วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

45781 ละหมาดตะรอวีห์เป็นญะมาอะฮฺที่มัสยิดดีกว่าละหมาดคนเดียวที่บ้าน / มุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด


ละหมาดตะรอวีห์เป็นญะมาอะฮฺที่มัสยิดดีกว่าละหมาดคนเดียวที่บ้าน
] ไทย – Thai – تايلاندي [





มุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด




แปลโดย : แวมูฮัมหมัดซาบรี แวยะโก๊ะ
ตรวจทานโดย : ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : เว็บไซต์ islamqa.com



2013 - 1434
صلاة التراويح في المسجد جماعة أفضل من صلاتها في البيت
« باللغة التايلاندية »




محمد صالح المنجد




ترجمة: محمد صبري يعقوب
مراجعة: صافي عثمان
المصدر: موقع الإسلام سؤال وجواب




2013 - 1434

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

ละหมาดตะรอวีห์เป็นญะมาอะฮฺที่มัสยิดดีกว่าละหมาดคนเดียวที่บ้าน
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พรอันประเสริฐและความศานติจงมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเครือญาติตลอดจนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีการตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
ถาม การละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิดมีความประเสริฐที่สุด หรือการละหมาดตะรอวีหฺที่บ้านจะมีความประเสริฐยิ่งกว่า?

ตอบ -อัลหัมดุลิลลาฮฺ- มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
การละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิดมีความประเสริฐยิ่งกว่าการละหมาดที่บ้าน เนื่องจากการปฏิบัติดังกล่าวนั้นมีปรากฏในสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเป็นการปฏิบัติของบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ซึ่งมีหลักฐานดังนี้
1.  ท่านอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 1129 และท่านมุสลิม หมายเลข 761 ได้รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า  
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى ذَاتَ لَيْلَةٍ فِي الْمَسْجِدِ فَصَلَّى بِصَلَاتِهِ نَاسٌ ، ثُمَّ صَلَّى مِنْ الْقَابِلَةِ ، فَكَثُرَ النَّاسُ ، ثُمَّ اجْتَمَعُوا مِنْ اللَّيْلَةِ الثَّالِثَةِ أَوْ الرَّابِعَةِ ، فَلَمْ يَخْرُجْ إِلَيْهِمْ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَلَمَّا أَصْبَحَ قَالَ : «قَدْ رَأَيْتُ الَّذِي صَنَعْتُمْ ، وَلَمْ يَمْنَعْنِي مِنْ الْخُرُوجِ إِلَيْكُمْ إِلا أَنِّي خَشِيتُ أَنْ تُفْرَضَ عَلَيْكُمْ» وَذَلِكَ فِي رَمَضَانَ.
ความว่า  แท้จริงท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ละหมาดตะรอวีหฺในค่ำคืนหนึ่งที่มัสญิด บรรดาผู้คนจึงได้ละหมาดตามการละหมาดของท่านนบี หลังจากนั้น ท่านนบีได้ละหมาดในคืนต่อไป ผู้คนจึงมากขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาได้ละหมาดร่วมกันในคืนที่สามหรือคืนที่สี่ โดยที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมไม่ได้ออกมายังพวกเขา ท่านจึงกล่าวว่า “แท้จริงฉันได้เห็นในสิ่งที่พวกท่านได้ทำแล้ว และไม่มีสิ่งใดที่ห้ามฉันไม่ให้ออกมายังพวกท่าน นอกจากฉันเกรงว่าจะเกิดเป็นข้อบังคับ(ฟัรฎู)แก่พวกท่าน(ว่าต้องละหมาดตะรอวีหฺ)” และเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในช่วงเดือนเราะมะฎอน”

หลักฐานนี้บ่งชี้ว่าการละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺนั้นเป็นข้อกำหนดซึ่งมาจากสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และสาเหตุที่ท่านได้ละทิ้งก็เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเป็นข้อบังคับแก่ประชาชาติของท่าน แต่ภายหลังจากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เสียชีวิต ข้อหลีกเลี่ยงดังกล่าวก็สิ้นสุดลง ทำให้บทบัญญัติ(การละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺ)ยังคงมีอยู่

2.  ท่านอัต-ติรฺมิซีย์ หมายเลข 806 ได้รายงานจากท่านอบี ซัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งท่านได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَنْ قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كَتَبَ اللَّهُ لَهُ قِيَامَ لَيْلَةٍ»
ความว่า “ผู้ใดก็ตามที่ละหมาดพร้อมกับอิมาม(ละหมาดตะรอวีหฺ) จนเสร็จสิ้นการละหมาด อัลลอฮฺจะบันทึกผลบุญแก่เขาเสมือนเขาได้ละหมาดทั้งคืน” ชัยคฺอัล-อัลบานีย์ มีทัศนะว่าเศาะฮีหฺ ในหนังสือ “เศาะฮีหฺ อัต-ติรมิซีย์”

3.  ท่านอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 2010 ได้รายงานจากท่านอับดุรฺเราะหฺมาน บินอับดุลกอรีย์ ซึ่งท่านได้เล่าว่า
خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ لَيْلَةً فِي رَمَضَانَ إِلَى الْمَسْجِدِ ، فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ ، يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ ، وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلَاتِهِ الرَّهْطُ ، فَقَالَ عُمَرُ : إِنِّي أَرَى لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلاءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ ، ثُمَّ عَزَمَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ
ความว่า “ฉันได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบยังมัสญิดในค่ำคืนหนึ่งของเดือนเราะมะฎอน ซึ่งเมื่อผู้คนแยกกันละหมาดเป็นพวกๆ บางคนละหมาดตามลำพัง อีกคนก็ละหมาดโดยมีคนตามเขา ท่านอุมัรฺจึงกล่าวว่า ฉันคิดว่าถ้าฉันรวมพวกเขาให้ละหมาดตามหลังคนอ่านคนหนึ่งจะดีกว่าแน่ๆ ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจและรวมผู้คนให้ละหมาดตามท่านอุบัย บิน กะอฺบ์

ท่านอัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวว่า “ท่านอิบนิ อัต-ตีนและท่านอื่นๆ ได้กล่าวว่า ท่านอุมัรฺได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวโดยอ้างอิงจากการยอมรับของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ต่อผู้คนที่ร่วมละหมาดกับท่านในค่ำคืนเหล่านั้น(สองสามคืนแรกของเดือนเราะมะฎอน) ซึ่งเหตุที่ท่านนบีไม่ปรารถนาที่จะออกมาละหมาดร่วมกับพวกเขานั้น ก็เนื่องจากท่านเกรงว่าจะเกิดเป็นข้อบังคับแก่พวกเขา แต่เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เสียชีวิตไปแล้วก็ทำให้เกิดความปลอดภัยจากสภาพการณ์ดังกล่าว(ที่อาจจะเกิดเป็นข้อบังคับ) ท่านอุมัรฺจึงเห็นว่าสมควรที่จะทำให้มีการละหมาดรวมกันเป็นหนึ่งญะมาอะฮฺ เพราะการแยกกันละหมาดเป็นพวกๆ นั้นอาจจะก่อให้เกิดการขัดแย้งกันได้และเป็นภาพแห่งการแตกแยกที่ไม่ควรยิ่ง และการรวมให้ละหมาดตามหลังคนอ่านเพียงคนเดียวนั้นยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉงในหมู่ผู้ละหมาดอีกมากมายด้วย ความเห็นของท่านอุมัรฺนั้นเป็นสิ่งที่นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นตามนั้น” – จบการอ้างจากหนังสือ “ฟัตหุลบารีย์”
ท่านอัน-นะวะวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-มัจมูอฺ (3/526” ว่า “การละหมาดตะรอวีหฺเป็นสุนนะฮฺโดยมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการ และอนุญาตให้ละหมาดตามลำพังหรือเป็นญะมาอะฮฺก็ได้ แต่ถ้าถามว่าทั้งสองรูปแบบนั้นที่ประเสริฐที่สุดคือรูปแบบใด ? มีสองทัศนะที่รับทราบกันดี นั่นคือ
หนึ่ง ทัศนะที่ถูกต้องที่สุดด้วยการเห็นพ้องกันในบรรดาสหายนักวิชาการ(ในมัซฮับชาฟิอีย์)ว่าละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺมีความประเสริฐที่สุด
สอง การละหมาดตามลำพังมีความประเสริฐยิ่งกว่า
บรรดาสหายนักวิชาการของเราในมัซฮับได้กล่าวว่า ที่เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น คือเฉพาะประเด็นของผู้ที่ท่องจำอัลกุรฺอานได้ และเขาไม่กลัวว่าจะเกิดความเกียจคร้านในการละหมาดดังกล่าวแม้ว่าเขาจะละหมาดตามลำพังก็ตาม และจะต้องไม่ทำให้ญะมาอะฮฺในมัสญิดนั้นเกิดความว่างเปล่า(มีคนละหมาดน้อย)เนื่องจากการปลีกตัวของเขา(ไปละหมาดตามลำพัง) ด้วยเหตุนี้หากว่ามีเงื่อนไขข้อใดปรากฏข้อบกพร่อง การละหมาด(ตะรอวีหฺ)เป็นญะมาอะฮฺย่อมเป็นสิ่งที่มีความประเสริฐยิ่งกว่าโดยไม่มีใครเห็นต่างเลย(ไม่มีคิลาฟ)
            เจ้าของตำรา “อัช-ชามิล” ได้กล่าวว่า ท่านอบุลอับบาสและท่านอบูอิสหาก ได้กล่าวว่า การละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺนั้นประเสริฐยิ่งกว่าการละหมาดตามลำพัง โดยมติเอกฉันท์ของบรรดาเศาะหาบะฮฺและนักวิชาการตามเมืองต่างๆ” - จบการอ้างจากอัน-นะวาวีย์
            ท่าน อัต-ติรฺมิซีย์ได้กล่าวว่า “ท่านอิบนุลมุบาร็อก ท่านอะหฺมัดและท่านอิสหาก ให้น้ำหนักต่อการละหมาดตะรอวีห์พร้อมกับอิมามในเดือนเราะมะฎอน”
            ในหนังสือ “ตุห์ฟะตุลอะห์วะซีย์” ได้กล่าวไว้ในหมวดกิยามุลลัยลฺว่า “มีคนถามท่านอะหฺมัด บินหัมบัลว่า ท่านชอบที่คนคนหนึ่งได้ละหมาด(ตะรอวีหฺ)ร่วมกับผู้คนในเดือนเราะมะฎอนหรือการที่เขาละหมาดตามลำพัง ? ท่านตอบว่า การที่เขาละหมาดร่วมกับผู้คนทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งที่ฉันชอบ ท่านได้กล่าวอีกว่า และฉันก็ชอบต่อคนๆ หนึ่งที่ละหมาด(ตะรอวีหฺ)และวิติรฺพร้อมกับอิมาม ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ بَقِيَّةُ لَيْلَتِهِ»
ความว่า “ผู้ใดก็ตามที่ละหมาดพร้อมกับอิมาม(ละหมาดตะรอวีหฺ) จนเสร็จสิ้นการละหมาด เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับการละหมาดตลอดทั้งคืน”
            ท่านอะหฺมัด บินหัมบัล เราะหิมะฮุลลอฮฺได้กล่าวอีกว่า ให้เขาละหมาดร่วมกับผู้คนกระทั่งได้ร่วมละหมาดวิติรฺด้วยกัน และอย่าได้เสร็จสิ้นการละหมาดก่อนที่อิมามจะเสร็จสิ้นเสียก่อน
            ท่านอบูดาวูด ได้กล่าวว่า ฉันได้เห็นเขา –หมายถึงท่านอะหฺมัด บินหัมบัล เราะหิมะฮุลลอฮฺ- ละหมาดวิติรฺในเดือนเราะมะฎอนพร้อมกับอิมามนอกจากคืนเดียวเท่านั้นที่ท่าน(อบู ดาวูด)ไม่ได้มา
            ท่านอิสหาก เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ถามท่านอะหฺมัดว่า การละหมาด(ตะรอวีหฺ)เป็นญะมาอะฮฺเป็นสิ่งที่รักยิ่งสำหรับท่านหรือการละหมาดโดยตามลำพังในเดือนเราะมะฎอน ? ท่านได้ตอบว่า ฉันชอบที่เขาละหมาด(ตะรอวีหฺ)เป็นญะมาอะฮฺ เป็นการฟื้นฟูสุนนะฮฺนี้ ซึ่งท่านอิสหากก็ได้กล่าวเช่นเดียวกับที่ท่านอะหฺมัดได้กล่าวไว้ – สิ้นสุดการอ้างจาก ตุห์ฟะตุลอะห์วะซีย์ และดูเพิ่มเติมใน อัล-มุฆนีย์ (1/457)
            ท่านชัยคฺ อิบนุ อุษัยมีนได้กล่าวไว้ในหนังสือ “มะญาลิส ชะฮฺริ เราะมะฎอน หน้า 22” ว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เริ่มละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด แล้วท่านก็ได้ละทิ้งมันเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเป็นข้อบังคับแก่ประชาชาติของท่าน - หลังจากนั้นท่าน(ชัยคฺอุษัยมีน)ก็ได้กล่าวถึงสองหะดีษข้างต้น - แล้วท่านจึงกล่าวต่ออีกว่า ไม่สมควรที่คนคนหนึ่งจะละเลยต่อการละหมาดตะรอวีหฺ ทั้งนี้ก็เพื่อที่เขาจะได้มาซึ่งผลานิสงค์และผลบุญที่มากมาย และอย่าได้เสร็จสิ้นการละหมาดจนกว่าอิมามจะเสร็จสิ้นจากการละหมาดตะรอวีหฺและวิติรฺเสียก่อน ทั้งนี้(การปฏิบัติดังกล่าวนั้น)ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งผลบุญของการกิยามุลลัยลฺตลอดทั้งคืน” - จบการอ้างโดยสรุป
            ชัยคฺอัล-อัลบานีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “กิยามุลลัยลฺ” ว่า “มีข้อกำหนดให้ละหมาดกิยามเราะมะฎอน (ตะรอวีหฺ)เป็นญะมาอะฮฺ ทั้งยังเป็นการปฏิบัติที่ประเสริฐยิ่งกว่าการละหมาดตามลำพัง เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำเป็นแบบอย่างด้วยตัวของท่านเอง และท่านได้อธิบายถึงความประเสริฐของมันด้วยคำกล่าวของท่าน            ส่วนเหตุผลที่ท่านนบี อะลัยฮิศเศาะลาตุวัสสลาม ไม่ได้ร่วมละหมาดพร้อมกับพวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ในวันที่เหลือของเดือนเราะมะฎอนนั้น เนื่องจากท่านเกรงว่าจะเกิดเป็นข้อบังคับแก่พวกเขาที่ต้องละหมาดยามค่ำคืน(ตะรอวีหฺ)ในเดือนเราะมะฎอน ซึ่งจะกลายเป็นความลำบากแก่พวกเขา ดังที่มีปรากฏเรื่องราวนี้จากการรายงานของท่านหญิงอาอิชะฮฺในหนังสือตำราเศาะฮีหฺของอัล-บุคอรีย์และมุสลิมและหนังสือเล่มอื่นๆ ซึ่งข้อหวั่นเกรงดังกล่าวได้หมดสิ้นไป ด้วยกับการเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ภายหลังจากอัลลอฮฺได้ให้ชะรีอะฮฺ(บทบัญญัติ)ของพระองค์ได้สมบูรณ์แล้ว ดังกล่าวนี้ทำให้เหตุผลต่างๆ เหล่านั้นก็ได้หมดหายไปด้วย หมายถึงเหตุผลที่ท่านนบีได้ทิ้งรูปแบบการละหมาดตะรอวีห์เป็นญะมาอะฮฺในเราะมะฎอน และหุก่มเดิมก็ยังเหลืออยู่ นั่นคือ ให้ละหมาดตะรอวีห์ในรูปแบบของญะมาอะฮฺต่อไป และด้วยเหตุนี้ท่านอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุจึงได้ฟื้นฟูมันอีกครั้ง ดังที่มีปรากฏการรายงานในหนังสือ เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ และท่านอื่น ๆ – จบการอ้างอิง จากอัล-อัลบานีย์
            มีรายงานในหนังสือ “อัล-เมาสูอะฮฺ อัล-ฟิกฮิยะฮฺ (27/138)” ว่า บรราดคุละฟาอุรฺรอชิดีนและบรรดามุสลิมในสมัยของท่านอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ต่างก็ขะมักเขม้นในการละหมาดตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺ ซึ่งท่านอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ คือผู้รวบรวมผู้คนให้ละหมาด(ตะรอวีหฺ)ตามอิมามเพียงคนเดียว
            และมีรายงานจากท่านอะสัด บินอัมรฺ จากท่านอบียูสุฟ ได้กล่าวว่า “ฉันได้ถามท่านอบูหะนีฟะฮฺเกี่ยวกับการละหมาดตะรอวีหฺว่า ทำไมท่านอุมัรฺจึงได้(วินิจฉัยให้ละหมาด)ในรูปแบบดังกล่าว ? ท่านได้ตอบว่า การละหมาดตะรอวีหฺเป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ(สุนัตที่ส่งเสริมให้กระทำอย่างยิ่ง) ซึ่งท่านอุมัรฺไม่ได้เป็นผู้อุปโลกน์การปฏิบัตินั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง และท่านก็ไม่ใช่เป็นผู้ก่ออุตริกรรมแม้แต่อย่างใด ท่านไม่ได้สั่งใช้ให้ปฏิบัติในรูปแบบนั้นนอกจากมันเป็นสิ่งที่มีหลักฐานและปรากฏอยู่ในสมัยของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อยู่แล้ว แท้จริงท่านอุมัรฺได้ฟื้นฟูสุนนะฮฺดังกล่าวโดยรวบรวมผู้คนทั้งหลายให้ละหมาดตามท่านอุบัยย์ บิน กะอฺบ์ พวกเขาจึงได้ร่วมละหมาด(ตะรอวีหฺ)เป็นญะมาอะฮฺด้วยกัน โดยที่บรรดาเศาะหาบะฮฺอย่างมากมายทั้งจากชาวมุฮาญิรีน(ผู้อพยพจากเมืองมักกะฮฺมายังเมืองมะดีนะฮฺ) และชาวอันศอรฺ(ผู้ช่วยเหลือที่อยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ)ก็อยู่ด้วยและรู้เห็น ไม่มีใครแม้แต่สักคนเดียวที่คัดค้านในการปฏิบัติของท่านอุมัรฺ ใช่แต่เท่านั้นพวกเขากลับช่วยเหลือและเห็นพ้องต้องกัน อีกทั้งยังสั่งใช้ให้ปฏิบัติสิ่งดังกล่าวอีกด้วย” – จบการอ้างจากอัล-เมาสูอะฮฺ อัล-ฟิกฮิยะฮฺ
            อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่ง  

Ref :: http://www.islamqa.com/ar คำถามหมายเลข 45781


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น