ตัวอย่างบิดอะฮฺต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
เชค
ศอลิหฺ บิน เฟาซาน อัล-เฟาซาน
ตัวอย่างที่จะกล่าวถึง คือ
1. การจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของท่านนบีมุหัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
2. การขอความจำเริญ(บะเราะกะฮฺ)
จากสถานที่ ร่องรอยที่สำคัญต่างๆ และจากผู้ที่เสียชีวิตแล้ว เป็นต้น
3. บิดอะฮฺที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา
บิดอะฮฺในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นอย่างมากมายและแพร่หลาย
อันเนื่องมาจากวันเวลาที่ผ่านเนิ่นนาน และการศึกษาที่ลดน้อยลง เกิดการเพิ่มขึ้นของผู้ที่เรียกร้องไปสู่บิดอะฮฺและสู่สิ่งที่ขัดกับหลักการต่างๆ
ของศาสนา การเลียนแบบค่านิยม และตามประเพณีวัฒนธรรมของต่างศาสนิก สิ่งดังกล่าวนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคำกล่าวที่สัจจริงของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ที่ว่า
"
แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะเดินตามแนวทางที่หลากหลายของกลุ่มชนที่มาก่อนพวกเจ้า"
(รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 151)
1. การจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของท่านนบีมุหัมมัด(เมาลิดนบี)ในเดือนเราะบีอุลเอาวัล
เป็นการเลียนแบบจากศาสนาคริสต์
ซึ่งงานนี้ถูกเรียกว่า “เมาลิดนบี” จัดขึ้นโดยมุสลิม
หรือผู้รู้ที่หลงผิดกลุ่มหนึ่งในเดือนเราะบีอุลเอาวัลของทุกๆปี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติของท่านนบี มุหัมมัดศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิ วะสัลลัม ผู้คนบางส่วนจะจัดขึ้นในมัสญิด บ้างก็ในที่พัก
หรือสถานที่ชุมนุม โดยมีกลุ่มชนทั้งในระดับแนวหน้าและบุคคลทั่วไปมารวมตัวกันจัดงานดังกล่าว
ซึ่งงานเมาลิดนี้
แน่นอนมันเป็นการเลียนแบบจากศาสนาคริสต์ ซึ่งพวกเขาจะจัดงานคริสต์มาสให้แก่พระเยซูคริสต์ในทุกๆ
ปีเช่นกัน โดยบางส่วนของงานเมาลิดนบีอาจจะมีสิ่งที่เป็นชิริกหรือที่เป็นบาปปะปนอยู่ด้วย เช่นการกล่าวสรรเสริญท่านนบีเป็นบทกลอนที่เลยเถิดและสุดโต่ง จนกระทั่งถึงขั้นขอดุอาอ์และขอความช่วยเหลือจากท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นอกเหนือจากอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนี้เองท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ห้ามอุมมะฮฺของท่านไม่ให้เทิดทูนและยกยอท่านเกินสิทธิการเป็นศาสนทูต
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า:
"พวกเจ้าจงอย่ากล่าวยกย่องฉัน
(จนเกินเลย) อย่างที่ชาวคริสต์ได้ยกย่อง(อีซา)บุตรของนางมัรยัม
เพราะแท้จริง
ฉันนี้คือบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกท่านจงกล่าวว่า (มุหัมมัด)คือบ่าวของอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์’”
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์
: 142)
อัล-อิฏรออ์ : الإطراء คือ
การยกยอจนเลยเถิด ซึ่งบางครั้งผู้ที่จัดงานเมาลิดนบี อาจจะมีความเชื่อว่าท่านนบีได้มาอยู่ในงานนั้นกับพวกเขาด้วย
และในงานยังมีการร้องอะนาชีดเป็นกลุ่ม มีการตีกลองร่วมด้วย การกระทำดังกล่าวมันเป็นส่วนหนึ่งของพวกศูฟีย์ พวกบิดอะฮฺ ซึ่งในงานอาจจะมีการปะปนกันระหว่างชายและหญิง ก่อให้เกิดสาเหตุของฟิตนะฮฺที่จะนำพาไปสู่สิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะตามมาได้
ถึงแม้ว่างานดังกล่าวจะมีแค่การร่วมกันรับประทานอาหารและแสดงความดีใจ อย่างที่พวกเขากล่าวอ้างกัน
อย่างไรก็ตามมันก็คือบิดอะฮฺ
อุตริกรรมใหม่ๆ ในศาสนา และทุกๆ บิดอะฮฺนั้นหลงผิด และมันยังเป็นสื่อที่ทำให้มีสิ่งที่เป็นบาปต่างๆ
เกิดขึ้นได้ในเวลาต่อไป
ที่เรากล่าวว่ามันคือบิดอะฮฺ เพราะว่ามันไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอาน
จากสุนนะฮฺและจากการกระทำของชาวสะลัฟุศศอลิหฺในสามศตวรรษแรก แต่มันเริ่มเกิดขึ้นหลังจากศตวรรษที่สี่ไปแล้ว
ผู้ให้กำเนิดมันคือชีอะฮฺราชวงค์ฟาฏิมียะฮฺ(เคยปกครองอียิปต์)
ท่านอิหม่าม
ตาญุดดีน อัล-ฟากิฮานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า : มีคำถามมาบ่อยครั้ง(จากผู้ที่แสวงหาความถูกต้องใน)ประเด็นการรวมตัวกันของผู้คนกลุ่มหนึ่งในเดือนเราะบีอุลเอาวัล
ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า
เมาลิด มันมีหลักฐานให้กระทำจากศาสนาไหม ?
ฉันตอบว่า: วะบิลลาฮิตเตาฟีก (ความสำเร็จขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ)
ฉันไม่รู้ว่าสำหรับการจัดเมาลิดนี้มันมีหลักฐานในอัลกุรอานและสุนนะฮฺ
และไม่มีแบบอย่างถ่ายทอดมาจากบรรดาอิหม่ามที่มีเกียรติที่เคร่งครัดในการปฏิบัติตามร่องรอยชนกลุ่มแรกที่เป็นแบบอย่างในศาสนา
แต่ทว่ามันเป็นบิดอะฮฺ
ซึ่งอุตริขึ้นโดยพวกบิดเบือนและเป็นการตามอารมณ์ของพวกที่ชอบกินใช้บริโภคอย่างสุขสำราญ
(หนังสือ
อัล-เมาริด ฟี อะมาลิลเมาลิด)
ชัยคุลอิสลาม
อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า : สิ่งดังกล่าวนี้คือสิ่งที่มนุษย์บางกลุ่มอุตริขึ้น
บ้างอาจจะเป็นการเลียนแบบพวกคริสต์เตียนในการจัดเมาลิดให้กับนบีอีซา หรือการจัดงานเมาลิดเพื่อเป็นการแสดงความรัก
และเทิดทูนท่านนบี โดยการยึดงานเมาลิดเป็นวันฉลองทางศาสนา ทั้งๆ ที่นักวิชาการมีความขัดแย้งกันในวันดังกล่าว(หมายถึงวันที่
ที่ท่านนบีประสูติ) แต่สิ่งนี้ชาวสะลัฟไม่ได้ปฏิบัติมัน
ถ้าหากว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีสิทธิในการปฏิบัติมากกว่าพวกเรา
เพราะว่าพวกเขามีความรักต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และให้การเทิดทูนท่านมากกว่าพวกเรา ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่ปราถนายิ่งในความดีงาม
หากแต่ว่าความรักและการเทิดทูนท่านนบีคือการปฏิบัติตาม
คือการเชื่อฟัง และการฟื้นฟูแบบฉบับของท่านทั้งต่อหน้าและลับหลัง นี่คือแนวทางของชนกลุ่มแรกจากชาวมุฮาญิรีน(ผู้อพยพ)และชาวอันศอรฺ(ชาวมะดีนะฮฺที่ให้การช่วยเหลือท่านนบีและผู้อพยพ)และเป็นแนวทางของผู้ที่ปฏิบัติตามชนเหล่านี้ด้วยความดีงาม
(ดูหนังสือ อิกติฎออ์ อัศ-ศิรอด อัล-มุสตะกีม)
ได้มีการประพันธ์ตำราเพื่อชี้แจงตอบโต้การจัดงานเมาลิดอย่างมากมาย
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะมันคือบิดอะฮฺและการเลียนแบบกลุ่มชนอื่น ซึ่งจะนำพาไปสู่การจัดเมาลิดในวาระอื่นๆ
อีกมากมายเช่นจัดเมาลิดให้โต๊ะวะลี หรือให้แก่ผู้นำ และผู้ที่มีเกียติในศาสนา
เป็นต้น มันเป็นการจุดประกายต้นตอสู่ความชั่วทั้งหลาย
2. การขอความจำเริญ(บะเราะกะฮฺ)
จากสถานที่และร่องรอยที่สำคัญต่างๆ และจากตัวบุคคลที่ยังมีชีวิต
และเสียชีวิตไปแล้ว
อัต-ตะบัรรุก التبرك คือการขอความจำเริญ (บะเราะกะฮฺ)
มันคือความดีงามที่ยั่งยืนในสิ่งหนึ่ง และการเพิ่มพูนมัน
การขอให้มีความดีงามที่มั่นคงและเพิ่มพูนขึ้นนั้น สามารถขอได้จากผู้ที่มีความสามารถและครอบครองมันเท่านั้น
คือ พระองค์อัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์คือผู้ที่ประทานความจำเริญและคงมันไว้ ให้แก่สิ่งต่างๆ
ส่วนสิ่งที่ถูกสร้างมันย่อมไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะมอบความจำเริญ
หรือสร้างมันขึ้นมาและคงมันไว้ ให้กับสิ่งต่างๆได้เลย
การขอความจำเริญ จากสถานที่และร่องรอยที่สำคัญหรือจากตัวบุคคลที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิตไปแล้วนั้น
ไม่เป็นการอนุญาต เพราะมันอาจจะเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺได้ คือ ถ้าบุคคลหนึ่งเชื่อว่าสิ่งที่เขาขอเป็นผู้ที่ให้ความจำเริญ
หรือ มันอาจจะเป็นสื่อที่จะนำพาไปสู่การตั้งภาคี ถ้าเขาเชื่อว่าการไปเยี่ยมเยียน ได้ลูบสัมผัสสิ่งดังกล่าวจะทำให้ได้รับความจำเริญจากอัลลอฮฺ
ส่วนในรายงานที่เราพบว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเคยขอความจำเริญด้วยกับส้นผมและน้ำลาย
หรือส่วนต่างๆ จากร่างกายของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สิ่งดังกล่าวนั้นเป็นการเฉพาะสำหรับท่านนบีในขณะที่ท่านมีชีวิตเท่านั้น ด้วยกับหลักฐานที่บ่งชี้ว่าหลังจากท่านนบีเสียชีวิตลง บรรดาเศาะหาบะฮฺ
ไม่เคยที่จะขอความจำเริญจากหลุมศพของท่าน และพวกเขาไม่เคยมุ่งหน้าไปหาสถานที่ใดๆ
ที่ท่านนบีเคยอาศัย หรือเคยนั่งพักอยู่เลยเพื่อทำการขอความจำเริญจากสิ่งดังกล่าว
และเช่นเดียวกันพวกเขาไม่เคยขอความจำเริญจากหลุมศพโต๊ะวะลี
ไม่เคยขอมันจากบุคคลที่ศอลิหฺทั้งหลาย เช่น ท่านอบูบักรฺ อุมัรฺ และเศาะหาบะฮฺท่านอื่นๆ
ที่มีเกียติยิ่งทั้งในขณะมีชีวิต และเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม พวกเขาไม่เคยไปเยี่ยมเยียนภูเขาหิรออฺ(ที่รับวะห์ยู)หรือภูเขาฏูรฺ(สถานที่ที่พระองค์อัลลอฮฺตรัสกับมูซา)เพื่อทำการละหมาดและขอดุอาอ์จากสถานที่นั้นๆ
หรือจากสถานที่ต่างๆ ที่มีความสำคัญที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหลุมศพหรือร่องรอยต่างๆ
ของบรรดานบี และเช่นเดียวกันสถานที่ต่างๆ ที่ท่านนบีเคยละหมาดบ่อยครั้งในเมืองมะดีนะฮฺ
ก็ไม่มีปรากฏจากผู้ใดในบรรดาชาวสะลัฟว่าเขาพวกเขาไปสัมผัสหรือจูบมัน รวมถึงสถานที่ต่างๆ
ในมักกะฮฺหรือที่อื่นๆ ก็ไม่มีปรากฏมาเช่นกัน
ถ้าหากว่าจุดที่เท้าทั้งสองที่มีเกียรติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เคยเหยียบและยืนละหมาดบนมัน ยังไม่มีบัญญัติให้เราไปสัมผัสหรือจูบมันแล้วไซร้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่เป็นรอยของคนอื่นนอกจากท่านนบี
ที่อ้างกันว่าวะลีหรือคนสำคัญคนนั้นเคยละหมาดหรือเคยนอนตรงนี้ เพราะการจูบและสัมผัสสิ่งดังกล่าวนั้น
บรรดาผู้รู้ต่างก็รู้กันโดยดุษฎีทั่วกันแล้วว่า ไม่มีอยู่ในบทบัญญัติของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แต่อย่างใดเลย
3. บิดอะฮฺต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา
บิดอะฮฺที่ถูกอุตริขึ้นในพิธีกรรมทางด้านศาสนาในยุคปัจจุบัน
ถูกพบอย่างมากมาย ซึ่งหลักการทำอิบาดะฮฺต้องขึ้นอยู่กับหลักฐานทางศาสนา สิ่งใดก็ตามแต่ที่ไม่มีตัวบทหลักฐานทางศาสนา
มันก็คือบิดอะฮฺ ดังเช่นหะดีษที่ว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม
ได้กล่าวว่า:
"บุคคลใดก็ตามที่ กระทำการงานหนึ่งการงานใด ขึ้นในการงานของเรา(ศาสนา)ซึ่งไม่มีในคำสั่งของเรา
มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอบรับ(ณ ที่อัลลอฮฺ)"
(รายงานโดย มุสลิม :1718 )
อิบาดะฮฺที่ถูกปฏิบัติขึ้นแต่ไม่มีหลักฐานรับรองมีอยู่มากมายเช่น
: การกล่าวคำเนียตก่อนละหมาด โดยผู้ที่จะทำการละหมาด กล่าวว่า : “ฉันเจตนาที่จะละหมาด ดังกล่าวนี้ ....เพื่ออัลลอฮฺ” สิ่งนี้คือบิดอะฮฺ
เพราะไม่มีหลักฐานมายืนยันจาก สุนนะฮฺของท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ
วะสัลลัม พระองค์อัลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า :
"จงกล่าวเถิดมุหัมมัดว่า
พวกเจ้าจะบอกอัลลอฮฺเกี่ยวกับศาสนาของพวกเจ้ากระนั้นหรือ ?
อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง "
(อัล-หุญุรอต
16)
การเจตนา สถานที่ของมันคือ หัวใจ มันคือการงานของหัวใจ ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากปลายลิ้นและจากบิดอะฮฺที่เกิดขึ้นคือ การขอดุอาอ์เป็นกลุ่ม
เป็นหมู่คณะหลังจากการละหมาด แน่นอนว่าการดุอาอ์หลังละหมาดเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้น
ให้แต่ละบุคคลรำลึกขอดุอาอ์เป็นการส่วนตัวไม่ใช่ในรูปแบบเป็นกลุ่ม หมู่คณะ และสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺอีกอย่างก็คือ
การขอให้มีการอ่านสูเราะฮฺ อัล-ฟาติหะฮฺ เนื่องในโอกาสต่างๆ หรือหลังจากการดุอาอ์
หรืออ่านให้คนตาย เป็นต้น
การจัดงานศพให้แก่ผู้ตายและมีการจัดเลี้ยงอาหารพร้อมด้วยกับการอุทิศผลบุญในการอ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตาย
สิ่งนี้ก็เป็นบิดอะฮฺ โดยที่พวกเขาอ้างว่ามันเป็นการปลอบขวัญ ให้กำลังใจแต่ครอบครัวผู้ตาย
หรืออ้างว่าการกระทำดังกล่าวจะเกิดประโยชน์กับผู้ที่ตายไปแล้ว สิ่งดังกล่าวนี้แหละคืออุตริกรรม
ไม่มีรูปแบบและหลักฐานจากศาสนาอิสลาม
ส่วนการจัดงานเนื่องในโอกาสต่างๆ ในศาสนาเช่น
การจัดงานอิสรออ์มิอฺรอจญ์ งานรำลึกการอพยพของท่านนบี ทั้งหมดเหล่านี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันจากศาสนาทั้งสิ้น
ส่วนสิ่งที่ถูกกระทำขึ้นในเดือนเราะญับ
เช่นการเจาะจงทำอุมเราะฮฺในเดือนนี้ หรืออิบาดะฮฺต่างๆ
ที่ถูกระทำขึ้นในเดือนนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการละหมาดสุนนะฮฺเป็นการเฉพาะ หรือ
การถือศีลอดเป็นการเฉพาะ ในเดือนนี้
ซึ่งเดือนเราะญับก็ไม่มีสิทธิพิเศษมากกว่าเดือนอื่นๆ เลยในการทำอุมเราะฮฺ การถือศีลอด
การละหมาด หรือการเชือดสัตว์พลี เป็นต้น
และจากบิดอะฮฺที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา คือ บทรำลึกทุกประเภทของพวกศูฟีย์
มันเป็นสิ่งที่ขัดกับบทรำลึกที่ถูกบัญญัติ ทั้งในรูปแบบสำนวน รูปแบบการกระทำ
และช่วงกาลเวลาของมัน
♣ บิดอะฮฺในการเจาะจงค่ำคืนกลางเดือนชะอฺบาน (นิศฟูชะอฺบาน)เพื่อทำการละหมาดและถือศีลอดในเวลากลางวันของมัน
เพราะเนื่องจากไม่มีการยืนยันจากท่านนบี ในสิ่งดังกล่าว
♣ บิดอะฮฺการสร้างสิ่งก่อสร้างบนหลุมศพ
การยึดเอาหลุมศพเป็นมัสญิด การเยี่ยมหลุมศพเพื่อขอความจำเริญและเป็นสื่อกลางในการประกอบอิบาดะฮฺ
และอื่นๆ ที่จุดประสงค์มันคือการตั้งภาคีและการเยี่ยมสุสานของสตรี ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มีคำสาปแช่งจากท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิ วะสัลลัม ต่อบรรดาสตรีที่เยี่ยมเยียนสุสานและผู้ที่ยึดเอาสุสานเป็นมัสญิดและผู้ที่ประดับประดาสุสานด้วยตะเกียง
หรือสิ่งอื่นๆ เพื่อเป็นการเทิดทูนและให้เกียรติแก่มัน
เราขอกล่าวว่า แน่นอนบิดอะฮฺต่างๆ คือ สื่อนำไปสู่การตั้งภาคี
มันคือ การเพิ่มเติมด้วยสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ ไม่ได้บัญญัติไว้
♣ บิดอะฮฺเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าการกระทำบาปใหญ่
เป็นสิ่งที่ชัยฏอนชอบใจมากกว่าบุคคลที่กระทำบาปใหญ่เสียอีก ! เพราะบุคคลที่กระทำบาปใหญ่เขาตระหนักใจรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่
คือ ความผิด ซึ่งเขาสามารถที่จะเตาบะฮฺ กลับตัวต่อพระองค์อัลลอฮฺได้ แต่ในทางกลับกัน
บุคคลที่ทำบิดอะฮฺเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขากระทำอยู่คือศาสนา
กระทำมันเพื่อเป็นการใกล้ชิดต่อพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ซึ่งเขาไม่มีทางที่จะเตาบะฮฺ
กลับตัวต่อพระองค์อัลลอฮฺได้
!
♣ บิดอะฮฺเป็นสิ่งที่มาแทนที่สุนนะฮฺ
และทำให้ผู้ที่ทำบิดอะฮฺรังเกียจต่อการกระทำที่เป็นสุนนะฮฺและต่ออะฮฺลุสสุนนะฮฺ
♣ บิดอะฮฺทำให้ห่างไกลจากพระองค์อัลลอฮฺ และทำให้ได้รับความโกรธกริ้วจากพระองค์
ทำให้ได้รับโทษ และเป็นสาเหตุให้หัวใจเบี่ยงเบนจากสัจธรรมและมืดบอด
การปฏิบัติตนต่อกลุ่มพวกบิดอะฮฺ
ห้ามเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่และร่วมวงกับพวกบิดอะฮฺเว้นแต่เพื่อตักเตือนและปฏิเสธสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺของพวกเขา
เพราะว่าการปะปนกับบุคคลเหล่านี้ ส่งผลเสียกับตัวผู้ที่คลุกคลีเอง และอาจจะทำบิดอะฮฺดังกล่าวนั้นติดต่อแพร่กระจายไปยังคนอื่นต่ออีกด้วย
จำเป็นที่จะต้องเตือนให้ระวังจากพวกเขาและจากสิ่งเลวร้ายของพวกเขา
หากว่าไม่สามารถในการห้ามปรามด้วยกับสองมือ และยับยั้งสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺได้
มันเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้รู้ ผู้นำในการยุติสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺและยับยั้งพวกเขา เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นอันตรายต่อศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง
พึงทราบว่า
บรรดาประเทศกาฟิรฺพยายามสนับสนุนและหนุนหลังพวกบิดอะฮฺ ในการเผยแพร่บิดอะฮฺของพวกเขาในทุกๆ
วิถีทาง เพราะพวกเขารู้ว่ามันคือหนทางในการที่จะทำลายอิสลามและสร้างภาพลักษณ์ที่บิดเบือนให้กับอิสลามนั่นเอง
เราวิงวอนขอจากพระองค์อัลลอฮฺโปรดช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ และยกเกียรติพระดำรัสของพระองค์
และ ลดเกียรติศัตรูของพระองค์ ขอการสดุดีจากอัลลอฮฺประสบแก่ท่านนบีของพวกเรา
มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม
ตลอดจนคณาญาติของท่านและสาวกของท่านโดยถ้วนหน้า
แปลโดย : อับดุลอาซีซ สุนธารักษ์
/ Islamhouse
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น