... ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่  เช่นาย ยศ พูดว่า      สมศักดิ์พูดกับผมว่า เขาต้องการพบเพื่อนบ้านใหม่ของเขาคืนนี้ที่ชื่อโอชา  แต่ผมรู้มาว่านายโอชาคนนี้เป็นสายลับ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าสมศักดิ์ต้องการพบสายลับในคืนนี้  
จะเห็นได้ว่านาย ยศได้ทึกทักเอาเองอย่างไม่ถูกต้องว่า การที่นายโอชาถูกรู้จักในสถานการณ์หนึ่งว่าเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง (ในที่นี้คือสายสืบ)   แล้วจะหมายความว่านายโอชาคนเดียวกันนั้นจะต้องเป็นเช่นนั้นในอีกสถานการณ์หนึ่งด้วย

--ใช้ข้ออ้าง เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของข้อสรุป และใช้ข้อสรุปเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของข้ออ้าง  วนกันไปวนกันมา
- ละเลยต่อสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งๆหนึ่งที่เกิดขึ้น และ นำสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงมาทึกทักเอาว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งๆนั้นที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
-  ทึกทักเอาเองว่า ถ้าทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นเหตุทำให้ต้องทำสิ่งอื่นๆตามมาด้วย โดยที่ไม่อธิบายเหตุผลหรือความเกี่ยวข้องกันว่า ทำไมเมื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว จะต้องเป็นเหตุให้ทำสิ่งอื่นๆตามมาด้วย
-ปกป้องการอ้างเหตุผลที่ผิดของตนเองด้วยการ อ้างว่าทีคนนั้นๆยังทำเลย 
-ให้ความหมายผิด หรือสร้างภาพที่ลบจากที่เป็นจริง เพื่อทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามถูกมองในทางที่เสียหาย หรือในทางที่ลบ เช่น ภาษีได้ถูกให้คำนิยามว่าเป็น รูปแบบหนึ่งของการขโมย ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการเก็บภาษาถูกมองในทางที่ไม่ดี ... หรือ อะฮฺลุซซุนนะฮฺถูกนิยามอย่างผิดๆ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิดว่า คือกลุ่มที่ตามซอฮาบะฮฺ โดยทิ้งลูกหลานนบี ... หรือ นิยามว่า วะฮาบีคือ พวกหัวรุนแรง สุดโต่ง
- ปฏิเสธข้อสรุป ทั้งๆที่หลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นเช่นนั้น  เช่นตัวอย่างต่อไปนี้
ผลสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าออกมาว่า พรรค A จะได้ที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่า 10 ที่นั่ง แต่กระนั้น หัวหน้าพรรค A กลับอ้างว่า พรรคเราสามารถทำได้ดีกว่าที่ผลสำรวจได้ทำออกมา 
ในกรณีเช่นนี้ให้เราพยายามชี้ให้เขาเห็นถึงหลักฐาน และความน่าเชื่อถือของหลักฐาน 
- เหตุผลที่ให้มาเป็นข้อสรุปนั้นไม่ได้ไปสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เช่นพูดว่า สาเหตุที่เขาพ่ายแพ้ในการโต้วาทีก็เพราะ เหงื่อที่หน้าผากเขา
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การที่มีเหงื่อออกที่หน้าผากนั้น ไม่มีผลเลยต่อการที่เขาต้องพ่ายแพ้ในการโต้วาที
-คำอธิบายที่ไม่ใช่คำอธิบายที่แท้จริง.... เช่นพูดว่า โรนัล เรเกน มีความคิดที่นิยมทางทหาร ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนอเมริกา...   ความเป็นชาวอเมริกาของเขาไม่ใช่คำอธิบายถึงสาเหตุที่เขามีความนิยมในทางทหาร เพราะถ้าเราถ้ากลับไปว่า นั่นก็หมายความว่า ชาวอเมริกาทุกคนนั้นมีความนิยมในทางทหาร...ใช่ไหม...คำตอบก็คือไม่ใช่  ซึ่งตรงนี้เราจะเห็นได้ว่า คำอธิบายที่ให้มานั้น ไม่ใช่คำอธิบายที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะต้องวิเคราะห์ดูให้ดีว่า คำอธิบายที่คนหนึ่งคนใดใช้อธิบายสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ในความเป็นจริงแล้ว คำอธิบายนั้นๆที่เขาให้มานั้น ถือว่าเป็นคำอธิบายที่แท้จริงหรือไม่
-การที่เราไม่สามารถที่จะจิตนาการได้ว่าสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นๆจะถูกเรียกว่า ไร้สาระ หรือเหลวไหล หรือไม่เป็นจริง (argument from ignorance)  ซึ่งต่างกับ สิ่งที่เป็นถูกพิสูจน์แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะมันมีสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวเองอยู่ ( reductio ad absurdum )
- การที่คนหนึ่งคนใดนิ่งเฉยในประเด็นหนึ่งประเด็นใด อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่รู้เรื่องนั้นๆ  และก็อาจจะเป็นไปได้ด้วยว่า เขารู้แต่ไม่พูดอันเนื่องมาจากสาเหตุหนึ่งสาเหตุใด เช่น ผมถามนาย ก.ว่า รู้ภาษาอาหรับไหม  เขาก็ตอบว่า รู้อย่างดีเลยผมก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ช่วยแปล คุณมาจากไหนครับเป็นภาษาอาหรับให้หน่อย แต่นาย ก. กลับพูดว่า ขอโทษด้วยผมไม่มีเวลา ต้องขอตัวก่อน  และถ้าผมถามนาย ก. อยู่โดยเสมอว่าให้ช่วยแปลให้หน่อย และถ้านาย ก. ไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะเป็นข้ออ้างว่าทำไมจึงไม่แปลให้ ถ้าเช่นนั้น ผมสามารถสรุปได้อย่างมีเหตุผลว่า นาย ก. ไม่รู้ภาษาอาหรับ เพราะฉะนั้น คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดที่ว่าทำไม นาย ก.จึงเลี่ยงที่จะไม่แปล ก็คือ เพราะเขาไม่รู้ภาษาอาหรับ  
            แต่ตัวอย่างต่อไปนี้จะแตกต่างกันไปจากตัวอย่างแรก ถ้าสมมุติผมถาม นาย ก. ว่า คุณรู้รหัสผ่านของ อีเมลล์ของภรรยาคุณไหมนาย ก.ก็บอกว่า ใช่ผมรู้  จากนั้นผมก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้นช่วยบอกผมได้ไหม  และนาย ก. ก็ตอบว่า นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณเลยที่จะรู้  และถ้านาย ก. ปฏิเสธอยู่เช่นนั้น ทุกครั้งที่ถูกขอ เช่นนี้  เราไม่สามารถที่จะสรุปได้ว่า เพราะฉะนั้น คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดที่ว่าทำไม นาย ก. ไม่บอก รหัสผ่าน ก็เพราะเขาไม่รู้นั่นเอง  ทั้งนี้เพราะ อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีสาเหตุอื่นๆที่จะมาอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่บอกรหัสผ่านของอีเมลล์ของภรรยายของเขา 
            จะเห็นได้ว่า เราจะต้องวิเคราะห์ไปเป็นกรณีๆไป ก่อนที่จะฟันธงว่าต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้น ศัพท์วิชาการในทางตรรกะจะเรียกในภาษาอังกฤษว่า  Argument from silence 
- ละเลยคำอธิบายที่มีเหตุผลมากที่สุดต่อสิ่งหนึ่งๆที่เกิดขึ้น และไปเลือกเอาคำอธิบายที่แปลกประหลาดมาอธิบาย โดยบังคับให้เป็นเพียงคำอธิบายเดียว... แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราจะต้องเอาคำอธิบายที่สามัญสำนึกคนโดยทั่วไปเข้าใจ คือให้อธิบายสิ่งนั้นตามปรกติ อย่านำความคิดอะไรที่แปลกประหลาดมาอธิบายสิ่งนั้นก่อน ... วิธีจัดการกับคนที่มักทำเช่นนี้ก็คือ ถ้าคุณได้ยินเสียงคนกำลังพิมพ์ดีด ก็อย่าคิดน่ะว่านั้นคือเสียงแป้นพิมพ์ดีดที่มีคนกำลังกดพิมพ์อยู่ แต่ให้พยายามหาคำอธิบายที่ประหลาดๆเข้าไว้ก่อน

 - Subjectivist fallacy   ( คือการที่คนหนึ่งคนใดอ้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า  สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้อาจจะเป็นจริงหรือถูกต้องสำหรับคุณ แต่ไม่ใช่สำหรับผม...ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะสิ่งนั้นๆนอกจากจะเป็นจริงสำหรับตัวผู้พูดแล้วยังเป็นจริงสำหรับคนอื่นๆด้วย เช่น ผมพูดกับคนๆหนึ่งว่า โลกกลม และพิสูจน์ให้ดูด้วย  คนๆนั้นที่ผมพูดด้วยไม่สามารถพูดว่า  โลกอาจจะกลมสำหรับคุณ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่... การพูดเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ไร้สาระ เป็นการอ้างเพื่อที่จะไม่ยอมรับความจริง ซึ่งไร้เหตุผล ฟังไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ให้ข้ออ้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สำหรับคุณแล้วมันอาจจะเป็นจริง เชื่อถือได้ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่เช่นนั้น หรืออะไรทำนองนี้  ก็ให้เราวิเคราะห์ดูว่า มันเป็นจริงหรือไม่   เพราะบางทีสิ่งๆหนึ่งอาจจะเป็นจริงสำหรับคนๆหนึ่ง แต่ไม่เป็นจริงสำหรับอีกคนหนึ่งก็ๆได้เช่น คนสองคนใส่เสื้อชนิดที่มีเนื้อผ้าชนิดเดียวกัน  โดยที่คนหนึ่งรู้สึกไม่สบายตัว แต่ไม่จำเป็นว่า อีกคนก็จะต้องรู้สึกไม่สบายตัวไปด้วย.... เช่นนี้ถือว่ายอมรับได้    แต่ถ้าคนๆหนึ่งได้รับการพิสูจน์หลักฐานอย่างชัดเจนในเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว  จะถือว่าเป็นการไร้สาระ ไร้เหตุผลที่จะอ้างว่า สำหรับคุณแล้วมันอาจจะเป็นจริง เชื่อถือได้ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่เช่นนั้น ... การที่จะให้ได้มาซึ่งความชัดเจนยิ่งขึ้นในขั้นตอนการแสวงหาความจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็คือ เราจะต้อง ถามหาสาเหตุ หรือเหตุผลที่คนๆหนึ่งอ้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเชื่อของเขา เมื่อรู้แล้ว จากนั้นก็ให้หักล้าง หรือโต้แย้งเหตุผลของเขานั้นๆให้ตรงจุด ให้ถูกจุด  ถ้าเราเห็นว่าเหตุผลที่เขาให้มานั้นสามารถหักล้างได้  ถ้าเรารู้ว่าเหตุผลที่เขาให้มานั้นเป็นการให้เหตุผลที่ผิด ก็ให้เราชี้ว่าผิดเพราะอะไร ยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่

- ในการเปรียบเทียบเราจะต้องดูว่า สิ่งสองสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันนั้นมีจุดที่แตกต่างกันที่มีผลทำให้การเปรียบเทียบนั้นใช้ไม่ได้ หรือไม่  ( having critical points of difference )
- การที่จะสรุปเอาว่า เหตุการณ์ A เป็นเหตุทำให้เกิด เหตุการณ์ B ตามมานั้น เราจะต้องมีหลักฐานที่จะใช้ยืนยันได้ว่า เหตุการณ์ B จะไม่เกิดขึ้นถ้า เหตุการณ์ A ไม่เกิดขึ้นก่อน และ เหตุการณ์ B จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ A             ขึ้นก่อน
- เมื่อเกิดความไม่ชัดเจนจากฝ่ายตรงข้าม ให้เราถามไปว่า ที่พูดเช่นนั้นออกมานั้นต้องการจะพิสูจน์อะไร
- สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วย สิ่งนั้นสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพูดคุยในเรื่องนั้นๆได้ ซึ่งอาจจะใช้เป็นหลักฐานกับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นไม่ตรงกัน
- ในการสนทนาที่ดี เราจะต้องจับข้อความของอีกฝ่ายที่เป็นข้ออ้างให้ได้ ทั้งนี้ ถ้าเราปล่อยไปก็จะเท่ากับว่าเรายอมรับข้ออ้างนั้น โดยที่อีกฝ่ายสามารถใช้ข้ออ้างนั้นๆเป็นหลักฐานเสียเองในการพิสูจน์ประเด็นปลีกย่อยในเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดความสับสน และไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการสนทนา  อีกทั้งสิ่งที่เขาพูดอ้างออกมานั้น มีกี่ข้ออ้าง เพราะบางคนพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยคิดว่า สิ่งนั้นๆเป็นหลักฐานที่จะสนับสนุน ข้อความแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เขาพูดออกมาแล้วคิดว่า สิ่งนั้นๆเป็นหลักฐานที่จะสนันสนุน ข้อความแรกนั้น ก็เป็นข้ออ้างอีกอันหนึ่งที่ต้องการหลักฐานมาสนับสนุนตัวมันเองด้วย  ( เช่น The US federal government should cut the income tax rate to stimulate the economy.  จะเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วประโยคนี้ มีข้ออ้าง 2 ข้อด้วยกัน ซึ่งก็ต้องการเหตุผลหรือหลักฐานมาสนับสนุนตัวเองทั้งคู่ ซึ่งข้ออ้างแรกก็คือ “ The US federal government should cut the income tax rate.  ข้ออ้างที่สองก็คือ “ Cutting the income tax rate will stimulate the economy. ซึ่งจะต้องถกกันที่ละประเด็นข้ออ้างแยกกัน) 
- ถ้าเราต้องการที่จะอ้างอะไรสักอย่าง ประการแรกเลยเราจะต้อง กล่าวข้ออ้างนั้นๆออกมาให้ชัดเจน และจะต้องเป็นข้ออ้างหลักด้วย
- เราจะต้องตั้งหัวข้อการสนทนาที่ ผู้คนไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เรากำลังจะนำเสนอ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เรากำลังจะนำเสนอแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะชักชวนคนอื่นให้เชื่อเหมือนเรา เพราะเขาก็เชื่อเช่นนั้นอยู่แล้ว หรือเราอาจจะนำเสนอหัวข้อที่คนทั้งหลายยังอยู่กลางๆ คือ ยังไม่เชื่อ แต่ก็ยังไม่ปฏิเสธ เช่น อิสลามเป็นศาสนาแห่งการก่อการร้ายจริงหรือไม่      อิสลาม กดขี่สิทธิสตรีจริงหรือไม่      
- อีกอย่างคือ เราจะต้อง รู้ด้วยว่า ผู้ที่จะฟังเรานำเสนอสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น เข้าใจประเด็นนั้นๆดีมากน้อยแค่ไหน มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆมากน้อยแค่ไหน ความรู้ของเขาพอเพียงหรือไม่ ที่จะใช้เป็นเครื่องตัดสินใจหลังจากที่ได้รับฟังสิ่งที่เราได้นำเสนอ  รวมถึงผู้ฟังรู้ถึงที่มาที่ไปของความขัดแย้งในเรื่องนั้นๆหรือไม่
- เหตุผลที่จะนำมาใช้สนับสนุนข้ออ้างนั้นจะต้องอยู่ในประเด็นเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่นำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องมาปนกันทำให้ประเด็นขุ่นมัว สับสน   
- ข้อระวังเมื่อมีใครยกหลักฐานอ้างอิง 1.  ตัดคำบางคำออกไปจากหลักฐานที่ยกมาเพื่อทำให้หลักฐานนั้นมองดูแล้วไปสนับสนุนข้ออ้างของตนเอง แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ; 2. แยกแยะไม่ออกว่าหลักฐานอย่างไหนเป็น  primary sources และหลักฐานอย่างไหนเป็น secondary sources. sources. The primary source is the source in which the evidence first appeared. Eyewitness accounts; original documents; and transcripts of speeches as originally delivered are examples of primary sources. Secondary sources are sources that compile, analyze, or summarize primary sources. Secondary sources often provide an interpretation or a restatement of what was originally said. 3. ไม่นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากแหล่งอ้างอิงของหลักฐานที่ได้ยกไป  
- ในการเปรียบเทียบ จะต้องดูว่า 1.  สิ่งสองสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันนั้นอยู่ในประเภทเดียวกัน รวมทั้งมี สิ่งเหมือนกันที่เป็นส่วนสำคัญ ( sharing significant similarities relevant to the conclusion drawn by the arguer ) ; 2 . Quantity: จำนวนสิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองสิ่งพอเพียงหรือไม่ที่จะนำมาสนับสนุนขอเปรียบเทียบนั้น 3. จะต้องไม่มีส่วนแตกต่างที่เป็นผลทำให้การเปรียบเทียบนั้นใช้ไม่ได้  
- ( เช่นถ้าจะเปรียบเทียบการ์ตูน ก็จะต้องเป็นการ์ตูนชนิดเดียวกัน เช่น สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่) . Second, a sufficient number of examples has to be cited ( สมมุติมีการ์ตูนอยู่ 30 เรื่อง ก็จะต้องยกตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปได้ว่า เรื่องอื่นๆก็คงจะมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย ไม่ใช่ มีการ์ตูนอยู่ 30 เรื่อง แต่ยกมาแค่ 7 เรื่อง). Third, the existence of counterexamples provides the test of opposition to both generalization and argument from example ( ดูว่ามีตัวอย่างอื่นๆในเรื่องเดียวกันที่ค้านกับตัวอย่างที่เรายกมาเปรียบเทียบหรือไม่ เพราะถ้ามีสิ่งที่ค้านกันแล้วจะยังผลทำให้การเปรียบเทียบนั้นไร้ผล ) .

-อีกตัวอย่างก็คือ The merchants downtown are beginning to close early and have   installed iron grillwork on their windows. Crime must be becoming a serious problem in the community.  แต่เราจะต้องดูด้วยว่า One might see occasional grillwork on a building in an area because it is used for decoration, not for protection. นั้นคือ ทึกทักเอาเองก่อนว่า ที่เขาใส่เหล็กดัดที่หน้าต่างก็เพราะมีขโมยมาก  แต่ถ้าเป็นที่รู้กันว่า การติดเหล็กดัดที่หน้าต่างจะมีขึ้นในกรณีที่มีขโมยมากเท่านั้น หรือเป็นเครื่องหมายบ่งบอกเลยว่ามีขโมยมาก  ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ตัวอย่างที่ยกมาก็ถือว่าถูกต้องและใช้ได้  
            Countersigns ก็คือ สิ่งที่จะไปหักล้างข้อสรุปนั้นๆ เช่น จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าพิสูจน์ได้ว่า แม้แต่เมืองที่เขาแทบไม่มีขโมย เขาก็ติดเหล็กดัดกัน  เพราะฉะนั้นการติดเหล็กดัดจึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงการมีขโมยมากได้  ( หลักฐานจำเป็นที่บ่งชี้ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กับ หลักฐานที่ไม่จำเป็นที่จะบ่งชี้ถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด )

- แต่ในบางกรณี ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ฝ่ายใดต้องนำเสนอหลักฐานกันแน่  ในสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายที่ไม่ยืนยันในความเห็นหนึ่งความเห็นใดเป็นการเฉพาะไม่ต้องนำเสนอหลักฐาน แต่ฝ่ายที่จะต้องนำเสนอหลักฐานก็คือ ฝ่ายที่ ยืนยันในจุดยืนหนึ่งจุดยืนใดที่แน่นอน
- ในขณะที่เกิดการถกเถียงกัน และฝ่ายหนึ่งต้องการ พิสูจน์ว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนออยู่นั้นเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เราวิเคราะห์ดูก่อนว่า เรื่องหรือประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น อยู่ในประเภทไหนระหว่าง 1.  Value claim หรือ 2. Policy claim หรือ  3. Fact claims ถ้าอยู่ในประเภท Value claim อันนี้หาข้อยุติยากหน่อย หรืออาจจะไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทางที่ดี ให้บอกไปว่า สิ่งที่เรากำลังเถียงกันอยู่นี้ อยู่ในประเภท Value claim เพราะฉะนั้น เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะจะหาอะไรมาเป็นหลักฐานตายตัวอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ 
      Claim บางอย่างเป็นการอ้างอิงหลักฐานที่ตายตัวซึ่งสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ เพราะมีความเป็นรูปธรรม ในขณะที่ข้ออ้างบางอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็น หรือทัศนะคติส่วนตัว ซึ่งอาจจะไม่มีหลักฐานอะไรเป็นรูปธรรมที่มีให้เราพิสูจน์หรือตรวจสอบกันได้


Five Categories of Claims
Argumentative essays are based on a claim, which almost always falls into one of the five following categories.

1. Claims of
fact. Is it real? Is it a fact? Did it really happen? Is it true? Does it exist?
Examples: Global warming is occurring. Women are just as effective as men in combat. Affirmative action undermines individual achievement. Immigrants are taking away jobs from Americans who need work.
2. Claims of definition. What is it? What is it like? How should it be classified? How can it be defined? How do we interpret it? Does its meaning shift in particular contexts?
Examples: Alcoholism is a disease, not a vice. We need to define the term family before we can talk about family values. Date rape is a violent crime.  The death penalty constitutes "cruel and unusual punishment."
3. Claims of cause. How did this happen? What caused it? What led up to this? What are its effects? What will this produce?
Examples: The introduction of the computer into university writing classes has enhanced student writing ability.  The popularity of the Internet has led to a rise in plagiarism amongst students.  The economic boom of the 1990s was due in large part to the skillful leadership of the executive branch. 
4. Claims of value. Is it good or bad? Beneficial or harmful? Moral or immoral? Who says so? What do these people value? What value system will be used to judge?
Examples: Doctor-assisted suicide is immoral. Violent computer games are detrimental to children’s social development. The Simpsons is not a bad show for young people to watch. Dancing is good, clean fun.
5. Claims of policy. What should we do? How are we to act? What policy should we take? What course of action should we take to solve this problem?
Examples: We should spend less on the prison systems and more on early intervention programs. Welfare programs should not be dismantled. The state of Oklahoma ought to begin to issue vouchers for parents to use to fund their children’s education. Every person in the United States should have access to federally-funded health insurance.
Adapted from Nancy Wood’s Perspectives on Argument, 2nd ed. (pp.161-72)

- หลายครั้งด้วยกัน ที่เราต้องชัดเจนในคำนิยามเสียก่อน ถึงจะถกลงลึกรายละเอียดกันต่อไปได้  รวมถึงมาตรฐานที่จะมาตัดสินในสิ่งนั้นๆที่ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรตายตัว
- วิธีโต้ :
1. ใช้วิธีถามกลับ ซึ่งเป็นคำถามที่จะนำไปสู่การพิสูจน์ความจริง  หรือเป็นคำถามเชิงคัดค้าน เพื่อให้อีกฝ่ายต้องชี้แจงให้เกิดความชัดเจนเสียก่อนในประเด็นนั้นๆ ซึ่งท่านนบีก็ได้เคยทำเอาไว้
2. หาสิ่งที่ขัดแย้งกันในของฝ่ายตรงกันข้าม

Appeal to Ignorance 
เอาการไม่มีหลักฐาน มาเป็นหลักฐานเสียเอง เพื่อรองรับจุดยืนของตนเอง  
การที่ข้ออ้างหนึ่งไม่มีหลักฐานมายืนยันสนับสนุนทั้งในทางบวกหรือลบ นั่นไม่ได้เป็นหลักฐานว่าสิ่งนั้นๆจะต้องเป็นเช่นนั้นหรือจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น เช่น เนื่องจากคุณพิสูจน์ไม่ได้ตามที่คุณอ้างมาว่า ผีไม่มีจริง เพราะฉะนั้น ผีจึงมีจริง เราจะเห็นว่าการที่ฝ่ายหนึ่งหาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ว่าผีไม่มีจริงนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่า เพราะฉะนั้นผีจะต้องมีจริง  แต่การจะพูดแบบฟันธงได้ว่าผีมีจริงนั้น ฝ่ายที่เชื่อจะต้องนำหลักฐานข้อพิสูจน์มายืนยันการมีอยู่จริงของผี เรื่องนี้สามารถใช้กับเรื่อง พระเจ้าก็ได้  แต่เราจะต้องพิจารณาและวิเคราะห์ดูให้ดีๆในแต่ละกรณีว่า มันจะเรียกว่าเป็นการ Appeal to Ignorance หรือไม่ / เอาการไม่มีหลักฐานมาเป็นหลักฐานเสียเอง เพื่อรองรับจุดยืนของตนเอง เช่นผู้ที่เป็นศัตรูอิสลามอาจจะพูดว่า การที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า มุฮัมหมัดไม่เคยพูดโกหก นั่นไม่ได้หมายความว่า มุฮัมหมัดจะไม่เคยพูดโกหกเลย ในกรณีเช่นนี้ เราจะต้องโต้ตอบว่า ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่ามีหลักฐานยืนยันว่า มุฮัมหมัดได้รับฉายาจากผู้ที่อยู่ร่วมสมัยกับเขาว่า อัล-อามีน ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ยิ่ง อีกทั้ง ยังได้รับการยอมรับแม้แต่ผู้เป็นศัตรูถึงความซื่อสัตย์ และยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ศัตรูก็ยังนำสิ่งของมาฝากกับมุฮัมหมัด อันเนื่องจากความไว้วางใจในตัวมุฮัมหมัด ถ้าพิสูจน์ได้เช่นนี้แล้ว เขาผู้นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะยังกล่าวว่า     การที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า มุฮัมหมัดไม่เคยพูดโกหก นั่นไม่ได้หมายความว่า มุฮัมหมัดจะไม่เคยพูดโกหกเลย แต่เป็นหน้าที่ของเขาผู้นั้นจะต้องนำหลักฐานมาให้ได้ที่จะพิสูจน์ว่า มุฮัมหมัดเคยโกหกจริง เพราะเขาไม่อาจที่จะเอาการไม่มีหลักฐานมาเป็นหลักฐานเสียเองได้อีกต่อไป และถ้าเขาไม่อาจที่จะหาหลักฐานที่เชื่อได้มายืนยันได้ว่ามุฮัมหมัดเคยพูดโกหก เช่นนั้น ตามหลักวิชาการ เราจะต้องยืนยันว่า มุฮัมหมัดไม่เคยพูดโกหก
     เช่นกัน ศัตรูอิสลามบางคนอ้างว่า การที่ไม่มีหลักฐานว่า ฮะดีษนั้นถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข นั่นไม่ได้หมายความว่า ฮะดีษจะไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขเลย เราขอตอบว่า คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาการไม่มีหลักฐานมาเป็นหลักฐานเสียเองได้ แต่คุณต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายนำหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันว่า ฮะดีษได้เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข เช่น ฮะดีษ บุคอรีที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่เหมือนกับ ฮะดีษบุค  คอรีเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ถ้าคุณไม่สามารถนำหลักฐานมายืนยันถึงการถูกเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนี้ เราจะต้องยืนยันว่า ฮะดีษไม่มีถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตำราบันทึกฮะดีษบุคคอรี เหมือนกันทั่วโลก ไม่ว่าจะฉบับเก่าแก้ หรือฉบับใหม่ที่ถูกพิมพ์ออกมา สามารถเทียบกันดูได้ และอีกอย่างก็คือ ตำราบันทึกประวัติบรรดานักรายงานฮะดีษแต่ละเล่มก็เหมือนกันทั่วโลก เช่นตำราบันทึกประวัติบรรดานักรายงานฮะดีษที่มีชื่อว่า ตับรีบุซตะฮิซีบ ไม่ว่าจะสมัยไหนก็เหมือนกัน ไม่มีการถูกเปลี่ยนแปลงแม้แต่ในรายละเอียดของตำรา  ซึ่งในตำราบันทึกประวัติบรรดานักรายงานฮะดีษนี้ ประวัติ ที่มาที่ไป และรายละเอียดต่างๆของนักรายงานฮะดีษแต่ละคนจะถูกบันทึกเอาไว้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความจำ ความน่าเชื่อถือ เคยโกหกเอาไว้หรือไม่ แม้แต่ครั้งเดียว มีอาจารย์ชื่ออะไร มีลูกศิษย์ชื่ออะไร เกิดที่ไหน ตายที่ไหน มีความเชื่อเป็นอย่างไร เขียนตำราเอาไว้กี่เล่ม และลายละเอียดอื่นๆ ที่จะถูกนำมาใช้ในการตัดสินว่า ฮะดีษบทนั้นๆที่เขาได้รายงานนั้นเชื่อถือได้หรือไม่
     แต่กระนั้นก็ตามในบางกรณี จะไม่ถือว่าเป็นการ  Appeal to Ignorance เช่น คนๆหนึ่งถูกกล่าวอ้างว่า ทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย แต่กระนั้นก็ตาม ผู้ที่กล่าวอ้างว่าคนๆนั้นทำสิ่งที่ผิดกฏหมายไม่มีอะไรมาเป็นหลักฐานยืนยัน เพื่อเอาผิดเขา และในขณะเดียวกัน คนๆนั้นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดจริง  เช่นนี้ เราจะต้องเราสามารถทึกทักเอาเองได้ก่อนเบื้องแรกว่า ข้ออ้างนั้นไม่เป็นความจริง คือ เขาไม่ได้ทำความผิด   และ อีกอย่างก็คือ เมื่อพิจารณาดูว่าข้ออ้างนั้น ฟังดูไม่ค่อยน่าจะมีความเป็นไปได้ หรือเป็นสิ่งที่ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน  เช่นคนๆหนึ่งอ้างว่าได้ไปดาวอังคารมา โดยมีมนุษย์ต่างดาวพาไป หรือ แม้แต่เปาโลที่อ้างว่าได้เจอกับพระเยซู  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเข้ากฏอีกข้อก็คือ ให้เป็นผู้ที่อ้างสิ่งหนี่งสิ่งใดขึ้นมา เขาผู้นั้นจะต้องนำหลักฐานข้อพิสูจน์มายืนยัน เพราะโดยปรกติทั่วไปแล้ว สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นเป็นที่แพร่หลาย
     สิ่งที่ถ้าเป็นจริงแล้ว ก็จะสามารถรู้ได้ และถ้าไม่สามารถรู้ถึงสิ่งนั้นๆได้ว่าเป็นจริง เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงไม่เป็นความจริง เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า  "auto-epistemic" ("self-knowing")  เช่นพูดว่า ถ้าผมถูกรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ผมก็จะรู้แล้วในตอนนี้ แต่เนื่องจากผมไม่รับรู้เลยว่าผมนั้นลูกรับมาเลี้ยง ดังนั้นผมจึง ไม่ได้เป็นลูกบุญธรรม
 เช่นเดียวกัน  เมื่อได้มีการตรวจสอบสิ่งๆหนึ่งดูอย่างดีแล้ว ถือว่ามีเหตุผลที่เราจะบอกได้ว่า สิ่งนั้นๆเป็นเท็จอันเนื่องจากไม่มีหลักฐานที่จะมาสนับสนุนว่ามันเป็นจริง เช่น ถ้ายาชนิดหนึ่งได้รับการตรวจสอบ ทดลองโดยอย่างดีแล้วว่ามีผลที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่ และไม่ปรากฏพบเลยว่าจะมีผลอันตรายใด เช่นนี้ ถือว่าเป็นการสมเหตุสมผลที่จะสรุปได้ว่า ยานี้ปลอดภัย
ในขณะที่การไม่มีหลักฐานยืนยันในบางสิ่งนั้นถือว่าเป็นที่รู้กันว่าเชื่อถือได้  เช่น ตารางเดินเครื่องบิน ทั้งบินเข้าและบินออก ถ้าเราดูที่ตารางเดินเครื่องบินแล้ว ไม่พบว่า มีเครื่องบินไปและบินกลับมาจากตุรกีเลย เราสันนิษฐานเอาได้เลยว่าวันนั้นๆ ไม่มีเครื่องบินๆไป หรือ กลับจากประเทศตุรกี  ทั้งนี้ก็เพราะเวลาเข้าและออกของทุกสายการบินจะถูกระบุเอาไว้ในตารางนี้ ที่อื่นไม่มี  ในภาษาอังกฤษเราจะเรียกว่า      “ closed world assumption”
บางสิ่งบางอย่าง บ่งชี้ว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าต้องเป็นเช่นนั้นแต่ก็มีเหตุผลที่จะเชื่อเช่นนั้น
แต่กระนั้นสุดท้ายเราก็จะต้องวิเคราะห์ให้ดีว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่จะต้องเป็นฝ่ายนำหลักฐานมาพิสูจน์ (  burden of proof )
และในบางกรณีเราจะต้องทึกทักในด้านบวกเอาไว้ก่อนเพราะความปลอดภัย เช่น เราไม่รู้ว่าปืนมีลูกกระสุนหรือไม่ เพราะฉะนั้นทางที่ดีให้ทึกทักเอาไว้ก่อนว่ามี
* ฝ่ายไหนฟันธงว่าต้องเป็นอย่างนั้น หรือไม่เป็นอย่างนั้น ฝ่ายนั้นจะต้อง นำหลักฐานมาพิสูจน์
Fallacy: Misleading Vividness   สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่หลอกลวง
        ตามปรกติสิ่งใดหรือเหตุการณ์ใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นที่ดูแล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งทำให้อารมณ์เกิดความรู้สึกอ่อนไหวได้ง่ายจากเหตุการณ์นั้นๆ  สิ่งนั้นมักจะมีอิทธิพลต่อจิตใจคน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆหนึ่งรอดตายจากเครื่องบินตกได้ แน่นอนเขาย่อมคิดว่าการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นอันตรายมากกว่าเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ  แน่นอน ภาพเหตุการณ์ที่มีคนนอนตายกันเต็มไปหมดต่อหน้าต่อตาเขา อีกทั้ง ภาพเหตุการณ์ระเบิดของเครื่องต่อหน้าเขาย่อมมีผลต่อจิตใจเขาอย่างแน่นอน โดยทำให้เขามองข้ามสถิติที่แท้จริงไป ที่ระบุว่ามีคนตายจากการถูกฟ้าฝ่านั้นมากกว่า คนที่ตายเพราะเครื่องบินตกเสียอีก  ...เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าภาพที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนของเหตุการณ์นั้นๆที่เกิดขึ้นย่อมมีผลต่อจิตใจของผู้ที่ประสบเหตุการณ์นั้นๆ มากกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น 
            เทียบได้กับเหตุการณ์ 11 กันยายน กับ สถานการณ์ในปาเลสไตน คนโดยร่วมมองภาพเครื่องบินชนตึก ย่อมเกิดความเห็นใจ มากกว่าข่าวที่ได้รับฟังมาเพียงอย่างเดียว
            เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ภาพเหตุการณ์ใดๆก็แล้วแต่ที่ปรากฏขึ้นกับเราไม่จำเป็นเลยที่ มันจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ความที่เราได้รับผลกระทบทางจิตใจกับเหตุการณ์มาก จึงทำให้ดูเหมือนว่า เราจะต้องประสบกับสิ่งนั้นบ่อยครั้ง...ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย  
            เช่นกันชีอะฮฺสร้างหนังเกี่ยวกับตัวท่านฮุเซ็น และสร้างฉากที่ท่านฮุเซ็นถูกฆ่าตาย ซึ่งฉากนี้มีผลต่อจิตใจคนดู แน่นอนคนที่ไม่มีความรู้ย่อมคล้อยตายไปกับสิ่งที่เขาได้เห็นในหนัง โดยเฉพาะถ้าถูกยืนยันว่าหนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น 
- ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวนำหน้าเหตุผล
Fallacy: Red Herring 

การเบี่ยงเบนเรื่องที่กำลังพูด หรือ ถกกันอยู่ไปยังประเด็นอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อ ดึงความสนใจไปยังเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักที่กำลังพูดกันอยู่  แต่ผู้พูดแซร้งทำเป็นว่า เรื่องที่ตัวเองพูดอยู่นั้นเกี่ยวกับข้องกับหัวข้อเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหัวข้อหลักจึงถูกละเลยไป ทำให้หัวข้ออื่นเข้ามาแทนที่

Fallacy: Slippery Slope
         
          การตั้งเงื่อนไขเอาว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ เอ ขึ้น เหตุการณ์ ซี จะต้องตามมาอย่างแน่นอนเลย โดยไม่ได้ให้เหตุ หรือ พิสูจน์ว่าทำไมมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

Begging the question  / Circular Reasoning

ดูการสนทนาระหว่าง นาย เอ กับ นาย บี
A1: เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าพระเจ้ามีจริง  
B1: แล้วทำไมผมจะต้องเชื่อในคัมภีร์ ไบเบิ้ลด้วย
A2: เพราะสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวจะต้องเป็นความจริง
B2: แล้วผมจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นความจริง
A3: เพราะพระเจ้าเขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล และพระเจ้าไม่มีทางที่จะพูดโกหก
จากข้อความข้างต้นนั้น ถ้าเราจะถามว่า ข้อความไหนถือว่าเป็น การแสดงจุดยืน หรือ ถือเป็นข้อสรุป  ( conclusion ) ที่ตัวมันเอง จะต้องมีเหตุผล หรือ หลักฐาน (premise) มาสนับสนุนอีกที โดยที่เราไม่อาจที่จะทึกทักให้เป็นจริงก่อนได้
คำตอบก็คือข้อความที่ว่า 1. เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  2. พระเจ้าเขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล / ส่วนข้อความที่เหลือถือเป็นประเด็นปลีกย่อย  เพราะถ้าสมมุติว่า (ข้อย้ำว่าสมมุติ) มีการพิสูจน์แล้วว่าพระเจ้าไม่มีจริง ข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาก็จะถือว่าไร้ความหมาย    และเราจะเห็นได้ว่า ข้อความ เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าพระเจ้ามีจริง และ   เพราะสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวจะต้องเป็นความจริง จะไม่แตกต่างอะไรกันมากนัก เพราะต่างก็ถูกสนับสนุนด้วยข้อความที่ว่า  พระเจ้าเขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล และพระเจ้าไม่มีทางที่จะพูดโกหก   อีกที 
เราสามารถเขียนแยกออกจากกันเพื่อให้เห็นภาพชัดได้ดังนี้:
 เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  ( ข้อความนี้เป็น จุดยืน หรือ ข้อสรุป conclusion )
คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าพระเจ้ามีจริง  ( ข้อความนี้เป็น เหตุผล (premise ) ไปสนับสนุนประโยคบน     นั้นคือ ข้อสรุปอีกที )
สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวจะต้องเป็นความจริง ( ข้อความนี้เป็น เหตุผลย่อย (premise ) เพื่อไปสนับสนุนเหตุผล(premise )ข้างบนอีกที )
พระเจ้าเขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล และพระเจ้าไม่มีทางที่จะพูดโกหก   ( ข้อความนี้เป็น เหตุผลย่อย (premise ) ลงมาอีก เพื่อไปสนับสนุนเหตุผล(premise ) ย่อยข้างบนอีกที )
            เพราะฉะนั้นถ้าเหตุผลที่ย่อยลงมาอีกด้านล่างสุด ถูกพิสูจน์ว่าไม่เป็นจริง เหตุผลที่เหลือข้างบนทั้งหมดจะผิดไปโดยปริยาย และเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อสรุป หรือจุดยืนที่ว่าพระเจ้ามีจริงโดยใช้ไบเบิ้ลพิสูจน์นั้นก็ไร้ผล ใช้ไม่ได้ไปโดยปริยาย  เพราะฉะนั้นประโยคนี้ถ้าจะลดลงให้เหลือสั้นๆจะได้ดังนี้:
เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง   ( ข้อความนี้เป็น จุดยืน หรือ ข้อสรุป conclusion )
เพราะพระเจ้าเป็นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล    ( ข้อความนี้เป็น เหตุผล (premise ) เพื่อไปสนับสนุนจุดยืนข้างบน ) 
            แต่ Premise  นี้ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็น Premise แต่มันเป็น Conclusion อีกอันหนึ่ง ที่ต้องถูกสนับสนุนด้วยเหตุผล ( premise ) และหลักฐานอีกที   ทั้งสองข้อความ เป็น Conclusion ทั้งคู่  เพราะฉะนั้น ข้อความข้างต้นยังไม่อาจจะเป็นที่ยอมรับได้ว่าเป็นความจริง ( แต่เรื่องพระเจ้านั้นได้มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่ามีอยู่จริงอย่างแน่นอน)
ผู้สัมภาษณ์:  ประวัติส่วนตัวของคุณดูน่าประทับใจทีเดียว แต่ทว่า ผมต้องการอีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นสิ่งยืนยันเกี่ยวกับตัวคุณ
บิล:  จิลสามารถให้ข้อมูลคุณได้เกี่ยวกับตัวผม
ผู้สัมภาษณ์:  เอ้า แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่า จิลเป็นคนที่เชื่อถือได้
บิล: แน่นอน  ผมรับประกันให้เจลได้
... ทึกทักเอาเองว่าข้ออ้างหรือเหตุผล (premise) นั้นๆถือว่าเป็นความจริงทั้งๆที่ยังไม่ได้พิสูจน์ / เอาข้ออ้างมาเป็นข้อสรุป  เช่นพูดว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลไม่มีข้อผิดพลาดใดทั้งสิ้น  ...ทำไม..ก็เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า...รู้ได้อย่างๆไรว่าไบเบิ้ลมาจากพระเจ้า.... ก็เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเราเช่นนั้น  / เช่น ข้อความที่ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลไม่มีข้อผิดพลาดใดทั้งสิ้น ถือว่าเป็น จุดยืน หรือข้อสรุป (conclusion) ที่จะต้องมีเหตุผล (premise) มาสนับสนุนว่าเป็นจริงหรือถูกต้องหรือไม่   ส่วนข้อความที่ว่า เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า ถูกใช้เป็นเหตุผล (premise) เพื่อสนับสนุน conclusion ในความเป็นจริงแล้ว ข้อความนี้คือจุดยืน หรือข้อสรุป (conclusion) อีกอันหนึ่ง ที่จะต้องมี premise มาสนับสนุน ตัวมันเองไม่ได้เป็น premise เพราะฉะนั้นทั้งสองข้อความดังกล่าวต่างก็ยังไม่มี premise ใดๆมาสนับสนุนยืนยันว่าเป็นความจริง หรือ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะข้อความทั้งสองต่างก็เป็น จุดยืน หรือ ข้อสรุป (conclusion) ทั้งคู่
- ข้อความหนึ่งข้อความใดไม่อาจที่จะเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์ให้กับตัวมันเองได้ หากแต่ว่ามันจะต้องมีอีกแหล่งหนึ่งของหลักฐานที่จะมาพิสูจน์ว่ามันเป็นจริง
----------------------------.
บ่อยครั้งด้วยในขบวนการใช้เหตุ เราจะพบว่ามีการ สร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อรองรับจุดยืนของตนเอง ทั้งๆที่เงื่อนไขที่สร้างขึ้นมานั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรที่จะไปสนับสนุนอีกเหตุผลหนึ่ง   ทั้งสองไม่ได้สามารถถูกนำไปใช้สนับสนุนซึ่งกันและกันได้เลย  ถ้าปราศจากซึ่งหลักฐาน อีกชิ้นหนึ่งที่จะมายืนยันว่า ทั้งสองนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร ในที่นี้เราจะเรียกว่า หลักฐานขั้นกลาง เพื่อโยงทั้งสองให้เกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกัน และกัน เพราะถ้าปราศจากหลักฐานขั้นกลางนี้แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จะตั้งเงื่อนไขเข้าข้างตนเอง เพื่อรองรับกับจุดยืนของตนเอง 

ยกตัวอย่างเช่น   อาจารย์ คนหนึ่ง พูดกับนักเรียนในชั้นเรียนว่า ให้นักเรียนทุกคนส่งงาน ในวันจันทร์ ที่ จะถึง  ถามว่า ถ้าจะมีนักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า อาจารย์ ไม่ได้หมายความว่าให้ส่งวันจันทร์จริงๆ  เพราะ เพื่อนผมเห็นเพื่อนผมอีกห้องหนึ่ง ส่งงานวันศุกร์ ทั้งๆที่อาจารย์ให้ส่งวันจันทร์ เพราะฉะนั้น อาจารย์ให้ส่งวันศุกร์ ไม่ใช่วันจันทร์  ถ้าจะเขียนให้เห็นภาพชัดเจนเราจะเขียนได้ดังนี้ :

เนื่องจากเพื่อนของผมได้ส่งงานในวันศุกร์ ทั้งๆที่อาจารย์ได้สั่งให้ส่งในวันจันทร์  (  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)

ผมก็เป็นนักเรียนของอาจารย์คนเดียวกัน  กับที่สอนเพื่อนของผม(  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง )

เพราะฉะนั้น ผมก็สามารถส่งงานในวันศุกร์ได้ด้วย ทั้งๆที่ อาจารย์จะกำหนดให้ส่งวันจันทร์ก็ตาม  ( ข้อความนี้ ถือเป็น จุดยืนของผู้พูด หรือ เรียกในภาษาอังกฤษว่า conclusion  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด  )

เราจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่า premise ทั้งสองจะถูกก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นว่า ข้อสรุปจะเป็นจริง หรือ ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพราะ premise ทั้งสอง ไม่มีความเกี่ยวของอะไรที่จะไปสนับสนุน  จุดยืน  (conclusion) ของคนนั้นๆ   นอกจากจะข้อความ (  premise) ที่จะมาโยงให้เกี่ยวข้องกัน หรือ เป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน เพื่อยืนยันว่าจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) นั้นถูกต้องและใช้ได้ ดังในตัวอย่างต่อไปนี้:

เนื่องจากเพื่อนของผมได้ส่งงานในวันศุกร์ ทั้งๆที่อาจารย์ได้สั่งให้ส่งในวันจันทร์          (  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)

ผมก็เป็นนักเรียนของอาจารย์คนเดียวกัน  กับที่สอนเพื่อนของผม(  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง )  

สาเหตุที่เพื่อนผมส่งงานในวันศุกร์ เพราะเขาป่วย อาจารย์จึงอนุญาตให้เขาส่งงานได้วันศุกร์ได้      (  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง )

ผมก็ป่วยเช่นเดียวกันกับเพื่อนของผม  (  ข้อความนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า premise และถือว่าเป็นข้อความที่เป็นความจริง )

เพราะฉะนั้น ผมก็สามารถส่งงานในวันศุกร์ได้ด้วย ทั้งๆที่ อาจารย์จะกำหนดให้ส่งวันจันทร์ก็ตาม  ( ข้อความนี้ ถือเป็น จุดยืนของผู้พูด หรือ เรียกในภาษาอังกฤษว่า conclusion  ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูก  )

จะเห็นได้ว่า จุดยืน หรือ ข้อสรุป ถือว่าฟังขึ้น และมีเหตุผลเพียงพอ ทั้งนี้เพราะ premise ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นอกจากจะเป็นความจริงแล้ว ยังมีความเกี่ยวข้อง กันอีก ไปสนับสนุนซึ่งกันและกัน 

ยกตัวอย่างเช่น  ผมไปหาหมอ และหมอบอกกับผมว่า ให้คุณกินยาที่ให้ไปนี้ให้หมด  ถ้าเราถามคนทั่วไปว่า สามัญสำนึกของเราจะเข้าใจอย่างไรในคำพูดของหมอระหว่าง  1. กินยานี้ให้หมดถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม  หรือ    2.      ถ้าอาการของคุณดีขึ้นแล้วก็หยุดทานยาได้    ถามว่าในความเข้าใจที่มีน้ำหนัก และ สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไป  เราว่า คำพูดไหนมีเหตุผลและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่ากัน   .... แน่นอน คำพูดที่ 1 ย่อม มีน้ำหนัก และ สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไป และ มีเหตุผลและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า  แต่ถ้าใครจะยืนยันว่า  เป็นข้อความที่  2 เช่นนี้เขาจะอ้างลอยๆไม่ได้ แต่จะต้องนำหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งมา เพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  ดูตัวอย่างในประโยคต่อไปนี้:

เพื่อนผมป่วยไปหาหมอ และ หมอบอกว่า ให้ทานยาที่ให้ไปให้หมด  แต่เพื่อนผมถาม กลับไปว่า ถ้าอาการดีขึ้นแล้วหยุดทานยาได้ หรือไม่ ซึ่งหมอก็ตอบมาว่า สามารถหยุดได้               ( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง )

ผมป่วยไปหาหมอคนเดียวกับที่เพื่อนผมไปหา และ  หมอก็บอกให้ทานยาให้หมด เช่นกัน    ( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง )

เพราะฉะนั้น ผมจึงสามารถหยุดทานยาได้ เช่นกัน ถ้าผมอาการดีแล้ว  ( ข้อความนี้ ถือเป็น จุดยืนของผู้พูด หรือ เรียกในภาษาอังกฤษว่า conclusion  แต่ไม่ถูกต้อง  ทั้งนี้เพราะ premise ทั้งสองนั้น ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่สามารถจะถูกนำไปใช้สนับสนุน ข้อสรุปได้ เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน )

ต่อไปนี้เป็น การยก premise ที่เป็นจริง อีกทั้ง เกี่ยวข้องกัน และพอเพียงที่สามารถจะถูกนำไปใช้สนับสนุน ข้อสรุปได้:

เพื่อนผมเป็นโรคเดียวกัน กับที่ผมเป็น และเขาก็ไปหาหมอ คนเดียวกัน และหมอก็พูดเช่นกันว่า ให้คุณกินยาที่ให้ไปนี้ให้หมด     ( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง )  

เพื่อนผมก็ถาม หมดกลับไปว่า ถ้าอาการดีขึ้นแล้ว หยุดกินยาได้ไหม ถึงแม้ยาจะยังไม่หมดก็ตาม ซึ่งหมดบอกว่า สามารถหยุดได้( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง )  
ยาที่ให้มาก็เป็นยาชนิดเดียวกัน  ( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง )   

ดังนั้น ผมก็สามารถ หยุดกินยาได้เช่นเดียวกันถ้าอาการดีขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่ายาจะยังไม่หมดก็ตาม  ( ข้อความนี้ ถือเป็น จุดยืนของผู้พูด หรือ เรียกในภาษาอังกฤษว่า conclusion  และถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง )

จะเห็นได้ว่า premise ทั้งสามนั้นนอกจากถูกต้องแล้ว ยัง เกี่ยวข้องกันกับ ข้อสรุป อีกทั้งเพียงพอที่จะใช้ไปสนับสนุนของสรุป หรือ จุดยืนของคนนั้นๆได้ 

ขอยกให้ดูอีกตัวอย่างเป็นการสนทนาของคน 2 คน จะใช้ชื่อเรียกแทนว่า 1 กับ 2 :
1. พระเยซูถูกส่งมาให้สอนเฉพาะกลุ่มชนยิวในสมัยนั้นเท่านั้น ไม่ได้สอนกลุ่มชนอื่นๆที่ไม่ใช่ยิว
2. ผมขอปฏิเสธในสิ่งที่คุณกล่าว เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า พระเยซูถูกส่งมาสอนแก่ชนชาติทั้งหลาย
1. ชนชาติทั้งหลายที่ไบเบิ้ลกล่าวนั้นหมายถึง เฉพาะคนยิวในสมัยนั้นๆเท่านั้น ที่กระจายตัวกันอยู่ตายที่ต่างๆ ไม่ใช่ทุกกลุ่มชน และไม่ใช่ยุคทุกสมัย   เพราะฉะนั้น คำสอนของพระเยซูจึงใช่ไม่ได้แล้วในตอนนี้ เพราะพระเยซูได้จากโลกนี้ไปแล้ว

ถามว่าชาวคริสต์จะยอมรับคำกล่าวของ คนที่ 1 หรือไม่ ... แน่นอนคริสต์ไม่ยอมรับคำกล่าวดังกล่าวอย่างแน่นอน  แต่คำถามคือ แล้วคนที่ 1 ผิดพลาดตรงไหนในการใช้เหตุผล  คำตอบก็คือ คนที่ 1 ได้สร้างข้อจำกัด หรือ ข้อยกเว้นโดยปราศจากหลักฐานยืนยัน  เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของคนที่ 1 ที่จะต้องนำหลักฐานที่จะมาบ่งชี้ว่า  คำว่า ชนชาติทั้งหลายในที่นี้ หมายถึง เฉพาะคนยิวในสมัยนั้นๆเท่านั้น ที่กระจายตัวกันอยู่ตายที่ต่างๆ ไม่ใช่ทุกกลุ่มชน ไม่ใช่คนทุกชนชาติ เผ่าพันธ์ และไม่ใช่คนในทุกยุคสมัย  และตราบใดที่ คนที่ 1 ไม่สามารถนำหลักฐานมายืนยันให้เกี่ยวข้องกันได้ นั่นเท่ากับว่าคำกล่าวของคนที่ 1 นั้นถือเป็น การสร้างข้อจำกัด หรือ ข้อยกเว้นโดยปราศจากหลักฐาน ซึ่งไม่อาจจะเชื่อถือได้ 

----------------------------.
เมื่อวานเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง  วันนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเช่นเดียวกัน  และเราก็มั่นใจว่า พรุ่งก็จะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เช่นกัน   ( ข้อความนี้ เป็น premise ที่เป็นจริง )

เพราะฉะนั้น  ถ้าเราเชื่อว่า เมื่อวานมีอยู่จริง นั่นก็เท่ากับเราต้องเชื่อด้วยว่า ชาติที่แล้วมีอยู่จริง  และถ้าเรา มั่นใจว่า พรุ่งก็จะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง   นั่นก็เท่ากับว่าเราต้องเชื่อด้วยว่า ชาติหน้ามีอยู่จริง   (ข้อความนี้เป็น จุดยืน หรือ ข้อสรุป  ( conclusion ) ของผู้พูด แต่ผิด  ทั้งนี้ก็เพราะ ว่า  premise ที่ยกมาสนับสนุนข้อสรุปนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  เมื่อไม่เกี่ยวข้องกัน จึงไม่อาจที่จะใช้นำสนับสนุนข้อสรุปได้ )

*              ใช้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) โดยเหตุผลชุดที่ถูกยกไปนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นมันไม่สามารถถูกนำไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป นั้นๆได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกัน

ในหลายครั้งด้วยกันที่ เมื่อมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง เรื่องใด และ อีกฝ่าย ( เช่น ฝ่าย เอ )ไม่สามารถที่จะโต้ตอบ หรือหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้         ( เช่นฝ่าย บี )   ฝ่าย เอ ก็จะเริ่มยกข้อมูลต่างๆมามากมาย ที่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไม่อาจจะนำไปหักล้าง ฝ่าย บี ได้เลย ทั้งนี้เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และที่ฝ่าย เอ ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองสามารถหักล้าง หรือ โต้ตอบฝ่าย บีได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 
                ยกตัวอย่างเช่น นาย บี พูดว่า 1+1 เท่ากับ 2 สมมุติว่า นาย เอ ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหักล้างนาย บี ได้ จึงนำข้อมูลมานำเสนอว่า 5+9 เท่ากับ 14 / 10+10 เท่ากับ 20 / 25+25 เท่ากับ  50 จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นาย เอ นำมานั้นถูกต้อง แต่กระนั้นก็ตาม มันไม่สามารถถูกนำไปหักล้าง หลักฐานของนาย บีได้  เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน
                ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สมมุติว่า นาย บี พิสูจน์แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริง  แต่เนื่องจากนาย เอ ไม่สามารถหักล้าง หรือแย้งหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ที่นาย บี ได้นำเสนอได้  นาย เอ จึงพูดขึ้นมาว่า มีความชั่ว เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วจะมีพระเจ้าได้อย่างไร   มนุษย์ เรามีทั้งรวย และ จน แข็งแรง และ พิการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่นาย เอ พูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้จะเป็นจริงก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลหักล้าง ข้อมูล หรือ หลักฐานของนาย บี ที่พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงได้  ทั้งนี้เพราะมันไม่มีความเกี่ยวข้องกัน   

                ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการหักล้างที่ใช้ได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน:

นาย เอ ยืนยันจุดยืนของตนเองว่า ท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดได้แต่งคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้นมา โดยคัดลอกมาจาก คัมภีร์ไบเบิ้ล  แต่นาย บี แย้งขึ้นว่า   จะเป็นไปได้อย่างไร ที่มุฮัมหมัดจะคัดลอกมาจากไบเบิ้ล เพราะเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิ้ลผิดพลาด คัมภีร์ อัล-กุรอาน กลับกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง  เช่น ไบเบิ้ลบอกโลกแบน แต่อัล-กุรอานบอกโลกกลม และเรื่องอื่นๆ  นาย เอ ก็แย้งนาย บี ขึ้นว่า  ก็คัดลอกในส่วนที่เหมือนกันไง ระหว่างอัล-กุรอาน กับ ไบเบิ้ล นาย บี ก็แย้งนาย เอ กลับว่า ถ้าการเหมือนกันเป็นการลอกกันมา นั่นก็หมายความว่า นักเรียนที่ทำข้อสอบปีนี้ ที่เขียนตอบลงกระดาษสอบ แล้วไปเหมือนกัน คำตอบของนักเรียนปีที่แล้ว  นั่นเท่ากับนักเรียนปีนี้ไปลอกคำตอบมาจากนักเรียนปีที่แล้วใช่ไหม? ” นาย บี ยังกล่าวกับนาย เอ อีกว่า ความเหมือนกันไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาใช้ยืนยันได้ว่า เป็นการลอกกันมา เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน 
จะเห็นได้ว่า นาย บี สามารถหักล้าง หรือ แย้งเหตุผล ของนาย เอ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน

- โยงหลักฐานเข้าหากัน เพื่อรองรับจุดยืนของตนเอง / สร้างข้อจำกัด หรือ ข้อยกเว้นโดยปราศจากหลักฐาน / making exception without evidence

---------------------------------.

Analogy การเปรียบเทียบ
Strong analogies will be ones in which the two things we compare possess relevant similarities and lack relevant differences.

-  หมอเก้าในสิบคน แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินแก้ปวดหัว ( ตรงนี้เป็น  premise ที่ถูกนำมาใช้สนับสนุน conclusion )
- ยาแอสไพรินเป็นยาสรรพัดประโยชน์ และมีประสิทธิภาพ ( ตรงนี้เป็น conclusion )
จะสังเกตุได้ว่า premise ที่ถูกยกมาเพื่อสนับสนุน conclusion จะเป็นความจริงก็ตาม แต่มันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรที่จะสามาถไปสนับสนุนข้อสรุปได้
Trivial objections (also referred to as hair-splitting, nothing but objections, barrage of objections and banal objections) hair-splitting
คือหนึ่งในการใช้เหตุผลที่ผิด โดยนำเอาประเด็นปลีกย่อยของเรื่องนั้นมาตั้งเป็นประเด็นหลัก เพื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย ทั้งนี้เพราะตนเองไม่สามารถที่จะหักล้างประเด็นหลักๆหรือ เหตุผลหลักที่อีกฝ่ายได้นำเสนอได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเสาะแสวงหาส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเสียเปรียบของอีกฝ่ายในประเด็นนั้น  แล้วพยายามสร้างภาพว่า นี่คือประเด็นหลัก แต่ในความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ และถึงแม้ว่า อีกฝ่ายจะไม่สามารถหักล้าง หรือชี้แจง ประเด็นปลีกย่อยนี้ได้ ก็จะไม่มีผลอย่างใดต่อสิ่งที่เขาได้นำเสนอเป็นจุดยืน  ทั้งนี้เพราะ เหตุผล หรือ หลักฐานหลักยังคงยืนอยู่โดยไม่สามารถถูกหักล้างได้  
            เช่น ตำรวจจับคนค้ายาเสพติดได้ โดยตำรวจพูดกับเขาว่า ไอ้สารเลว มึงกำลังทำลายชาติมึงรู้ตัวหรือเปล่าคนค้ายาจึงพูดกับตำรวจกลับไปว่า คุณพูดกับประชาชนหยาบคายอย่างนี้หรือ  ตอบผมมาทำไมคุณพูดจาหยาบคายอย่างนี้
            จะเห็นได้ว่า คนค้ายาเสพติดไม่สามารถแก้ตัวในความผิดของตนเองได้ จึง หยิบเอาประเด็นปลีกย่อย ( การพูดหยาบคายของตำรวจ) มาสร้างเป็นประเด็นใหญ่ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถไปหักล้างความจริงที่ว่า ตัวเองถูกจับเพราะค้ายาเสพติดได้   
หรือ ชีอะฮฺอาจจะนำฮะดีษบางบทที่เกี่ยวกับ ข้อผิดพลาดของซอฮาบะฮฺบางท่านมาเป็นประเด็น ทั้งๆที่ไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร แต่กระนั้นก็สร้างภาพราวกับว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่  หรือ เช่นกันที่ คนๆหนึ่งอาจจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ก็มีบางคน นำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข้อเสียอะไรเล็กๆน้อยๆของหนังสือเล่มนั้นมา และทำสร้างภาพราวกับว่า หนังสือเล่มนี้มีปัญหาใหญ่โต เป็นผลทำให้หนังสือเล่มนี้ใช้ไม่ได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยกมาที่ดูเหมือนจะเป็นข้อเสียเล็กๆน้อยๆนั้น ไม่มีผลอะไรเลยต่อเนื้อหาของหนังสือ   ซึ่งก็จะตกหลักตรรกอีกข้อที่ว่า นาย ก. ยิงกระสุน 10 นัด ถูกกลางเป้า 9 นัด อีก 1นัด ถูก ไม่ตรงกลางเป้า แต่ก็ยังถูกเป้า  นาย ข. ก็มุ่งโจมตีไปที่ 1 นัดที่นาย ก. ยิ่งไปถูกกลางเป้า และสร้างภาพราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต   การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่ออีกฝ่าย 
หรือเช่น นาย ก. ทำข้อสอบ 100 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน นาย ก. ได้คะแนน 90 เต็ม 100 แต่กระนั้น นาย ข. ก็พยายามเอาเป็นเอาตายหรือสร้างเรื่องให้ใหญ่โตกับอีก 10 ข้อที่นาย ก. ทำผิด โดยพยายามสร้างภาพให้ดูเป็นเรื่องใหญ่โต  และละเลยที่จะกล่าวถึงอีก 90 ข้อที่นาย ก. ได้ถูก
False / Weak Analogy

           ความผิดพลาดอีกอย่างหนี่งในการใช้เหตุผลก็คือ การเปรียบเทียบที่ผิด  เช่น เปรียบเทียบว่า ก. และ ข. ว่ามีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน  แต่เมื่อวิเคราะห์ดูในรายละเอียดของ ก. และ ข. แล้ว ก. และ ข. ไม่เหมือนกัน ที่จะสามารถนำใช้เปรียบเทียบกันได้  / ในการเปรียบเทียบเราจะต้องดูว่า สิ่งสองสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันนั้นมีจุดที่แตกต่างกัน ยังผลทำให้การเปรียบเทียบนั้นใช้ไม่ได้ หรือไม่  ( having critical points of difference )
ขอยกตัวอย่างเรื่องการเปรียบเทียบด้วยคำพูดของชายคนหนี่งต่อไปนี้ :
  ปืนก็เหมือนฆ้อน ทั้งสองสิ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนที่เป็นโลหะ ที่สามารถใช้ฆ่าคนตายได้ แต่กระนั้นก็ตาม จะถือเป็นเรื่องตลกที่จะมาจำกัดการซื้อ ขายฆ้อน ดังนั้น การที่จะมาจำกัดการซื้อขายปืนจึงเป็นเรื่องตลกเช่นกัน  
ชี้แจง:
จริงอยู่ที่ทั้งปืน และฆ้อนต่างก็มีลักษณะที่คล้ายๆกันอยู่ แต่ลักษณะต่างๆเหล่านี้   ( มีส่วนที่เป็นโลหะ เป็นอุปกรณ์ สามารถใช้ทำร้ายได้) ไม่ใช้สิ่งที่เป็นจุดสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาการจำกัดการซื้อ ขายปืน  แต่ทว่า จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ที่มีการจำกัดการซื้อขายปืนนั้นก็เพราะว่า ปืนนั้นสามารถถูกนำไปใช้ฆ่าคนได้ทีละจำนวนมาก อีกทั้งสามารถฆ่าในระยะไกลได้อีกต่างหาก และลักษณะนี้นี่แหละที่ฆ้อนไม่มี มันเป็นเรื่องยากที่จะฆ่าคนทีละจำนวนมากๆโดยใช้ฆ้อน  และอีกอย่างคือ เป้าหมายเดิมๆของฆ้อนนั้น เอาไว้ใช้ในงานช่าง ไม่ใช่ฆ่า หรือทำอันตรายต่อสิ่งใด เพราะฉะนั้น การนำฆ้อนมาเปรียบเทียบกับปืนในเรื่องนี้จึงเป็นการเปรียบเทียบที่ใช้ไม่ได้ ( Weak analogy )
            เมื่อเราจะนำสิ่งสองสิ่งมาเปรียบเทียบกัน  สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะต้องจับประเด็นให้ได้ก่อนว่าเราจะเปรียบเทียบเรื่องอะไร  เช่นตัวอย่างข้างบน  จุดที่ต้องการเปรียบเทียบคือ การฆ่า หรือการทำอันตราย จากนั้นให้ดูกันต่อไปว่า ทั้งสองสิ่งนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อันเป็นผลให้การเปรียบเทียบนั้นใช้ไม่ได้  หรือไม่      
อย่าลืมว่ากรดอะมิโนเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่สามารถเลือกถูกเลือกผิดได้  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การที่จะมายกตัวอย่างเรื่อง ข้อสอบ หรือ ตัวเลือก 4 ข้อมาเปรียบเทียบกับในกรณีของ กรดอะมิโน จึงถือว่าเป็นการยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่ผิดพลาด  ในตัวอย่างเรื่อง ข้อสอบ หรือ ตัวเลือก นั้น ก็คือ การที่คนๆหนึ่ง เดาคำตอบ ว่าจะเป็น ก. ข. ค. หรือ ง. เมื่อเดาผิด เมื่อตอบครั้งที่สองก็จะไม่เลือกข้อที่ผิดไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาศที่จะเดาถูกก็มีมากขึ้น เพราะเหลือตัวเลือกอยู่แค่สามตัว และถ้าตอบผิดอีก  การตอบครั้งต่อไปก็จะเหลือตัวเลือกอยู่แค่สองตัว ทำให้โอกาศที่จะเดาถูกก็มีมากขึ้นไปอีก
 แต่ในกรณีของกรดอะมิโนนั้น มันไม่ใช่เช่นนั้น แต่เราจะต้องยกตัวอย่างดังต่อไปนี้:
 เรามีลูกแก้วอยู่ 200 ลูก และมีอยู่ลูกเดียวเท่านั้นที่สีเขียว  ความน่าจะเป็นที่ผมจะหยิบลูกแก้วสีเขียวนี้ออกมากล่องได้อย่างถูกต้อง มีเท่าไหร่ และ ถ้าผม หยิบ1,000 ครั้งด้วยกัน ความน่าจะเป็นที่จะถูกทุกครั้งเป็นเท่าไหร่  โดยแต่ละครั้งที่หยิบออกมาผิดจะต้องใส่ลูกแก้วกลับเข้าไปอย่างเดิม และทำการหยิบใหม่  แน่นอนที่สุดความน่าจะเป็นไม่ว่าจะครั้งที่หนึ่ง  สอง สาม สี่ ห้า และไปเรื่อยๆ นั้นไม่ต่างกันเลย 

ความเหมือนที่มีความเกี่ยวข้องกัน และ ความแตกต่างที่มีความเกี่ยวข้องกัน ในการเปรียบเทียบ ในการเปรียบเทียบถ้ายิ่งมี ความเหมือนที่มีความเกี่ยวข้องกันมากเท่าไหร่ และ ยิ่งมีความแตกต่างที่มีความเกี่ยวข้องกันน้อยเท่าไหร่  การเปรียบเทียบยิ่งถือว่ามีน้ำหนักมาเท่านั้น


----------------------------------------.
หลักการตรวจสอบ 4 ข้อ ในการใช้เหตุผล
การอ้างเหตุผล หรือ ขบวนการอ้างเหตุผล หรือ การอ้างหลักฐานที่ดี ที่จะเป็นที่ยอมรับได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วย 4 ประการด้วยกันคือ:

 1. เหตุผลหรือหลักฐานที่ถูกยกมาเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเองนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน (Relevance Principle) อย่างแท้จริงต่อเรื่อง  หรือ ประเด็นนั้นๆที่ตัวเองต้องการสนับสนุน  โดยไม่นำเอาข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นนั้น มาเป็นหลักฐาน หรือเหตุผลในการ สนับสนุน จุดยืนของตนเอง

2. เหตุผลหรือหลักฐานที่ยกไปจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ หรือเป็นจริง ต้องเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย       ( Acceptability Principle) เพราะถ้าเหตุผลที่ถูกยกมาเพื่อสนับสนุนจุดยืนหนึ่งๆ ไม่เป็นที่ยอมรับจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายแล้ว  เหตุผลนั้นเองกลับกลายที่จะเป็นสิ่งที่ต้องถูกนำมาเป็นประเด็นเพื่อที่จะต้องถูกพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่าเป็นจริง หรือเท็จ

3. เหตุผลทั้งหลายที่ยกไปนั้น เมื่อรวมกันแล้วจะต้องเพียงพอที่จะถูกใช้เป็นเงื่อนไขสนันสนุนข้ออ้างนั้นๆ หรือจุดยืนนั้นๆได้  เพราะถึงแม้ว่า จะผ่านข้อที่ 1 และ 2 ก็ตาม แต่ถ้า เหตุผลที่นำมานำอ้าง (premise) ก็ยังไม่พอเพียงที่จะใช้ไปสนับสนุนจุดยืนนั้นๆได้ ก็ยังถือว่าไม่ผ่าน  

4. เหตุผลหรือหลักฐานที่ยกไปนั้นจะต้องสามารถต้านทาน ต่อข้อหักล้าง หรือ การแย้งต่างๆจากอีกฝ่ายที่มีต่อเหตุผลหรือหลักฐานของเราที่ได้ยกไปได้  (Rebuttal Principle) 

            ในการวิเคราะห์คำพูด หรือ ข้อความต่างๆนั้น เราจะต้องตั้งสติให้ดี และแยกให้ได้ว่าในบรรดาคำพูด หรือ ข้อความต่างๆ ที่ถูกยกมานั้น  มีสิ่งที่ถูกอ้างเป็นจุดยืน             ( conclusion ) กี่อย่าง และให้แยกจุดยืนต่างๆเหล่านั้นออกมาให้ชัดเจนว่ามีกี่จุดยืน จากนั้นให้ดูว่า จุดยืนแต่ละอย่างนั้นมีเหตุผล ( premise ) อะไรมาสนับสนุน และมีกี่เหตุผล หรือ ไม่มีสักเหตุผลเลยที่จะมาสนับสนุน แต่ถ้ามี ก็ให้ทำตามขั้นตอนข้างตนทั้ง 4 ข้อ ในขณะที่เราใช้ทั้ง 4 ข้อในการตรวจสอบจุดยืนนั้นๆอยู่ เราก็จะต้องตรวจ และ วิเคราะห์ดูว่า มีการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดในประเภทหนึ่งประเภทใดหรือไม่ ( ภาษาอังกฤษเรียกว่า logical fallacy = ความผิดพลาดในการใช้เหตุผล)  ซึ่งนักวิเคราะห์ได้วิเคราะห์เอาไว้กว้างๆถึงการใช้เหตุผลที่ผิดพลาด ประมาณ 60 อย่างด้วยกัน

----------------------------.
ดร. ซากิรไนคฺ เก่งเรื่อง ตรรก   ( ข้อความนี้ถือว่าเป็นความจริง  ภาษาอังกฤษจะเรียกว่าเป็นpremise )
ดร. ซากิรไนคฺ เป็นคนอินเดีย  ( ข้อความนี้ถือว่าเป็นความจริง ภาษาอังกฤษจะเรียกว่าเป็น premise) 
เพราะฉะนั้นประเทศอินเดียจึงมีชื่อเสียงในวิชาตรรก  ( ข้อความนี้เป็นการสรุป ภาษาอังกฤษจะเรียกว่าเป็น conclusion  ซึ่งเป็นการสรุปที่ผิด )   
เราจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่า premise  จะเป็นความจริงก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นว่า ข้อสรุปจะเป็นจริงตามไปด้วย  เพราะหลายครั้งด้วยกันที่ premise ไม่ได้มีอะไรความเกี่ยวข้องอะไรในการที่จะไปสนับสนุนข้อสรุปเลย  
=====================.
กฏหมายจะต้องไม่บังคับให้ประชาชนทำในสิ่งที่เป็นอันตรายแก่ตัวเอง ”  ( premise ที่ 1  นี้ถือว่าเป็นความจริงเป็นที่ยอมรับกัน )   
การรัดเข็มขัดนิรภัย อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้ ”  ( premise ที่ 2 นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องมาพิสูจน์กันว่า เป็นที่ยอมรับ หรือ เป็นความจริงหรือไม่ มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุน และ ไปขัดแย้งกับข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือไม่  แต่เราสรุปได้เลยว่า  premise ที่ 2 นี้ไม่ผ่านมาตรฐานที่จะถูกเรียกว่าเป็น premise ที่ยอมรับได้)  )
ทั้งนี้เนื่องจากชายคนหนึ่งรอดชีวิตมาได้ก็เนื่องมาจากเขาไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยในขณะขับรถ ”      ( ข้อความนี้ถือเป็นเหตุผลที่ถูกนำมาใช้สนับสนุน premise ที่ 2 อีกที  แต่ถือว่าเป็นการใช้เหตุผลผิดพลาด เพราะนำเอาประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ว่าจะของตัวเอง หรือ ของคนไม่กี่คนมาเป็นหลักฐานยืนยัน ( ในทางวิชาการเรียกว่า anecdotal evidence )  โดยมองข้ามหลักฐานอื่นๆที่จะแย้งกับเหตุผลที่ตัวเองนำมาใช้ยืนยันจุดยืนของนเอง  นั่นก็คือ ไม่สามารถหักล้างเหตุผลของฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการรัดเข็มขัดนิรภัยได้อีก  ดังนั้นเหตุผลที่ถูกนำมาใช้สนับสนุน premise ที่ 2 จึงถือว่าตกไป  ไม่เพียงพอที่จะถูกนำมาใช้เป็นหลักฐาน)
ดังนั้น กฏหมายจึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ผู้ขับขี่รถต้องรัดเข็มขัดนิรภัย ( ข้อความนี้ถือว่าเป็นจุดยืนที่ผู้พูดต้องการให้เป็นเช่นนั้น หรือเรียกอีกอย่างคือ conclusion ) 
ดังนั้นเมื่อ premise ที่จะถูกนำมาใช้สนับสนุน conclusion ใช้ไม่ได้แล้ว  จึงมีผลทำให้ conclusion  ใช้ไม่ได้ไปโดยปริยาย
==================.
 
มีหลักตรรกในการให้เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า deductive ซึ่งจะมีรูปแบบดังนี้:  
ผู้แรกที่นำคัมภีร์อัล-กุรอานมาคือ ชายคนหนึ่งที่ชื่อ มุฮัมหมัด ” ( premise นี้ถือว่าเป็นความจริง ) 
มุฮัมหมัด มีชีวิตอยู่เมื่อ 1,400 กว่าปีที่แล้ว ”     ( premise นี้ก็ถือว่าเป็นความจริงเช่นกัน ) 
ดังนั้นคัมภีร์อัล-กุรอานจึงมีมาเมื่อ 1,400 กว่าปีที่แล้ว ”       ( ข้อความนี้ถือว่าเป็น conclusion )
          การใช้เหตุผลในรูปแบบ deductive นี้ถือว่าเป็นการให้เหตุผลที่แน่นอนที่สุด  เพราะว่า ถ้า premise ถูกต้องแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ conclusion จะผิด แต่จะต้องถูกต้องไปด้วย เพราะมิเช่นนั้น จะเกิดความสภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจน   แต่กระนั้นก็ตามในการให้เหตุผลของมนุษย์เราในเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ได้ใช้การให้เหตุผลในรูปแบบของ deductive แต่จะเป็นในรูป inductive เสียมากกว่า
================================.
สร้างเงื่อนไขบังคับผิดขั่ว

เช่น ชีอะฮฺอ้างว่า อายะฮฺ ของอัล-กุรอานต่อไปนี้  เพื่อเป็นหลักฐานว่า มีการแยกระหว่างกลุ่มลูกหลานทั่วไป ( ซึ่งคือกลุ่มที่หลงผิดตามความเชื่อของชีอะฮฺ) กับกลุ่มลูกหลานพิเศษที่อัลลอฮฺบอกว่าได้ในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องได้เป็นนบีทุกคน :   

57:26. โดยแน่นอนเราได้ส่งนูหฺและอิบรอฮีม และเราได้ทำให้ลูกหลานของเขาทั้งสองเป็นนะบี และเราได้ประทานคัมภีร์  ดังนั้นบางคนในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และส่วนมากในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้ฝ่าฝืนหลงทาง    

ซึ่งในความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเช่นนั้น เพราะ ทุกๆคนที่เป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องนั้น ไม่จำเป็นว่าเขาผู้นั้นจะต้องเป็นนบี แต่ในทางกลับกันทุกท่านที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีนั้นถือว่าเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง  ซึ่งก็คล้ายกับการพูดว่า  1.         ผู้ที่ยึดมั่นในการเก็บภาษีอย่างโหดร้ายทุกคน คือ พวกคอมมิวนิส   นาย ก. คือ ผู้ที่ยึดมั่นในการเก็บภาษีอย่างโหด    ดังนั้น นาย ก. จึงเป็นพวกคอมมิวนิส และ  2.  คอมมิวนิสทุกคนคือ ผู้ที่ยึดมั่นในการเก็บภาษีอย่างโหด    นาย ก. คือ ผู้ที่ยึดมั่นในการเก็บภาษีอย่างโหด ดังนั้นนาย ก. จึงเป็นพวกคอมมิวนิส ”   
หรือตัวอย่างต่อไปนี้ทั้งสามแบบ:
 แบบที่ 1. 
Major Premise:  (ส่วนที่1): มุอฺมินทุกคน คือ  (ส่วนที่2): ผู้ที่ละหมาดอย่างนอบน้อม   
            Minor  Premise: (ส่วนที่1): นาย อิดรีส  (ส่วนที่2): เป็นมุอฺมิน 
           Conclusion:  ดังนั้น นาย อิดริส จึงละหมาดอย่างนอบน้อม 

แบบที่ 2.  
Major Premise: (ส่วนที่1): ผู้ละหมาดอย่างนอบน้อมทุกคน  (ส่วนที่2): เป็นมุอฺมิน 
Minor  Premise: (ส่วนที่1): นาย อิดรีส   (ส่วนที่2):  ละหมาดอย่างนอบน้อม
Conclusion:  ดังนั้น นาย อิดรีส  จึงเป็นมุอฺมิน 

แบบที่ 3.  
Major Premise:  (ส่วนที่1):  มุอฺมินทุกคน คือ (ส่วนที่2): ผู้ที่ละหมาด อย่างนอบน้อม  
Minor  Premise: (ส่วนที่1): นาย อิดรีส  คือ (ส่วนที่2):  ผู้ที่ละหมาด อย่างนอบน้อม  
Conclusion:  ดังนั้น นาย อิดรีส จึงเป็น มุอฺมิน 

            จากทั้งสามแบบที่ยกมาให้ดูข้างต้นนี้ มีแบบที่ 1 และแบบที่2 ที่ถูกต้องตามหลักการวิเคราะห์และถือเป็นเงื่อนซึ่งกันและกัน  ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ Major หรือ Minor Premise ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าทั้งคู่เป็นความจริงก็ย่อมได้ข้อสรุปที่เป็นจริงออกมา แต่ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเท็จ ก็จะได้ข้อสรุปที่ผิดและไม่เป็นจริงออกมา

หรือพูดว่า:
แบบที่ 1:
Major Premise:  (ส่วนที่1): ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ เป็น (ส่วนที่2): บาทหลวง
Minor  Premise: (ส่วนที่1): นาย จอน (ส่วนที่2): อยู่ในบ้านหลังนี้
Conclusion: ดังนั้น นายจอนจึงเป็นบาทหลวง

แบบที่ 2:
Major Premise:  (ส่วนที่1): ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ (ส่วนที่2): เป็นบาทหลวง 
Minor  Premise: (ส่วนที่1): นาย จอน  (ส่วนที่2):เป็นบาทหลวง
Conclusion: ดังนั้น นาย จอนจึงอยู่ในบ้านหลังนี้  

จากทั้งสามแบบที่ยกมาให้ดูข้างต้นนี้ แบบที่ 1 เพียงอย่างเดียวที่ถูกต้อง ด้วยกับเหตุผลที่ได้อธิบายไปตามตัวอย่างก่อนหน้านี้
---------------------------------------.
แบบที่ 1
Major Premise: พระองค์อัลลอฮฺไม่ทรงเหมือนสิ่งถูกสร้าง (มัคลูค)ใดๆทั้งสิ้น
Minor  Premise: มือถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นมัคลูค
Conclusion: ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺจึงไม่มีมือ (นะอูซุบิ้ลลาฮฺ)

แบบที่ 2
Major Premise: มือถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นมัคลูค
Minor  Premise: พระองค์อัลลอฮฺไม่ทรงเหมือนสิ่งถูกสร้าง (มัคลูค)ใดๆทั้งสิ้น
Conclusion: ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺจึงไม่มีมือ (นะอูซุบิ้ลลาฮฺ)

แบบที่ 3
Major Premise: มือ ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นมัคลูคเท่านั้น  
Minor  Premise: พระองค์อัลลอฮฺทรงมีมือ
Conclusion: ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺจึงเป็นมัคลูค (นะอูซุบิ้ลลาฮฺ)
จากข้างต้นนั้น การใช้เหตุผลข้างต้นในแบบที่สามเพียงแบบเดียวเท่านั้นที่ถือว่าถูกต้องตามสูตรการใช้เหตุผล ส่วนแบบที่ 2 และ 3 นั้นถือว่าผิดพลาดในการใช้กฏข้อนี้  แต่แบบที่สามจะเป็นจริงขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อถ้าพิสูจน์ได้ว่า ทั้ง Major และ Minor Premise นั้นเป็นความจริง  แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าอย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งคู่ไม่เป็นจริง ข้อสรุปที่ได้มาก็ถือว่าเป็นเท็จไปโดยปริยาย ซึ่งตามแบบที่สามข้างต้นนี้ถือว่าผิดพลาดตรงที่ Major Premise  ทั้งนี้เพราะ Major Premise นั้นไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่ตั้งกฏเช่นนี้ขึ้น ละเลยต่อกฏข้อยกเว้นไป ซึ่งถ้าจะให้ถูกต้องจริงแล้ว จะต้องออกมาดังต่อไปนี้: 
Major Premise: พระองค์อัลลอฮฺไม่ใช่มัคลูค (สิ่งถูกสร้าง)
Minor  Premise: มือถือเป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ
Conclusion: ดังนั้นมือ (ที่เป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ) จึงไม่ใช่มัคลูค

และ สนับสนุนด้วยกับข้างล่างต่อไปนี้: 
Major Premise: พระองค์อัลลอฮฺทรงไม่เหมือนสิ่งใดทั้งสิ้น
Minor  Premise: มือถือเป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ
Conclusion: ดังนั้น มือ (ที่ถือเป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ) จึงไม่เหมือนสิ่งใดทั้งสิ้น










the use of a detailed description of one or several individuals or events to support a conclusion.  with dramatic  descriptions of cases.  to tell heart-wrenching stories   / Case examples are often compelling to us because of their colorfulness  and their interesting details, which make them easy to visualize. striking examples or anecdotes  / Be wary of striking case examples as proof!   Always ask yourself: "Is the example typical?" "Are there powerful counterexamples?" "Are there biases in how the example is  reported ? "

------------------------.

หนึ่งในความผิดพลาดในการใช้เหตุผลก็คือ ถ้าวิธีการหรือแนวทางหนึ่งไม่สามารถขจัดปัญหาไปได้ทั้งหมดก็ไม่ต้องแก้ไขปัญหานั้นเลย หรือถ้าจะทำสิ่งหนึ่งแต่ทำไม่ได้สมบูรณ์ ก็ไม่ต้องทำเลย ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Searching for Perfect Solution

ทึกทักเอาเองว่า ถ้าส่วนหนึ่งของปัญหายังคงมีอยู่หลังภายหลังจากที่ได้พยายามแก้ไขแล้ว ก็ไม่ควรที่จะต้องพยายามแก้ไขปัญหานั้นเลย  เช่น กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเราจะพยายามปราบปรามพวกค้ายาเสพติดแล้วก็ตาม แต่กระนั้นก็ยังมีการค้ายาเสพติดอยู่ดี เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีการปราบปรามการค้ายาเสพติด”  หรือ ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงณ์ไม่ให้กินเหล้าทางทีวี แต่คนก็ยังกินเหล้ากินเบียกันอยู่ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาเสียเวลาเชิญชวนให้คนไม่กินเหล้า หรือ ถ้าจะเลิกสูบบุหรี่ก็เลิกให้ได้ทีเดียวไปเลย ถ้าเลิกแบบทีเดียวเด็ดขาดไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลิกเสียจะดีกว่า หรือ เรามักจะได้ยินข้อเหตุผลหนึ่งที่คนๆหนึ่งไม่ยอมรับอิสลามโดยอ้างว่า ถ้าจะรับอิสลามทั้งทีก็ขอรับแบบสมบูรณ์ไปเลยจะดีกว่า รับแล้วละหมาดได้ครบ 5 เวลา รับแล้วสามาถเลิกทำบาปต่างๆได้ ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังไม่ขอรับจะดีกว่า  หรือ ถ้าคลุมฮิญาบแล้วยังมีคนถูกข่มขืนอีกก็ไม่ต้องคลุมเสียเลยจะดีกว่า       

การที่จะเป็นนักวิเคราะห์ที่ดีได้นั้น เราจะต้องสร้างนิสัย การตรวจจับความผิดพลาดในการใช้เหตุผล (fallacy-detection habit) ให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ในขณะที่ได้ยินหรือได้อ่านคำกล่าวใดๆ  ให้เราถามตัวเองว่า คำกล่าวนั้นมีสิ่งที่เป็นข้ออ้างเป็นจุดยืนของคนๆนั้นหรือไม่ ถ้ามี พยายามสรุปออกมาให้ได้ว่า ข้ออ้างเป็นจุดยืนของคนๆนั้นคืออะไร และมีเหตุผลอะไรมาสนับสนุน และ เหตุผลที่ถูกนำมาสนับสนุนนั้นใช้ได้หรือไม่ แต่ก่อนที่เราจะสามารถตอบคำถามได้ว่าเหตุผลที่ถูกนำมาสนับสนุนนั้นใช้ได้หรือไม่นั้น เราจะต้องผ่านการศึกษาความผิดพลาดต่างๆในการใช้เหตุผลมาแล้ว เราถึงจะตรวจจับได้ว่ามีการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดในการสนับสนุนข้ออ้างอันเป็นจุดยืนของเขาผู้นั้นหรือไม่

------------.
               ในหลายกรณีด้วยกันที่คำศัพท์คำหนึ่งถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง แต่กระนั้นก็ตามรายละเอียดของศัพท์คำนั้นที่ถูกกล่าวในบริบทหนึ่งนั้นมีความแตกต่างกันกับอีกบริบทหนึ่งที่มันถูกใช้ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นอะไรที่แยบยล  (ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Equivocation) ซี่งถ้าไม่สังเกตุหรือระวังให้ดีก็อาจจะคล้ายตามไปได้โดยง่าย เช่นพูดว่า  เมื่อยาชนิดหนึ่งได้มีมติเอกฉันทร์ว่ามีประโยชน์ในการใช้รักษาได้แล้ว ยานั้นก็จะเป็นที่ยอมรับ  และเช่นกันได้มีการสำรวจและพบว่ามีมติเป็นเอกฉันทร์ที่จะยอมรับว่ากัญชานั้นสามารถใช้รักษาทางการแพทย์ได้”   สังเกตุคำว่า มติเอกฉันทร์ให้ดี เพราะรายละเอียดของการใช้ในแต่ละครั้งนั้นแตกต่างกัน ... เมื่อเราวิเคราะห์และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเราพบว่า มติเอกฉันทร์ที่ถูกใช้ในคำแรกนั้นหมายถึง มติเอกฉันทร์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้การยอมรับยาชนิดหนึ่งๆว่ามีประโยชน์ในการใช้รักษาได้ แต่คำว่ามติเอกฉันทร์ที่ถูกใช้ในครั้งที่สองนั้น คือ มติเอกฉันทร์ในหมู่ประชาชนชาวอเมริกาทั่วไปที่ได้มาจากการการสำรวจความเห็น  ซึ่งก็ผิดหลักการใช้เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ว่า เอาคนส่วนใหญ่มาเป็นตัวตัดสินซึ่งไม่อาจจะใช้ได้ในกรณีนี้ เพราะข้อเท็จจริงในกรณีเรื่องยานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คนส่วนใหญ่ หากแต่ขึ้นอยู่กับผู้ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องยา  เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าคำศัพท์หรือวลีที่ใช้ อาจจะเหมือนกันก็ตาม แต่กระนั้นเนื้อหารายละเอียดของคำศัพท์หรือวลีนั้นไม่เหมือนกัน  
---------------------------.
Begging the question
ทำราวกับว่าได้อ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนข้ออ้างอันเป็นจุดยืนแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็การเปลี่ยนหรือใช้คำพูดที่เป็นข้ออ้างอันเป็นจุดยืนใหม่ ซึ่งถ้าไม่สังเกตุดูก็จะดูคล้ายกับว่ามันคือเหตุผลที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนข้ออ้างอันเป็นจุดยืน ยกตัวอย่างให้เขาใจง่ายก็ เช่นพูดว่า คุณไม่สมควรที่จะนอนดึก เพราะมันไม่ดี จะสังเกตุได้ว่าข้อความที่ว่า เพราะมันไม่ดี ในความเป็นจริงแล้วก็มีคล้ายกับข้อความที่เป็นข้ออ้างอันเป็นจุดยืน นั้นก็คือ ‘‘ คุณไม่สมควรที่จะนอนดึก      เพียงแต่ได้เปลี่ยนคำพูดใหม่เพื่อให้ดูราวกับว่ามันคือ เหตุผลสนับสนุนจุดยืนของตนเองที่ไม่เห็นด้วยกับการนอนดึก  แต่ตามหลักการใช้เหตุผลที่ถูกต้องแล้ว ผู้พูดจะต้องบอกให้รู้ว่า นอกดึกนั้นไม่ดีอย่างไร จะมีผลอย่างไร วิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ยืนยันเอาไว้อย่างไรถึงผลเสียของการนอนดึก ตรงนี้ต่างหากที่จะถือว่าได้นำเหตุผล (premise) มาสนับสนุน  ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลเช่นนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Begging the question คือ นำเอาข้อความที่เป็นข้ออ้างอันเป็นจุดยืน(ที่จะต้องถูกพิสูจน์) มาเป็นตัวสนับสนุนเสียเอง 

---------------------------.
Division
ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ ทึกทักเอาว่าถ้าภาพรวมเป็นอย่างไร รายละเอียดของสิ่งนั้นจะต้องเป็นอย่างนั้นด้วย เช่นพูดว่า มนุษย์เราประกอบไปด้วยอะตอม  และมนุษย์เราเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกนึกคิด  เพราะฉะนั้นอะตอมจึงต้องมีความรู้สึกนึกคิดด้วยเช่นกัน หรือ เช่น ผู้รู้ท่านหนึ่งที่จบการศึกษาด้านฮะดีษมาโดยตรงและมีความเชี่ยวชาญด้านฮะดีษ เมื่อภาพรวมของผู้รู้ท่านนี้เป็นอย่างที่ว่ามานี้ ก็เลยทึกทักเอาว่า ผู้รู้ท่านนี้จะต้องมีความรู้ในรายละเอียดทุกอย่างของวิชาฮะดีษเช่นกัน  และถ้าสมมุติเราเห็นด้วยกับเหตุผลที่ผิดพลาดเช่นนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่า เชคอัลบานีย์จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดในรายละเอียดเรื่องหนึ่งเรื่องใดของฮะดีษเลย ซึ่งความจริงแล้วก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่  
---------------------------.

หนึ่งในความผิดพลาดในการใช้เหตุผลก็คือ  การเจาะจงสร้างเป็นเงื่อนไขขึ้นมา   ( หรือ สร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง ) เพื่อที่จะอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์หนึ่ง         ( หรือ ความเป็นจริงที่ปรากฎขึ้น ที่เห็นได้เป็นรูปธรรม) ที่เกิดขึ้น  (หรืออาจจะด้วยการทึกทักสาเหตุขึ้นมาเองเป็นเงื่อนไข)  ทั้งๆที่ไม่ใช่เงื่อนไขหรือคำอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริง  ที่ทำเช่นนนี้ก็เพื่อให้รองรับหรือสอดคล้องกับจุดยืนของตนเอง  เช่น นาย ก. ชวนนาย ข. ไปเล่นฟุตบอล แต่นาย ก. ปฎิเสธไม่ไป แต่ก็ไม่ได้บอกสาเหตุว่าเพราะอะไร  นาย ก. ก็เลยสรุปทึกทักเอาเองว่า สาเหตุที่นาย ข. ไม่ไป ก็เป็นเพราะ นาย ข. ต้องการอ่านหนังสือ เพราะตอนไปชวน นาย ข. กำลังอ่านหนังสืออยู่   จริงอยู่ นาย ข. กำลังอ่านหนังสืออยู่ตอนที่นาย ก. ไปชวนนาย  ข. เล่นฟุตบอล  แต่นั่นไม่ได้เป็นเงื่อนไข หรือ ไม่จำเป็นเลยว่า สาเหตุที่ไม่ไปเพราะ นาย ข. ต้องการอ่านหนังสือ เป็นไปได้ว่า นาย ข. อาจจะมีนัด แต่ยังไม่ถึงเวลานัดที่จะต้องไปตามนัด จึงใช้เวลาอ่านหนังสือไปพรางๆ  หรือ เป็นไปได้เช่นกันว่า นาย ข.  เจ็บขา แต่นาย ก. ไม่รู้เอง เพราะอาการปวดขามันไม่ได้ปรากฎชัดเป็นรูปธรรมออกมาให้นาย ก. เห็น   

หรือในกรณีของชีอะฮฺ เราจะเห็นได้ว่าชีอะฮฺหลายๆคนมักผิดพลาดในการใช้เหตุผลเช่นที่กล่าวมานี้ เช่น เมื่อฝ่ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺถามในเรื่องเหตุการที่ท่านนบีป่วยและร้องขอให้ไปนำกระดาษมาเพื่อที่จะได้จดบันทึกสิ่งที่ท่านต้องการ ว่า เหลือเวลาอีกตั้งสามวันกว่าท่านนบีจะเสียชีวิต ถ้าท่านนบีต้องการจะให้มีการจดบันทึกอะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ แล้วทำไมท่านนบีจึงไม่เรียกให้ใครคนใดคนหนึ่งมาบันทึกในสิ่งที่ท่านต้องการให้บันทึก ทั้งๆที่ท่านก็อาการดีขึ้นแล้วจากการป่วยไข้ ฝ่ายชีอะฮฺก็จะให้คำตอบว่า ที่ท่านนบีไม่ได้เรียกให้ใครมาบันทึกสิ่งที่ท่านต้องการให้บันทึกก็เพราะว่า ความปรารถนาดีของท่านนบีได้ถูกปฎิเสธไปเรียบร้อบแล้ว หรือ บางคนอ้างว่า              ท่านนบีต้องการสอนบทเรียนกับสาวกของท่าน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่บันทึก เราจะเห็นได้ว่าข้ออ้างของชีอะฮฺดังกล่าวเป็นการทึกทักเอาเอง และยังอ้างไม่เหมือนกันอีกต่างหาก โดยไม่มีหลักฐานตรงไหนบ่งบอกเลยว่าจะต้องเป็นไปตามข้อกล่าวอ้างทั้งสอง

ดังกล่าวนั้นเป็นการโยงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเข้ากับอีกสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างภาพว่าทั้งสองเป็นเงื่อนไขบังคับซึ่งกันและกัน ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาบ่งชี้เลยว่าเป็นเช่นที่กล่าวอ้างมา หรือไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกเพื่อให้สามารถเข้าใจเช่นนั้นได้ไปโดยปริยาย

ส่วนในกรณีของชีอะฮฺนั้นมีสองส่วนอยู่ กล่าวคือ 1. สิ่งที่เป็นการทึกทักเอาเอง เพื่อใช้สิ่งนั้นเป็นเงื่อนไขหรือเพื่อบอกสาเหตุ  อีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ  2. สิ่งที่ความจริงที่ได้เกิดขึ้น (คือการที่ท่านนบีไม่ได้สั่งให้มีการบันทึกสิ่งใดสามวันก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ทั้งๆที่ท่านฟื้นไข้แล้วและสามารถที่จะกระทำสิ่งนั้นได้แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ) ว่ามันเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ซึ่งแตกต่างกับตัวอย่างเรื่องนาย ก. ชวนนาย ข. ไปเล่นฟุตอบอล เพราะในตัวอย่างนี้มีสิ่งที่เป็นความจริงทั้งสองส่วนปรากฎอยู่ให้ได้เห็น (คือ 1. การที่นาย ข. ปฎิเสธการเล่นฟุตบอล และ 2. การที่นาย ข. อ่านหนังสือ  แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถทึกทักไปเองได้ แล้วนับอะไรกับการที่ทึกทักเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเองเลยเหมือนในกรณีของชีอะฮฺ ยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่)   

ในเรื่องของชีอะฮฺตามที่ชีอะฮฺกล่าวอ้างนั้น เราสามารถถามคำถามเพื่อที่จะนำไปสู่ความจริงได้ดังนี้ 1. เป็นหน้าที่ของท่านนบีหรือไม่ที่จะต้องสอนในทุกสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักที่สำคัญ หรือเรื่องปลีกย่อยก็ตาม?  2 . เป็นไปได้ไหม เรื่องที่ถ้าไม่สอนแล้วประชาชาติอิสลามจะตกอยู่ในความหลงผิดกันทั่วหน้า แต่กระนั้นท่านนบีกลับไม่สอนหรือไม่บอกเรื่องนั้นให้ประชาชาติอิสลามได้รับรู้? 3. เป็นเงื่อนไขหรือไม่ว่าถ้าสอนไปแล้ว ถูกปฎิเสธกลับมา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสอนเรื่องนั้นๆอีก เช่นสอนว่าอย่ากราบไหว้บูชารูปปั้นทั้งหลาย แต่ชาวมักกะฮฺหลายๆคนกลับไม่เชื่อท่านนบี ถามว่าเป็นเหตุผลหรือไม่ว่าให้ท่านนบีไม่ต้องสอนแล้วเพราะว่า ความปรารถนาดีของท่านนบีได้ถูกปฎิเสธไปเรียบร้อบแล้ว

---------------------------.
ความผิดพลาดหนึ่งในการใช้เหตุผลก็คือ  การปฎิเสธหลักฐานหรือเหตุผลหนึ่งที่ถูกนำเสนอ เพียงเพราะตนเองไม่ชอบหรือสงสัยในความน่าเชื่อถือของผู้ยกหลักฐานนั้นมา โดยปราศจากหลักฐานที่จะมายืนยันว่า หลักฐานที่ได้ถูกนำเสนอมานั้นใช้ไม่ได้อย่างไร เช่น นาย ก. นำเสนอหลักฐานที่มาจากนักวิชาการฝ่ายคริสต์เองเพื่อยืนยันกับ นาย ข. ว่า  คัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาโดยตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา  แต่นาย ข. กลับปฎิบัติหลักฐานที่นาย ก. ยกมา เพียงให้เหตุผลว่า คุณนำหลักฐานนี้มาจากเว็ปไซต์ของมุสลิม’  จะเห็นได้ว่า นาย ข. ไม่ได้พิสูจน์แต่อย่างใดว่าหลักฐานที่นาย ก. นำมาเชื่อถือไม่ได้อย่างไร ได้แต่ปฎิเสธโดยไม่มีเหตุผลที่แท้จริง   ซึ่งการกระทำของนาย ก. ก็เหมือนกับ นาย ก. ยืนยันกับนาย ข. ว่า โลกกลม แต่ในขณะเดียวกันคนที่นาย ข. เกลียด นั่นก็คือ นาย ค. ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าโลกกลม นาย ข. จึงปฎิเสธ หลักฐานที่นาย ก. ได้นำเสนอเพื่อยืนยันว่าโลกกลม เพียงเพราะ ตนเองไม่ชอบนาย ค. จึงไม่ขอเชื่ออย่างเดียวกับที่นาย ค. เชื่อ  ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลนี้ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Fallacy: Guilt By Association

ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ ในทางกลับกันไม่จำเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป

เช่น ถ้าผมอยู่ในลอนดอน  ก็เท่ากับผมอยู่ในประเทศอังกฤษ   ผมอยู่ในประเทศอังกฤษ ดังนั้นผมจึงอยู่ในลอนดอน  หรือ พูดว่า ถ้าฝนตกถนนก็จะเปียก  ถนนเปียก นั่นก็หมายความว่า ได้มีฝนตก  (ชี้แจง: การที่ถนนเปียกนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการที่ฝนตกอย่างเดียว แต่อาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆด้วย )

  หรือพูดว่า เช่น  ถ้าผมเป็นไข้หวัด ผมจะต้องมีอาการเจ็บคอ  ผมมีอาการเจ็บคอ  นั่นก็หมายความว่าผมกำลังเป็นไข้หวัดอยู่    แต่ก็มีในบางครั้งที่การใช้เหตุผลประเภทนี้ดูภายแล้วอาจจะน่าเชื่อถือ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เช่นนาย ก. พูดว่า  สมาชิกพรรคริพับลิคั้นทุกคนต่อต้านกฎหมายควบคุมปืน   นาย ข. ก็แย้งขึ้นทันทีว่า นั่นไม่เป็นความจริง  น้าชายของผมก็ต่อต้านกฎหมายควบคุมปืน แต่เขาก็ไม่ได้เป็น สมาชิกพรรคริพับลิคั่น   (ชี้แจง: ไม่จำเป็นว่าคนที่ต่อต้านกฎหมายควบคุมปืน จะมีแต่คนที่เป็นสมาชิกของพรรคริพับลิคั่นเพียงอย่างเดียว)    หรือพูดว่า ถ้าโรงงานปล่อยน้ำเสียลงในคลอง ก็จะมีปลาตายให้เห็น เนื่องจากมีปลาลอยตายให้เห็น นั่นก็หมายความว่า มีโรงงานได้ปล่อยน้ำเสียลงในคลอง  ( ชี้แจง: สาเหตุที่ทำให้ปลาในคลองตายไม่ได้มีเพียงแค่สาเหตุเดียวคือ มีโรงงานปล่อยน้ำเสียลงในคลอง แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆอีก )   หรือพูดว่า:      

Premiss: ถ้าพระเจ้าทรงเผยพระองค์เองในคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว, พระองค์ก็จะทรงรักษาคัมภีร์ไบเบิ้ลเอาไว้ไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข.  ( ข้อความที่ขีดเส้นใต้เรียกว่า consequent )
Premiss:
 พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงรักษาคัมภีร์ไบเบิ้ลเอาไว้จากการถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข. ( ข้อความนี้ถูกนำมาใช้สนับสนุน consequent ข้างบน )
Conclusion:
นั่นก็หมายความว่าพระองค์ได้เผยพระองค์เองในคัมภีร์ไบเบิ้ล. (ข้อความนี้ถูกเรียกว่า antecedent  ของ ประโยคแรกข้างบน ) 

ความผิดพลาดในการใช้เหตุผล ในทางกลับกัน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความจริง  อีกชนิดหนึ่งก็คือ: 
-  ถ้าคุณให้ปืนกับใครคนหนึ่งไป เขาอาจจะใช้ปืนนั้นไปฆ่าคนก็ได้  แต่ถ้าเขาผู้นั้นไม่มีปืน เขาก็จะไม่ฆ่าใครคนใด ( ชี้แจง: ไม่จำเป็นเลยว่าถ้าเขาผู้นั้นไม่มีปืนแล้วเขาจะฆ่าคนอื่นไม่ได้ เพราะปืนไม่ใช่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ใช้ฆ่าคน อย่างอื่นก็ใช้ได้ )
- ถ้าคุณขยันเรียนพยามให้เต็มความสามารถ  คุณจะได้งานที่ดีๆทำ แต่ถ้าคุณไม่ขยันเรียนให้เต็มความสามารถ คุณก็จะไม่ได้งานที่ดีๆทำ
- ผมอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ  ถ้าผมไม่ได้อยู่ในลอนดอน นั่นก็หมายความว่า ผมจะไม่ได้อยู่ในประเทศอังกฤษ  ( ชี้แจง: ไม่จำเป็นเลยว่าถ้าคุณไม่ได้อยู่ในลอนดอนแล้วจะเท่ากับว่าคุณไม่ได้อยู่ในอังกฤษ เพราะคุณอาจจะอยู่ในเมืองอื่นก็ได้ที่อยู่ในประเทศอังกฤษ ) 


Poisoning the Well

ใช้วิธีการลดความน่าเชื่อถือที่ตัวบุคคล (เช่น นาย ก.) ที่ยกหลักฐานหรือเหตุผลมา เพื่อที่จะปฏิเสธหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก.ได้นำเสนอมา  ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันโดยตรง นอกจากจะมีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันเกี่ยวข้องกันจริง  คนที่ใช้วิธีเช่นนี้หวังว่าผู้รับข้อมูลจะมองนาย ก. ในทางลบ และเมื่อเป็นเช่นนั้นไม่ว่านาย ก. จะยกหลักฐานหรือเหตุผลอะไรมาก็ตามก็จำไม่มีผลแต่อย่างใด
 เช่น นาย ก. นำเสนอหลักฐาน และเหตุผลต่างๆในเรื่องๆหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ ซึ่งนาย ข. ไม่สามารถโต้แย้งหลักฐานและเหตุผลของนาย ก. ได้   นาย ข. ก็เลยพูดเพื่อสร้างภาพกับคนฟังว่า   เราจะเอาอะไรมากกับคนอย่าง นาย ก. ที่ครั้งหนึ่งเคยโกงเงินเพื่อสนิทของตนเองมาก่อน  จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่า นาย ก. จะเคยเป็นอย่างที่นาย ข. กล่าวมาจริง แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับการที่จะไปหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลที่ นาย ก. ได้นำเสนอ  
หรือ นำเอาการที่ คนหนึ่ง (นาย ก.) มีผลประโยชน์หรือจะได้รับประโยชน์ในเรื่องๆหนึ่งมาเป็นเหตุผลในการปฎิเสธหลักฐานและเหตุผล ที่นาย ก. ได้ยกมาสนับสนุนจุดยืนตนเองในเรื่องนั้น  การที่นาย ก. จะได้รับประโยชน์หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อได้หรือไม่ของหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก. ยกมาสนับสนุนจุดยืนของตนเอง แต่ความน่าเชื่อถืออยู่ที่ตัวเนื้อหาของหลักฐานที่นาย ก. ได้ยกมา  นอกจากจะมีหลักฐานตรงเรื่องมายืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน เช่น นาย ก. ซึ่งเป็นมุสลิมใหม่เชื่อว่าอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง นาย ข. ซึ่งเป็นต่างศาสนิกก็พูดสวนกลับมาว่า ก็แน่ละซิ นาย ต้องพูดอย่างนี้ เพราะนาย ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมากจากมุสลิม โดยเฉพาะเงินซะกาต   เราจะสังเกตุเห็นได้ว่า นาย ข. ไม่สนใจหลักฐานที่นาย ก. นำมาสนับสนุนและยืนยันว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง แต่กลับมุ่งประเด็นไปที่ผลประโยชน์ที่นาย ก. ได้รับหลังจากที่รับอิสลามแล้ว และใช้สิ่งนี้มาเป็นเหตุผลในการไม่รับฟังหลักฐานของนาย ก. ที่ยืนยันว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง  ที่นาย ข. ทำเช่นนี้ก็อาจจะเนื่องมาจากไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐานของนาย ก. ได้อย่างถูกต้องตามกระบวนการใช้เหตุผล ก็เลยต้องใช้วิธีนี้


Ad Hominem Abusive

มุ่งโจมตีเพื่อลดความน่าเชื่อถือในเรื่องหนึ่งเรื่องใดของบุคคลนั้นๆที่ตนเองไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐานหรือเหตุผลที่เขายกมาได้  

 มุ่งโจมตีเพื่อลดความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย ( เช่น นาย ก.) ด้วยการดูถูกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของตัว นาย ก. แทนที่จะมุ่งหักล้างหรือโต้แย้งไปที่หลักฐานหรือเหตุผลที่นาย ก. ได้นำเสนอไปโดยตรง  ทั้งๆที่เรื่องต่างๆเกี่ยวกับนาย ก. ที่ถูกนำมานั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันและไม่มีผลอะไรกับความน่าเชื่อถือของหลักฐานและเหตุผลที่ นาย ก. ได้นำเสนอมา  นอกจากจะมีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกันโดยตรง เช่น มีหลักฐานยืนยันว่า นาย ก. มีนิสัยโกหก อยู่เป็นประจำ  เพราะฉะนั้น เมื่อนาย ก. นำอะไรมาเล่าที่ไม่มีหลักฐานอื่นๆมายืนยันนอกจากตัวเอง เราก็มีสิทธิที่จะไม่รับฟัง ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับกระบวนการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของฮะดีษ  เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาความน่าเชื่อถือของหลักฐานหรือเหตุผลใดๆก็ตาม ความน่าเชื่อถือไม่หรือไม่ได้นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้นำเสนอหลักฐานและเหตุผล แต่อยู่ที่ตัวของเนื่อหาในหลักฐานและเหตุผลนั้นๆเอง  

เช่น นาย ก. นำเสนอหลักฐานและเหตุผลในเรื่องหนึ่งมา  นาย ข.  ไม่สามารถโต้แย้งหักล้างหลักฐานและเหตุผลของนาย ก. ได้ ก็เลยใช้วิธีดูถูกสร้างภาพลบให้เกิดขึ้นกับตัวนาย ก. โดยพูดกับผู้ฟังว่า เราก็รู้กันดูว่าลัทธิวะฮาบีย์ บิดเบือนศาสนาอย่างไร ท่านพี่น้องผู้ฟังทั้งหลาย แล้วเราจะหวังอะไรได้กับสิ่งต่างๆที่นาย ก. ยกมา เราจะสังเกตุได้ว่า นาย ข. นอกจากจะยังไม่ได้นิยามแล้วว่า วะฮาบีย์คืออะไร คือใคร และมีลักษณะอย่างไร  (ซึ่งก็เป็นความผิดพลาดในการใช้เหตุผลอีกข้อหนึ่ง)  นอกจากจะยังไม่ได้พิสูจน์แล้วว่าวะฮาบีย์ผิดตรงไหน  ยังสรุปทึกทักแบบข้ามขั้นตอนไปหลายขั้นตอนทั้งๆที่ตนเองจะต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อน  โดยสรุปไปเลยว่า วะฮาบีย์คือลัทธิที่ผิดเพี้ยนหลงผิด  โดยใช้ข้อสรุปนี้ลดความน่าเชื่อถือของหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก. ยกมา ทั้งๆที่ความเป็นวะฮาบีย์หรือไม่เป็นนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความน่าเชื่อของหลักฐานเลย  เพราะความเชื่อถือได้หรือไม่อยู่ที่ตัวเนื่อหาของหลักฐานและเหตุผลเอง 
           
Appeal to Spite

ใช้ความเกลียดชังมาเป็นเหตุผลในการปฎิเสธหลักฐานหรือเหตุผลของอีกฝ่าย (นาย ก.)  ทั้งๆที่หลักฐานที่นาย ก. ยกมานั้นจะเป็นจริงหรือเท็จ เชื่อถือได้หรือไม่นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยกับความเกลียดที่ นาย ข. มีต่อนาย ก.  ความเกลียดของนาย ข. ที่มีต่อนาย ก. ไม่อาจจะใช้เป็นเหตุผลในการหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐานที่ นาย ก. นำเสนอมาได้  เช่น นาย ก. เป็นชาวอะลิซซุนนะฮฺ แต่เนื่องจากนาย ข. ไม่สามารถโต้แย้งหักล้างหลักฐานที่นาย ก. ได้นำเสนอได้ ก็เลยหาเรื่องปฎิเสธหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก.ได้นำเสนอ ด้วยเหตุผลที่ว่า นาย ก. เป็นชาวอะลิซซุนนะฮฺ โดยที่ตัวนาย ก. เป็นชีอะฮฺ  ซึ่งความเป็นชาวอะลิซซุนนะฮฺ ไม่ได้มีผลและไม่เกี่ยวข้องกันในการที่จะทำให้หลักฐานหรือเหตุผลเชื่อถือได้หรือไม่ นอกจากจะมีหลักฐานตรงเรื่องมายืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน  หรือ  นาย ก. เป็นมุสลิม ส่วน นาย ข. เป็นคริสต์ซึ่งเกลียดชาวมุสลิม ก็เลยใช้ความเกลียดของตนเองที่มีต่อมุสลิมมาเป็นเหตุผลในการไม่ยอมรับหลักฐานและเหตุผลที่ นาย ก. ได้นำเสนอ



Circumstantial Ad Hominem

นำเอาการที่ คนหนึ่ง (นาย ก.) มีผลประโยชน์หรือจะได้รับประโยชน์ในเรื่องๆหนึ่งมาเป็นเหตุผลในการปฎิเสธหลักฐานและเหตุผล ที่นาย ก. ได้ยกมาสนับสนุนจุดยืนตนเองในเรื่องนั้น  การที่นาย ก. จะได้รับประโยชน์หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อได้หรือไม่ของหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก. ยกมาสนับสนุนจุดยืนของตนเอง แต่ความน่าเชื่อถืออยู่ที่ตัวเนื้อหาของหลักฐานที่นาย ก. ได้ยกมา  นอกจากจะมีหลักฐานตรงเรื่องมายืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน เช่น นาย ก. ซึ่งเป็นมุสลิมใหม่เชื่อว่าอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง นาย ข. ซึ่งเป็นต่างศาสนิกก็พูดสวนกลับมาว่า ก็แน่ละซิ นาย ต้องพูดอย่างนี้ เพราะนาย ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมากจากมุสลิม โดยเฉพาะเงินซะกาต   เราจะสังเกตุเห็นได้ว่า นาย ข. ไม่สนใจหลักฐานที่นาย ก. นำมาสนับสนุนและยืนยันว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง แต่กลับมุ่งประเด็นไปที่ผลประโยชน์ที่นาย ก. ได้รับหลังจากที่รับอิสลามแล้ว และใช้สิ่งนี้มาเป็นเหตุผลในการไม่รับฟังหลักฐานของนาย ก. ที่ยืนยันว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง  ที่นาย ข. ทำเช่นนี้ก็อาจจะเนื่องมาจากไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐานของนาย ก. ได้อย่างถูกต้องตามกระบวนการใช้เหตุผล ก็เลยต้องใช้วิธีนี้

เพิ่มข้อมูลล่าสุดเมื่อ  28  July  2011   เรื่อง Fallacy: Circumstantial Ad Hominem

นำเอาการที่ คนหนึ่ง (นาย ก.) มีผลประโยชน์หรือจะได้รับประโยชน์ในเรื่องๆหนึ่งมาเป็นเหตุผลในการปฎิเสธหลักฐานและเหตุผล





















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น