การแต่งกายของผู้หญิง : ข้อเรียกร้องสู่การปรับปรุงและทบทวน
] ไทย – Thai – تايلاندي [
ยูสุฟ บิน อับดุลลอฮฺ อัล-อะห์มัด
แปลโดย : อิสมาอีล บินกอซิม
ตรวจทานโดย
: ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : www.saaid.net
2013 - 1434
لباس المرأة :
دعوة للتصحيح والمراجعة
« باللغة التايلاندية
»
يوسف بن عبد الله
الأحمد
ترجمة: إسماعيل بن قاسم
مراجعة:
صافي عثمان
المصدر:
موقع صيد الفوائد
2013 - 1434
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
การแต่งกายของผู้หญิง :
ข้อเรียกร้องสู่การปรับปรุงและทบทวน
บทนำ
แท้จริงมวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ
เราขอสรรเสริญ เราขอความช่วยเหลือ เราขออภัยโทษต่อพระองค์ เราขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายของตัวเรา
และการกระทำของเรา ผู้ใดที่อัลลอฮฺชี้ทางนำแก่เขาก็ไม่มีผู้ใดมาชี้นำให้เขาหลงผิดได้
และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีหุ้นส่วนใดๆ ต่อพระองค์
และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่ามุฮัมหมัดนั้นเป็นบ่าว และศาสนทูตของพระองค์ ขอพรต่อพระองค์จงประสบแด่ท่านตลอดจนวงศ์วานของท่าน.
นี่คือบทนำที่จำเป็นจะต้องนำเสนอก่อนที่จะเริ่มหัวข้อเรื่อง:-
1.
ข้าพเจ้า (ผู้เขียน)ทราบดีว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอในการบรรยายของฉันนี้เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายของผู้หญิง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่มีความยากลำบากและเป็นเรื่องหนักหน่วงสำหรับผู้หญิงที่เติบโตมาท่ามกลางของความละเลยไม่เอาใจใส่ในเรื่องของเครื่องแต่งกายและการคลุมหิญาบ และด้วยเหตุดังกล่าวข้าพเจ้า หวังจากผู้คนทั้งหลายให้เตรียมใจของพวกเขาเพื่อที่จะตอบรับความจริงด้วยกับหลักฐานที่มาสนับสนุน และข้าพเจ้าหวังเช่นเดียวกันว่าพวกเขาก็ได้เตรียมใจไว้เช่นกันที่จะปฏิบัติตามความจริง ถึงแม้ว่ามันจะค้านกับความเคยชินของผู้หญิงในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้เติบโตมา และบางทีการอ่านส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าอยากจะให้ผู้อ่าน
อ่านให้จบเพื่อจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
2.
ในยุคปัจจุบันความไม่เอาใจใส่ในเรื่องของการแต่งกายได้แพร่หลายในหมู่ผู้หญิง ตามตลาดต่างๆ ได้มีการวางขายเสื้อผ้าที่เป็นสาเหตุความไม่ดีต่างๆ
และการอวดโฉม นี่คือข้อสังเกตุต่างๆที่เป็นความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงในปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก และผู้หญิงก็เริ่มมีการกระทำที่มีการฝ่าฝืนที่ค้านต่อบทบัญญัติของศาสนามากขึ้น
และมีผู้หญิงจำนวนมากที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนาเนื่องจากขาดความรู้
หรือเนื่องจากการปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่ และการปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่นั้นจะทำให้ความรู้สึกที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นต้องหมดไป
และความไม่เอาใจใส่ที่จะเรียนรู้ถึงการแต่งกายของผู้หญิงกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงทั่วไป หรือบางครั้งก็มีผู้หญิงดีๆ
จำนวนมากเช่นกันที่ไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีความต้องการที่จะนำเสนอหนังสือเล่มนี้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ใช้เป็นข้ออ้างต่ออัลลอฮฺว่าได้ทำหน้าที่นี้แล้ว
และเพื่อพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับบรรดาผู้หญิง
3.
แท้จริง
เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะผู้หญิง
แต่สำหรับผู้ชายมีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน และข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ในจำนวนสาเหตุสำคัญๆ
ที่ทำให้ผู้หญิงนั้นมีความละเลยไม่เอาใจใส่ในการแต่งกายของพวกนาง ก็คือผู้ชายนั่นเอง บางครั้งอาจจะเป็นเพราะการขาดความเข้าใจของผู้ชาย
หรือบางครั้งอาจจะเป็นเพราะความละเลยของพวกเขาต่อบรรดาผู้หญิงที่พวกเขาต้องคอยดูแลรับผิดชอบ
4.
แท้จริง
อัลลอฮฺตะอาลาได้สร้างผู้หญิงมาให้มีความรักความชอบในเรื่องการประดับประดาและมีความเอาใจใส่ในรูปกาย และจากเหตุผลดังกล่าวบทบัญญัติได้อนุญาตให้ผู้หญิงสวมใส่ทอง
ผ้าไหม และอื่นๆ จากของสองอย่างนั้น แต่ห้ามผู้ชายมิให้ใส่มัน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับรูปลักษณ์เฉพาะที่อัลลอฮฺได้ให้มาคู่กับผู้หญิง
แต่เนื่องเพราะนิสัยแห่งความอ่อนไหวของผู้หญิงและการนิยมลอกเลียนแบบของพวกนาง
บางครั้งนางจึงได้ทำเกินขอบเขตจนเลยเถิดเข้าไปในสิ่งที่ต้องห้าม เพราะคล้อยตามอารมณ์ความต้องการของนาง และตอบรับการเรียกร้องของชัยฏอนมารร้าย ดังนั้น จึงขอให้ถือว่าการนำเสนอเรื่องนี้เป็นการสะกิดใจและเป็นการสำทับตักเตือน
5.
แท้จริง
โดยรวมแล้วเสื้อผ้าแบบต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่อนุมัติในศาสนา นอกจากสิ่งที่มีหลักฐานเจาะจงบ่งชี้ถึงการห้ามไม่ให้สวมใส่เสื้อผ้านั้นๆ สำหรับหลักฐานที่ชี้ถึงการอนุญาตในการสวมใส่เสื้อผ้า
อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:
﴿ هُوَ ٱلَّذِي
خَلَقَ لَكُم مَّا فِي ٱلۡأَرۡضِ جَمِيعٗا﴾ [البقرة: ٢٩]
ความว่า
:“พระองค์คือผู้ซึ่งสร้างสิ่งที่มีอยู่บนพื้นแผ่นดินทั้งหลายสำหรับพวกเจ้า” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 29)
และอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสอีกว่า:
﴿ قُلۡ مَنۡ حَرَّمَ
زِينَةَ ٱللَّهِ ٱلَّتِيٓ أَخۡرَجَ لِعِبَادِهِۦ وَٱلطَّيِّبَٰتِ مِنَ ٱلرِّزۡقِۚ ﴾ [الأعراف: ٣٢]
ความว่า
: “จงกล่าวเถิด (มุฮัมหมัด)
ว่า ผู้ใดที่ได้ห้าม(เครื่อง)ประดับของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ และยังได้ห้ามสิ่งดีๆ ทั้งหลายจากปัจจัยยังชีพ” (อัล-อะอฺรอฟ 32)
และสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวในหนังสือเล่มนี้ เป็นสิ่งที่มีหลักฐานระบุถึงการห้าม
ซึ่งไม่อนุญาตให้ใช้มันสวมใส่ ส่วนสิ่งที่ไม่มีหลักฐานระบุถึงการห้ามใช้มันก็ถือว่าเป็นที่อนุมัติตามหลักการดั้งเดิมโดยปริยายของมัน
เสื้อผ้าของผู้หญิงนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภท
1.
เสื้อผ้าที่ผู้หญิงใช้แต่งกาย
เมื่ออยู่ร่วมกับผู้หญิงด้วยกัน และผู้ที่เป็นมะหฺร็อม
2.
เสื้อผ้าที่ผู้หญิงใช้แต่งกาย
เมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้
ประเภทที่หนึ่ง
เสื้อผ้าที่ผู้หญิงใช้แต่งกาย
เมื่ออยู่ร่วมกับผู้หญิงด้วยกัน และผู้ที่เป็นมะหฺร็อม
สำหรับประเภทที่หนึ่งนั้นเราจะพูดถึงเสื้อผ้า
3 ชนิดด้วยกัน คือ
ชนิดที่ 1 เสื้อผ้าที่ไม่มิดชิด ซึ่งปัจจุบันได้แพร่หลายในหมู่ผู้หญิงใช้สวมใส่ในพิธีแต่งงานหรือตามโอกาสที่มีผู้เข้าร่วมเป็นผู้หญิงทั้งหมด เสื้อผ้าพวกนี้จะปกปิดไม่มิดชิด
เช่น รัดรูปบ้าง สั้นบ้าง บางจนเห็นเนื้อบ้าง หรือบางครั้งก็เปิดแขนเปิดไหล่ให้เห็น
ความจริงการสวมใส่เสื้อผ้าชนิดนี้ ถือว่าไม่อนุญาตให้สวมใส่
ด้วยเหตุผล 5 ประการ
คือ
หนึ่ง คำกล่าวอ้างที่บอกว่า เอาเราะฮฺ(ส่วนที่ไม่อนุญาตให้เปิดเผย)ของผู้หญิงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิง ก็คือสิ่งที่อยู่ระหว่างสะดือและหัวเข่านั้น ไม่มีหลักฐานที่ถูกต้องมายืนยันในเรื่องดังกล่าว ซึ่งตามหลักฐานที่มีน้ำหนักแล้วไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเปิดเผยเอาเราะฮฺของพวกนาง นอกจากเป็นการเปิดเผยตามปกติของผู้หญิง
เช่น ศีรษะ คอ แขน และเท้าทั้งสอง
หรือถ้าหากเรายอมรับข้อโต้แย้งที่ว่า เอาเราะฮฺของผู้หญิงเมื่ออยู่ต่อผู้หญิงด้วยกัน
ก็คือ สิ่งที่อยู่ระหว่างสะดือและหัวเข่า
กระนั้น เสื้อผ้าเหล่านี้ก็ยังไม่ถือว่าปกปิดเอาเราะฮฺอย่างแท้จริง
เนื่องจากมันเป็นเสื้อผ้าที่รัดรูป บางจนเห็นเนื้อ
หรือไม่ก็ผ่ายาวและเปิดกว้างให้เห็นส่วนที่ต้องปกปิด
สอง
เสื้อผ้าประเภทนี้เปิดเสื้อผ้าที่ไม่มิดชิด แต่มันเป็นเสื้อผ้าที่เลียนแบบบรรดาผู้หญิงที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ และเสื้อผ้าประเภทนี้ยังเป็นเสื้อผ้าประเภทเดียวกับที่พวกนักร้องนักแสดงใช้สวมใส่ ซึ่งพวกเราได้รับอิทธิพลจากรายการทางทีวีและวารสารเกี่ยวกับแฟชั่นเสื้อผ้าต่างๆ และมีหลักฐานยืนยันจากท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ
فَهُوَ مِنْهُمْ» [رواه أبو داود]
ความว่า
“ผู้ใดเลียนแบบกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด
ดังนั้น เขาก็เป็นพวกเดียวกับชนกลุ่มนั้น” (รายงานโดย
อบู ดาวูด)
สาม
ผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าประเภทนี้สอดคล้องกับลักษณะต้องห้ามในหะดีษที่รายงานโดยอบู ฮุร็อยเราะฮฺ
เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
«صِنْفَانِ مِنْ أَهْلِ النَّارِ لَمْ أَرَهُمَا، قَوْمٌ مَعَهُمْ سِيَاطٌ
كَأَذْنَابِ الْبَقَرِ يَضْرِبُونَ بِهَا النَّاسَ، وَنِسَاءٌ كَاسِيَاتٌ عَارِيَاتٌ
مُمِيلاَتٌ مَائِلاَتٌ، رُءُوسُهُنَّ كَأَسْنِمَةِ الْبُخْتِ الْمَائِلَةِ، لاَ يَدْخُلْنَ
الْجَنَّةَ وَلاَ يَجِدْنَ رِيحَهَا، وَإِنَّ رِيحَهَا لَيُوجَدُ مِنْ مَسِيرَةِ كَذَا
وَكَذَا» [رواه مسلم]
ความหมาย
: “มีชาวนรกอีกสองจำพวกที่ฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขา
พวกแรกคือกลุ่มชนที่ใช้แส้เฉกเช่นหางวัวโบยผู้คนทั้งหลาย และพวกที่สองคือผู้หญิงที่สวมเสื้อแต่ยังเปลือยกายอยู่ เป็นผู้หญิงที่เอียงไปเอียงมาในขณะที่เดิน
ศีรษะของพวกนางทำมวยผมไว้เหมือนกับโหนกอูฐที่โอนเอียง พวกนางจะไม่เห็นสวรรค์และจะไม่ได้รับกลิ่นอายของสวรรค์ด้วย ทั้งๆ
ที่แท้จริงแล้ว กลิ่นอายของสวรรค์นั้น สามารถที่รับรู้ได้จากระยะทางเท่านั้นเท่านี้” (บันทึกโดย มุสลิม)
สี่ แท้จริงเครื่องแต่งกายที่เปิดสัดส่วน และการที่ผู้หญิงได้สวมใส่เสื้อผ้าประเภทนี้ต่อหน้ามะหฺร็อมของนาง
เช่น พ่อ ลูก พี่ชาย ลุง น้า
หรือลูกชายของพี่ชาย ลูกชายของพี่สาว ลูกเลี้ยงหรืออื่นจากคนเหล่านั้น
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากความละเลย ไม่เอาใจใส่ในเรื่องนี้มีความสุ่มเสี่ยงและเคยมีเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมามากนักแล้ว
ห้า เสื้อผ้าชนิดนี้เป็นมูลเหตุที่นำมาซึ่งความเสียหายอย่างมากมาย เมื่อไม่มีผู้ใดมาหักห้ามในเรื่องดังกล่าว
เช่น พฤติกรรมการละเลยไม่เอาใจใส่และไม่ปกปิดเอาเราะฮฺในการแต่งกายนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้เรื่องนี้ดี และส่วนหนึ่งจากความเสียหายเหล่านั้น คือมันเป็นการแสดงแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับผู้อื่น เพราะว่าผู้หญิงนั้นมีความอ่อนไหวง่ายและมักจะคล้อยตามกับบุคคลที่อยู่รอบข้างตัวนาง ซึ่งจะมีผลต่อตัวนางเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงจะเป็นทั้งแม่และย่าหรือยายในวันข้างหน้า หากพวกนางเหล่านั้นพอใจกับเสื้อผ้าประเภทนี้(เสื้อผ้าที่ไม่ปกปิดเอาเราะฮฺ) แล้วลูกหลานรุ่นหลังของพวกนางเล่าจะเป็นอย่างไร!
ชนิดที่ 2 เครื่องแต่งกายที่เป็นสิ่งต้องห้าม ถึงแม้อยู่ต่อหน้าผู้หญิงด้วยกันหรือต่อหน้าผู้ที่เป็นมะหฺร็อม
คือ การสวมใส่กางเกง
เมื่อสิบปีที่ผ่านมา การสวมใส่กางเกงนั้นไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้หญิงในประเทศแถบคาบสมุทรอาหรับ โดยในอดีตนั้น
ยังพอมีสำนึกที่คอยหักห้ามมิให้ผู้หญิงสวมใส่กางเกงจากคำสอนของศาสนาและความละอายอยู่บ้าง หลังจากนั้นไม่นานผู้ที่มาทำหน้าที่เรียกร้องผู้คนสู่ความชั่วร้ายก็ได้ประสบความสำเร็จในการแพร่ความคิดเหล่าใหม่ในหมู่ผู้หญิง หลังจากนั้น ก็ได้มีการขายกางเกงกันเกลื่อนในตลาด
เป็นกางเกงแบบขากว้างๆ มีความคล้ายคลึงกับเสื้อ แต่ว่ามันได้ผ่าช่วงระหว่างสองเท้า
ผู้คนจำนวนมากก็ยอมรับมันและเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายตรงไหน ทำให้สำนึกและความเขินอายเกี่ยวกับกางเกงหายไปจากพวกเขา เวลาผ่านไปไม่นาน
การสวมใส่กางเกงชนิดต่างๆ ทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ๆ ก็กลายเป็นความเคยชินและเป็นที่แพร่หลาย
ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าใจนัก
ในทัศนะที่ถูกต้องแล้ว แท้จริง ไม่อนุญาตสำหรับผู้หญิงที่จะสวมใส่กางเกงถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงด้วยกัน หรือผู้ที่เป็นมะหฺร็อมของนาง
นอกจากต่อหน้าสามีของนางเท่านั้น ด้วยเหตุผล สองประการ คือ
1)
มันเป็นการเลียนแบบ ซึ่งกางเกงบางชนิดเป็นการเลียนแบบการแต่งกายของผู้ชาย และบางชนิดเป็นการเลียนแบบผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและผู้หญิงที่ไม่มีศีลธรรมจรรยา
ซึ่งมีผู้หญิงจำนวนมากที่สวมกางเกงเพื่อเป็นการเลียนแบบและตามแฟชั่น
2)
แท้จริง
ในการที่ผู้หญิงได้สวมใส่กางเกง จะเป็นมูลเหตุที่อาจจะนำไปสู่ความเสียหายอย่างมากมาย และการหยุดยั้งความเสียหายนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
และความเสียหายต่างๆ ของเรื่องนี้ก็ได้ปรากฏและได้แพร่กระจายให้เห็นแลว
อาทิ ผู้หญิงบางคนที่เดินตามถนนหนทาง โดยนางนั้นได้โชว์กางเกงให้โผล่ออกมาด้านล่างเสื้อคลุม และนี่ก็ถือว่าเป็นประเภทหนึ่งของการอวดโฉม
ชนิดที่ 3 เสื้อผ้าที่เป็นเรื่องน่าตำหนิเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงด้วยกันหรือมะหฺร็อม ก็คือเสื้อผ้าที่มีการเลียนแบบอันเป็นสิ่งต้องห้าม
การเลียนแบบที่ต้องห้าม คือ การเลียนแบบผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธา
หรือผู้หญิงที่ไม่ดีทั้งหลาย หรือเลียนแบบผู้ชาย
การเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ต้องห้ามมีอยู่ด้วยกัน สอง ประการ
1)
การเลียนแบบศาสนาของพวกเขาและเอาหลักยึดมั่นของพวกเขา
2)
การเลียนแบบสิ่งที่พวกเขาได้เจาะจงเกี่ยวกับงานฉลองในวาระต่างๆ
เช่น การแต่งกาย
โดยที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามเกี่ยวกับการเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธและท่านได้ใช้ให้มีความแตกต่างจากพวกเขา
ท่านลองพิจารณาคำพูดที่ท่านนบีได้ห้ามการเลียนแบบ
ในหะดีษเศาะฮีหฺซึ่งเล่าโดยอิบนุ อุมัรฺ รอฎิยัลลอฮอัลฮุมา
ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใด
เขาก็เป็นกลุ่มชนนั้น” (บันทึกโดยอะห์มัด และ อบู ดาวูด)
และมีบางหะดีษซึ่งท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ใช้ให้ทำอะไรที่แตกต่างจากบรรดาผู้ปฏิเสธ นั่นคือหะดีษที่อับดุลลอฮ
บิน อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ได้เล่าว่า แท้จริง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เห็นเสื้อผ้าสองตัวที่ย้อมสีเหลืองฉูดฉาด
ท่านได้กล่าวว่า “แท้จริงมันคือเสื้อผ้าของบรรดาผู้ปฏิเสธ
ดังนั้น เจ้าอย่าได้สวมใส่มัน” (บันทึกโดยท่านอิหม่ามมุสลิม)
อีกหะดีษหนึ่ง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้กล่าวว่า “พวกเจ้าจงทำอะไรที่มันแตกต่างจากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ พวกเจ้าจงตัดหนวดและพวกเจ้าจงไว้เครา” (บันทึกโดยท่านอิหม่ามอัล-บุคอรียฺและมุสลิม
จากอิบนุ อุมัรฺ)
จนกระทั่งการห้ามไม่ให้เลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กลายมาเป็นเรื่องที่ถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในหมู่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี
ครั้นเมื่อปีที่เก้าฮิจญ์เราะฮฺศักราช ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ใช้ให้ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ เศาะหาบะฮฺของท่านก็ได้กล่าวแก่ท่านดังมีปรากฏในหะดีษที่รายงานโดยท่านอิบนุ
อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า
: “โอ้ รอซูลุลลอฮฺ แท้จริงมันเป็นการถือศีลอดในวันที่พวกยะฮูด
(ยิว) และพวกนะศอรอ (คริสต์) ได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่มัน” ดังนั้น ท่านเราะสูลก็ได้ยอมรับกับพวกเขาเกี่ยวกับความคิดเห็นนั้น
โดยที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ในปีหน้าเราถือศีลอดในวันที่เก้าด้วย” แต่ยังไม่ทันถึงปีหน้า
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้เสียชีวิตลงเสียก่อน (บันทึกโดยอบู ดาวูด)
และในสายรายงานของมุสลิมมีว่า “ หากฉันมีชีวิตอยู่ถึงปีหน้าแน่นอน
ฉันก็จะถือศีลอดในวันที่เก้าด้วย” ดังนั้น นี่เป็นแนวทางของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างชัดเจน ซึ่งท่านได้อบรมเศาะหาบะฮฺของท่านด้วยกับแนวทางนั้น
และพวกเขาได้เติบโตมาในบรรยากาศของการอบรบของท่านเราะสูล ที่ให้ทำอะไรแตกต่างจากบรรดาผู้ปฏิเสธ
จนกระทั่งพวกยิวในมะดีนะฮฺได้กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดจากการงานของเราที่ชายคนนี้(ท่านนบี)ปล่อยไปเลย เขาได้ทำค้านกับงานของเราหมดเสียทุกอย่าง” (บันทึกโดยมุสลิม)
การเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นถือว่าเป็นการแสดงความผูกพันอยู่ข้างพวกเขา และเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความรักที่มีต่อพวกเขาด้วย
ท่านอิบนุ ตัยมียะฮ ได้แต่งหนังสือที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งมีชื่อว่า :
اقتضاء الصراط المستقيم في مخالفة أصحاب الجحيم
“การปฏิบัติตามหนทางอันเที่ยงตรง
ที่ค้านกับการกระทำของชาวนรก”
และท่านได้กล่าวว่า แท้จริง
ความเหมือนกันเผินๆ เฉพาะภายนอกนั้นจะมีอิทธิพลที่ส่งผลต่อความรู้สึกร่วมกันจากภายในด้วย
และได้มีรายงานที่ถูกต้องจากท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แท้จริงท่านได้กล่าวว่า “ในวันกิยามะฮฺ
ผู้คนจะถูกรวมให้อยู่พร้อมหน้ากับคนที่เขารัก” ผู้หญิงมุสลิมต้องการที่จะอยู่ร่วมกับผู้หญิงที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาหรือ? หรือจะอยู่ร่วมกับดาราที่อยู่ในจอทีวี หรือสาวๆ
ที่เป็นนักร้องกระนั้นหรือ ?
ดังนั้น จำเป็นที่นางจะต้องระวังจากการแสดงความรักหรือเลียนแบบคนเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางจะต้องทำอะไรที่มีความแตกต่างจากพวกเขา
ตามแนวทางที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านได้ปฏิบัติไว้
ส่วนหนึ่งจากตัวอย่างของการเลียนแบบที่เป็นสิ่งต้องห้าม ก็คือ
ตัวอย่างที่หนึ่ง: การสวมแหวนหมั้นในพิธีสู่ขอ
นี่คือประเพณีของชาวนะศอรอ (คริสต์) และเป็นหลักยึดมั่นของพวกเขาที่ว่าการสวมใส่แหวนที่นิ้วนางนั้น
ถือเป็นการให้เกียรติเชิดชูต่ออัล-มะสีย์(ท่านนบีอีซา) อะลัยฮิสสลาม
และพวกเขาได้ยึดมั่นเช่นกันว่า
แท้จริงแหวนหมั้นนั้นเมื่อได้สวมใส่ที่นิ้วแล้ว
มันจะเชื่อมโยงกับเส้นเลือดที่เชื่อมกับหัวใจ ซึ่งจะทำให้เกิดความรักที่แน่นแฟ้นระหว่างสองสามีภรรยาได้ และอื่นๆ อีกมากมายในสิ่งที่เป็นความเชื่อแปลกๆ
ของชาวคริสต์
ตัวอย่างที่สอง: การใส่ผ้าคลุมสีขาวในคืนที่เข้าเรือนหอของคู่บ่าวสาว
นี่ถือเป็นการปฏิบัติของผู้หญิงชาวคริสต์เมื่อมีการแต่งงาน โดยที่พวกเขามีความเชื่อว่า เมื่อสวมใส่ผ้าคลุมสีขาวในคืนที่เข้าสู่เรือนหอ
มันก็จะขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และจะทำให้ชีวิตคู่นั้นราบรื่น
ต่อมาก็มีบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้นำมาปฏิบัติอย่างแพร่หลาย โดยลอกเลียนแบบมาจากชาวคริสต์ และก็ได้มีอิทธิพลมาสู่มุสลิมด้วยการโฆษนาของสื่อต่างๆ ดังนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นที่บรรดามุสลิมจะต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากชาวคริสต์
ตัวอย่างที่สาม: การสวมเสื้อผ้าที่ไม่ปกปิดเอาเราะฮฺ ซึ่งได้กล่าวมาในก่อนหน้านี้แล้ว
เช่น การสวมเสื้อที่คับและเปิดส่วนเว้าของร่างกาย
ตัวอย่างที่สี่: การแต้มจุดสีดำหรือติดเม็ดแก้วคริสตัลระหว่างคิ้ว
ซึ่งเป็นการเลียนแบบผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกดารานักร้อง
ตัวอย่างที่ห้า: การสวมใส่เสื้อผ้าที่มีรูปภาพของดารานักร้อง ซึ่งนอกจากจะกระทำสิ่งต้องห้ามเกี่ยวกับรูปภาพและการคลั่งไคล้ในตัวของเจ้าของภาพแล้ว ยังถือเป็นการเลียนแบบอย่างหน้ามืดตามัวไร้สติต่อผู้ปฏิเสธศรัทธาและผู้หญิงที่หญิงไม่ดีทั้งหลายด้วย
โอ้ พี่สาว น้องสาว ที่มีเกียรติทั้งหลาย แท้จริง การลอกเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความพ่ายแพ้ทางจิตใจ และเป็นเครื่องชี้ถึงการศิโรราบต่อพวกเขา
และแท้จริง ผู้ที่ลอกเลียนแบบแสดงว่าเขาได้ถือว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นยิ่งใหญ่และให้ความสำคัญต่อพวกเขา ดังนั้น การลอกเลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธา
เป็นสัญญานบอกว่า ผู้ที่เลียนแบบเป็นผู้ที่มีความบกพร่องในตัวเองเลยต้องเลียนแบบผู้อื่น
เกียรติอันใดเล่า จะยังคงเหลือแก่หญิงผู้ศรัทธาเมื่อเธอได้เลียนแบบหญิงที่ปฏิเสธศรัทธาโดยไร้จุดยืน ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า มีผู้หญิงหลายคนที่เสน่หาการเลียนแบบผู้ประกาศข่าว นักจัดรายการ
นักร้องนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบในเรื่องของการแต่งกายเหมือนพวกนางเหล่านั้น
เช่น การตัดผมสั้น
ท่วงทีในการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่วาจาการพูด และพฤติกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่น่าอาย
ถ้าจะนำมากล่าวตรงนี้
อัลลอฮุอักบัรฺ แท้จริง เรื่องนี้เป็นการยืนยันถึงความจริงที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกและตักเตือนไว้ว่า : “แน่นอน พวกเจ้าจะปฏิบัติตามกลุ่มชนที่มาก่อนพวกเจ้า
คืบเป็นคืบ ศอกเป็นศอก ถึงแม้พวกเขาจะเข้ารูแย้ แน่นอนพวกเจ้าก็จะตามเข้าไป” บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบีได้ถามว่า
: ชาวยิวและชาวคริสต์ใช่ไหม? ท่านนบีได้กล่าวว่า : “จะมีใครอีกกระนั้นหรือ?” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺและมุสลิม)
ประเภทที่สอง
ข้อควรระวังของเสื้อผ้าผู้หญิงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้
ข้อควรระวังในการสวมใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงต่อหน้าผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้ ครอบคลุมไปถึงสองด้านด้วยกัน คือ
- การประดับที่เปิดเผย
- การประดับที่ปกปิด
ด้านที่ 1 : อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ وَلَا يُبۡدِينَ
زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنۡهَاۖ ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า
“และพวกนางอย่าได้แสดงเครื่องประดับของพวกนาง นอกจากสิ่งที่เผยให้เห็น(ไม่สามารถปกปิดได้)จากเครื่องประดับเหล่านั้น” (อัน-นูรฺ 31)
ดังนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเปิดเผยเครื่องประดับต่อหน้าผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้ ความหมายของดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า “นอกจากสิ่งที่เผยให้เห็นจากเครื่องประดับเหล่านั้น” หมายถึง
สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือสิ่งที่นางนั้นไม่สามารถจะปกปิดได้
เช่น การเปิดเผยเสื้อคลุม ซึ่งประการเช่นนี้ถือว่าอนุโลมให้
ด้านที่หนึ่ง
เครื่องประดับที่เปิดเผย
ต่อไปนี้
ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงเครื่องประดับที่เปิดเผยซึ่งแบ่งได้ดังนี้
ชนิดที่
1
การเปิดใบหน้าและฝ่ามือ
โดยที่นักวิชาการ(ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อพวกเขา) ได้มีความเห็นไม่แตกต่างกันในเรื่องของการเปิดหน้าและมือทั้งสอง และยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ในปัญหานี้
และยังมีความสับสนอยู่
ด้วยเหตุนี้
จำเป็นจะต้องให้ความกระจ่างในเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างนักวิชาการในเรื่องนี้มานำเสนอ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงดังต่อไปนี้
1.
สำหรับเรื่องที่ขัดแย้งก็คือ ใบหน้าและมือทั้งสอง
แต่ส่วนอื่นๆ นอกจากนั้นไม่อนุญาตให้ทำการเปิดเผยโดยความเห็นเอกฉันท์จากอุละมาอ์ เช่น
ส่วนที่เป็นเท้า แขน ผม
ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นสิ่งที่จะต้องปกปิด
โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านในเรื่องนี้
2.
บรรดานักปราชญ์เห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นที่จะต้องปิดหน้าและมือทั้งสอง ในเมื่อมือและใบหน้ามีเครื่องประดับ
เช่น การทาสีที่ตา ใส่ทอง ทาเล็บ หรือเพ้นท์สีที่มือ
3.
บรรดานักวิชาการได้เห็นพ้องต้องกันว่า
จะต้องปิดหน้าและมือทั้งสอง เมื่อการเปิดหน้าและมือทั้งสองจะทำให้เกิดฟิตนะฮฺ(ต้นเหตุแห่งความไม่ดีไม่งาม) ซึ่งมีนักวิชาการหลายคนที่มีความเห็นว่าใบหน้าของผู้หญิงมิใช่เอาเราะฮฺ
แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มีความเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้หญิงจะต้องปิดหน้า(แม้ว่ามันจะไม่ใช่เอาเราะฮฺ) ทั้งนี้เพื่อป้องกันความไม่ดีทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นกับเธอ
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปิดใบหน้าของหญิงจำนวนมากในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่ต้องห้าม โดยมติของบรรดานักปราชญ์
เนื่องจากสภาพของนางนั้น เปิดตั้งแต่ชายผมบนศีรษะของนาง หรือนางนั้นได้ตกแต่งบนใบหน้าของนางหรือมือของนาง
เช่นการทาเล็บด้วยสีแดง
และการขจัดขนบนใบหน้า
หรือสวมใส่แหวนที่มือของนาง
ดังนั้น จุดขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างนักวิชาการ
ก็คือ มือและใบหน้าขณะที่ยังไม่ได้เสริมแต่งเท่านั้น หรือเมื่อเปิดแล้วไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายแก่นาง จะเห็นได้ว่าจุดนี้บรรดานักวิชาการมีความเห็นออกเป็นสองฝ่ายคือ
ฝ่ายที่ว่าการปิดหน้านั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ และฝ่ายที่ว่าการปิดหน้าเป็นเรื่องส่งเสริมให้ทำ
แต่ถ้าไม่ปิดก็ไม่เป็นบาปแต่อย่างใด
บรรดานักปราชญ์ที่มีทัศนะว่าใบหน้าของผู้หญิงเป็นเอาเราะฮฺ
ก็จะเห็นว่าการปิดหน้าเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนท่านใดที่มีทัศนะว่าใบหน้าของผู้หญิงไม่ได้เป็นเอาเราะฮฺก็จะเห็นว่าการปิดหน้าเป็นเรื่องส่งเสริมให้ทำ ถ้าไม่ปิดก็ไม่เป็นบาปแต่อย่างใด
แต่ไม่มีปรากฏในหมู่นักวิชาการว่า ผู้หญิงจำเป็นต้องเปิดหน้า
หรือการเปิดหน้านั้นดีกว่าการปิดหน้า นอกจากผู้ที่มีความประสงค์ร้ายและหัวใจของเขาเป็นโรคเกลียดชังต่ออิสลาม
เหล่านักวิชาการ เมื่อพวกเขาได้ทำการค้นคว้าปัญหานี้ พวกเขาก็จะค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเอาเราะฮฺของผู้หญิง ว่าใบหน้าของผู้หญิงเป็นเอาเราะฮฺหรือไม่
หรือพูดในอีกแง่หนึ่งก็คือ เมื่อผู้หญิงเปิดหน้านั้น
เธอจะมีความผิดหรือไม่อย่างไร?
ประเด็นการปิดหน้านั้น นักวิชาการผู้ที่ให้ทัศนะว่าใบหน้าของผู้หญิงไม่ได้เป็นเอาเราะฮฺต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้กระทำ
(ไม่วาญิบ)
และในบรรดานักปราชญ์ที่มีทัศนะว่า ใบหน้าของผู้หญิงไม่ถือว่าเป็นเอาเราะฮฺ
ก็คือท่านเชค อัล-อัลบานีย์
(ขอให้อัลลอฮฺเมตตาต่อท่าน) แต่ว่าท่านนั้นยังส่งเสริมและเชิญชวนผู้หญิงให้ทำการปกปิดใบหน้าเพื่อเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของสุนนะฮฺ จนกระทั่ง
ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน ซึ่งมีชื่อว่า “ญิลบาบุล มัรอาติล มุสลิมะฮฺ” ท่านได้พูดไว้ว่า
“และแท้จริงข้าพเจ้าได้รับทราบว่า แท้จริงหนังสือของข้าพเจ้าส่งผลที่ดีต่อบรรดาผู้หญิงที่ศรัทธาและบรรดาภรรยาที่ดีทั้งหลาย โดยที่มีผู้หญิงจำนวนมากได้ตอบรับเงื่อนไขที่จำเป็นของการสวมใส่เสื้อคลุมที่หลวมๆ ที่ถูกกล่าวถึงไว้ในหนังสือเล่มนี้ และมีบางคนในหมู่พวกนางก็รีบเร่งในการปกปิดใบหน้าเช่นกัน เมื่อนางได้รู้ว่าการปกปิดใบหน้านั้นเป็นเรื่องที่ดีงาม และเป็นการแสดงถึงมารยาทที่สมบูรณ์ และยังเป็นการปฏิบัติตามบรรดาผู้หญิงที่มีความประเสริฐจากบรรดาชนรุ่นก่อนที่อยู่ในแนวทางที่ดี ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นหมายรวมถึงบรรดามารดาของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมดด้วย (บรรดาภรรยาของท่านนบี)”
การที่ข้าพเจ้า(ผู้เขียน)ได้นำคำพูดของเชคมาอ้าง
ก็เพื่อแยกแยะระหว่างคำพูดของบรรดาปวงปราชญ์ที่ได้ให้ทัศนะว่าใบหน้าของผู้หญิงไม่ได้เป็นเอาเราะฮฺ กับคำพูดของพวกที่เรียกร้องไปสู่ความชั่วร้ายตกต่ำทางศีลธรรม
เนื่องจากบรรดาปวงปราชญ์นั้นไม่มีใครจากพวกเขาที่เรียกร้องให้ผู้หญิงเปิดใบหน้าของนางเลย แต่ว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ให้ทัศนะว่าการปิดหน้าเป็นสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งแตกต่างกับผู้ที่เรียกร้องสู่ความชั่วร้ายซึ่งพวกเขาได้เรียกร้องเชิญชวนผู้หญิงให้ทำการเปิดใบหน้า และการที่ผู้หญิงปกปิดใบหน้ามันได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเขามากนักกระนั้นหรือ?
แท้จริง นี่เป็นคำถามที่เราต้องการคำตอบ เราขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺผู้ทรงอารีให้ปกป้องรักษาผู้หญิงของบรรดามุสลิมจากเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่มีใจอิจฉาริษยา และไม่ประสงค์ดีต่ออิสลามด้วยเถิด
ข้าพเจ้าขอวกกลับไปสู่เรื่องมีความขัดแย้งในเรื่องของการเปิดหน้าของผู้หญิง และมือทั้งสองของนางอีกครั้งว่า มันเป็นเรื่องที่จำเป็นหรือเป็นเรื่องที่ส่งเสริมให้กระทำ ?
ทัศนะที่มีน้ำหนักจากทัศนะทั้งสองของบรรดานักปราชญ์
ก็คือ ทัศนะที่บอกว่าการปิดหน้าและมือทั้งสองของนางเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้นั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น
และหลักฐานในเรื่องดังกล่าวนี้มีอยู่มากมาย ข้าพเจ้าจะนำเสนอบางส่วนดังต่อไปนี้:
หลักฐานที่ 1 อัลลอฮฺ
ตะอาลา ตรัสว่า
﴿وَقُل لِّلۡمُؤۡمِنَٰتِ
يَغۡضُضۡنَ مِنۡ أَبۡصَٰرِهِنَّ وَيَحۡفَظۡنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبۡدِينَ زِينَتَهُنَّ
إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنۡهَاۖ وَلۡيَضۡرِبۡنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّۖ ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า
“จงกล่าวเถิดมูหัมมัดแก่บรรดาหญิงที่ศรัทธา ให้พวกเธอลดสายตาของพวกนาง
และให้พวกนางให้รักษาอวัยวะเพศของพวกนาง และพวกนางอย่าได้พึงเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง
เว้นแต่สิ่งที่เผยอยู่ และให้พวกนางปิดผ้าคลุมของพวกนางลงมาถึงหน้าอกของพวกนาง” (อัน-นูรฺ 31)
อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งได้ตรัสไว้ว่า “และพวกนางอย่าได้พึงเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง” ซึ่งตามธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งประดับที่มีค่าที่สุดของผู้หญิง คือใบหน้าของนาง และเนื่องด้วยเหตุดังกล่าว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชายที่จะไปสู่ขอผู้หญิงซึ่งมองก่อนก็คือใบหน้า
ในขณะที่บรรดาปวงปราชญ์ได้มีความเห็นตรงกันว่า ผู้หญิงนั้นจะต้องปกปิดเท้าของนางและผมของนาง เมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับนางได้ ดังนั้น ระหว่างเท้าและเส้นผมกับใบหน้าและมือ
อะไรมีความสวยงามกว่ากัน? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ใบหน้าและมือทั้งสองเป็นสิ่งที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปกปิดมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น อัลลอฮฺได้ทำให้การกระทืบเท้าของผู้หญิงในขณะที่นางเดินเพื่อที่จะให้ผู้ชายได้ยินเสียงสร้อยที่ข้อเท้าของนาง ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องประดับที่ต้องห้าม
ดังดำรัสของพระองค์ในท้ายอายะฮฺว่า :
﴿ وَلَا يَضۡرِبۡنَ
بِأَرۡجُلِهِنَّ لِيُعۡلَمَ مَا يُخۡفِينَ مِن زِينَتِهِنَّۚ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า
“และพวกนางอย่าได้กระทืบเท้าของพวกนาง เพื่อที่จะให้รู้สิ่งที่พวกนางได้ซ่อนอยู่จากเครื่องประดับของพวกนาง” (อัน-นูรฺ 31)
และการที่ผู้หญิงได้เปิดใบหน้าและมือทั้งสองของนาง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับนางได้นั้น
การกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงกว่าที่ผู้ชายได้ยินเสียงของสร้อยข้อเท้าที่อยู่ที่เท้าของนางอีก ดังนั้นการปิดหน้าและมือทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
หลักฐานที่ 2 หะดีษของท่านอิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ
จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«المَرْأَةُ عَوْرَةٌ فَإِذَا
خَرَجَتْ اسْتَشْرَفَهَا الشَّيْطَانُ» [رواه الترمذي]
ความว่า
“ผู้หญิงนั้นก็คือเอาเราะฮฺ(ต้องปกปิดและเก็บตัว)
ดังนั้น เมื่อนางออกจากบ้าน ชัยฏอนก็จะเฝ้ามองตามไปเพื่อล่อลวงนาง” (บันทึกโดยอิหม่ามอัต-ติรมิซีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะฮีหฺ ดู
อัล-อิรวาอ์ 1/303)
(คำว่า อิสติชรอฟ ในหะดีษ เดิมทีความหมายของมันคือ
การเอามือมาป้องหน้าหรือวางไว้บนหน้าฝากและแหงนขึ้นมามอง ความหมายก็คือ เมื่อผู้หญิงออกจากบ้านของนาง ชัยฏอนก็จะเฝ้าติดตาม
เพื่อต้องการที่จะล่อลวงนางให้นางทำความชั่ว
หรือให้นางเป็นสาเหตุให้คนอื่นทำชั่วเพราะนาง)
หะดีษนี้เป็นตัวบทชี้ชัดว่า แท้จริง ทุกส่วนของผู้หญิงนั้นเป็นเอาเราะฮฺ ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ยกเว้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากตัวนางเลย
หลักฐานที่ 3 หะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา
ในเรื่องที่ท่านถูกใส่ร้ายโดยที่บรรดามุสลิมได้กลับจากการทำสงครามกับบนี มุศเฏาะลิก โดยที่บรรดามุสลิมได้หยุดพักระหว่างทาง
แล้วท่านหญิงอาอิชะฮฺได้ออกไปถ่ายทุกข์ เมื่อเสร็จแล้วท่านหญิงอาอิชะฮฺกลับมายังกลุ่มมุสลิม ซึ่งในขณะนั้นพวกเขาก็ได้ทำการประกาศให้ออกเดินทางต่อ และท่านหญิงพบว่าสร้อยคอของท่านนั้นหายไป ท่านจึงได้เดินกลับไปยังจุดเดิมเพื่อที่จะหาสร้อยคอ
และเมื่อท่านได้กลับมาก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว ท่านก็ได้นั่งลง
ตรงนั้น โดยผู้ที่ทำการแบกแท่นที่นั่งของท่านหญิงอาอิชะฮฺนึกว่าท่านได้เข้าไปนั่งอยู่ในนั้นเรียบร้อย พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าแท่นที่นั่งนั้นเบาลง เนื่องจากท่านหญิงอาอิชะฮฺเองนั้นก็ไม่ได้หนักมาก
และด้วยความเฉลียวฉลาดของท่าน ท่านก็นั่งอยู่ ณ
ที่ที่บรรดามุสลิมได้พักระหว่างทาง เพื่อว่าเมื่อพวกเขาพบว่าท่านนั้นไม่อยู่ในแท่นที่นั่ง
พวกเขาก็วนกลับมายังจุดเดิม ท่านหญิงอาอิชะฮฺ
เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า “ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ ณ ที่ตรงนั้น
ฉันรู้สึกง่วงนอนแล้วก็ได้หลับไป และก็มีศ็อฟวาน
บิน อัล-มุอัฏฏ็อล อัส-สุละมีย์ อัซ-ซิกวานีย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ตรวจตราความเรียบร้อยในแนวหลังของทหาร
แล้วเขาก็ได้มาหยุดอยู่ ณ ที่ฉันนั่ง
เขาก็เห็นคนนอนอยู่ แล้วเขาก็รู้ว่าเป็นฉัน เพราะเขาเคยเห็นฉันก่อนที่จะมีการบัญญัติให้คลุมหิญาบ
ฉันได้รู้สึกตัวเนื่องจากได้ยินคำอุทานของเขาเมื่อเขาได้รู้ว่าผู้ที่นอนอยู่นั้นคือฉัน ฉันก็เอาผ้ามาปกปิด
และในบางรายงานว่า ฉันได้ปิดหน้าของฉันด้วยเสื้อคลุมของฉันเพื่อมิให้เขาเห็น” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านศ็อฟวาน บิน อัล-มุอัฏฏอล ได้เห็นเงาดำๆ ของคน แล้วเขาก็ได้มุ่งไปหา
ปรากฏว่าเงาดำนั้นก็คือท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา โดยที่นางนอนหลับอยู่ในสภาพที่เปิดหน้าของนาง ซึ่งศ็อฟวานได้รู้ว่านั่นคือท่านหญิงอาอิชะฮฺ
แล้วนางก็ได้ตื่นนอน
เนื่องจากคำอุทานของเขาที่กล่าวว่า
“ อินนาลิลลาฮฺ
วะอินนา อิลัยฮิ รอญิอูน” ดังนั้น
ในคำพูดของท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ที่ว่า “ดังนั้นเขา(หมายถึงศ็อฟวาน) รู้ว่าเป็นฉันในขณะที่เขาได้เห็นฉัน” นั้น ทำให้ท่านหลุดพ้นจากข้อครหาด้วยเหตุที่ซอฟวานรู้จักท่าน ขณะเดียวกันท่านเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย
ดังนั้นผู้ใดที่ได้ฟังเรื่องนี้ อาจมีคำถามในใจว่า
ศ็อฟวานจะรู้จักท่านหญิงอาอิชะฮฺได้อย่างไร ในเมื่อการปิดหน้านั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น
แต่ท่านหญิงได้พูดว่า
“เขาเคยเห็นฉันก่อนมีการบัญญัติให้คลุมหิญาบ”
และในคำพูดของนางที่ว่า “และเขาเคยเห็นฉันก่อนมีการบัญญัติให้ทำการคลุมหิญาบ” ถือเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่บ่งชี้ว่า การปิดหน้านั้นถูกบัญญัติใช้ในโองการที่เกี่ยวกับการคลุมหิญาบอีกด้วย
หลังจากนั้น ท่านหญิงอาอิชะฮฺ
เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า “ดังนั้นฉันก็รีบคลุม” และในอีกสายรายงานบอกว่า “ดังนั้น ฉันก็รีบปิดใบหน้าเพื่อมิให้เขาเห็น
ด้วยกับเสื้อคลุมของฉัน” ในคำพูดของท่านหญิงข้างต้นนี้
เป็นหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งนักว่าการปิดหน้าเป็นเรื่องจำเป็น
หลักฐานที่ 4
คำพูดของท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ที่ว่า “ได้มีกองคาราวานผ่านมายังพวกเรา
ในขณะที่พวกเราอยู่พร้อมกับท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในสภาพของผู้ที่ครองอิหฺรอม ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เข้ามาใกล้พวกเรา พวกเราได้ใช้เสื้อคลุมของพวกเราปิดใบหน้าของพวกเราและเมื่อพวกเขาได้ผ่านพวกเราไป พวกเราก็ได้เปิดหน้า” (บันทึกโดยอะหฺมัด, อบู ดาวูด และก็ถือว่าเป็นรายงานที่ดี)
หลักฐานที่ 5
จากท่านอัสมาอ์ บินติ อบี บักรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา นางได้กล่าวว่า “เราเคยปกปิดใบหน้าของเราจากบรรดาผู้ชาย และพวกเราเคยหวีผมก่อนที่จะทำการครองอิหฺรอม” (สายรายงานถูกต้อง
บันทึกโดยอัล-หากิม และท่านได้ให้ทัศนะว่าเป็นหะดีษที่ถูกต้อง และท่านอิหม่ามอัซ-ซะฮะบีย์
ก็เห็นด้วยกับท่าน)
อาจจะมีคนบางคนกล่าวว่า : แท้จริงตัวบทต่างๆ ที่ปรากฏเกี่ยวกับการปกปิดใบหน้านั้น ใช้เฉพาะบรรดาภริยาของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่คลุมเครือเป็นอย่างมากที่แพร่หลายในกลุ่มชนสามัญทั่วไป และคำตอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
ประการแรก แท้จริง ดั้งเดิมของบทบัญญัติต่างๆ ที่บังคับใช้ในเรื่องการคลุมหิญาบนั้น ได้บังคับใช้กับผู้หญิงทั่วไป และก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาเอ่ยถึงการบังคับใช้เฉพาะภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เท่านั้น
ประการที่สอง แท้จริง ได้มีหลักฐานยืนยันจากเหล่าผู้หญิงที่เป็นเศาะหาบะฮฺของท่านนบีเกี่ยวกับการปกปิดใบหน้า ดังมีรายงานจากอัสมาอ์ในหะดีษที่ผ่านมาว่า “พวกเราได้เคยปกปิดใบหน้าของเราจากบรรดาผู้ชาย” ซึ่งหลักฐานนี้ครอบคลุมผู้หญิงทั้งหมด ไม่ได้เจาะจงเฉพาะภรรยาของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น
ประเภทที่สาม แท้จริงคำสั่งให้คลุมหิญาบนั้น มีหลักฐานที่ชัดเจนที่ครอบคลุมผู้หญิงที่ศรัทธาทั้งหมด
ในดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلنَّبِيُّ
قُل لِّأَزۡوَٰجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَآءِ ٱلۡمُؤۡمِنِينَ يُدۡنِينَ عَلَيۡهِنَّ مِن
جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ذَٰلِكَ أَدۡنَىٰٓ أَن يُعۡرَفۡنَ فَلَا يُؤۡذَيۡنَۗ وَكَانَ ٱللَّهُ
غَفُورٗا رَّحِيمٗا ٥٩ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า
และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จักเพื่อพวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัล-อะหฺซาบ
59)
และก่อนจะจบเกี่ยวกับปัญหานี้
ข้าพเจ้าขอนำเสนอทัศนะของนักวิชาการบางท่านเกี่ยวกับความจำเป็นเกี่ยวกับการปิดใบหน้าสำหรับผู้หญิงต่อหน้าบรรดาผู้ชายที่ไม่ใช่มะหฺร็อม
ดังนี้
- ท่าน อบู บักรฺ อัร-รอซีย์ อัล-ญัศศอศฺ จากมัซฮับหะนะฟีย์
ท่านได้เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺ ที่
370 ในตัฟสีรฺของท่าน ในการอธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
﴿ يُدۡنِينَ عَلَيۡهِنَّ
مِن جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“พวกนางจงดึงเสื้อคลุมของนาง
มาปิดตัวของนาง” (อัล-อะห์ซาบ
59)
ท่านอธิบายว่า ในโองการนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า
แท้จริงผู้หญิงนั้นได้ถูกใช้ให้ทำการปิดใบหน้าของนางจากบรรดาผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับนางได้และขณะที่พวกนางออกจากบ้าน
การแต่งกายมิดชิดยังเป็นการป้องกันอันตรายจากบรรดาผู้ที่ไม่ประสงค์ดีได้อีกด้วย” (จากอะหฺกามุลกุรอาน 3/371)
- และท่านอบู บักรฺ บิน อัล-อะเราะบีย์ จากมัซฮับ
มาลิกีย์ เสียชีวิตปีฮิจญ์เราะฮฺที่
543 ท่านได้กล่าวไว้ในตัฟสีรฺของท่าน ในการอธิบายดำรัสดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿وَإِذَا سَأَلۡتُمُوهُنَّ
مَتَٰعٗا فَسَۡٔلُوهُنَّ مِن وَرَآءِ حِجَابٖۚ ﴾ [الأحزاب: ٥٣]
ความว่า
“และเมื่อพวกเจ้าได้ขอสิ่งใดจากพวกนาง
ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน” (อัล-อะห์ซาบ 53)
ท่านอธิบายว่า “สำหรับผู้หญิงนั้น ทุกส่วนของนางเป็นเอาเราะฮฺ ทั้งร่างกายของนางและเสียงของนาง
ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้นางทำการเปิดเผยมัน ยกเว้นในกรณีที่มีความคับขันหรือความจำเป็น
เช่น การเป็นพยานให้แก่นาง หรือการรักษาโรคร้ายที่เกิดขึ้นที่ร่างกายของนาง” (อะหฺกามุลกุรอาน 3/616)
- ท่านอิหม่ามอัน-นะวะวีย์ จากมัซฮับชาฟิอีย์
(ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน) เสียชีวิตปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 676 ท่านได้กล่าวไว้ในอัล-มินฮาจญ์ ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในมัซฮับชะฟีอีย์
ว่า “การที่เด็กผู้ชายวัยรุ่นมองไปยังเอาเราะฮฺของผู้หญิงสูงอายุ
และเช่นเดียวกัน การมองใบหน้าและฝ่ามือของนาง
เป็นที่ต้องห้าม ในกรณีที่กลัวว่าจะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี (อัร-ร็อมลีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสืออธิบายของท่านว่า
เรื่องนี้เป็นมติเอกฉันท์) เช่นเดียวกับในกรณีที่ไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดสิ่งไม่ดี
ก็ไม่เป็นที่อนุญาตให้มองตามทัศนะที่ถูกต้อง
- อิบนุ ชิฮาบุดดีน อัร-ร็อมลีย์
(ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน) เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1004 ท่านได้กล่าวไว้ในคำอธิบายของท่านสืบเนื่องจากคำพูดของท่านอิหม่ามอัน-นะวะวีย์ที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่า “และท่านอิหม่าม (หมายถึงอัน-นะวะวีย์) ได้ชี้แจงว่าบรรดานักวิชาการได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ในการห้ามมิให้ผู้หญิงออกจากบ้านโดยเปิดใบหน้าของพวกนาง เนื่องจากว่าการมองนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
และยังทำให้เกิดอารมณ์ใคร่ ... และเมื่อเรื่องดังกล่าวเป็นที่ต้องห้ามตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ดังนั้น การมองไปยังผู้หญิงที่ปิดใบหน้าซึ่งไม่สามารถเห็นสิ่งใดจากนางนอกจากดวงตาทั้งสองและเสื้อคลุมของนางจึงไม่เป็นที่อนุมัติเช่นเดียวกัน” (จากหนังสือ นิฮายาตุลมุห์ตาจญ์ อิลา ชัรหฺ
อัล-มินฮาจญ์ ฟี อัล-ฟิกฮฺ อะลา มัซฮับ
อัช-ชาฟีอีย์ เล่ม 6 หน้า 178-188)
- และท่านอัล-นะสะฟีย์ อัล-หะนาฟีย์ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 701 ท่านกล่าวไว้ในการอรรถาธิบายดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿ يُدۡنِينَ عَلَيۡهِنَّ
مِن جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“พวกนางจงดึงเสื้อคลุมของนาง
มาปิดตัวของนาง” (อัล-อะห์ซาบ
59)
ความหมายก็คือ ให้นางเหล่านั้นดึงเสื้อคลุมลงมาปกปิดใบหน้าของพวกนาง
และสีข้างของพวกนาง (จากหนังสือมาดาริก
อัต-ตันซีล)
- ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 728 ได้กล่าวไว้ว่า “และที่ผู้หญิงเปิดใบหน้าของพวกนาง ให้ผู้ชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับนางได้เห็นนั้น ถือว่าไม่อนุมัติ และมันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองต้องกำชับใช้ให้กระทำความดี และจะต้องยับยั้งการกระทำที่ไม่ดีอันนั้น
และผู้ใดที่เพิกเฉยในเรื่องนี้ เขาก็จะถูกลงโทษ
เนื่องจากการที่เขาละเลยในการห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ดี (จากหนังสือมัจญ์มูอฺ อัล-ฟะตาวา เล่มที่ 24 หน้า 382)
- และอิบนุ ญุซัยย์ อัล-กัลบีย์ อัล-มาลิกีย์ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 741 ท่านกล่าวไว้ในการอรรถาธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
﴿ يُدۡنِينَ عَلَيۡهِنَّ
مِن جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“พวกนางจงดึงเสื้อคลุมของนาง
มาปิดตัวของนาง” (อัล-อะห์ซาบ
59)
ท่านอธิบายว่า ในอดีตผู้หญิงอาหรับนั้นได้เปิดใบหน้าของพวกนาง
เหมือนกับที่บรรดาทาสได้ทำกัน และในการกระทำดังกล่าวก็เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ผู้ชายได้มุ่งเป้าสายตามายังพวกนาง ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ใช้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางเพื่อต้องการที่จะให้พวกนางปกปิดใบหน้า” (จากหนังสือ อัต-ตัสฮีล ลิ อุลูม อัต-ตันซีล)
-ท่านอิบนุล ก็อยยิม ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “อิอฺลาม อัล-มุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 80 ว่า
เอาเราะฮฺ (ส่วนที่ต้องปกปิด) นั้น มีอยู่ 2 แบบ คือ :
1.
เอาเราะฮฺที่ต้องปกปิดจากสายตา
2.
เอาเราะฮฺที่ต้องปกปิดขณะทำการละหมาด
และสำหรับผู้หญิงที่เป็นอิสระ(ไม่ใช่ทาส)
นั้นนางสามารถจะละหมาดพร้อมกับการเปิดหน้าและฝ่ามือทั้งสองได้ แต่ไม่อนุญาติให้นางออกไปยังตลาดและที่มีผู้คนรวมกันมากๆ
ในสภาพที่เปิดหน้าและเห็นมือทั้งสองดังกล่าว วัลลอฮุอะอฺลัม
- ท่าน ตะกียุดดีน อัส-สุบกีย์ อัช-ชาฟิอีย์ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 756 กล่าวว่า ทัศนะที่ใกล้เคียงการปฏิบัติของเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มากที่สุดคือ ทัศนะที่ถือว่าใบหน้าและฝ่ามือของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องปกปิดให้พ้นจากสายตา (จากหนังสือนิฮายะฮฺ อัล-มุห์ตาจญ์)
-ท่านอิบนุ หะญัรฺ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺ
ที่ 856 ท่านได้กล่าวอธิบายหะดีษของท่านหญิง อาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอัลฮา
ซึ่งอยู่ในเศาะฮีหฺ อัล-บุคคอรีย์ โดยที่ท่านหญิงอาอิชะฮฺได้กล่าวไว้ว่า
“เมื่อโองการนี้ได้ถูกประทานลงมา
﴿وَلۡيَضۡرِبۡنَ
بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّۖ ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า
“ให้พวกนางจงดึงผ้าคลุมมาปิดหน้าอกของพวกนาง” (อัน-นูรฺ 31)
บรรดาผู้หญิงทั้งหลายก็เอาผ้าของพวกนางมาฉีกขอบๆ ของผ้า แล้วนำมาปกปิดใบหน้าของพวกนางด้วยผ้านั้น
- ท่านอัส-สุยูฏีย์ ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่
911 ท่านได้อธิบายดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿ يُدۡنِينَ
عَلَيۡهِنَّ مِن جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“พวกนางจงดึงเสื้อคลุมของนาง
มาปิดตัวของนาง” (อัล-อะห์ซาบ
59)
ท่านกล่าวว่า นี่คือโองการ ที่เกี่ยวกับการ คลุมหิญาบที่ผู้หญิงทั่วไปจำเป็นจะต้องปกปิดศรีษะและใบหน้าของพวกนาง (จากหนังสือ เอานุล มะอฺบูด
เล่มที่ 11 หน้า 158)
- ท่านอัล-บุฮูตีย์ อัล-หันบะลีย์ เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1046
ได้กล่าวไว้ในหนังสือ กัชชาฟ
อัล-กินาอฺ ว่า “จำเป็นแก่ผู้หญิงที่เป็นอิสระและบรรลุศาสนภาวะแล้วต้องปกปิดมือทั้งสองและใบหน้าของนางจากสายตา
นอกเวลาละหมาดเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย”
และอีกมากมายจากบรรดานักวิชาการ
ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่เกรงว่ามันจะยาว ก็จะนำคำพูดของพวกเขามากล่าวไว้ ณ ที่นี้อีก
และมีนักวิชาการอีกมากที่มีทัศนะเป็นเช่นนี้
อาทิเช่น ท่านเชคอับดุรเราะห์มาน บิน
สะอฺดีย์, เชคมูหัมมัด บิน อิบรอฮีม อาล อัช-เชค, ท่านมูหัมมัด อัล-อะมีน อัช-ชันกีฏีย์, ท่านเชคอับดุลอะซีซ บิน
อับดุลลอฮฺ บิน บาซ, ท่านเชคอบูบักรฺ อัล-ญะซาอิรีย์, ท่านเชคมูหัมมัด บิน อุษัยมีน,
ท่านเชคอับดุลลอฮฺ บิน ญิบรีน, ท่านเชคศอลิหฺ อัล-เฟาซาน และเชคบักรฺ บิน อับดุลลอฮฺ อบู
ซัยดฺ ขออัลลอฮฺได้ทรงเมตตาต่อพวกเขาและขอให้อัลลอฮฺได้ทรงปกป้องผู้ที่มีชีวิตอยู่จากพวกเขาและคนอื่นๆ
ที่ข้าพเจ้าขอนำมา
ณ ที่นี้ เป็นคำพูดของท่านเชคมูหัมมัด บิน อุษัยมีน ขออัลลอฮฺได้ทรงเมตตาต่อท่าน หลังจากที่ท่านได้ยืนยันว่าการปิดหน้าและมือทั้งสองของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) ท่านได้กล่าวว่า “ฉันแปลกใจเหลือเกินที่มีคนบางกลุ่มกล่าวว่า แท้จริงผู้หญิงนั้นจำเป็นแก่นางที่จะต้องปกปิดเท้าของนาง แต่อนุญาตให้เปิดมือทั้งสองของพวกนางได้ อะไรกันแน่ที่จำเป็นจะต้องปกปิดระหว่างเท้าและมือทั้งสอง? ไม่ใช่มือทั้งสองดอกหรือที่จำเป็นจะต้องปกปิด? เนื่องจากความสวยงามของฝ่ามือและนิ้วมือของผู้หญิงและปลายนิ้วของนางเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์น่าชื่นชมมากกว่าเท้าหลายเท่านัก
และฉันแปลกใจเช่นกันที่มีคนบางกลุ่มพวกเขากล่าวว่า ผู้หญิงนั้นจำเป็นที่จะต้องปกปิดเท้าทั้งสองของนาง แต่อนุญาตให้นางเปิดใบหน้าของนางได้ ดังนั้นอะไรที่สมควรจะต้องปกปิดระหว่างใบหน้าและเท้า
?
และไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ค้านกับสติปัญญาดอกหรือ
การที่เรากล่าวว่า แท้จริงบทบัญญัติอิสลามที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งอัลลอฮฺผู้ทรงปรีชาญานได้วางบทบัญญัตินี้มานั้น
จำเป็นแก่ผู้หญิงจะต้องปกปิดเท้า แต่ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้เปิดใบหน้าของนางได้?
คำตอบในเรื่องนี้ คือ ถือว่าเป็นเรื่องที่ค้านกัน เนื่องจากบรรดาผู้ชายนั้นมีความผูกพันใฝ่หาใบหน้าของผู้หญิง
มากกว่าที่จะผูกพันหรือใฝ่หากับเท้าของนาง”
ท่านเชคอุษัยมีนได้กล่าวต่อไปว่า “ฉันเชื่อเหลือเกินว่าไม่มีใครคนไหนที่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุแห่งความวุ่นวายและทำให้บรรดาผู้ชายนั้นมีความใคร่ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะอนุญาตให้ผู้หญิงเปิดหน้า แต่ในขณะเดียวกันเขากลับบอกว่าการปกปิดเท้าทั้งสองนั้นเป็นเรื่องจำเป็นและก็ยังพาดพิงเรื่องนี้ไปยังบทบัญญัติอิสลามที่มีความสมบูรณ์แบบยิ่งอีกด้วย
และโดยเหตุนี้ข้าพเจ้าได้พบว่านักวิชาการรุ่นหลังๆ จึงได้กล่าวว่า บรรดาปวงปราชญ์ได้มีความเห็นตรงกันว่า
จำเป็นที่จะต้องปกปิดใบหน้าของผู้หญิง เนื่องจากใบหน้าเป็นสาเหตุของความวุ่นวายและอันตรายที่จะเกิดกับผู้หญิง ดังที่เจ้าของหนังสือนัยลุลเอาฏอรฺได้ระบุไว้ในหนังสือของท่าน ซึ่งรายงานจากอิบนุ รุสลาน..
” (คัดจากหนังสือ
ฟะตาวาเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิมะฮฺ เล่มที่
1/403-404)
ชนิดที่
2
จากเครื่องแต่งกายที่เปิดเผยและเป็นที่ต้องห้าม ก็คือ
การใส่เสื้อคลุมแค่หัวบ่า
สำหรับเสื้อคลุมในหมู่ผู้หญิงในปัจจุบันมันเป็นความเจ็บปวดเหลือเกิน ซึ่งเป็นธุรกิจค้าขายของพ่อค้าที่แข่งขันกันในการออกแบบเสื้อผ้าใหม่ๆอยู่ตลอด และในบรรดาเสื้อผ้าที่ย่ำแย่เหล่านั้น ที่มีชื่อเรียกว่าเสื้อคลุมไหล่หลังจากนั้นได้มีการออกแบบต่างๆ
มากมาย เช่น เสื้อคลุมฝรั่งเศส
และเสื้อคลุมโมรอคโค เสื้อคลุมที่มีหมวก และเสื้อคลุมที่รัดรูป ซึ่งเสื้อผ้าต่างๆ เหล่านั้นเป็นเสื้อผ้าที่นำมาเพื่อประชันความสวยงามระหว่างผู้หญิง
และเสื้อคลุมต่างๆ เหล่านั้นถือว่าไม่อนุญาตให้สวมใส่ เนื่องจากหนึ่งในเงื่อนไขของการคลุมหิญาบนั้น๕ฮจะต้องไม่เป็นการประดับประดาในตัวของมันเอง ดังนั้น หากหิญาบนั้นเป็นเครื่องประดับเสียเองก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม
และบรรดาผู้ชายโดยทั่วไปได้ลงความเห็นว่า เสื้อคลุมประเภทนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้ชาย
เนื่องจากความสวยของมัน
แต่มีผู้หญิงบางคน
– ขอให้อัลลอฮฺทรงชี้แนะแก่พวกนางเหล่านั้น –ได้กล่าวว่า “ไม่เห็นมีใครหันมามองฉันเลย” แต่ความจริงในเรื่องนี้ผู้ชายเป็นผู้ตัดสินไม่ใช่ผู้หญิง
และข้าพเจ้าได้เคยทำการพิสูจน์เกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิงซึ่งรับข้อมูลจากวารสารอัด-ดะอฺวะฮฺ ในเรื่องของการใส่เสื้อคลุมของผู้หญิง
เพื่อทำการโอ้อวดโฉม “เสื้อคลุมที่คลุมแค่หัวไหล่” โดยที่ได้แจกแบบสำรวจให้แก่ผู้หญิงจำนวน
624 คน
ครึ่งหนึ่งแจกให้แก่ผู้หญิงซึ่งพวกเขาใส่ผ้าคลุมแค่หัวไหล่ และอีกครึ่งแจกให้แก่ผู้หญิงที่คลุมถึงศีรษะ
ผลของการสำรวจที่แจกให้แก่บรรดาผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อคลุมแค่หัวไหล่ออกมาดังนี้:-
37
% ใช้ใส่เฉพาะออกตลาดเท่านั้น
60
% สวมใส่มันตามกระแสแห่งความนิยมตามแฟชั่นสมัยใหม่
39
% รู้สึกกลัวต่อบาปเมื่อได้สวมใส่มัน
47
% ผู้ปกครองพวกนางมีความพอใจในเรื่องนี้
และเป็นที่น่าแปลกใจไปอีกก็คือ จำนวน 35% ที่ผู้ปกครองของนางนั้นได้ส่งเสริมในการแต่งตัวดังกล่าว
จนมีผู้หญิงบางคนได้กล่าวว่า: ที่พวกเราสวมใส่เสื้อผ้าที่ประเจิดประเจ้อ อันที่จริงพวกเราไม่ต้องการเช่นนั้นแต่มันเป็นความประสงค์ของสามีเราที่อยากให้เราทำเช่นนั้น
และข้าพเจ้าก็ทราบดี ถึงสภาพต่างๆ เหล่านั้น มีสามีจำนวนมากที่ใช้ภรรยาของเขาให้ทำการสวมใส่เสื้อคลุมที่คลุมแค่หัวไหล่ และยังให้ภรรยาของเขาถอดถุงมือออก
เมื่อนางได้ไปไหนพร้อมกับเขา เพื่อให้นางเป็นจุดเด่นท่ามกลางผู้คน
และข้าพเจ้าแปลกใจเหลือเกินกับการที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีความหึงหวงและหวงแหนภรรยาของพวกเขา
ข้าพเจ้าได้อ่านคำพูดที่ทรงคุณค่ายิ่งของท่านอิบนุลก็อยยิม (ขอให้อัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน)
ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า (อัด-ดาอ์
วะ อัด-ดะวาอ์) โดยมีความว่า
“แท้จริงการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺนั้นจะส่งผลให้ความหวงแหนอ่อนแอลง แต่เมื่อบ่าวได้กลับเนื้อกลับตัว
และปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด ความหวงแหนของเขาก็จะกลับคืนมา”
และเป็นที่น่าสังเกตว่า จากผลสำรวจครั้งนี้มีผู้หญิงจำนวน 86% ได้ประสบกับความเดือดร้อนอันเนื่องจากการแต่งตัวที่ไม่เรียบร้อยของพวกนาง
นี่คือคำยืนยันจากดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า:
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلنَّبِيُّ
قُل لِّأَزۡوَٰجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَآءِ ٱلۡمُؤۡمِنِينَ يُدۡنِينَ عَلَيۡهِنَّ مِن
جَلَٰبِيبِهِنَّۚ ذَٰلِكَ أَدۡنَىٰٓ أَن يُعۡرَفۡنَ فَلَا يُؤۡذَيۡنَۗ وَكَانَ ٱللَّهُ
غَفُورٗا رَّحِيمٗا ٥٩ ﴾ [الأحزاب: ٥٩]
ความว่า
“โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้าและบุตรสาวของเจ้าและบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จักเพื่อพวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัล-อะหฺซาบ
59)
อัลลอฮฺตรัสว่า “นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก”
จากอายะฮฺนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่า มันเป็นการดีกว่าที่ผู้หญิงจะได้แสดงออกและให้คนอื่นรู้จักนางในสภาพที่มีความบริสุทธิ์จากความชั่วช้า
มีความละอาย และการปกปิดของนาง เพื่อว่านางจะไม่ถูกคุกคามจากคนชั่วและผู้ชายที่ชอบเกี้ยวพาราสีทั้งหลาย
ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเจออยู่เสมอ
ประเภทที่
3
การที่ผู้หญิงออกนอกบ้านโดยที่นางใส่ผลิตภัณฑ์ที่มีความหอม
ข้าพเจ้าจะนำหลักฐาน จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
มายืนยันถึงการห้ามมิให้ใช้เครื่องประดับชนิดนี้ ดังต่อไปนี้
มีรายงานจาก ซัยนับ ภรรยาของอับดุลลอฮฺ นางได้กล่าวว่า:
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่พวกนางว่า
«إِذَا شَهِدَتْ إِحْدَاكُنَّ الْمَسْجِدَ فَلَا تَمُسَّ طِيْبًا»
[رواه مسلم]
ความว่า
“เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเธอ
ต้องการมายังมัสยิด
ดังนั้นเธอก็อย่าได้ใส่เครื่องหอม” (บันทึกโดยมุสลิม)
และท่านอิมามมุสลิมได้บันทึกไว้เช่นกัน จากหะดีษของท่านอบี
ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«أَيُّمَا امْرَأَةٍ أَصَابَتْ بَخُوْرًا فَلَا تَشْهَدْ مَعَنَا
العِشَاءَ الآخِرَةَ» [رواه مسلم]
ความว่า
“ผู้หญิงคนใดได้ใส่เครื่องหอม ดังนั้นนางอย่าไปร่วมละหมาดอิชาอ์พร้อมกับเรา” (รายงานโดยมุสลิม)
ในเมื่อการไปมัสยิดนั้นยังเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้หญิงที่ใส่เครื่องหอม ดังนั้นการไปตลาดมันย่อมจะสมควรกว่าที่จะห้ามนางมิให้ออกไปในสภาพนั้น
มีรายงานจากท่านอบู มูซา อัล-อัชอารีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
ท่านได้กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า
«أَيُّمَا امْرَأَةٍ اسْتَعْطَرَتْ فَمَرَّتْ عَلَى قَوْمٍ لِيَجِدُوْا
مِنْ رِيْحِهَا فَهِيَ زَانِيَةٌ» [رواه النسائي]
ความว่า
“ผู้หญิงคนใดได้ใส่เครื่องหอม แล้วนางได้เดินผ่านไปยังชนกลุ่มหนึ่ง
เพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นหอมของนาง ดังนั้น
นางก็เป็นหญิงที่ผิดประเวณี” (รายงานโดย อัน-นะสาอีย์
และเป็นหะดีษที่ดี)
ในเรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เช่น :-
ตัวอย่างที่หนึ่ง: ผู้หญิงบางคนไม่ได้เอาใจใส่ในการปกปิดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองของนาง ซึ่งตามคำอธิบายที่ผ่านมาข้างต้นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การปกปิดมือและเท้าทั้งสองนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากหลักฐานโดยรวมของคำพูดของท่านนบี
ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “ผู้หญิงนั้นคือเอาเราะฮฺ” และหะดีษของอิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านได้กล่าวไว้ว่า: ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า:
«مَنْ جَرَّ ثَوْبَهُ خُيَلَاءَ لَمْ يَنْظُرِ اللَّهُ إِلَيْهِ
يَوْمَ الْقِيَامَةِ» . فَقَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ : فَكَيْفَ يَصْنَعْنَ
النِّسَاءُ بِذُيُولِهِنَّ . قَالَ : «يُرْخِينَ شِبْرًا» . فَقَالَتْ : إِذًا
تَنْكَشِفُ أَقْدَامُهُنَّ . قَالَ : «فَيُرْخِينَهُ ذِرَاعًا ، لَا يَزِدْنَ عَلَيْهِ»
[أخرجه الترمذي بسند صحيح]
ความว่า
“ผู้ใดปล่อยชายผ้าของเขา
เพื่อต้องการโอ้อวด อัลลอฮฺจะไม่มองเขาในวันกิยามะฮฺ” ท่านอุมมุ สะละมะฮฺ ได้กล่าวว่า:
แล้วผู้หญิงจะทำอย่างไรกับชายผ้าของพวกนาง?. ท่านนบีได้กล่าวว่า “ให้พวกนางปล่อยเสื้อคลุมของนางให้ยาวลงไปอีกหนึ่งคืบ” แล้วอุมมุ สะละมะฮฺได้กล่าวว่า:
ถ้าเท้าของนางได้เปิดเผย? ท่านนบีก็กล่าวว่า: ให้พวกนางปล่อยมันให้ยาวไปอีกหนึ่งศอก
และไม่ยาวไปกว่านั้น” (บันทึกโดยท่านอิมามอัต-ติรมิซีย์
ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหฺ)
แต่ผู้หญิงในยุคปัจจุบัน เธอมิได้ปล่อยชายผ้าของเสื้อคลุมให้ยาวเป็นคืบและเป็นศอก และก็ไม่ได้ปกปิดมือทั้งสองของนางด้วยเสื้อคลุมนอกจากจำนวนน้อยเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่จะนำมาปกปิดมือและเท้าของนางก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าถุงมือและถุงเท้าสีดำ
และข้าพเจ้าก็ทราบดีว่า มีผู้หญิงจำนวนมากที่ได้เปิดมือและเท้าทั้งสองของพวกนาง เมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับเธอได้ ไม่ว่าในเวลาพวกนางจะไปไหนมาไหนหรืออยู่กับบ้าน โดยที่พวกนางมิได้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำการโอ้อวด หรือดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม
แต่ว่าพวกนางทำไปก็เนื่องจากการละเลยไม่เอาใจใส่ ดังนั้น พวกนางสมควรที่จะทราบไว้ว่า การละเลยไม่เอาใจใส่นั้นไม่ทำให้รอดพ้นจากความผิดได้ เพราะว่าแท้จริงการเปิดเผยส่วนที่ไม่อนุญาตให้เปิดเผยนั้น
เป็นเรื่องที่ต้องห้าม
และเมื่อผู้หญิงบางคน ได้รับทราบเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติที่เป็นบทบัญญัติของศาสนาเกี่ยวกับการใส่ถุงมือและถุงเท้า พวกนางจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากแก่พวกนางในตอนแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับนาง เหมือนกับการใส่เสื้อคลุม
และปกปิดใบหน้า โดยที่นางไม่อาจละทิ้งมันได้
ตัวอย่างที่สอง: คือการละเลยไม่เอาใจใส่ในการปิดเอาเราะฮฺแก่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าเกณฑ์บังคับในการปฏิบัติศาสนกิจ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ส่วนมากของเด็กผู้หญิงนั้นจะบรรลุศาสนภาวะก่อนเด็กผู้ชาย หรือบางครั้งเด็กผู้หญิงจะบรรลุศาสนภาวะ
ขณะที่อยู่ในชั้นประถมปีที่สี่ หรือ ห้า แต่ว่าพ่อแม่ยังเห็นว่าพวกเขายังเป็นเด็กอยู่
และด้วยเหตุนี้ทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองละเลยในการที่จะคลุมผ้าหิญาบให้แก่ลูกๆ หรือคลุมให้แต่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของศาสนา ดังนั้น สมควรที่เด็กผู้หญิงในวัยนี้จะต้องแต่งตัวให้เหมือนหญิงสาวที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายจะต้องให้ความสนใจในเรื่องนี้ และเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องอบรมบุตรสาวของพวกเขาให้สวมใส่หิญาบตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีความเคยชินในเรื่องนี้
ตัวอย่างที่สาม: การละเลยต่อการเปิดเอาเราะฮฺต่อหน้านายแพทย์
เงื่อนไขสามข้อที่อนุญาตให้ผู้หญิงเปิดเผยเอาเราะฮฺเมื่ออยู่ต่อหน้านายแพทย์
เงื่อนไขที่หนึ่ง:
เมื่อไม่มีแพทย์หญิงในแผนกนั้น แต่ในปัจจุบันมีแพทย์หญิงที่เชี่ยวในด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวกับผู้หญิง
เช่นการคลอดบุตร
การรักษาโรคฟัน โรคสายตา โรคผิวหนัง ฯลฯ อยู่มากมาย ดังนั้นเมื่อโรงพยาบาล
หรือศูนย์บริการสาธารณสุขใดไม่มีแพทย์หญิงหรือพยาบาลหญิง ก็สามารถหาได้ในศูนย์อื่นๆ อีก
เป็นที่หน้าแปลกใจที่ผู้ชายจำนวนมากได้ให้ความสำคัญในเรื่องการงาน
ธุรกิจ การค้าขาย
พวกเขาต่างสืบเสาะสรรหาสิ่งที่ดีกว่าเพื่อการงานของเขา แต่กลับละเลยภรรยา, ลูกสาว, พี่สาว, น้องสาวของพวกเขา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญกว่าและสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่า ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาโดยตรงที่จะต้องพยายาม เสาะหาแพทย์หญิงเพื่อทำการรักษาพวกเธอ
เงื่อนไขที่สอง: มะห์ร็อมของนางจะต้องอยู่กับนางด้วย ดังนั้น เมื่อทำการค้นหาแล้ว
ปรากฏว่าไม่มีแพทย์หญิง
ก็จำเป็นจะต้องมีมะห์ร็อมอยู่พร้อมกับนางด้วย
เมื่อแพทย์ที่ทำการตรวจเป็นผู้ชาย ดังนั้น
การที่ผู้หญิงอยู่พร้อมกับมะห์ร็อมของนางนั้นถือว่า เป็นความบริสุทธิ์สำหรับตัวนางเอง และยังเป็นการป้องกันมิให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายที่มันจะตามมา เพราะการที่ผู้ชายมองไปยังเอาเราะฮฺของผู้หญิงนั้นเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งหลาย และมะห์ร็อมถือว่าเป็นสิ่งที่จะปกป้องผู้หญิงให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายอันนี้ ดังมีรายงานจาก ท่านเราะสูล
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า แท้จริง ท่านได้กล่าวไว้ว่า:
« لاَ يَخْلُوَنَّ رَجُلٌ
بِامْرَأَةٍ إِلاَّ وَمَعَهَا ذُو مَحْرَمٍ » [رواه مسلم]
ความว่า
“อย่าให้ผู้ชายได้อยู่สองต่อสองกับผู้หญิงนอกจากมีมะหฺร็อมของนางร่วมอยู่ด้วย”
(บันทึกโดยมุสลิม จากหะดีษของอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา)
เงื่อนไขที่สาม: เปิดเผยเอาเราะฮฺเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่อประสบโรคที่เท้าก็ให้เปิดแค่เท้าเท่านั้น และเมื่อเป็นโรคที่หูก็ให้เปิดแค่หูเท่านั้น
ไม่อนุญาตให้เปิดเผยใบหน้า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้หญิงจำนวนมากได้เปิดใบหน้าของพวกนางให้แก่นายแพทย์
จะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม
หรือไม่มีสาเหตุ การกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นผิดพลาดอย่างมากที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ เช่นเดียวกันมีผู้ชายบางกลุ่มได้ละเลยในเรื่องนี้โดยปล่อยให้ภรรยาของเขาอยู่กับบรรดานายแพทย์เพียงลำพัง ส่วนตัวเขารออยู่ข้างนอก
และถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่ผู้ชายบางคนได้ปล่อยให้ภรรยาของเขาอยู่กับนายแพทย์ที่รักษาโรคเกี่ยวกับผู้หญิง และเกี่ยวกับการคลอดบุตร
โดยที่นายแพทย์ได้เปิดอวัยวะที่พึงสงวนของนาง -โอ้อัลลอฮฺ! โปรดให้พวกเรารอดพ้นจากสิ่งไม่ดีเหล่านี้ด้วยเถิด
-
และเช่นเดียวกัน ถือเป็นความน่าเกลียดเป็นอย่างมาก
ก็คือการที่ได้พานายแพทย์มาทำคลอดให้แก่ผู้หญิง หรือตรวจโรคให้แก่นาง เราอนุญาตให้ชายแปลกหน้ามองไปยังเอาเราะฮฺผู้หญิงของเราได้อย่างไร
? โดยเฉพาะขณะที่นางไม่สบาย ทั้งๆ ที่นางเติบโตมาท่ามกลางความเรียบร้อยและและการปกปิดที่มิดชิดตามบัญญัติแห่งอิสลาม
ด้านที่สอง
เครื่องประดับแบบที่ไม่เปิดเผย
ด้านที่สอง : เกี่ยวกับเครื่องประดับที่พึงระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่อนุญาตให้แต่งงานกับนางได้ ก็คือ เครื่องประดับแบบที่ไม่เปิดเผย
ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿وَلَا يَضۡرِبۡنَ
بِأَرۡجُلِهِنَّ لِيُعۡلَمَ مَا يُخۡفِينَ مِن زِينَتِهِنَّۚ ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า
“และพวกนางอย่าได้กระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้ผู้อื่นได้รู้เครื่องประดับของพวกนางที่ได้ปกปิดไว้” (อัน-นูรฺ 31)
และผู้หญิงในยุคที่งมงายก่อนอิสลามในสมัยญาฮิลียะฮฺ
นางจะสวมกำไลเท้าไว้ข้างในเสื้อคลุมที่ยาวของพวกนาง ดังนั้นเมื่อนางได้เดินผ่านผู้ชาย
นางก็จะกระทืบเท้าของนางขณะที่เดิน จนกระทั่งเสียงกำไลที่ข้อเท้าดังออกมาเพื่อให้บรรดาผู้ชายนั้นรู้ว่านางนั้นได้ใส่กำไลเป็นเครื่องประดับ ดังนั้น
อัลลอฮฺก็ได้เปิดเผยสิ่งที่จิตใจของนางได้ซ่อนไว้ และพระองค์ได้ทรงห้ามการกระทำดังกล่าว
โอ้ ! พี่สาว และน้องสาวที่รักทั้งหลาย โปรดพิจารณาประการต่อไปนี้
ระหว่าง การที่ผู้หญิงคนหนึ่งกระทืบเท้ากับการที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้ปล่อยกางเกงของนางออกมานอกเสื้อคลุม อย่างไหนที่ถือว่าเป็นการโชว์เครื่องประดับมากกว่ากัน
?
และการที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้กระทืบเท้า และผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้ถลกกระโปรงของพวกนางขณะลงจากรถหรือขึ้นรถของนางหรือขณะที่เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า อย่างไหนถือว่าเป็นการโชว์เครื่องประดับมากกว่ากัน?
และการที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้กระทืบเท้าของนาง และการที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้สะพายกระเป๋าไว้บนบ่าของนางในขณะที่เดินอยู่ในตลาดหรือว่านางนั้นใส่รองเท้าส้นสูง และส่งเสียงดังขณะที่เดิน
อย่างไหนที่ถือว่าเป็นการโชว์เครื่องประดับมากกว่ากัน ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพต่างๆ เหล่านั้นรุนแรงและเป็นที่ต้องห้ามยิ่งกว่าอดีตหลายเท่านัก
บทส่งท้าย
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ จะเป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยผู้หญิงเป็นผู้รณรงค์ส่งเสริมในเรื่องนี้ด้วย จึงจะได้รับความสำเร็จในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้หญิง
1.
มีรายงานจากญะรีร บิน อับดุลลอฮฺ
เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เขาได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่ง พวกเราเคยอยู่พร้อมกับท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ในช่วงต้นๆ ของกลางวัน มีกลุ่มชนหนึ่งมาในสภาพไม่ใส่รองเท้า เสื้อผ้าขาดวิ่น โดยพวกเขาสะพายดาบ คนส่วนใหญ่จากพวกเขาเป็นผู้ที่ขัดสนยากจนหรือว่าทั้งหมดของพวกเขาเป็นผู้ยากจน(จากเผ่ามุฎ็อรฺ) ดังนั้น สีหน้าของท่านเราะสูลุลลอฮ
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นพวกเขาอยู่ในสภาพที่ยากจนเช่นนั้น
ท่านได้เข้าในบ้านหลังจากนั้นก็ได้ออกมาแล้วได้ใช้ท่านบิลาลให้ทำการเรียกสู่การละหมาด(อะซาน) และทำการอิกอมะฮฺแล้วท่านนบีได้นำละหมาด
หลังจากนั้นก็ได้กล่าวเทศนา จนถึงคำพูดของท่านที่ว่า
... ชายคนหนึ่งได้บริจาคเพียงหนึ่งดีนารฺหรือเพียงหนึ่งดิรฮัม
หรือให้บริจาคเสื้อผ้า หรือข้าวสาลีแค่เพียงศออฺหนึ่ง หรืออินทผลัมศออฺหนึ่ง จนกระทั่งท่านได้กล่าวว่า ถึงแม้อินทผลัมแค่ซีกเดียว
เขา(ญะรีร)ได้กล่าวว่า
ทันใดนั้น
ก็มีชาวอันศอรฺคนหนึ่งได้นำถุงเงินมาโดยที่เขาเกือบจะถือไม่ไหวหรือถือไม่ไหวจริงๆ แล้วเขา(ญะรีร)ได้กล่าวว่า
หลังจากนั้นผู้คนก็ได้ปฏิบัติตาม จนกระทั่งฉันได้เห็นอาหารและเสื้อผ้าสองกอง
และฉันเห็นใบหน้าของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เบิกบานขึ้นมา แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า
«مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَلَهُ أَجْرُهَا،
وَأَجْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا بَعْدَهُ مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أُجُورِهِمْ
شَيْءٌ، وَمَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ
سُنَّةً سَيِّئَةً كَانَ عَلَيْهِ وِزْرُهَا، وَوِزْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا مِنْ
بَعْدِهِ مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ» [أخرجه مسلم]
ความว่า
“ผู้ใดที่ได้ปฏิบัติ(ฟื้นฟู)
แนวทาง (แบบอย่าง) ที่ดีในอิสลาม ดังนั้นเขาก็จะได้ผลบุญในเรื่องนั้น และจะได้รับผลบุญของผู้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นหลังจากเขาด้วย โดยผลบุญของพวกเขาจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด และผู้ใดที่ได้วางแนวทางที่ชั่วร้ายขึ้นในอิสลาม ดังนั้นเขาก็ต้องแบกรับความผิดอันนั้น และความผิดของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นหลังจากเขา โดยที่ความผิดของพวกเขาจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด” (รายงานโดยมุสลิม)
และหะดีษนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าการกระทำนั้นมีผลต่อจิตใจของผู้คนมากกว่าคำพูด โดยที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ส่งเสริมให้ผู้คนทำการบริจาคแต่ไม่มีผู้ใดปฏิบัติ จนกระทั่งผู้ชายชาวอันศอรฺคนหนึ่งได้นำถุงเงินมาบริจาค
พวกเขาจึงปฏิบัติตาม
ดังนั้น
เรามีความต้องการผู้หญิงที่เข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องของความศรัทธา บุคลิกภาพของนาง เพื่อนางนั้นจะได้เป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น เพราะผู้คนทั้งหลายนั้นต่างก็มีความนิยมชมชอบความดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พวกเขายังขาดแบบอย่างที่ดี
เหมือนการเจ้าของถุงเงิน
การปฏิบัติของเขานั้นส่งผลให้เศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ถ้ามีผู้หญิงละทิ้งการสวมใส่เสื้อผ้าที่ต้องห้าม
และกลับมาใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดศรีษะของนาง พร้อมสวมถุงเท้าและถุงมือ
เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งได้ปฏิบัติตามการกระทำของนาง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านของนาง เครือญาติของนาง บรรดาเพื่อนๆ หรือแม้กระทั่งผู้คนบนท้องถนนที่ได้เห็นนางไม่ว่าในมัสยิดหรือในมหาวิทยาลัย และผู้หญิงทุกๆ คนที่ปฏิบัติตามต่อๆ
กันไป ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นการเพิ่มน้ำหนักความดีของนาง
บางทีคนคนหนึ่งได้ตายไปแล้ว แต่เขาได้รับผลบุญอยู่ เนื่องจากเขาเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติความดี ช่างเป็นรางวัลที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งโอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้
ข้าพเจ้าตั้งใจจะเชิญชวนครูผู้หญิงและบรรดานักเรียนในทุกระดับการศึกษา เพราะว่าประตูแห่งการเรียกร้องสู่อัลลอฮฺด้วยแบบอย่างที่ดีของนางนั้นกว้างมาก
เพราะนางนั้นได้สอนนักเรียนนับเป็นร้อยเป็นพันคน สิ่งที่นางสมควรต้องปฏิบัติก็คือ
การแสดงแบบอย่างที่ดี ไม่ว่าในเรื่องของคำพูด อิริยาบถ การคลุมหิญาบขณะมาโรงเรียน
และกลับจากโรงเรียน
และเป็นการดีที่นางจะเพิ่มคำชี้แจง
แนะแนว อบรมลูกศิษย์ของนางในบางคาบของการเรียนหรือช่วงพักระหว่างคาบ
และในทางกลับกันในหะดีษยังสำทับการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอีกด้วยดังที่ท่านเราะสูล
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า “และผู้ใดที่ได้วางแนวทางที่ชั่วร้ายขึ้นในอิสลาม ดังนั้นเขาก็ต้องแบกรับความผิดอันนั้น และความผิดของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นหลังจากเขา โดยที่ความผิดของพวกเขาจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด”
และในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ายังได้ตั้งใจที่จะเรียกร้องเชิญชวนบรรดาพ่อค้าที่ขายเสื้อผ้าของผู้หญิง
ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ที่ประเจิดประเจ้อ ดังนั้น
การที่ผู้หญิงสวมใส่เสื้อผ้าที่ผิดหลักการศาสนา ความผิดของนางก็จะได้รับกับผู้ที่ขายด้วย ท่านจงพิจารณาถึงสิ่งที่ท่านได้ขายเสื้อผ้าเหล่านั้นให้แก่บรรดาผู้หญิง เงินทองที่ท่านได้นำมาเลี้ยงดูและให้อาหารแก่ลูกๆ
ของท่านนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่หะรอม เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่ท่านต้องละทิ้งการกระทำอย่างนั้น
พี่น้องพ่อค้าที่มีเกียรติ
นี่คือการตักเตือนที่บริสุทธิ์ใจอย่างยิ่ง ท่านจงกลับตัวมุ่งสู่อัลลอฮฺอย่างจริงจังเถิด ท่านจงรำลึกถึงดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿وَمَن يَتَّقِ ٱللَّهَ
يَجۡعَل لَّهُۥ مَخۡرَجٗا ٢ وَيَرۡزُقۡهُ مِنۡ حَيۡثُ لَا يَحۡتَسِبُۚ ﴾ [الطلاق: ٢-٣]
ความว่า
“และผู้ใดได้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พระองค์ก็จะให้ทางออกแก่เขาและจะให้ปัจจัยยังชีพแก่เขา
โดยที่เขาไม่อาจคาดคิด” (อัฏ-เฏาะลาก
2-3)
และในหะดีษนี้ ยังเป็นการเรียกร้องและคาดโทษเอาไว้สำหรับผู้นำครอบครัว
สำหรับผู้ที่เป็นพ่อและสามี เพราะว่า วารสาร ม้วนเทป ทีวี เครื่องเล่นวีดีโอ จานดาวเทียม
และสื่อบันเทิงต่างๆ ที่ท่านได้นำไปอยู่ในบ้านของท่าน และมีการดูในสิ่งที่ต้องห้ามเช่น
รูปภาพของผู้หญิงหรือฟังในสิ่งที่ต้องห้ามเช่น เสียงเพลง ดังนั้น เมื่อสมาชิกของครอบครัวของท่านหรือแขกผู้มาเยือนได้รับชมหรือรับฟังในสิ่งดังกล่าว ท่านจะต้องแบกรับความผิดของพวกเขาเหล่านั้นด้วย หรือบางครั้งผู้นำครอบครัวได้เสียชีวิตลง เขายังต้องแบกความผิดของสมาชิกครอบครัวของเขาในหลุมฝังศพอีกด้วยตราบใดที่พวกเขาได้ชมหรือได้ฟังในสิ่งที่หะรอม
และเช่นเดียวกัน
สภาพของผู้ที่ใช้ให้คนในครอบครัวของเขาเปิดหน้า ถอดถุงมือและใช้ให้สวมเสื้อผ้าที่ประเจิดประเจ้อ
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
เขาจะต้องแบกรับความผิดเหล่านั้นทั้งสิ้น
2.
ในจำนวนสาเหตุสำคัญที่จะทำให้สามารถหลุดพ้นจากความบกพร่องในเรื่องของการสวมใส่เสื้อผ้าและการคลุมหิญาบ ก็คือ การแก้ไขโดยการอบรมด้วยจริยธรรมอิสลาม
ให้รู้จักความละอาย
และให้สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดตั้งแต่เด็กๆ และอบรมเด็กให้มีความภาคภูมิใจในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น แน่นอนเด็กๆ จะเติบโตขึ้นมาตามที่เขาได้รับการอบรมด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ
แต่ผู้คนในปัจจุบัน
พวกเขากลับเดินสวนทางวิธีข้างต้น โดยไม่มีความรู้สึกใดๆ
ในเรื่องนั้น ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างในเรื่องดังกล่าว
ท่านจงพิจารณาดูเสื้อผ้าของเด็กผู้ชายอายุระหว่าง 5-6 ขวบ
ท่านจะพบว่าเสื้อของเขานั้นทั้งใหญ่และยาวจนเลยตาตุ่ม และเมื่อมีการเตือนอย่าให้ทำเช่นนั้นเพื่อว่าให้เขาได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแบบอย่างของท่านนบี
กลับได้รับคำตอบจากผู้เป็นแม่ว่า มันไม่เข้ากับกระแสสังคม หรือไม่ก็พูดว่า อีก 2-3
เดือนเขาก็จะโตและสูงกว่านี้ และท่านจะพบคำแก้ตัวและข้ออ้างต่างๆ
นานาจากผู้ปกครองของเด็ก
ในทางกลับกัน ท่านจะพบว่าพี่สาวหรือน้องสาวของเด็กผู้ชายคนนั้นที่อายุต่างกันแค่
1 ปี หรือ 2 ปี กลับใส่เสื้อผ้าที่ไม่มีแขน และความยาวของเสื้อผ้านั้นมีความยาวแค่ครึ่งหน้าแข้งหรือสั้นกว่านั้น อะไรคือเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดความแตกต่างอันนี้
แท้จริงผู้ที่เป็นแม่จำนวนมาก จะพบว่าลูกสาวของพวกนางที่เป็นวัยรุ่นจะดื้อดึงในเรื่องของการแต่งกายและการคลุมหิญาบ สาเหตุสำคัญของเรื่องนี้คือการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่
มีสุภาษิตอาหรับกล่าวไว้ว่า “ความละอายของเด็กสาวอยู่ในห้องของนาง” และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺได้ให้มาคู่กับผู้หญิง แต่การอบรมสั่งสอนนั้นสามารถที่จะลบล้างความละอายอันนี้ออกไปได้ ดังนั้น เมื่อผู้ใดได้ถูกอบรมให้ปะปนกับผู้ชาย
ให้สวมกางเกงและนุ่งสั้น
นางก็จะเติบโตมาในสภาพดังกล่าว
และยากที่จะแก้ไขได้
ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงบางคนมีความละอายที่จะปกปิดใบหน้าและสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด จงดูเถิดว่า
เรื่องความละอายกลับกลายเป็นสิ่งประหลาดตาลปัตรสำหรับเด็กสาวพวกนี้เพราะวิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่ได้อย่างไร
3. ขอสื่อสารไปยังพ่อค้ามุสลิมว่า
แท้จริงแล้ว มีพ่อแม่จำนวนมากที่ปวดหัวกับปัญหาการแต่งกายของลูกสาว
เวลาที่เข้าไปหาซื้อเสื้อผ้าตามร้านหรือตลาด ก็มักจะเจอแต่พวกเสื้อผ้าสั้นๆ
หรือไม่ก็มีรูปภาพและไม่เหมาะสม
ถ้ามีนักธุรกิจมุสลิมที่สามารถจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมและมีคุณภาพดี
แน่นอนว่านี่คือการค้าขายที่เป็นการดะอฺวะฮฺเชิญชวนสู่ความดีงามอีกทางหนึ่งด้วย
และเป็นแบบอย่างที่จะได้ผลบุญตอบแทน
ประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องที่นักธุรกิจหลายคนหลงลืมกันอยู่
4. ข้าพเจ้าสังเกตผู้หญิงบางคน
เวลาที่ท่านถามนางเกี่ยวกับบทบัญญัติการชำระทำความสะอาดร่างกาย การละหมาด
การถือศีลอด หรือการทำหัจญ์
พวกนางดูเหมือนจะตอบรับอย่างแข็งขันที่จะทำอิบาดะฮฺเหล่านี้ให้ถูกต้องและสมบูรณ์
บางครั้งอาจจะถึงขั้นเคร่งครัดกับคำตอบที่อะลุ่มอล่วยของผู้รู้ที่ตอบคำถามนางด้วยซ้ำ
แต่เมื่อพูดถึงประเด็นหิญาบ เสื้อผ้าการแต่งกาย
หรือการอยู่ในรถสองต่อสองกับคนขับรถ สภาพความเคร่งครัดของนางกลับเปลี่ยนไปเลย
นางจะหาผู้รู้ที่ให้คำตอบกว้างๆ ในการฟัตวา และยึดเหนียวแน่นกับวินิจฉัยนั้นๆ
ถึงแม้ว่าจะค้านกับหลักฐานก็ตาม แท้ที่จริงแล้ว นี่คือการเรียกร้องของอารมณ์ใฝ่ต่ำที่คอยชักชวนสู่ความเลวทรามนั่นเอง
5. ประการสุดท้าย
เป็นสารแด่ผู้ที่ใส่เสื้อคลุมประเภทแฟชั่นมีสีสันลวดลาย
และเสื้อผ้าต้องห้ามทั้งหลาย แด่ผู้ที่ถอดหิญาบเวลาเดินทางออกนอกประเทศ แด่แพทย์หญิงและนางพยาบาลที่ปล่อยปะละเลยในการคลุมหิญาบเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล
แท้จริง ข้าพเจ้าขอกล่าวเรียกร้องพวกนางทั้งหลายให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ
และให้รีบกลับตัวเตาบะฮฺต่ออัลลอฮฺ
กับการที่พวกนางใส่เสื้อผ้าที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นหรือการที่พวกนางละทิ้งหิญาบที่ถูกต้องตามหลักศาสนา
เพราะแท้จริงแล้ว
การเตาบะฮฺนั้นถือเป็นอิบาดะฮฺที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รักของอัลลอฮฺ
﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ
ءَامَنُواْ تُوبُوٓاْ إِلَى ٱللَّهِ تَوۡبَةٗ نَّصُوحًا﴾ [التحريم: ٨]
ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
จงเตาบัตกลับตัวต่ออัลลอฮฺ ด้วยการกลับตัวอย่างจริงจัง” (อัต-ตะห์รีม 8)
﴿ وَتُوبُوٓاْ إِلَى
ٱللَّهِ جَمِيعًا أَيُّهَ ٱلۡمُؤۡمِنُونَ لَعَلَّكُمۡ تُفۡلِحُونَ ٣١ ﴾ [النور: ٣١]
ความว่า “และจงเตาบัตต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้
บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จ” (อัน-นูรฺ 31)
﴿إِنَّ ٱللَّهَ يُحِبُّ
ٱلتَّوَّٰبِينَ وَيُحِبُّ ٱلۡمُتَطَهِّرِينَ ٢٢٢ ﴾ [البقرة: ٢٢٢]
ความว่า “แท้จริง
อัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่เตาบัต และบรรดาผู้ที่ชำระล้างให้สะอาด”
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ 222)
และมีหะดีษเศาะฮีหฺจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้กล่าวว่า
«كُلُّ ابْنِ آدَمَ خَطَّاءٌ
وَخَيْرُ الْخَطَّائِينَ التَّوَّابُونَ» [رواه الترمذي]
ความว่า
“ลูกหลานอาดัมทุกคนนั้นย่อมเป็นผู้ที่พลาดพลั้งกระทำผิด
และผู้กระทำผิดที่ดีที่สุดคือผู้ที่กลับตัว” (รายงานโดยอัต-ติรมิซีย์)
แท้จริง
ในจำนวนกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงและเป็นอื่นได้
คือสิ่งที่ระบุในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
﴿ وَمَآ أَصَٰبَكُم
مِّن مُّصِيبَةٖ فَبِمَا كَسَبَتۡ أَيۡدِيكُمۡ وَيَعۡفُواْ عَن كَثِيرٖ ٣٠ ﴾ [الشورى: ٣٠]
ความว่า
“อะไรก็ตามที่ประสบกับพวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายใดๆ
นั่นย่อมมาจากสิ่งที่มือของพวกเจ้าไขว่คว้ามาทั้งสิ้น
และอัลลอฮฺนั้นทรงอภัยไม่เอาความแก่พวกเจ้าอย่างมากแล้ว” (อัช-ชูรอ 30)
เพราะฉะนั้น มนุษย์คนหนึ่งอาจจะโดนโรคร้าย หรือความทุกข์ใจ หรือความล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จ
อันเนื่องมาจากบาปที่เขาทำ
บรรดาอุละมาอ์ได้แบ่งความชั่วออกเป็นสองอย่าง คือ
ความชั่วของการกระทำ และ ความชั่วของผลแห่งการกระทำ
ความชั่วของการกระทำ ก็คือ สิ่งที่เขาทำในครั้งแรก
ส่วนความชั่วของผลแห่งการกระทำ ก็คือ ความผิดครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่
หรือบางทีเขาอาจจะทำความผิดอื่นๆ
ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็นการลงโทษจากอัลลอฮฺเพราะเขาไม่ได้กลับตัวเตาบัตต่อพระองค์
อิบนุล ก็อยยิม
ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับโทษอันเลวร้ายของบาป
ซึ่งข้าพเจ้าขอเชิญชวนและเสนอให้ทุกคนได้อ่านมัน นั่นคือหนังสือ “อัด-ดาอ์ วะ
อัด-ดะวาอ์” (หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ อัล-ญะวาบ อัล-กาฟี ลิมัน สะอะละ อัน
อัด-ดะวาอ์ อัช-ชาฟี) ซึ่งท่านอิบนุล ก็อยยิม
ได้คัดเอาคำพูดจากบรรดาสะลัฟที่บอกว่า
พวกเขาได้เห็นร่องรอยของบาปที่พวกเขาทำในพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงหรือในการแสดงออกของบรรดาภรรยาของพวกเขาเอง
ท่านอิบนุล ก็อยยิม ยังได้หยิบยกอีกหลายๆ
เรื่องที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับบั้นปลายที่เลวร้ายในชีวิตอันเนื่องมาจากการทำบาป
เราขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ทรงประทานบั้นปลายที่ดีด้วยเถิด
ดังนั้น ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้าน และที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา
ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดมาจากสาเหตุทางวัตถุเท่านั้น
บางครั้งมันอาจจะเกิดมาจากบาปที่คนใดคนหนึ่งทำก็เป็นได้
การที่ภรรยาเกิดอาการไม่พอใจสามีในบางครั้ง
ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากบาปที่ถูกกระทำขึ้นมานั่นเอง
พึงจำเถิด โอ้พี่น้องมุสลิมะฮฺทั้งหลาย ว่าเหล่าเศาะหาบิยาตนั้นได้รีบเร่งที่จะสนองต่อคำเรียกร้องอัลกุรอานที่สั่งให้พวกนางคลุมหิญาบ
ตามที่มีรายงานจากอุมมุ สะละมะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า เมื่ออายะฮฺที่บอกว่า
“ให้พวกนางใส่เสื้อคลุมของพวกนางลงมาปกปิดตัวพวกนาง” ถูกประทานลงมา
บรรดาหญิงชาวอันศอรฺก็ได้ออกมาประหนึ่งว่าบนหัวของพวกนางทั้งหลายมีนกกาสีดำอยู่เพราะพวกนางได้ปกปิดศรีษะเอาไว้แล้ว
(บันทึกโดยอบู ดาวูด ด้วยรายงานที่ดี)
พึงจำไว้ด้วยว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้กล่าวเตือนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านบ่อยมากว่า “จงระลึกถึงความตายให้มากๆ”
ท่านนบีได้บอกว่าจงระลึกให้มาก
ซึ่งแสดงว่าเราไม่ได้ถูกใช้ให้ระลึกความตายแล้วก็จบแค่นั้น
แต่ยังต้องคิดถึงความตายให้มากๆ ด้วย
เพื่อให้หัวใจได้รับอุทาหรณ์และตื่นขึ้นมาจากความหลงลืม
พวกเธอชอบกระนั้นหรือที่จะเสียชีวิตในขณะที่พวกเธอแต่งกายไม่ถูกต้อง
หรือตายในขณะที่ไม่ได้สวมหิญาบ หรือในขณะที่ละเลยกับหิญาบที่ถูกต้อง ?
ถ้าเธอต้องการสวรรค์ก็จงรีบเตาบัตต่ออัลลอฮฺเถิด
สุดท้าย
นี่คือคำเชิญชวนเพื่อให้ทบทวนและพิจารณาใหม่เกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิง
ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ทรงแก้ไขปรับปรุงสภาพของศรัทธาชนหญิงทั้งหลาย
ขอพระองค์ประทานให้แก่พวกนางซึ่งการปกปิด ความบริสุทธิ์จากมลทิน ความละอาย
และสงวนตนอย่างมิดชิด ขออัลลอฮฺประทานอภัยแก่พวกเรา เมตตาเรา
และรับการเตาบัตของเรา
والحمد لله، وصلى وسلم على نبينا محمد
وعلى آله وصحبه أجمعين .
นี่คือการถอดเทปการบรรยายที่อัดไว้เมื่อปี ฮ.ศ. 1421 โดย ดร.ยูสุฟ บิน อับดุลลอฮฺ อัล-อะห์มัด ม.อิมามบินสุอูด
คณะชะรีอะฮฺ สาขาฟิกฮฺ ตู้ ป.ณ. 156616 ริยาด 11778
แฟกซ์ 01-4307275 โทรศัพท์มือถือ 05-5920634
http://www.saaid.net/Doat/yusuf/21.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น