มี 3 สภาพด้วยกัน บางครั้งเป็นสาวพรหมจรรย์ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ หรือสาวพรหมจรรย์ที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว หรือเป็นสตรีที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว และแต่ละประเภทจะมีบทบัญญัติเฉพาะ
1. สาวพรหมจรรย์ซึ่งยังไม่บรรลุศาสนภาวะ
ผู้รู้ไม่มีการขัดแย้งกันว่า พ่อของเธอมีสิทธิ์ที่จัดการสมรสโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเธอ เนื่องจากสถานะของเธอยังให้การอนุญาตไม่ได้ (เพราะเป็นผู้เยาว์) เพราะอบูบักรฺได้จัดการแต่งงานท่านหญิงอาอิชะฮฺให้แก่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่เธอมีอายุ 6 ขวบ และให้เธอได้อยู่ร่วมห้องหอกับท่านในขณะที่เธอมีอายุ 9 ขวบ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3896 และมุสลิม : 3464)
อิมาม อัช-เชากานีย์ กล่าวไว้ในหนังสือ (นัยลุลเอาฏอรฺ : 6/128-129) ในหะดีษข้างต้นเป็นหลักฐานว่าอนุญาตให้พ่อแต่งงานลูกสาวก่อนที่จะบรรลุศาสนภาวะได้ และอัช-เชากานีย์ยังกล่าวอีกว่า ในหะดีษข้างต้นบ่งบอกชี้ว่า อนุญาตให้แต่งงานเด็กผู้หญิงที่ยังเยาว์วัยให้แก่ชายที่มีอายุมากได้ ซึ่งอิมามอัล-
บุคอรีย์ ได้ตั้งชื่อบทในตำราหะดีษเช่นนั้น และได้นำเอาหะดีษของท่านหญิงอาอิชะอฺมาอ้างอิง และอิบนุ หะญัรฺ ได้อ้างมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ ไว้ในหนังสือฟัตหุลบารีย์ของท่าน
บุคอรีย์ ได้ตั้งชื่อบทในตำราหะดีษเช่นนั้น และได้นำเอาหะดีษของท่านหญิงอาอิชะอฺมาอ้างอิง และอิบนุ หะญัรฺ ได้อ้างมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ ไว้ในหนังสือฟัตหุลบารีย์ของท่าน
อิบนุ กุดามะฮฺ ได้กล่าวไว้ในอัล-มุฆนีย์ (6/487) “บรรดาผู้รู้ทุกคนที่เราได้จดจำมาจากพวกเขา มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า อนุญาตให้พ่อแต่งงานลูกสาวที่ยังเยาว์วัยโดยมิต้องขออนุญาตได้ เมื่อแต่งให้กับบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกัน”
ฉัน (ชัยค์เฟาซาน) กล่าวว่า “และในการที่อบูบักรฺจัดสมรสท่านหญิงอาอิชะฮฺให้แก่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่เธออายุได้ 6 ขวบ เป็นการโต้ตอบที่ล้ำลึกยิ่งต่อพวกที่ตำหนิการแต่งงานผู้เยาว์ให้แก่ชายที่อายุมาก และสร้างความเสียหายในประเด็นนี้ และพวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียด และนี่มิใช่อื่นใดเลยนอกจากความโง่เขลาของพวกเขาเท่านั้น หรือพวกเขาต้องการที่จะสร้างความปั่นป่วน”
2. สาวพรหมจรรย์ซึ่งบรรลุศาสนภาวะแล้ว
เธอจะไม่ถูกแต่งงานนอกจากต้องได้รับอนุญาตจากเธอเสียก่อน และการอนุญาตของเธอคือการนิ่งเฉย เนื่องจากท่าน
เราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
เราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
ความว่า “และสาวพรหมจรรย์จะไม่ถูกแต่งงานจนกว่าจะมีการขออนุญาตจากเธอ” พวกเขาถามว่า โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ การอนุญาตของเธอเป็นอย่างไรเล่า? ท่านกล่าวว่า “คือการนิ่งเฉยของเธอ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 5136 และมุสลิม : 3458)
ดังนั้น จึงต้องได้รับการยินยอมจากเธอ แม้ว่าพ่อของเธอจะเป็นผู้แต่งงานให้ก็ตาม ตามทัศนะที่ถูกต้องจากสองทัศนะของบรรดาผู้รู้
อิบนุล ก็อยยิม ปราชญ์อาวุโสกล่าวว่า “และนี่คือทัศนะของบรรพชนส่วนมาก และทัศนะของอบู หะนีฟะฮฺ และอะห์มัดในรายงานหนึ่งจากหลายๆ รายงานของท่าน และเป็นทัศนะที่เรานำมาปฏิบัติ ซึ่งเราไม่ยึดถืออื่นใดนอกเหนือจากนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับการตัดสินชี้ขาดของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และสอดคล้องกับการสั่งใช้และการห้ามของท่าน” (อัล-ฮัดย์ อัน-นะบะวีย์ : 5/96)
3. สตรีที่ผ่านการแต่งงานแล้ว
เธอจะไม่ถูกแต่งงานนอกจากด้วยการอนุญาตของเธอเท่านั้น และการอนุญาตของเธอนั้นด้วยวาจา ซึ่งต่างกับสาวพรหมจรรย์เพราะการอนุญาตของเธอนั้นคือการนิ่งเฉย
อิบนุ กุดามะฮฺกล่าวว่า “สำหรับสตรีที่เคยผ่านการแต่งงานแล้วนั้น เราไม่ทราบว่าปวงปราชญ์มีความเห็นขัดแย้งกันเลยว่า การยินยอมของเธอคือการเปล่งวาจา ดังหะดีษของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และการพูดนั้นเป็นการสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ซึ่งการเปล่งวาจาคือมาตรฐานในทุกเรื่องที่ต้องขออนุญาต” (อัล-มุฆนีย์ : 6/493)
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในมัจญ์มูอฺ
ฟะตาวา (32/39-40) “ไม่บังควรแก่คนใดที่จะแต่งงานให้กับสตรีนอกจากด้วยการยินยอมของเธอเท่านั้น ดังที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้สั่งใช้ ถ้าหากเธอไม่ยินยอมก็ไม่มีคนใดบังคับเธอได้ นอกจากสาวพรหมจรรย์ที่ยังเยาว์วัย พ่อของเธอสามารถแต่งงานให้กับเธอได้ และไม่มีการอนุญาตใดๆ จากเธอ (เพราะยังเป็นผู้เยาว์) ส่วนสตรีที่เคยแต่งงาน ซึ่งบรรลุศาสนภาวะแล้ว ต้องได้รับการยินยอมจากเธอ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือคนอื่น โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ และเช่นเดียวกันสาวพรหมจรรย์ที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว คนอื่นจากพ่อและปู่ไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ (หรือแต่งแบบคลุมถุงชนหรือขืนใจ) โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ ส่วนพ่อและปู่ควรที่จะได้รับความยินยอมเสียก่อน และบรรดาผู้รู้มีความเห็นแตกต่างกันไปในเรื่องของการอนุญาต เป็นสิ่งที่บังคับหรือควรกระทำ (วาญิบหรือมุสตะหับ) และทัศนะที่ถูกต้องนั้นคือ มันเป็นสิ่งที่บังคับ และจำเป็นต่อผู้ปกครองของสตรีต้องมีความ
ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องของผู้ที่เขาจะจัดการแต่งงานแก่เธอ และต้องพิจารณาถึงคนที่จะเป็นคู่ครองของเธอว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะว่าเขาแต่งงานให้เธอเพื่อผลดีแก่เธอไม่ใช่ผลดีแก่เขาอย่างเดียว”
ฟะตาวา (32/39-40) “ไม่บังควรแก่คนใดที่จะแต่งงานให้กับสตรีนอกจากด้วยการยินยอมของเธอเท่านั้น ดังที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้สั่งใช้ ถ้าหากเธอไม่ยินยอมก็ไม่มีคนใดบังคับเธอได้ นอกจากสาวพรหมจรรย์ที่ยังเยาว์วัย พ่อของเธอสามารถแต่งงานให้กับเธอได้ และไม่มีการอนุญาตใดๆ จากเธอ (เพราะยังเป็นผู้เยาว์) ส่วนสตรีที่เคยแต่งงาน ซึ่งบรรลุศาสนภาวะแล้ว ต้องได้รับการยินยอมจากเธอ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือคนอื่น โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ และเช่นเดียวกันสาวพรหมจรรย์ที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว คนอื่นจากพ่อและปู่ไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ (หรือแต่งแบบคลุมถุงชนหรือขืนใจ) โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ ส่วนพ่อและปู่ควรที่จะได้รับความยินยอมเสียก่อน และบรรดาผู้รู้มีความเห็นแตกต่างกันไปในเรื่องของการอนุญาต เป็นสิ่งที่บังคับหรือควรกระทำ (วาญิบหรือมุสตะหับ) และทัศนะที่ถูกต้องนั้นคือ มันเป็นสิ่งที่บังคับ และจำเป็นต่อผู้ปกครองของสตรีต้องมีความ
ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องของผู้ที่เขาจะจัดการแต่งงานแก่เธอ และต้องพิจารณาถึงคนที่จะเป็นคู่ครองของเธอว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะว่าเขาแต่งงานให้เธอเพื่อผลดีแก่เธอไม่ใช่ผลดีแก่เขาอย่างเดียว”
การให้สิทธิ์แก่สตรีในการเลือกคู่ครองที่เหมาะสมกับเธอนั้นไม่ได้หมายความว่าปล่อยให้เธอกระทำได้ตามอำเภอใจ จะแต่งงานกับใครตามที่เธอประสงค์ และหากเป็นเช่นนั้น ย่อมจะเป็นพิษภัยต่อญาติและครอบครัวของเธอ แต่แท้ที่จริงแล้วเธอต้องอาศัยผู้ปกครอง ซึ่งคอยดูแลการเลือกของเธอ ให้คำปรึกษา และจัดการแต่งงานแก่เธอ เธอไม่สามารถจะแต่งงานให้กับตัวเองได้ หากเธอแต่งงานให้กับตัวเอง การแต่งงานนั้นก็เป็นโมฆะ เนื่องจากหะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา
ความว่า “สตรีคนใดแต่งงานให้กับตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของเธอ การแต่งงานของเธอก็เป็นโมฆะ (3 ครั้ง)” (บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ : 1102 , อบู ดาวูด : 2083 , อิบนุ มาญะฮฺ : 1879 และอัต-ติรมิซีย์ : 1190 และกล่าวว่าเป็นหะดีษหะสัน)
และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لَا نِكَاحَ إِلَّا بِوَلِيٍّ»
ความว่า “ไม่มีการแต่งงานใดๆ นอกจากจะต้องมีผู้ปกครองของฝ่ายหญิง” (บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ : 1101, อบู ดาวูด : 2085,
อิบนุ มาญะฮฺ : 1881 และท่านอื่นๆ)
อิบนุ มาญะฮฺ : 1881 และท่านอื่นๆ)
ทั้งสองหะดีษนี้และหะดีษที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน บ่งชี้ว่าการแต่งงานจะเป็นโมฆะ นอกจากจะต้องมีผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเท่านั้น เพราะว่าหลักพื้นฐานของคำว่า "ไม่" คือไม่ถูกต้อง และอัต-ติรมิซีย์ กล่าวว่า “นี่คือแนวปฏิบัติของปวงปราชญ์ เช่น อุมัรฺ, อะลีย์, อิบนุ อับบาส, อบู ฮูร็อยเราะฮฺ และท่านอื่นๆ และในทำนองเดียวกันนี้ มีรายงานจากบรรดานักวิชาการสาขานิติศาสตร์อิสลามของบรรดาตาบีอีนว่าแท้จริงพวกเขากล่าวว่า ไม่มีการแต่งงานนอกจากจะต้องมีผู้ปกครองของฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นทัศนะของอิมามอัช-ชาฟิอีย์, อะห์มัด และอิสหาก” (โปรดดูอัล-มุฆนีย์ : 6/449)
ส่งเสริมให้มีการตีกลองของเหล่าสตรีเพื่อให้รู้ว่ามีการแต่งงาน และนั่นจะปฏิบัติกันในหมู่ของสตรีเป็นการเฉพาะโดยไม่มีดนตรี อุปกรณ์บันเทิงต่างๆ และไม่มีการขับร้องของนักร้อง และไม่เป็นไรในการที่สตรีจะเอาบทกวีมาขับร้องในโอกาสนี้ โดยที่ไม่ให้บรรดาบุรุษได้ยินท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “การประกาศให้รู้ว่า ระหว่างชายหญิงคู่ไหนที่ฮาลาล(ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากันแล้ว)หรือหะรอม(ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยา) ก็คือกลองและการขับร้องในการแต่งงานนั่นเอง” (บันทึกโดยอะห์มัด :15451, อัต-ติรมิซีย์ : 1088, อัน-นะสาอีย์ : 3369 , อิบนุ มาญะฮฺ : 1896 และอัต-ติรมีซีย์ กล่าวว่าเป็นหะดีษหะสัน)
อิมาม อัช-เชากานีย์ กล่าวว่า “ในสิ่งดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าในงานแต่งนั้นอนุญาตให้มีการตีกลองและใช้เสียงดัง โดยนำถ้อยคำต่างๆ มากล่าวขาน เช่น เราได้มายังท่านทั้งหลายแล้ว เราได้มายังท่านทั้งหลายแล้ว และอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพลงยั่วยุเพื่อสิ่งเลวร้าย พรรณนาความงามของสตรี ลามก และการดื่มเหล้า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่ต้องห้ามในงานแต่งและในโอกาสอื่นๆ และในทำนองเดียวกันกับการละเล่นต่างๆ ที่ต้องห้าม”
โอ้สตรีผู้ศรัทธา อย่าได้ฟุ่มเฟือยในการซื้อเครื่องประดับและเสื้อผ้า เนื่องในโอกาสงานแต่งเพราะอยู่ในความสุรุ่ยสุร่ายที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ และพระองค์ไม่รักคนที่สุรุ่ยสุร่าย จงใช้จ่ายโดยพอประมาณและอย่าโอ้อวด
﴿ وَلَا تُسۡرِفُوٓاْۚ إِنَّهُۥ لَا يُحِبُّ ٱلۡمُسۡرِفِينَ ٣١ ﴾ [الأعراف: ٣١]
“และพวกเจ้าอย่าได้ฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่รักผู้บรรดาที่ฟุ่มเฟือย” (อัล-อันอาม : 141)
โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย จำเป็นที่เธอจะต้องเชื่อฟังสามีด้วยดี มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إذَا صَلَّتْ الْمَرْأَةُ خَمْسَهَا ، وَصَامَتْ شَهْرَهَا ، وَحَفِظَتْ فَرْجَهَا ، وَأَطَاعَتْ زَوْجَهَا دَخَلَتْ الْجَنَّةَ مِنْ أَيِّ أَبْوَابِ الْجَنَّةِ شاءت»
ความว่า “เมื่อสตรีได้ละหมาดห้าเวลา ถือศีลอด รักษาอวัยวะเพศของเธอ และเชื่อฟังสามี เธอก็จะได้เข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ตามที่เธอประสงค์” (บันทึกโดย อิบนุ หิบบาน : 4252)
มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่าน
เราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
เราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
ความว่า “ไม่อนุญาตให้ภรรยาถือศีลอด (ภาคสมัครใจ) ขณะที่สามีไม่ได้เดินทาง นอกจากจะได้รับอนุญาตจากสามี และเธอจะไม่อนุญาตให้คนใดเข้าบ้านของสามี นอกจากสามีจะอนุญาต” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 5192 และมุสลิม : 2367)
«إِذَا دَعَا الرَّجُلُ امْرَأَتَهُ إِلَى فِرَاشِهِ فَأَبَتْ فَبَاتَ غَضْبَانَ عَلَيْهَا لَعَنَتْهَا المَلَائِكَةُ حَتَّى تُصْبِح»
ความว่า “เมื่อสามีได้เรียกภรรยาของเขาไปยังที่นอน แล้วเธอปฏิเสธ แล้วได้เขานอนในสภาพที่โกรธเธอ บรรดามะลาอิกะฮฺสาปแช่งเธอจนถึงยามเช้า” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 5193, 3237, มุสลิม : 3526 และท่านอื่นๆ) และในอีกรายงานของมุสลิม
«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ، مَا مِنْ رَجُلٍ يَدْعُو امْرَأَتَهُ إِلَى فِرَاشِهَا فَتَأْبَى عَلَيْهِ إِلَّا كَانَ الَّذِي فِي السَّمَاءِ سَاخِطًا عَلَيْهَا حَتَّى يَرْضَى عَنْهَا»
ความว่า “ฉันขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีสามีคนใดที่เรียกภรรยาของเขาไปยังที่นอน แล้วเธอปฏิเสธ นอกจากผู้ที่อยู่บนฟากฟ้าได้โกรธกริ้วเธอ จนกว่าเขาจะพอใจต่อเธออีกครั้ง” (บันทึกโดยมุสลิม : 3525)
และส่วนหนึ่งจากสิทธิของสามีที่มีต่อภรรยา คือเธอจะต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาบ้านเรือนของสามี และจะไม่ออกไปจากบ้านนอกจากจะได้รับอนุญาตจากเขาเท่านั้น ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “และภรรยานั้นเป็นผู้ดูแลอยู่ในบ้านของสามี และเธอจะถูกสอบสวนจากหน้าที่ของเธอ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์: 5200, มุสลิม: 4701, อบู ดาวูด: 2928 และอัตติรมิซีย์: 1705)
และส่วนหนึ่งจากสิทธิของสามีที่มีต่อภรรยาคือเธอจะต้องทำงานบ้าน และไม่ทำให้สามีต้องหาคนใช้ที่เป็นสตรี ซึ่งทำให้สามีต้องลำบากใจ เขาและลูกๆ อาจจะได้รับอันตรายเพราะคนใช้
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿فَٱلصَّٰلِحَٰتُ قَٰنِتَٰتٌ حَٰفِظَٰتٞ لِّلۡغَيۡبِ بِمَا حَفِظَ ٱللَّهُۚ﴾ [النساء : ٣٤]
ความว่า “บรรดาสตรีที่ดีนั้นคือผู้ที่เชื่อฟังภักดี (อัลลอฮฺและสามี) รักษาทุกสิ่งเมื่อสามีไม่อยู่ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺให้เธอรักษา” (อัน-นิสาอ์ : 34)
โองการนี้บ่งชี้ว่าภรรยาต้องเชื่อฟังต่อสามีในทุกกรณี (โดยไม่มีข้อแม้) อันได้แก่การปรนนิบัติ ร่วมเดินทาง ร่วมหลับนอน และอื่นๆ ดังที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำเป็นแบบอย่างไว้” (มัจญ์มูอฺฟะตาวา : 32/ 60-61)
อิบนุล ก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “ผู้ที่เห็นว่าการปรนนิบัติต่อสามีเป็นหน้าที่ของภรรยา โดยนับว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรมได้อ้างหลักฐานจากอัลกุรอาน ส่วนการให้ภรรยาอยู่อย่างฟุ้งเฟ้อ ปล่อยให้สามีคอยบริการเธอ กวาดบ้าน โม่แป้ง นวดแป้ง ซักเสื้อผ้า ปูที่นอน และการบริการภายในบ้านนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่น่าเกลียด ในขณะที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿وَلَهُنَّ مِثۡلُ ٱلَّذِي عَلَيۡهِنَّ بِٱلۡمَعۡرُوفِۚ ﴾ [البقرة: ٢٢٨]
ความว่า “และสำหรับพวกเธอต้องได้รับการปฏิบัติด้วยดี ดังที่พวกเธอต้องปฏิบัติ” (อัล-บะเกาะเราะฮ : 228)
﴿ٱلرِّجَالُ قَوَّٰمُونَ عَلَى ٱلنِّسَآءِ﴾ [النساء : ٣٤]
ความว่า “และบรรดาสามีเป็นผู้ดูแลรักษาภรรยา” (อัน-นิสาอ์ : 34)
หากภรรยาไม่ได้ปรนนิบัติต่อเขา แต่เขาทำหน้าที่ดูแลรับใช้เธอ เธอก็จะกลายเป็นผู้ปกครองเหนือสามีแทน (ซึ่งตรงกันข้ามกับที่อัลกุรอานบัญญัติไว้) ...แท้จริงอัลลอฮฺได้กำหนดให้สามีจ่ายค่าครองชีพ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยของเธอ เพื่อแลกกับการหาความสุขจากตัวเธอ และการปรนนิบัติของเธอ ตามจารีตประเพณีของคู่ครอง
และเช่นเดียวกันนี้ แท้จริง ข้อตกลงต่างๆ ที่ศาสนาไม่ได้กำหนดกรอบไว้ก็ให้เป็นไปตามจารีต ซึ่งโดยจารีตแล้วนั้นภรรยาต้องปรนนิบัติสามีและรักษาผลประโยชน์ภายในบ้าน และไม่ถูกต้องที่แยกระหว่างสตรีที่มีศักดิ์และที่ไม่มีเกียรติ ที่ยากจนและร่ำรวย ดังตัวอย่างของสตรีผู้มีตระกูลที่สุด –หมายถึง ฟาฏิมะฮฺ บุตรี ของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม –เธอได้รับใช้สามีของเธอ และเธอได้ร้องทุกข์ต่อท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในเรื่องของการรับใช้ ท่านก็ไม่ได้ตอบสนองของการร้องทุกข์ของเธอ” (อัล-ฮัดย์ อัน-นะบะวีย์ : 5/188-189)
คำถาม เมื่อภรรยารู้สามีไม่ปรารถนาในตัวของเธอ โดยที่เธอประสงค์จะอยู่กับเขาต่อไป เธอจะทำอย่างไร?
คำตอบ อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ وَإِنِ ٱمۡرَأَةٌ خَافَتۡ مِنۢ بَعۡلِهَا نُشُوزًا أَوۡ إِعۡرَاضٗا فَلَا جُنَاحَ عَلَيۡهِمَآ أَن يُصۡلِحَا بَيۡنَهُمَا صُلۡحٗاۚ وَٱلصُّلۡحُ خَيۡرٞۗ ﴾ [النساء : ١٢٨]
ความว่า “และหากภรรยากลัวว่าสามีของเธอจะปล่อยวางหรือผินหลังให้ ก็ไม่เป็นบาปใดๆ แก่ทั้งสอง ในการที่ทั้งสองจะประนีประนอมกัน และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งที่ดียิ่ง" (อัน-สาอ์ : 128)
อิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวว่า หากภรรยากลัวว่าสามีจะหนีจากหรือทอดทิ้ง เธอมีสิทธิ์ที่จะตัดสิทธิ์ของเธอที่มีต่อสามีทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น ค่าครองชีพ เสื้อผ้า การร่วมหลับนอน หรืออื่นๆ และให้สามีรับข้อเสนอของเธอ และไม่เป็นบาปอันใดแก่เธอที่จะสละให้แก่เขา และไม่เป็นบาปอันใดที่เขาจะตอบรับ และด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿فَلَا جُنَاحَ عَلَيۡهِمَآ أَن يُصۡلِحَا بَيۡنَهُمَا صُلۡحٗاۚ وَٱلصُّلۡحُ خَيۡرٞۗ ﴾ [النساء : ١٢٨]
ความว่า “ก็ไม่เป็นบาปอันใดแก่ทั้งสองที่จะประนีประนอมระหว่างทั้งสอง และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งที่ดียิ่ง” (อัน-นิสาอ์ : 128) กล่าวคือดีกว่าการแยกทาง...แท้จริงท่านหญิงเสาดะฮฺ บินติ ซัมอะฮฺ เมื่อเธอมีอายุมากขึ้น และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตั้งใจจะแยกทางกับเธอ และเธอก็ได้เจรจากับท่าน โดยให้คงสภาพการเป็นภรรยาไว้ และสละเวรของเธอแก่ท่านหญิง
อาอิชะฮฺ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ตกลง และคงเธอไว้เหมือนเดิม (ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ : 2/406)
อาอิชะฮฺ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ตกลง และคงเธอไว้เหมือนเดิม (ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ : 2/406)
คำถาม เมื่อภรรยาเกลียดชังสามี และไม่ต้องการที่จะเป็นภรรยาอีกต่อไป เธอจะทำอย่างไร?
ตอบ อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿فَإِنۡ خِفۡتُمۡ أَلَّا يُقِيمَا حُدُودَ ٱللَّهِ فَلَا جُنَاحَ عَلَيۡهِمَا فِيمَا ٱفۡتَدَتۡ بِهِۦۗ ﴾ [البقرة: ٢٢٩]
ความว่า “หากพวกเจ้ากลัวว่าเขาทั้งสองจะไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮฺ ก็ไม่เป็นบาปอันใดแก่ทั้งสองในสิ่งที่เธอนำมาไถ่ตัว” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 229)
อิบนุ กะษีรฺ กล่าวว่า “เมื่อสามีภรรยาเกิดความขัดแย้งกัน และภรรยาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อสามี และเธอมีความเกลียดชังสามี และเธอไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้แล้ว เธอสามารถที่จะเอาสินสอดที่สามีเคยมอบให้แก่เธอมาไถ่ตัวได้ และไม่เป็นบาปอันใดแก่เธอที่จะจ่าย และไม่เป็นบาปที่เขาจะตอบรับ” (ตัฟซีรฺ อิบนุ กะษีรฺ : 1/483) นี่คือการซื้อหย่า
คำถาม เมื่อเธอขอแยกทางกับสามี โดยไม่มีอุปสรรคที่ได้รับการอนุโลม เธอจะได้รับโทษอย่างไร?
คำตอบ มีรายงานจาก เษาบาน ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«أَيُّمَا امْرَأَةٍ سَأَلَتْ زَوْجَهَا طَلاقًا فِي غَيْرِ مَا بَأْسٍ فَحَرَامٌ عَلَيْهَا رَائِحَةُ الْجَنَّة»
ความว่า “ภรรยาคนใดก็ตามที่ขอให้สามีหย่าเธอ โดยที่ไม่มีมูลเหตุแห่งปัญหาใดๆ ดังนั้น กลิ่นของสวรรค์ย่อมเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเธอ” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 2226 และอัตติรมิซีย์ : 1187)
นั่นก็เพราะว่าการหย่าร้าง เป็นสิ่งอนุมัติที่อัลลอฮฺเกลียดชังยิ่ง และแท้จริงจะกระทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น หากไม่มีความจำเป็นแล้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เนื่องจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่จะติดตามมา ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัด และความจำเป็นที่ทำให้ภรรยาหันไปพึ่งพาการหย่าร้างนั้น คือการที่สามีไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเขาที่พึงมีต่อเธอ โดยเธอได้รับความเดือดร้อน หากยังอยู่ร่วมกันอีกต่อไป อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿فَإِمۡسَاكُۢ بِمَعۡرُوفٍ أَوۡ تَسۡرِيحُۢ بِإِحۡسَٰنٖۗ ﴾ [البقرة: ٢٢٩]
ความว่า “จากนั้นจงยับยั้งเธอไว้โดยชอบธรรม หรือปล่อยเธอไปด้วยดี” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 229)
และอัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ لِّلَّذِينَ يُؤۡلُونَ مِن نِّسَآئِهِمۡ تَرَبُّصُ أَرۡبَعَةِ أَشۡهُرٖۖ فَإِن فَآءُو فَإِنَّ ٱللَّهَ غَفُورٞ رَّحِيمٞ ٢٢٦ وَإِنۡ عَزَمُواْ ٱلطَّلَٰقَ فَإِنَّ ٱللَّهَ سَمِيعٌ عَلِيمٞ ٢٢٧ ﴾ [البقرة: ٢٢٦، ٢٢٧]
ความว่า “สำหรับผู้ที่สาบานว่าพวกเขาจะไม่มีเพศสัมพันธ์กับภรรยานั้น ให้มีการรอคอยสี่เดือน ถ้าหากพวกเขากลับมาคืนดี (ในเวลาดังกล่าว) แน่นอนอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเมตตาเสมอ และถ้าหากพวกเขาตัดสินใจหย่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงได้ยิน ทรงรอบรู้” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 226-227)
การแยกทางระหว่างสามีกับภรรยานั้น มี 2 ประเภทด้วยกัน
หนึ่ง การแยกทางกันในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
สอง การแยกทางกันด้วยการตาย ในทั้งสองประเภทนี้ จำเป็นที่ภรรยาจะต้องอยู่ในอิดดะฮฺ
อิดดะฮฺ คือ ระยะเวลาการรอคอยตามศาสนบัญญัติโดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้เธอเป็นที่ต้องห้ามมิให้แต่งงาน จนกว่าการแต่งงานเดิมจะจบสิ้นอย่างสมบูรณ์ และทำให้มดลูกสะอาดจากการตั้งครรภ์ เพื่อมิให้ชายอื่นซึ่งมิใช่สามีที่แยกทางกับเธอมามีเพศสัมพันธ์ เพราะเป็นเหตุให้เกิดความคลุมเครือ และสับสนในการสืบตระกูล และในการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการรักษาสิทธิ์ของการแต่งงานที่ผ่านมา และรักษาสิทธิ์ของสามีที่แยกทาง (เพื่อให้สิทธิ์ในการคืนดี) และเพื่อให้ประจักษ์ถึงผลกระทบจากการแยกทางกับสามี
ประเภทที่หนึ่ง สตรีที่ตั้งครรภ์ อิดดะฮฺของนางคือการคลอด ไม่ว่าในกรณีใดๆ จะเป็นการหย่าที่มีสิทธิ์คืนดีหรือไม่มีสิทธิ์คืนดีก็ตาม หรือแยกทางกันโดยการเสียชีวิตของสามี อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿وَأُوْلَٰتُ ٱلۡأَحۡمَالِ أَجَلُهُنَّ أَن يَضَعۡنَ حَمۡلَهُنَّۚ وَمَن يَتَّقِ ٱللَّهَ يَجۡعَل لَّهُۥ مِنۡ أَمۡرِهِۦ يُسۡرٗا ٤ ﴾ [الطلاق : ٤]
ความว่า “และบรรดาสตรีที่ตั้งครรภ์นั้น กำหนดเวลาของพวกเธอคือการคลอด” (อัฏ-เฏาะลาก : 4)
ประเภทที่สอง สตรีที่ถูกหย่า ซึ่งยังเป็นผู้ที่ยังมีประจำเดือน อิดดะฮฺของนางคือ ต้องให้ผ่านประจำเดือน 3 ครั้ง ดังที่อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ وَٱلۡمُطَلَّقَٰتُ يَتَرَبَّصۡنَ بِأَنفُسِهِنَّ ثَلَٰثَةَ قُرُوٓءٖۚ ﴾ [البقرة: ٢٢٨]
ความว่า “และบรรดาสตรีที่ถูกหย่านั้น พวกเธอจะรอคอยสามกุรูอ์ สำหรับตัวของพวกเธอ” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 228) คำว่า “3 กุรูอ์” หมายถึง ประจำเดือนมา 3 ครั้ง
ประเภทที่สาม สตรีที่ไม่มีประจำเดือน ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ผู้เยาว์ที่ยังไม่มีประจำเดือน และสตรีที่มีอายุมากซึ่งหมดประจำเดือนแล้ว
อัลลอฮฺได้แจกแจงอิดดะฮฺของทั้งสองประเภทนี้ ด้วยโองการที่ว่า
﴿ وَٱلَّٰٓـِٔي يَئِسۡنَ مِنَ ٱلۡمَحِيضِ مِن نِّسَآئِكُمۡ إِنِ ٱرۡتَبۡتُمۡ فَعِدَّتُهُنَّ ثَلَٰثَةُ أَشۡهُرٖ وَٱلَّٰٓـِٔي لَمۡ يَحِضۡنَۚ ﴾ [الطلاق : ٤]
ความว่า “และบรรดาภรรยาของพวกเจ้าที่หมดหวังในการมีประจำเดือนแล้ว และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีประจำเดือน หากพวกเจ้าสงสัยอิดดะฮฺของพวกเธอ อิดดะฮฺของพวกนางคือสามเดือน” (อัฏ-เฏาะลาก : 4)
ประเภทที่สี่ สตรีที่สามีเสียชีวิต อัลลอฮฺได้แจกแจงถึง
อิดดะฮฺของพวกเธอ ด้วยโองการที่ว่า
อิดดะฮฺของพวกเธอ ด้วยโองการที่ว่า
﴿ وَٱلَّذِينَ يُتَوَفَّوۡنَ مِنكُمۡ وَيَذَرُونَ أَزۡوَٰجٗا يَتَرَبَّصۡنَ بِأَنفُسِهِنَّ أَرۡبَعَةَ أَشۡهُرٖ وَعَشۡرٗاۖ ﴾ [البقرة: ٢٣٤]
ความว่า “และบรรดาผู้ที่ตายไปจากพวกเจ้า และได้ทิ้งเหล่าภรรยาไว้ พวกเธอจะรอคอยด้วยตัวของพวกเธอเป็นเวลาสี่เดือนกับสิบวัน” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 234)
อิดดะฮฺสำหรับภรรยาที่สามีเสียชีวิต (สี่เดือนสิบวัน) ครอบคลุมถึงสตรีที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอแล้วหรือไม่ก็ตาม เป็นผู้เยาว์หรือมีอายุมาก แต่ไม่ครอบคลุมถึงสตรีที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากอิดดะฮฺของเธอคือการคลอด (อัล-ฮัดย์ อัน-นะบะวีย์ ของอิบนุลก็อยยิม : 5/594-595)
1. การสู่ขอเพื่อแต่งงาน
1.1 สตรีที่อยู่ในอิดดะฮซึ่งมีสิทธิ์คืนดีได้ (คือการหย่าหนึ่งหรือสองครั้งสำหรับภรรยาที่ได้มีเพศสัมพันธ์กันแล้ว) ห้ามมิให้สู่ขอเพื่อแต่งงานโดยสำนวนชัดถ้อยชัดคำหรือคำที่เป็นนัย เนื่องจากเธอยังคงเป็นภรรยา ดังนั้น จึงไม่อนุญาตแก่คนใดที่จะสู่ขอเธอเพื่อแต่งงาน เพราะเธอยังอยู่ในการครอบครองของสามี
1.2 สตรีที่อยู่ในอิดดะฮฺซึ่งไม่มีสิทธิ์คืนดี (เช่นหย่า 3 ครั้งหรือเสียชีวิต)
ห้ามมิให้สู่ขอโดยสำนวนที่ชัดเจน แต่อนุญาตให้ใช้สำนวนที่เป็นนัย เนื่องจากอัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ وَلَا جُنَاحَ عَلَيۡكُمۡ فِيمَا عَرَّضۡتُم بِهِۦ مِنۡ خِطۡبَةِ ٱلنِّسَآءِ﴾ [البقرة: ٢٣٥]
ความว่า “และไม่มีบาปใดอันแก่พวกเจ้าในการสู่ขอหญิงด้วยถ้อยคำที่เป็นนัย(สำหรับหญิงที่อยู่ในอิดดะฮฺที่สามีเสียชีวิต หรืออิดดะฮฺที่สามีหย่า 3 ครั้ง)” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 235)
และสำนวนที่ชัดเจน คือการแสดงเจตจำนงในการแต่งงานกับเธอ เช่นคำว่า “ฉันต้องการจะแต่งงานกับเธอ” เพราะบางทีเธออาจจะบอกว่าหมดอิดดะฮฺแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงยังไม่หมดเพราะเธอต้องการแต่งงาน ซึ่งต่างกับสำนวนที่เป็นนัย เนื่องจากไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าจะแต่งงานกับเธอ ดังนั้น สิ่งที่เป็นข้อห้ามก็จะไม่ตามมา และเนื่องจากตามความเข้าใจจากโองการนี้ (ในโองการนี้อนุญาตให้ใช้สำนวนที่เป็นนัย ดังนั้นเข้าใจได้ว่าห้ามสำนวนที่ชัดเจน)
ตัวอย่างของสำนวนที่เป็นนัย เช่นคำว่า “แท้จริงฉันปรารถนาผู้ที่มีลักษณะเหมือนเธอ” และอนุญาตให้สตรีที่อยู่ใน
อิดดะฮฺซึ่งไม่มีสิทธิ์คืนดีตอบรับการสู่ขอที่เป็นนัยด้วยสำนวนที่เป็นนัย และไม่อนุญาตให้เธอตอบรับการขอที่ชัดเจน และสตรีที่อยู่ในอิดดะฮฺซึ่งคืนดีได้นั้นไม่อนุญาตให้ตอบรับการสู่ขอ ไม่ว่าจะเป็นสำนวนที่ชัดเจนหรือสำนวนที่เป็นนัยก็ตามที
อิดดะฮฺซึ่งไม่มีสิทธิ์คืนดีตอบรับการสู่ขอที่เป็นนัยด้วยสำนวนที่เป็นนัย และไม่อนุญาตให้เธอตอบรับการขอที่ชัดเจน และสตรีที่อยู่ในอิดดะฮฺซึ่งคืนดีได้นั้นไม่อนุญาตให้ตอบรับการสู่ขอ ไม่ว่าจะเป็นสำนวนที่ชัดเจนหรือสำนวนที่เป็นนัยก็ตามที
2. ไม่อนุญาตแต่งงานสตรีที่อยู่ในอิดดะฮฺให้แก่ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีคนเดิม
อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿وَلَا تَعۡزِمُواْ عُقۡدَةَ ٱلنِّكَاحِ حَتَّىٰ يَبۡلُغَ ٱلۡكِتَٰبُ أَجَلَهُۥۚ﴾ [البقرة: ٢٣٥]
ความว่า “และพวกเจ้าอย่าได้ตัดสินใจจัดการแต่งงาน จนกว่าจะบรรลุเวลาที่ถูกกำหนดไว้ (คือหมดเวลาของอิดดะฮฺ)” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 235)
อิบนุ กะษีรฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวในตัฟซีรฺ (1/509) ว่า “หมายถึงพวกเจ้าอย่าได้จัดการแต่งงาน จนกว่าอิดดะฮฺจะหมดเสียก่อน แท้จริงปวงปราชญ์มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการแต่งงานในช่วงเวลาของอิดดะฮฺนั้นใช้ไม่ได้”
เกร็ดความรู้ 2 ประการ
หนึ่ง สตรีที่ถูกหย่าก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์จะไม่มีอิดดะฮฺใดๆ สำหรับเธอ
อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوٓاْ إِذَا نَكَحۡتُمُ ٱلۡمُؤۡمِنَٰتِ ثُمَّ طَلَّقۡتُمُوهُنَّ مِن قَبۡلِ أَن تَمَسُّوهُنَّ فَمَا لَكُمۡ عَلَيۡهِنَّ مِنۡ عِدَّةٖ تَعۡتَدُّونَهَاۖ ﴾ [الأحزاب : ٤٩]
ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าได้สมรสกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา ต่อมาพวกเจ้าได้หย่าพวกเธอก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอ ดังนั้นจะไม่มีสิทธิ์สำหรับพวกเจ้าที่จะนับอิดดะฮฺใดๆ ต่อพวกเธอ” (อัล-อะห์ซาบ : 49)
อิบนุ กะษีรฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวในตัฟซีรฺ (5/479) ว่า “นี่เป็นสิ่งที่ปวงปราชญ์มีความเห็นพ้องกันว่า แท้จริงสตรีที่ถูกหย่าก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์นั้นก็ไม่มีอิดดะฮฺใดๆ ต่อเธอ เธอจะไปแต่งงานได้ทันทีกับใครก็ได้ตามที่เธอประสงค์"
สอง สตรีที่ถูกหย่าก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ แต่ได้มีการกำหนดสินสมรสหรือมะฮัรฺแก่เธอแล้วเธอมีสิทธิ์ได้รับครึ่งหนึ่ง และสตรีใดที่ไม่ได้มีการกำหนดสินสมรสให้แก่เธอ เธอมีสิทธิ์ได้รับของปลอบใจ ด้วยสิ่งที่สามีหาได้อย่างสะดวก เช่น เครื่องนุ่งห่มและอื่นๆ
และสตรีที่ถูกหย่าหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว เธอมีสิทธิ์ได้รับสินสมรสทั้งหมด อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ لَّا جُنَاحَ عَلَيۡكُمۡ إِن طَلَّقۡتُمُ ٱلنِّسَآءَ مَا لَمۡ تَمَسُّوهُنَّ أَوۡ تَفۡرِضُواْ لَهُنَّ فَرِيضَةٗۚ وَمَتِّعُوهُنَّ عَلَى ٱلۡمُوسِعِ قَدَرُهُۥ وَعَلَى ٱلۡمُقۡتِرِ قَدَرُهُۥ مَتَٰعَۢا بِٱلۡمَعۡرُوفِۖ حَقًّا عَلَى ٱلۡمُحۡسِنِينَ ٢٣٦ وَإِن طَلَّقۡتُمُوهُنَّ مِن قَبۡلِ أَن تَمَسُّوهُنَّ وَقَدۡ فَرَضۡتُمۡ لَهُنَّ فَرِيضَةٗ فَنِصۡفُ مَا فَرَضۡتُمۡ﴾ [البقرة: ٢٣٦-٢٣٧]
ความว่า “ไม่มีบาปอันใดสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้าได้หย่าสตรี ตราบใดที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอ หรือยังมิได้กำหนดสินสมรสให้แก่พวกเธอ และพวกเจ้าจงมอบสิ่งปลอบใจให้แก่พวกเธอ ใครที่มั่งมีก็ให้ตามความสามารถของเขา และผู้ยากจนก็ให้ตามความสามารถของเขา เป็นการมอบให้โดยชอบธรรม เป็นหน้าที่ของคนมีคุณธรรมทั้งหลาย และหากพวกเจ้าได้หย่าก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอ ในขณะที่พวกเจ้าได้กำหนดสินสมรสแก่พวกเธอแล้ว ดังนั้นจงจ่ายครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเจ้าได้กำหนด” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 236-237)
หมายความว่าไม่มีบาปอันใดสำหรับพวกเจ้าในการหย่าภรรยาก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ และก่อนกำหนดสินสมรส ถึงแม้ในการกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างความเจ็บปวดแก่เธอก็ตาม แท้จริงแล้วควรจะทดแทนด้วยสิ่งปลอบใจ และนั่นก็คือตามสภาพของสามี ขัดสนหรือมั่งมี ก็ให้ปฏิบัติกันตามจารีต หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้กล่าวถึงภรรยาที่มีการกำหนดสินสมรสแก่เธอแล้ว โดยที่พระองค์ทรงสั่งใช้ให้สามีมอบครึ่งหนึ่งของสินสมรสให้แก่เธอ
อิบนุ กะษีรฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวในตัฟซีรฺ (1/512 ) ว่า “การแบ่งสินสมรสออกเป็นสองส่วน -ในกรณีเช่นนี้- เป็นเรื่องที่ปวงปราชญ์เห็นพ้องกันโดยไม่มีการขัดแย้งอันใด”
3. ห้าสิ่งต้องห้ามสำหรับสตรีซึ่งอยู่ในอิดดะฮฺจากการตายของสามีซึ่งเรียกว่า “อัล-หิดาด” (การไว้ทุกข์)
หนึ่ง เครื่องหอมทุกชนิด (สำหรับการแต่งตัว ไม่ใช่เครื่องหอมเพื่อทำความสะอาด) ดังนั้น เธอจะไม่ใช้เครื่องหอมตามร่างกาย เสื้อผ้า และเธอจะไม่ใช้สิ่งที่ถูกทำให้หอม เนื่องจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “และเธอจะไม่แตะต้องน้ำหอม” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 2299)
สอง การประดับประดาตามเรือนร่างของเธอ ดังนั้นห้ามมิให้เธอย้อมด้วยใบเทียน และการตกแต่งทุกประเภท เช่น การทาขอบตา การย้อมสีของผิวหนัง นอกจากภาวะความจำเป็นที่จะต้องทาขอบตาเพื่อการรักษาเยียวยาเท่านั้น มิใช่เพื่อการตกแต่ง เธอสามารถที่จะทาขอบตาได้ในเวลาค่ำคืนและลบออกในเวลากลางวัน และไม่เป็นไรที่เธอจะรักษาตาของเธอด้วยสิ่งอื่น ซึ่งไม่ใช่ยาทาขอบตาจากสิ่งที่ไม่ใช่เครื่องประดับ
สาม การประดับประดาด้วยเสื้อผ้าชนิดต่างๆ จากสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อการตกแต่ง และเธอจะใส่เสื้อผ้าตามที่สวมใส่กันตามปกติ ไม่มีการตกแต่งใดๆ และไม่การเจาะจงสีใดเป็นการเฉพาะ
สี่ การสวมใส่เครื่องประดับทุกชนิด แม้กระทั่งแหวน
ห้า อาศัยบ้านหลังอื่นจากบ้านที่เธออาศัยอยู่ขณะสามีเสียชีวิต และเธอจะไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น นอกจากจะมีข้อผ่อนปรนตามศาสนบัญญัติเท่านั้น ไม่ออกไปเยี่ยมคนป่วย เยี่ยมเยียนเพื่อน หรือญาติใกล้ชิด และอนุญาตให้เธอออกไปในเวลากลางวันเพื่อทำธุระต่างๆ ที่จำเป็นได้ และสิ่งอื่นๆ ที่ศาสนาอนุมัติก็สามารถทำได้
อิบนุลก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เธอจะไม่ถูกห้ามจากการตัดเล็บ ขจัดขนรักแร้ โกนขนที่ศาสนาส่งเสริมให้โกน และไม่ถูกห้ามจากการอาบน้ำด้วยน้ำใบพุทราและหวีผมด้วยน้ำใบพุทรา" (อัล-ฮัดย์ อัน-นะบะวีย์ : 5/507)
ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “และอนุญาตให้เธอรับประทานทุกสิ่งทุกอย่างที่อัลลอฮฺอนุมัติ เช่น ผลไม้ เนื้อ และเช่นเดียวกันอนุญาตให้ดื่มทุกสิ่งที่อนุมัติ... และไม่เป็นที่ต้องห้ามแก่เธอในการกระทำงานหนึ่งงานใดจากการงานที่อนุมัติ เช่น การปักถักร้อย การตัดเย็บ การทอ และอื่นๆ จากงานทั่วไปของสตรี และอนุญาตให้เธอกระทำสิ่งอื่นๆ ที่อนุมัติแก่เธอในช่วงที่ไม่มีอิดดะฮฺ เช่น การพูดกับผู้ชายที่เธอมีความจำเป็นจะต้องพูดกับเขา โดยเธออยู่ในสภาพที่ปกปิดมิดชิด และการกระทำอื่นๆ และสิ่งที่ฉันได้กล่าวถึงนี้ คือแนวทางของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งเหล่าภริยาของบรรดาเศาะหาบะฮฺได้ปฏิบัติกันเมื่อเหล่าสามีของพวกเธอได้เสียชีวิต” (มัจญ์มูอฺ
ฟะตาวา : 34/27-28)
ฟะตาวา : 34/27-28)
ส่วนสิ่งที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปกล่าวว่า แท้จริงเธอจะต้องปกปิดใบหน้าไม่ให้ดวงจันทร์ได้เห็น โดยการไม่ขึ้นไปบนดาดฟ้า ไม่ให้พูดกับผู้ชาย ปิดหน้าไม่ให้มะห์ร็อมของเธอได้เห็น และอื่นๆ ทั้งหมดนั้นไม่มีหลักฐานรับรองแต่ประการใด วัลลอฮุอะอฺลัม
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
﴿ قُل لِّلۡمُؤۡمِنِينَ يَغُضُّواْ مِنۡ أَبۡصَٰرِهِمۡ وَيَحۡفَظُواْ فُرُوجَهُمۡۚ ذَٰلِكَ أَزۡكَىٰ لَهُمۡۚ إِنَّ ٱللَّهَ خَبِيرُۢ بِمَا يَصۡنَعُونَ ٣٠ وَقُل لِّلۡمُؤۡمِنَٰتِ يَغۡضُضۡنَ مِنۡ أَبۡصَٰرِهِنَّ وَيَحۡفَظۡنَ فُرُوجَهُنَّ﴾ [النور : ٣٠-٣١]
ความว่า “จงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายเถิด ให้ลดสายตาของพวกเขาและรักษาอวัยวะเพศของพวกเขา นั่นเป็นความบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ และจงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิงเถิด ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอ และรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ” (อัน-นูรฺ : 30-31)
ชัยค์มุหัมมัด อัล-อะมีน อัช-ชันกีฏีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรฺของท่าน (อัฎวาอ์ อัล-บะยาน : 6/186-187) ว่า “อัลลอฮฺได้สั่งใช้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิง ให้ลดสายตาและรักษาอวัยวะเพศ สิ่งที่จัดอยู่ในการรักษาอวัยวะเพศด้วยก็คือการรักษาให้พ้นจากการผิดประเวณี การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน หรือผู้หญิงกับผู้หญิง และรักษาให้พ้นจากการนำมาแสดงและเปิดเผยแก่ผู้คน...และอัลลอฮฺได้สัญญาแก่ผู้ชายและผู้หญิงที่ปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ในโองการนี้ ว่าจะได้รับการอภัยโทษ และการตอบแทนรางวัลอันใหญ่หลวง เมื่อเขาได้ลดสายตาและรักษาอวัยวะเพศพร้อมกับกระทำสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้ในโองการนี้
﴿ إِنَّ ٱلۡمُسۡلِمِينَ وَٱلۡمُسۡلِمَٰتِ وَٱلۡمُؤۡمِنِينَ وَٱلۡمُؤۡمِنَٰتِ وَٱلۡقَٰنِتِينَ وَٱلۡقَٰنِتَٰتِ وَٱلصَّٰدِقِينَ وَٱلصَّٰدِقَٰتِ وَٱلصَّٰبِرِينَ وَٱلصَّٰبِرَٰتِ وَٱلۡخَٰشِعِينَ وَٱلۡخَٰشِعَٰتِ وَٱلۡمُتَصَدِّقِينَ وَٱلۡمُتَصَدِّقَٰتِ وَٱلصَّٰٓئِمِينَ وَٱلصَّٰٓئِمَٰتِ وَٱلۡحَٰفِظِينَ فُرُوجَهُمۡ وَٱلۡحَٰفِظَٰتِ وَٱلذَّٰكِرِينَ ٱللَّهَ كَثِيرٗا وَٱلذَّٰكِرَٰتِ أَعَدَّ ٱللَّهُ لَهُم مَّغۡفِرَةٗ وَأَجۡرًا عَظِيمٗا ٣٥ ﴾ [الأحزاب : ٣٥]
ความว่า “แท้จริง บรรดาชายและหญิงมุสลิมที่สวามิภักดิ์ต่อ
อัลลอฮฺ บรรดามุอ์มินผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้เชื่อฟังอัลลอฮฺชายและหญิง บรรดาผู้สัจจะชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ยำเกรงทั้งชายและหญิง บรรดาผู้ทำทานทั้งชายและหญิง บรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาชายและหญิงที่รักษาอวัยวะเพศของพวกเขา และบรรดาชายและหญิงที่รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากมาย อัลลอฮฺนั้นได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่พวกเขา ซึ่งการอภัยโทษ และผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่” (อัล-อะห์ซาบ : 35)
อัลลอฮฺ บรรดามุอ์มินผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้เชื่อฟังอัลลอฮฺชายและหญิง บรรดาผู้สัจจะชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ยำเกรงทั้งชายและหญิง บรรดาผู้ทำทานทั้งชายและหญิง บรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาชายและหญิงที่รักษาอวัยวะเพศของพวกเขา และบรรดาชายและหญิงที่รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากมาย อัลลอฮฺนั้นได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่พวกเขา ซึ่งการอภัยโทษ และผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่” (อัล-อะห์ซาบ : 35)
คำกล่าวของชัยค์ที่ว่า “ผู้หญิงกับผู้หญิง” หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยการถูไถ และนั่นเป็นการกระทำที่เป็นบาปใหญ่ สมควรที่ผู้กระทำทั้งสองต้องได้รับการลงโทษเพื่อเป็นการอบรมสั่งสอน
อิบนุ กุดามะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เมื่อผู้หญิงสองคนทำการถูไถกัน เธอทั้งสองก็ผิดประเวณี ซึ่งจะถูกสาปแช่ง เนื่องจากมีการรายงานจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إذَا أَتَتْ الْمَرْأَةُ الْمَرْأَةَ ، فَهُمَا زَانِيَتَانِ»
ความว่า “เมื่อผู้หญิงสมสู่กับผู้หญิงด้วยกัน เธอทั้งสองก็เป็นผู้ผิดประเวณี” ทั้งสองจะต้องถูกตะอฺซีรฺ(โทษตามการพิจารณาของผู้พิพากษา) เนื่องจากเป็นการผิดประเวณีที่ไม่มีโทษถูกกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ” (อิบนุ กุดามะฮฺ : 8/198)
จงหลีกเลี่ยงการกระทำที่น่ารังเกียจเช่นนี้เถิด โอ้สตรีผู้ศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาหญิงสาว
ส่วนการลดสายตานั้น อิบนุล ก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “การจ้องมองนั้น จะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความใคร่ การยับยั้งสายตาจากการมองเป็นแก่นของการรักษาอวัยวะเพศ ดังนั้น ผู้ใดปล่อยสายตาของเขา เขาย่อมนำตัวของเขาเองสู่ความหายนะ และแท้จริง ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “โอ้ อะลีย์ เอ๋ย ท่านอย่าได้มองซ้ำ เพราะแท้จริงแล้ว สิทธิของท่านคือการมองครั้งที่หนึ่งเท่านั้น” ซึ่งหมายถึง การมองอย่างกะทันหันโดยไม่ตั้งใจ และในอัล-มุสนัดของอะห์มัด ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “การมองเป็นลูกศรหนึ่งซึ่งอาบยาพิษ จากบรรดาลูกศรของอิบลีส...” และการมองนั้นเป็นที่มาของความวิบัติต่างๆ ที่ประสบกับผู้คน เพราะการมองจะทำให้เกิดการจินตนาการ การจินตนาการจะทำให้เกิดความคิด จากนั้นความคิดทำให้เกิดความใคร่ ความใคร่จะทำให้เกิดความต้องการ หลังจากนั้นมันจะกลายเป็นความตั้งใจที่มุ่งมั่น แล้วจะเกิดการกระทำอย่างแน่นอน ตราบใดที่ไม่มีสิ่งหักห้าม และด้วยเหตุนี้ จึงมีสุภาษิตว่า การอดทนในการลดสายตานั้น ง่ายกว่าการอดทนในความเจ็บปวดของสิ่งที่จะตามมา” (อัล-ญะวาบ อัล-กาฟีย์ : 129-130)
อะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “การมองเป็นลูกศรหนึ่งซึ่งอาบยาพิษ จากบรรดาลูกศรของอิบลีส...” และการมองนั้นเป็นที่มาของความวิบัติต่างๆ ที่ประสบกับผู้คน เพราะการมองจะทำให้เกิดการจินตนาการ การจินตนาการจะทำให้เกิดความคิด จากนั้นความคิดทำให้เกิดความใคร่ ความใคร่จะทำให้เกิดความต้องการ หลังจากนั้นมันจะกลายเป็นความตั้งใจที่มุ่งมั่น แล้วจะเกิดการกระทำอย่างแน่นอน ตราบใดที่ไม่มีสิ่งหักห้าม และด้วยเหตุนี้ จึงมีสุภาษิตว่า การอดทนในการลดสายตานั้น ง่ายกว่าการอดทนในความเจ็บปวดของสิ่งที่จะตามมา” (อัล-ญะวาบ อัล-กาฟีย์ : 129-130)
ดังนั้น โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย จำเป็นที่เธอจะต้องลดสายตาไม่ไปมองผู้ชาย ไม่มองรูปภาพต่างๆ ที่นำพาสู่ความวิบัติซึ่งมีอยู่ในวารสารบางฉบับ ตามจอโทรทัศน์ หรือวีดีโอ -แล้วเธอจะปลอดภัยจากบั้นปลายที่ชั่วช้า มากต่อมากแล้วที่การมองได้นำพาความโศกเศร้ามาให้ผู้มอง และไฟกองใหญ่นั้นมักเริ่มมาจากสะเก็ดไฟ
อิบนุลก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “และส่วนหนึ่งจากเล่ห์กลของชัยฏอนมารร้ายที่นำมาหลอกผู้ที่มีความรู้น้อย คนเบาปัญญา และผู้ไม่เคร่งครัดศาสนา และที่นำมาใช้จับหัวใจของพวกผู้ที่โง่เขลา และผู้ก่อความเสื่อมเสีย คือการฟังเสียงโห่ร้อง การตบมือ การร้องเพลงที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องห้าม ซึ่งกีดกั้นเป็นอุปสรรคไม่ให้อัลกุรอานทะลุเข้าไปในหัวใจ และทำให้หัวใจจมปลักอยู่กับการฝ่าฝืน และอบายมุขต่างๆ ดนตรีเป็นบทสวดของชัยฏอนมารร้าย เป็นกำแพงกั้นระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮฺ เป็นเวทมนต์กล่อมเป่านำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายและการผิดประเวณีกับต่างเพศ ด้วยเสียงเพลงนี้ ผู้มีความใคร่อันชั่วช้าจะได้สมหวังกับคนที่เขาหลงใหล ... ส่วนการฟังเพลงจากสตรีหรือชายหนุ่มรูปหล่อนั้นเป็นบาปที่ใหญ่ยิ่ง และทำให้เกิดความเสื่อมเสียในศาสนาเป็นอย่างมาก... และไม่มีข้อกังขาเลยว่า แท้จริง ทุกคนที่มีความหึงหวงนั้น เขาจะให้ครอบครัวของเขาห่างไกลจากการฟังเพลงเหมือนกับที่ต้องการให้พวกเธอออกห่างสาเหตุต่างๆ ที่น่าระแวง ... และเป็นที่ทราบกันดีว่า แท้จริงเมื่อผู้ชายเข้าหาสตรีด้วยความยากลำบาก เขาก็จะพยายามให้เธอได้รับฟังเสียงเพลง เพื่อว่าเธอนั้นจะได้ใจอ่อน ทั้งนี้เนื่องจากสตรีจะมีความรู้สึกต่อเสียงต่างๆ อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อเสียงนั้นเป็นเสียงเพลง ความรู้สึกของเธอก็จะเกิดขึ้นด้วยสองทางด้วยกัน กล่าวคือทางด้านเสียงและด้านความหมายของมัน ... เมื่อเสียงเพลงถูกประกอบด้วยกลอง ความเป็นสาว และการเต้นรำอย่างอ่อนช้อย แล้วหากสตรีนั้นได้ตั้งครรภ์เพราะเพลง แน่นอน เธอย่อมตั้งครรภ์ด้วยเสียงเพลงเช่นนี้ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ มากต่อมากแล้วที่สตรีต้องเป็นโสเภณีเพราะเสียงเพลง”
โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺเถิดและจงระวังโรคร้ายเยี่ยงนี้ นั่นคือการฟังเพลงต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มของบรรดามุสลิมด้วยความหลากหลายของสื่อและรูปแบบ ซึ่งทำให้หญิงสาวจำนวนมากที่รู้ไม่เท่าทัน ได้สั่งซื้อจากแหล่งผลิตและส่งมอบให้เป็นของขวัญในกลุ่มพวกเธอซึ่งกันและกัน
ช่องทางหนึ่งที่จะรักษาอวัยวะเพศ คือห้ามมิให้สตรีเดินทางโดยไม่มีมะห์ร็อม ซึ่งคอยปกป้องคุ้มกันเธอจากพวกเกะกะเกเรและคนชั่วทั้งหลาย ดังมีหะดีษที่เชื่อถือได้รายงานว่า ไม่อนุญาตให้สตรีเดินทางโดยปราศจากมะห์ร็อม เช่น รายงานจากท่านอิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “สตรีจะไม่เดินทางเป็นเวลาสามวัน นอกจากจะต้องพร้อมกับมะห์ร็อมเท่านั้น” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 1862 และมุสลิม : 1338)
จากอบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ “ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามมิให้สตรีเดินทางในระยะเวลาสองวัน....” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 1864 และมุสลิม : 3249)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “ไม่อนุญาตให้สตรีที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลกเดินทางในระยะทางวันกับคืน นอกจากต้องพร้อมกับมะห์ร็อมของเธอเท่านั้น” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 1088 และมุสลิม : 3249)
การกำหนดระยะเวลาในหะดีษต่างๆ สามวัน สองวัน และหนึ่งวันกับหนึ่งคืนนั้น เป้าหมายคือ ตามสภาพของพาหนะการเดินทางในสมัยนั้น เดินทางด้วยเท้าและยานพาหนะต่างๆ และความแตกต่างของหะดีษในการกำหนดเวลา สามวัน สองวัน หรือวันกับคืน หรือที่น้อยกว่านั้น -บรรดาผู้รู้ได้ตอบชี้แจงว่า สำนวนของหะดีษไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป้าหมายคือทุกสภาพที่ถูกเรียกว่าเป็นการเดินทาง ดังนั้น สตรีจึงถูกห้ามเดินทางโดยปราศจากมะห์ร็อม
อิมาม อัน-นะวะวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในการอธิบายหะดีษของอิมามมุสลิมว่า “บทสรุป คือทุกสิ่งที่ถูกเรียกว่าการเดินทางนั้น สตรีถูกห้ามไม่ให้เดินทางโดยไม่มีสามี หรือไม่มีมะห์ร็อมเดินทางไปด้วย ไม่ว่าการเดินทางสามวัน สองวัน หนึ่งวัน สิบสองไมล์ หรืออื่นๆ เนื่องจากในรายงานของอิบนุ อับบาส ไม่ได้กำหนดเวลา ซึ่งเป็นรายงานสุดท้ายของอิมามมุสลิม (สตรีจะไม่เดินทางโดยไม่มีมะห์ร็อม) และรายงานนี้ครอบคลุมทุกสิ่งที่เรียกว่าเดินทาง” วัลลอฮุอะอฺลัม (ชัรห์ เศาะฮีหฺ มุสลิม : 9/103)
ส่วนผู้ที่ชี้ขาดว่า อนุญาตให้สตรีเดินทางไปกับหมู่คณะของสตรี เพื่อประกอบพิธีหัจญ์ภาคบังคับนั้น ขัดแย้งกับคำสอนของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อิมามอัล-ค็อฏฏอบียฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ (มะอาลิมุสสุนัน : 2/276-277) คู่กับตะฮฺซีบของอิบนุลก็อยยิมว่า “แท้จริงท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามเธอไม่ให้เดินทางนอกจากจะต้องมีผู้ชายที่เป็นมะห์ร็อมพร้อมกับเธอด้วย ดังนั้นการอนุญาตให้เธอเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์โดยไม่มีเงื่อนไขตามที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม วางไว้นั้น เป็นสิ่งที่ค้านกับแบบอย่างของท่าน ต่อมาเมื่อการออกไปของเธอโดยที่ไม่มีมะห์ร็อมเป็นการฝ่าฝืน ก็ย่อมไม่อนุญาตให้บังคับเธอเพื่อการทำหัจญ์ นั่นคือการเชื่อฟังภักดีซึ่งนำไปสู่การฝ่าฝืน”
ฉัน(ผู้เขียน)ขอกล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ชี้ขาดว่าอนุญาตให้สตรีเดินทางโดยไม่มีมะห์ร็อมในทุกกรณีไม่ และแท้จริงแล้วพวกเขาอนุญาตให้เธอกระทำเช่นนั้นได้เฉพาะกรณีประกอบพิธีหัจญ์ภาคบังคับเท่านั้น
อิมาม อัน-นะวะวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “ไม่อนุญาตให้เธอเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์ภาคสมัครใจ ไปทำการค้า การเยี่ยมเยียน และอื่นๆ นอกจากจะต้องมีมะห์ร็อมเท่านั้น” (อัล-
มัจญ์มูอฺ : 8/249)
มัจญ์มูอฺ : 8/249)
ดังนั้น ผู้ที่ปล่อยให้สตรีในสมัยนี้เดินทางโดยที่ไม่มี
มะห์ร็อมเดินทางไปด้วยนั้น ไม่มีผู้รู้คนใดที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือ มีความเห็นสอดคล้องกับคนเหล่านั้น
มะห์ร็อมเดินทางไปด้วยนั้น ไม่มีผู้รู้คนใดที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือ มีความเห็นสอดคล้องกับคนเหล่านั้น
ส่วนคำพูดของพวกเขาที่ว่า “แท้จริงมะห์ร็อมของเธอจะให้เธอโดยสารเครื่องบินไป หลังจากนั้นจะมีมะห์ร็อมอีกคนมาต้อนรับเมื่อถึงปลายทาง เพราะว่าเครื่องบินนั้นมีความปลอดภัย ตามการอ้างของพวกเขาอันเนื่องจากมีผู้โดยสารชายและหญิงเป็นจำนวนมาก” เราก็จะตอบแก่พวกเขาว่า “มิได้เป็นเช่นนั้น เครื่องบินนั้นอันตรายที่สุด เพราะว่าผู้โดยสารจะปะปนกัน เธออาจจะนั่งอยู่ใกล้กับผู้ชาย และบางทีอาจจะมีเหตุการณ์ทำให้เครื่องบินต้องเปลี่ยนทิศทางบินไปทางสนามบินอื่น ดังนั้น ก็จะไม่มีคนที่มาต้อนรับเธอ ท้ายสุดเธอก็จะต้องตกอยู่ในภาวะอันตราย และจะเป็นอย่างไร เมื่อสตรีอยู่ในประเทศที่เธอไม่รู้จัก และไม่มีมะห์ร็อม”
และแนวทางหนึ่งที่จะรักษาอวัยวะเพศคือห้ามมิให้สตรีอยู่ตามลำพังกับชายที่ไม่ใช่มะห์ร็อมของเธอ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า
«مَنْ كَانَ يُؤْمِنُ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ فَلا يَخْلُونَّ بِامْرَأَةٍ لَيْسَ مَعَهَا ذُو مَحْرَمٍ مِنْهَا فَإِنَّ ثَالِثْهُمَا الشَّيْطَانُ»
“ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก เขาก็อย่าได้อยู่กับสตรีโดยที่ไม่มีมะห์ร็อมของเธออยู่ด้วย เพราะคนที่สามก็คือชัยฏอน” (บันทึกโดยอะห์มัด : 3/339)
มีรายงานจากอามิรฺ อิบนุ เราะบีอะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “จงรู้ไว้เถิดว่าชายคนหนึ่งจะไม่อยู่ตามลำพังกับหญิงที่ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา เพราะตนที่สามคือ ชัยฏอน นอกจากจะมีมะห์ร็อมอยู่ด้วยเท่านั้น” (บันทึกโดยอะห์มัด : 1/18)
อัล-มัจญดุดดีน (ปู่ของอิบนุ ตัยมียะฮฺ) ได้กล่าวไว้ในหนังสือมุนตะกอ อัล-อัคบารฺ ว่า “ทั้งสองหะดีษนี้บันทึกโดย
อิมามอะห์มัด และความหมายดังหะดีษที่กล่าวมาปรากฏในรายงานของอิบนุอับบาสซึ่งเป็นหะดีษที่บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม
อิมามอะห์มัด และความหมายดังหะดีษที่กล่าวมาปรากฏในรายงานของอิบนุอับบาสซึ่งเป็นหะดีษที่บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม
อิมาม อัช-เชากานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือนัยลุลเอาฏอรฺ (6/120) “และการอยู่ตามลำพังกับสตรีที่แต่งงานได้นั้นเป็นสิ่งต้องห้าม โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ ดังที่อิบนุ หะญัรฺ ได้กล่าวไว้ในฟัตหุลบารี และสาเหตุของการห้ามตามหะดีษคือการที่มีชัยฏอนมาเป็นตนที่สามและมาอยู่ด้วยนั้น จะทำให้ทั้งสองกระทำในสิ่งที่ฝ่าฝืน ส่วนการอยู่กับสตรีที่แต่งงานได้โดยมีมะห์ร็อมอยู่ด้วยก็เป็นสิ่งที่อนุญาต เนื่องจากจะไม่เกิดการฝ่าฝืน ขณะที่มะห์ร็อมอยู่”
สตรีบางคนและผู้ปกครองของเธออาจจะไม่สนใจ ปล่อยปะละเลยในเรื่องการอยู่ด้วยกันตามลำพังในหลากหลายรูปแบบ อาทิ
หนึ่ง สตรีอยู่ตามลำพังกับญาติใกล้ชิดของสามี และเปิดใบหน้า และนี่เป็นการอยู่ตามลำพังที่อันตรายที่สุด ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า
“ท่านทั้งหลายจงระวังการเข้าไปหาบรรดาสตรี” แล้วชายคนหนึ่งจากชาวอันศอรฺได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ แล้วท่านเห็นอย่างไรกับน้องชายของสามี? ท่านตอบว่า “นั่นคือความตาย” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 5232 และอัต-ติรมีซีย์ : 1171)
อิบนุ หะญัรฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในฟัตหุลบารีว่า “อิมามอัน-นะวะวีย์กล่าวว่า นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า “อัล-หัมวุ” ในสำนวนหะดีษ คือ ญาติใกล้ชิดของสามี เช่น พ่อ ลุง พี่น้อง หลาน ลูกพี่ลูกน้องของเขา และคนอื่นๆ....จุดประสงค์ของหะดีษคือบรรดาญาติใกล้ชิดของสามี แต่ไม่รวมถึงพ่อ และลูกๆ ของสามี เนื่องจากพวกเขาเป็นมะห์ร็อมของเธอ อนุญาตให้อยู่กับตามลำพังกับเธอได้ และพวกเขาไม่ถูกระบุลักษณะว่าเป็นความตาย... การปฏิบัติโดยทั่วไปมักจะมีการปล่อยปะละเลย โดยที่น้องชายจะอยู่ตามลำพังกับภรรยาของพี่ชาย ดังนั้น เขาจึงถูกเปรียบเหมือนกับความตาย ซึ่งสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการห้าม” (ฟัตหุลบารี : 9/331)
และอิมามอัช-เชากานีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือนัยลุลเอาฏอรฺ (6/122) “คำว่าญาติของสามีคือความตาย หมายความว่า ญาติของสามีน่ากลัวยิ่งกว่าคนอื่น ดังที่ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากกว่าสิ่งอื่นๆ”
โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย เธอจงยำกรงต่ออัลลอฮฺเถิด และอย่าได้ปล่อยปะละเลยในเรื่องนี้ เพราะว่าบรรทัดฐานนั้นอยู่ที่บัญญัติของศาสนา ไม่ใช่วิถีปฏิบัติของมนุษย์ทั่วไป
สอง สตรีบางคนและผู้ปกครองของเธอ ปล่อยปะละเลยในเรื่องการโดยสารรถยนต์ไปกับคนขับตามลำพัง ซึ่งคนขับรถนั้นไม่ใช่มะห์ร็อมของเธอ ทั้งที่แท้จริงแล้วการกระทำเช่นนั้นเป็นที่ต้องห้าม
ชัยค์มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อาล อัช-ชัยค์ ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของประเทศซาอุดิอาระเบีย กล่าวไว้ใน มัจญ์มูอฺฟะตาวา เล่มที่ 10 หน้าที่ 52 ว่า “ในปัจจุบันนี้ไม่มีความสงสัยอันใดเลยว่า การโดยสารของสตรีซึ่งไปกับคนขับหรือเจ้าของรถตามลำพัง โดยไม่มีมะห์ร็อมติดตามเธอไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย และมีผลเสียมากมาย ไม่อาจมองข้ามได้ ไม่ว่าสตรีนั้นจะเป็นเด็กที่สงบเสงี่ยมหรือเด็กเรียบร้อยที่พูดคุยกับผู้ชายก็ตาม ผู้ชายที่พอใจกับการกระทำเช่นนี้ เขาเป็นผู้ที่ไม่เคร่งครัด ขาดความเป็นบุรุษ มีความหึงหวงน้อย” ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีชายคนใดที่อยู่ตามลำพังกับผู้หญิงนอกจากชัยฏอนจะเป็นตนที่สาม” (หะดีษบทนี้ได้อ้างอิงก่อนนี้แล้ว)
และการอยู่ตามลำพังในรถกับคนขับนั้น ยิ่งกว่าการอยู่กับเธอภายในบ้านและที่อื่นๆ เพราะเขาสามารถที่จะพาเธอไปไหนก็ได้ตามที่เขาประสงค์ ในประเทศ นอกประเทศ ด้วยความสมัครใจหรือบังคับ และจะมีผลเสียที่ร้ายแรงติดตามมา ซึ่งมากกว่าผลเสียจากการอยู่ตามลำพังทั่วๆ ไป และจำเป็นที่มะห์ร็อมจะต้องเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่เพียงพอหากมะห์ร็อมนั้นเป็นเด็ก และสตรีบางคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเธอได้พาเด็กมากับเธอด้วยนั่นหมายความว่าไม่อยู่ในข่ายการอยู่ด้วยกันโดยลำพังกับผู้ชายแล้ว นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก
อิมาม อัน-นะวะวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เมื่อชายและหญิงที่แต่งงานกันได้อยู่ตามลำพัง โดยไม่มีคนที่สามอยู่ด้วยก็เป็นสิ่งต้องห้ามโดยมติเอกฉันท์ และเช่นเดียวกันหากมีเด็กเล็กอยู่พร้อมกับเขาทั้งสอง การอยู่ด้วยกันโดยลำพังที่ต้องห้ามก็ยังคงมีอยู่” (อัล-มัจญ์มูอฺ : 9/109)
สาม สตรีบางคนและผู้ปกครองของเธอปล่อยปะละเลยให้สตรีเข้าไปหาหมอ โดยอ้างว่ามีความจำเป็นที่เธอจะต้องรักษา และนี่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก อันตรายยิ่ง และไม่อนุญาตให้ยอมรับและนิ่งเฉยต่อข้ออ้างเช่นนี้
ชัยค์มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม กล่าวไว้ในมัจญ์มูอฺฟะตาวา (10/13) ว่า “และอย่างไรก็ตาม การอยู่ตามลำพังกับสตรีที่แต่งงานกันได้ เป็นสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติ แม้กระทั่งหมอที่จะมาทำการเยียวยาเธอก็ตาม เนื่องจากหะดีษที่ว่า “ไม่มีชายคนใดที่จะอยู่กับสตรีโดยลำพังนอกจากชัยฏอนจะเป็นตนที่สาม” ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีคนหนึ่งคนใดอยู่กับเธอด้วย จะเป็นสามีหรือมะห์ร็อมคนอื่นๆ ถ้าหากมะห์ร็อมไม่พร้อมก็ให้มีญาติของเธอที่เป็นผู้หญิง แล้วหากไม่มีคนหนึ่งคนใดจากที่กล่าวมาแล้ว ในขณะความเจ็บป่วยถึงขั้นอันตรายไม่สามารถรอช้าได้ อย่างน้อยก็ต้องให้พยาบาลหรือคนอื่นอยู่ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้รอดพ้นจากการอยู่กันตามลำพังที่ต้องห้าม”
และเช่นเดียวกันไม่อนุญาตให้หมออยู่กับสตรีโดยลำพัง ไม่ว่าเธอจะเป็นหมอ เป็นเพื่อน หรือเป็นพยาบาลก็ตาม ไม่อนุญาตให้ครูชายซึ่งตาบอดหรืออื่นๆ อยู่ตามลำพังกับนักเรียนหญิง และไม่อนุญาตให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไปอยู่ตามลำพังกับผู้ชาย
สำหรับเรื่องนี้ ผู้คนทั้งหลายได้ปล่อยปะละเลย โดยอ้างความทันสมัย เลียนแบบต่างศาสนิกอย่างเงยหัวไม่ขึ้น และไม่สนใจใยดีต่อบทบัญญัติศาสนา ดังนั้น ไม่มีอำนาจและไม่มีพลังอันใดนอกจากต้องพึ่งพาอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่งและทรงไพศาล –
ลาเหาละ วะลา กูว์วะตะ อิลลา บิลลาฮิล อะลียิลอะซีม
ลาเหาละ วะลา กูว์วะตะ อิลลา บิลลาฮิล อะลียิลอะซีม
และไม่อนุญาตให้ผู้ชายอยู่ตามลำพังกับคนใช้หญิงที่บริการอยู่ในบ้านของเขา และไม่อนุญาตให้สตรีเจ้าของบ้านอยู่กับคนใช้ผู้ชายโดยลำพัง
สำหรับปัญหาคนรับใช้นั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรง ซึ่งผู้คนในสมัยนี้ประสบกันมาก เพราะผู้หญิงยุ่งอยู่กับการศึกษาและการทำงานนอกบ้าน และนั่นเป็นสิ่งที่ผู้ศรัทธาจำเป็นต้องระวังเป็นอย่างยิ่งและหลีกเลี่ยงให้มาก และอย่ายอมที่จะแลกกับประเพณีที่ไม่ดีทั้งหลายแหล่
ชัยค์อับดุลอะซีซ บิน บาซ ประธานองค์การค้นคว้าด้านวิชาการ การชี้ขาดปัญหาศาสนา และการเรียกร้องเชิญชวน กล่าวไว้ในอัล-ฟะตาวา ซึ่งสถาบันการเผยแพร่และการเรียกร้องเชิญชวนจัดพิมพ์ (1/85) ว่า “ไม่อนุญาตให้สตรีจับมือผู้ชายที่ไม่ใช่ได้
มะห์ร็อมในทุกกรณี ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นสาวหรือชราก็ตาม ไม่ว่าผู้ชายที่จับมือนั้นจะเป็นเด็กหนุ่มหรือคนแก่ก็ตาม เนื่องจากการกระทำเช่นนั้นเป็นอันตรายแก่ทุกคน มีรายงานที่เชื่อถือได้จากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
มะห์ร็อมในทุกกรณี ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นสาวหรือชราก็ตาม ไม่ว่าผู้ชายที่จับมือนั้นจะเป็นเด็กหนุ่มหรือคนแก่ก็ตาม เนื่องจากการกระทำเช่นนั้นเป็นอันตรายแก่ทุกคน มีรายงานที่เชื่อถือได้จากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إِنِّي لَا أُصَافِحُ النِّسَاءَ»
ความว่า “แท้จริง ฉันจะไม่จับมือกับบรรดาสตรี” (บันทึกโดยอัน-
นะสาอีย์ : 4181)
นะสาอีย์ : 4181)
และท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า
وَاللَّهِ مَا مَسَّتْ يَدُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَدَ امْرَأَةٍ قَطُّ غَيْرَ أَنَّهُ يُبَايِعُهُنَّ بِالْكَلَامِ.
ความว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ มือของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยสัมผัสกับมือของหญิงคนใดเลย เพียงแต่ท่านทำสัตยาบันกับพวกเธอด้วยคำพูดเท่านั้น” (บันทึกโดยมุสลิม : 1866)
อะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยสัมผัสกับมือของหญิงคนใดเลย เพียงแต่ท่านทำสัตยาบันกับพวกเธอด้วยคำพูดเท่านั้น” (บันทึกโดยมุสลิม : 1866)
และไม่มีความแตกต่างกันระหว่างการจับมือโดยมีสิ่งขวางกั้นหรือไม่มีสิ่งขวางกั้นก็ตาม เนื่องจากหลักฐานต่างๆ ที่ครอบคลุม และเพื่อปิดช่องทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย
ชัยค์มุหัมมัด อัล-อะมีน อัช-ชันกีฏีย์ กล่าวไว้ในตัฟซีรฺ
อัฎวาอ์ อัล-บะยาน (6/602-603) ว่า “พึงทราบเถิดว่า ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งงานกันได้จะจับมือกัน และไม่อนุญาตให้สัมผัสร่างกายกับร่างกาย และหลักฐานในเรื่องราวดังกล่าวนั้นมีมากมาย
อัฎวาอ์ อัล-บะยาน (6/602-603) ว่า “พึงทราบเถิดว่า ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งงานกันได้จะจับมือกัน และไม่อนุญาตให้สัมผัสร่างกายกับร่างกาย และหลักฐานในเรื่องราวดังกล่าวนั้นมีมากมาย
หนึ่ง ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงฉันจะไม่จับมือกับบรรดาสตรี...” และอัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ لَّقَدۡ كَانَ لَكُمۡ فِي رَسُولِ ٱللَّهِ أُسۡوَةٌ حَسَنَةٞ لِّمَن كَانَ يَرۡجُواْ ٱللَّهَ وَٱلۡيَوۡمَ ٱلۡأٓخِرَ وَذَكَرَ ٱللَّهَ كَثِيرٗا ٢١ ﴾ [الأحزاب : ٢١]
ความว่า “โดยแน่นอนในเราะสูลของอัลลอฮฺมีแบบอย่างอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว” (อัล-อะห์ซาบ : 21)
ดังนั้น เราจะต้องไม่จับมือกับสตรี เพื่อเป็นการดำเนินตามท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และหะดีษดังกล่าวเราได้นำเสนอมาแล้วในการอธิบายอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-หัจญ์ในเรื่องที่ว่าด้วยการห้ามไม่ให้ผู้ชายสวมใส่เสื้อผ้าที่ย้อมสีเหลือง ทุกกรณี ในพิธีกรรมหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ และอื่นๆ และในซูเราะฮฺ อัล-
อะห์ซาบเกี่ยวกับเรื่องหิญาบ
อะห์ซาบเกี่ยวกับเรื่องหิญาบ
และการที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่จับมือกับบรรดาสตรีในขณะที่ทำสัตยาบันนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งว่าผู้ชายนั้นจะไม่จับมือกับผู้หญิง และร่างกายของเขาจะไม่ไปสัมผัสกับร่างกายของเธอ เพราะว่าการจับมือเป็นการสัมผัสที่เบาที่สุดจากประเภทของการสัมผัส ดังนั้น เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ไม่จับมือในเวลาที่มีความจำเป็น นั่นก็คือเวลาการทำสัตยาบัน ก็บ่งบอกการจับมือไม่เป็นที่อนุญาต และไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดขัดแย้งกับท่าน เพราะท่านเป็นผู้วางบทบัญญัติให้แก่ประชาชาติของท่าน โดยคำพูด การกระทำต่างๆ และการยอมรับของท่าน
สอง เราเคยนำเสนอแล้วว่า บรรดาสตรีเป็นเอาเราะฮฺ (สิ่งพึงสงวน) ดังนั้นเธอต้องสวมใส่หิญาบ และการที่มีคำสั่งให้ลดสายตาเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตราย และไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าการสัมผัสร่างกายกับร่างกายนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดและชักนำความรู้สึกได้ดีที่สุดมากกว่ามองด้วยสายตา และบุคคลที่มีหลักธรรมย่อมรู้ว่านี่คือความจริง
สาม การจับมือจะเป็นตัวนำสู่การเสพสุขกับสตรีที่ไม่ใช่ภรรยา เนื่องจากสมัยนี้ความยำเกรงลดน้อยลง ขาดความซื่อสัตย์ และไม่มีการออกห่างจากสิ่งที่ทำให้เกิดความระแวง ซึ่งเราก็ได้บอกหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า สามีบางคนจูบพี่น้องสาวของภรรยา ด้วยการจูบปากต่อปาก และเรียกการจูบดังกล่าวว่า -ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามโดยมติเอกฉันท์- ว่าเป็นการทักทายให้เกียรติ พวกเขาจะกล่าวกันว่า ท่านจงทักทายแก่เธอ พวกเขาหมายถึงว่าท่านจงจูบเธอ ดังนั้นความจริงที่ไม่ต้องสงสัยใดๆ คือการออกห่างจากฟิตนะฮฺและสาเหตุที่ทำให้เกิดความระแวง และที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการสัมผัสเรือนร่างของสตรีที่แต่งงานกันได้ และทุกช่องทางที่นำสู่สิ่งต้องห้ามนั้น จำเป็นจะต้องปิดให้สนิท
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ฉันขอเตือนพวกท่านให้รำลึกถึงคำสั่งของอัลลอฮฺ ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
﴿ قُل لِّلۡمُؤۡمِنِينَ يَغُضُّواْ مِنۡ أَبۡصَٰرِهِمۡ وَيَحۡفَظُواْ فُرُوجَهُمۡۚ ذَٰلِكَ أَزۡكَىٰ لَهُمۡۚ إِنَّ ٱللَّهَ خَبِيرُۢ بِمَا يَصۡنَعُونَ ٣٠ وَقُل لِّلۡمُؤۡمِنَٰتِ يَغۡضُضۡنَ مِنۡ أَبۡصَٰرِهِنَّ وَيَحۡفَظۡنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبۡدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنۡهَاۖ وَلۡيَضۡرِبۡنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّۖ وَلَا يُبۡدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا لِبُعُولَتِهِنَّ أَوۡ ءَابَآئِهِنَّ أَوۡ ءَابَآءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوۡ أَبۡنَآئِهِنَّ أَوۡ أَبۡنَآءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوۡ إِخۡوَٰنِهِنَّ أَوۡ بَنِيٓ إِخۡوَٰنِهِنَّ أَوۡ بَنِيٓ أَخَوَٰتِهِنَّ أَوۡ نِسَآئِهِنَّ أَوۡ مَا مَلَكَتۡ أَيۡمَٰنُهُنَّ أَوِ ٱلتَّٰبِعِينَ غَيۡرِ أُوْلِي ٱلۡإِرۡبَةِ مِنَ ٱلرِّجَالِ أَوِ ٱلطِّفۡلِ ٱلَّذِينَ لَمۡ يَظۡهَرُواْ عَلَىٰ عَوۡرَٰتِ ٱلنِّسَآءِۖ وَلَا يَضۡرِبۡنَ بِأَرۡجُلِهِنَّ لِيُعۡلَمَ مَا يُخۡفِينَ مِن زِينَتِهِنَّۚ وَتُوبُوٓاْ إِلَى ٱللَّهِ جَمِيعًا أَيُّهَ ٱلۡمُؤۡمِنُونَ لَعَلَّكُمۡ تُفۡلِحُونَ ٣١ ﴾ [النور : ٣٠-٣١]
ความว่า “จงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายเถิด ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขา และรักษาอวัยวะเพศของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้รอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ และจงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิงเถิด ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอ และรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ ไม่นำเอาเครื่องประดับของพวกเธอมาแสดง นอกจากสิ่งที่อยู่ภายนอกเท่านั้น และพวกเธอจงเอาผ้าคลุมศีรษะของพวกเธอมาคลุมคอเสื้อของพวกเธอ และไม่นำเครื่องประดับของพวกเธอมาแสดง นอกจากแก่สามีของพวกเธอ พ่อของพวกเธอ พ่อของสามีของพวกเธอ ลูกของพวกเธอ ลูกของสามีของพวกเธอ พี่น้องชายของพวกเธอ ลูกของพี่น้องชายของพวกเธอ ลูกชายของพี่น้องหญิงของพวกเธอ พวกผู้หญิงของพวกเธอ พวกทาสของพวกเธอ พวกติดตามที่ไม่มีความต้องการทางเพศจากพวกผู้ชาย หรือเด็กที่พวกเขาไม่รู้จักสิ่งที่พึงสงวนต่างๆ ของสตรี และพวกเธออย่าได้เอาเท้าของพวกเธอกระแทกพื้น เพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่พวกเธอซ่อนไว้จากเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าจงกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮฺอย่างพร้อมเพรียงกัน โอ้บรรดาผู้ศรัทธา หวังว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จ” (อัน-นูรฺ : 30-31)
มวลการสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ความจำเริญและสันติจงมีแด่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม วงศ์วานของท่าน และบรรดาสาวกทั้งมวล
وصلى الله على محمد وآله وصحبه وسلم.
หนังสือที่ประมวลบทบัญญัติต่างๆ ในอิสลามที่เกี่ยวข้องกับสตรีเป็นการเฉพาะ รวบรวมประเด็นต่างๆ โดยสังเขป ประกอบด้วยบทบัญญัติทั่วไป บัญญัติเกี่ยวกับการตกแต่งเรือนร่างของสตรี บัญญัติเกี่ยวกับเลือดประจำเดือน เลือดเสีย และเลือดหลังคลอด เสื้อผ้าและหิญาบ การละหมาด การจัดการศพ การถือศีลอด การประกอบพิธีหัจญ์และ
อุมเราะฮฺ การเป็นสามีภรรยาและการสิ้นสุดระหว่างกัน บัญญัติต่างๆ ที่จะปกป้องรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี และความบริสุทธิ์ของสตรี
อุมเราะฮฺ การเป็นสามีภรรยาและการสิ้นสุดระหว่างกัน บัญญัติต่างๆ ที่จะปกป้องรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี และความบริสุทธิ์ของสตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น