หัวข้อ: ผมสงสัยในตัวอาจารย์ครับ (อ่าน 2257 ครั้ง)
มุสลิมแบบแมนๆ
บุคคลทั่วไป
ผมสงสัยในตัวอาจารย์ครับ
« เมื่อ: กันยายน 15, 2011, 03:09:55 PM »
อัสลามมุอ้าลัยกุ้มครับ อาจารย์ ก่อนอื่นผมต้องขอมะอัฟ ขอโทษอาจารย์ที่ครั้งนึงผมเคยมาโพสท์ตำหนิอาจารย์ เรื่องงานเมาลิด หลังจากนั้นผมก็วิพากษ์วิจารณ์อาจารย์เป็นการใหญ่ หมายถึงวิเคราะห์ในการบรรยายของอาจารย์ในแต่ละครั้ง และผมก็นำไปคุยกับเพื่อนๆ และบอกกับเพื่อนๆว่า อาจารย์อาลีอ่ะ ไม่ธรรมดา
เพราะผมวิเคราะห์หลายๆเทป ก็ต้องขอมอัฟอาจารย์อีกทีนะครับ ในถานะลูกผู้ชาย ผมยอมรับผิด ที่ผมบอกเพื่อนว่าอาจารย์ไม่ธรรมดานั้น ผมจะฟังลักษณะการตอบปัญหาของอาจารย์ว่ามีแนวทางตรงกับ อาจารย์สุนนะฮ์ท่านอื่นๆไหม หมายถึง ตรงตามกีตาร์บุลลอฮและสุนนะฮ์ไหม สรุปว่าใช่ครับ อาจารย์ตอบได้ตรง
ยกหลักฐานและตัวบทมาบอกทุกๆอย่าง อย่างงานเมาลิด อาจารย์ก็ตอบว่า นบีไม่ได้ให้จัดวันเกิดให้นบี อาจารย์ก็ตอบได้ตรงกับตัวบท เพราะอาจารย์เอาตัวบทจากอัลกุรอานและฮาดิษเป็นหลัก ซึ่งผมขอชื่นชมอาจารย์ครับ
แต่ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่งครับอาจารย์ ทำไมอาจารย์ต้องยกหลักฐานจากตรงอื่นมาเสริม เช่นเรื่อง มัซฮับ ชาฟิอีว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ แต่ลึกๆของผม ผมคิดว่าเป็นฮิกมะฮของอาจารย์ ในการที่จะทำพี่น้องของเรา ทำตามตัวบท แต่อาจารย์ครับ ความคิดผม ผมว่าถ้าเราไปชี้แนะให้เอามัซฮับมาวิเคราะห์ให้ได้คำตอบ ผมเกรงว่าพี่น้องของเราจะติดยึดกับมัซฮับด้วยนะครับ กลับกลายเป็น กีตาบุลลอฮ ซุนนะฮ ชาฟีอียะฮ ก็อีหม่ามทั้งสี่ ให้เราตามฮาดิษซอเฮี๊ยะ ไม่ไช่หรือครับ ผมเกรงว่า พี่น้องเราจะเข้าใจผิดนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งพวกเราเนี่ย เอาอุลามะอ อยู่แล้วนี่ครับอาจารย์ อุลามะอคนไหนก็ได้ที่ตอบ วินิจฉัย ได้ตรงหรือใกล้เคียงตัวบทนะครับ แต่ถ้าเราไปยก จาก ฮัมบัลลี ฮานาฟี ชาฟิอี มาลิกี จะทำให้คนเอาวามทั่วๆไป ไม่เข้าใจ และหลง ตะอัซซุบ ได้นะครับ โดยเฉพาะในบ้านเราไม่เหมือนที่อื่นๆ อันนี้ก็เป็นข้อข้องใจนิดนึงครับสำหรับผม ผมอยากให้อาจารย์ได้ไขข้อข้องใจผมหน่อยครับ คือผม ไม่ได้เหนียตมาตำหนิอาจารย์ มาเป็นศัตรูอาจารย์นะครับ เมื่อก่อนอาจมี แต่เดี๋ยวนี้ ความคิดผมเปลี่ยน รู้สึกดีกับอาจารย์มากขึ้น ชัดเจนมากขึ้นนะครับ ผมขอมะอัฟอาจารย์อีกทีนะครับ ผมอยู่ปากลัดครับ
อาลี เสือสมิง
ตอบ : ผมสงสัยในตัวอาจารย์ครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2011, 09:24:04 AM »
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
ยินดีรับการขอมะอัฟด้วยความเต็มใจครับ
เมื่อขอมะอัฟอีกครั้งก็ยินดีรับการขอมะอีฟอีกครั้งเช่นกัน ในฐานะลูกผู้ชายซึ่งเป็นลูกของแม่เช่นกัน
ทำไมต้องยกหลักฐานจากตรงอื่นมาเสริม เช่นเรื่องมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ คำตอบอยู่ในความคิดของคุณแล้วตรงที่ว่า “แต่ลึกๆ ของผม ผมคิดว่าเป็นฮิกมะฮฺของอาจารย์ในการที่จะทำให้พี่น้องของเราทำตามตัวบท” นี่คือคำตอบประการที่หนึ่ง
ส่วนทีแสดงความคิดมานับตั้งแต่ประโยคที่ว่า
อ้างถึง
แต่อาจารย์ครับ ความคิดผม ผมว่าถ้าเราไปชี้แนะให้เอามัซฮับมาวิเคราะห์ให้ได้คำตอบ ผมเกรงว่าพี่น้องของเราจะติดยึดกับมัซฮับด้วยนะครับ กลับกลายเป็น กีตาบุลลอฮ ซุนนะฮ ชาฟีอียะฮ ก็อีหม่ามทั้งสี่ ให้เราตามฮาดิษซอเฮี๊ยะ ไม่ไช่หรือครับ ผมเกรงว่า พี่น้องเราจะเข้าใจผิดนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งพวกเราเนี่ย เอาอุลามะอ อยู่แล้วนี่ครับอาจารย์ อุลามะอคนไหนก็ได้ที่ตอบ วินิจฉัย ได้ตรงหรือใกล้เคียงตัวบทนะครับ แต่ถ้าเราไปยก จาก ฮัมบัลลี ฮานาฟี ชาฟิอี มาลิกี จะทำให้คนเอาวามทั่วๆไป ไม่เข้าใจ และหลง ตะอัซซุบ ได้นะครับ โดยเฉพาะในบ้านเราไม่เหมือนที่อื่นๆ อันนี้ก็เป็นข้อข้องใจนิดนึงครับสำหรับผม
คำตอบของผมต่อข้อข้องใจของคุณว่าทำไมจึงต้องอ้างทัศนะบรรดานักปราชญ์อุละมาอฺระดับมุจตะฮิดเจ้าของมัซฮับทั้ง 4 ด้วย ทำไมไม่ตอบตามตัวบทที่กิตาบุลลฮฺและสุนนะฮฺว่าไว้ ทั้งๆที่อิหม่ามทั้ง 4 บอกให้เราตามหะดีษเศาะฮีหฺ คำตอบทั้งหมดอยู่ในคำกล่าวของคุณที่ว่า “.....พวกเราเนี่ย เอาอุละมาอฺอยู่แล้วนี่ครับอาจารย์...”
ตรงนี้แหล่ะเป็นคำตอบของผมเช่นกันว่าทำไมผมจึงต้องตอบโดยอ้างบรรดาอุละมาอฺเหล่านั้นซึ่งพวกท่านไม่เพียงแต่ใช้ให้เราตามตัวบทจากกิตาบุลลฮฺและสุนนะฮฺแค่นั้น แต่ท่านเหล่านั้นยังมีความรู้และเข้าใจตัวบทเหล่านั้นได้ดีอีกด้วย เพราะอิหม่ามทั้ง 4 ท่านเป็นนักวิชาการหะดีษและเป็นมุจญตะฮิดคือมีภาวะทางภูมิปัญญาในการวิเคราะห์สูงกว่าคนเอาวามอย่างผม
เมื่อท่านเหล่านั้นรู้จักหลักฐานที่มาจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺจนเป็นที่ยอมรับของปวงปราชญ์อะหฺลิสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺและมีความเจนจัดในการวิเคราะห์และวินิจฉัยปัญหาที่มีหลักเกณฑ์ (กออิดะฮฺ) ซึ่งได้จากตัวบทตลอดจนกำชับให้พวกเรายึดถือตามตัวบท และห้ามมิให้เรายึดถือทัศนะของท่านเหนือกว่าตัวบทจึงเป็นสิ่งประกันได้ว่าพวกท่านเหล่านั้นจะไม่วินิจฉัยประเด็นทางศาสนาที่ค้านกับตัวบทโดยเจตนาหรือรู้ทั้งรู้
ผมอาจจะเห็นต่างกับคำกล่าวของคุณตรงที่ว่า
อ้างถึง
“อุละมาอฺคนไหนก็ได้ที่ตอบวินิจฉัยได้ตรงหรือใกล้ตัวบทนะครับ...
”
และอุละมาอฺที่ว่านั้นเป็นอุละมาอฺคนไหนละครับ ก็อุละมาอฺใน 4 มัซฮับโดยเฉพาะบรรดามุจญ์ตะฮิดทั้งมุฏลักและมุก็อยยัดบิลมัซฺอับนั่นงัยเล่าที่ตอบและวินิจฉัยได้ตรงและใกล้เคียงกับตัวบทหรือว่าไม่ใช่ครับ ถ้าใช่ก็ไม่แปลกเลยที่เราจะอาศัยการวิเคราะห์แล้ววินิจฉัยของพวกเขาเพื่อนำไปถึงตัวบทของศาสนาและยุติด้วยตัวบท
และถ้าหากคุณพิจารณาคำตอบในคอลัมน์ “ถามตอบปัญหาคาใจ” ที่ผมตอบ ผมก็มิได้ยึดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใด หรืออุละมาอฺคนหนึ่งคนใดโดยผูกขาดหรือตะอัศศุบฺ คำฟัตวาของคณะฟัตวาของซาอุดี้ผมก็นำมาอ้างมาเป็นคำตอบ คำฟัตวาของบรรดามุฟตียฺหลายๆ ท่านในประเทศอียิปต์ผมก็มักนำมาอ้างเป็นคำตอบ คำฟัตวาของนักวิชาการร่วมสมัย อย่าง ดร.ยูสุฟ อัล-กอรฎอวียฺ , ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุหัยลียฺ ผมก็นำมาอ้างอยู่เนืองๆ
แต่ที่จะต้องเน้นทัศนะของนักวิชาการในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺก็เพราะผมเป็นคนเอาวามที่ถือตามมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ ผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเราก็ถือตามมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ การตอบก็เป็นอ้างคำตอบของบรรดาอุละมาอฺในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺซึ่งมิใช่คำตอบของผมทั้งหมด ผมอาจจะหาคำตอบจากทัศนะของมัซฮับอื่นมาประกอบด้วยและบางทีก็เห็นด้วยและให้น้ำหนักกับทัศนะนั้นซึ่งไม่ใช่ทัศนะในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ เพราะท่านเหล่านั้นเป็นอุละมาอฺจริงนั่นงัย ผมจึงอ้างถึงท่านเหล่านั้น
ซึ่งนี่เป็นวิธีการนำเสนอเพื่อให้ครบถ้วนรอบด้านและนำสู่ข้อยุติของปัญหาที่ใกล้เคียงหรือสอดคล้องกับตัวบทจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ กล่าวคือ ผมนำเสนอความเห็นของอุลามะอฺเหล่านั้นว่าท่านวิเคราะห์ปัญหาอย่างไรและมีมุมมองและความเข้าใจต่อตัวบทอย่างไร แล้วหาข้อสรุปที่ดีที่สุด มิใช่ว่าผมทำตัวเป็นอุละมาอฺเสียเอง
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นในบ้านเราขณะนี้คือ ผู้รู้ที่นิยมอ้างตัวบทโดยตรงนั้นโดยไม่มีการนำทัศนะความเห็นของอุละมาอฺทั้ง 4 มัซฮับมาประกอบและบอกให้ครบถ้วนในการตอบปัญหานั้น จริงๆ แล้วพวกเขาก็ยึดเอาความเห็นของอุละมาอฺที่วินิฉัยเอาไว้แล้วมาตอบนั่นเอง ไม่ใช่ว่าพวกเขาเข้าถึงตัวบทโดยไม่เคยเรียนรู้กับทัศนะของอุละมาอฺผู้สันทัดกรณีมาก่อน
สิ่งที่พวกเขาตอบนั้นจริงๆ แล้วโดยมากหรือเกือบทั้งหมดต่างก็มีการวิเคราะห์ของอุละมาอฺในอดีตมาแล้วทั้งสิ้น แล้วพวกเขาก็ยึดหนึ่งจากความเห็นของอุละมาอฺเหล่านั้นมาชี้ขาดโดยบอกว่านั่นคือตัวบทหรือคำตอบตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็คือกลายเป็นว่าถ้าใครไปมีทัศนะที่ต่างออกไปจากนั้นก็จะกลายเป็นพวกไม่เอากิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงอาจจะมิใช่เช่นนั้นเลย
หลายๆประเด็นที่นักวิชาการบ้านเราฟันธงแล้วประทับตราว่านี่คือคำตอบตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺนั่นแหล่ะ โดยเนื้อแท้ของมันคือการสร้างการตะอัศศุบกับคนเหล่านั้น ข้อนี้น่ากลัวยิ่งกว่าที่คุณกลัวเกี่ยวกับเรื่องตะอัศศุบกับมัซฮับในบ้านเราเสียอีก
เพราะในขณะที่นักวิชาการเหล่านั้นฟันธงว่านี่แหล่ะคือคำตอบตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ มิใช่ทัศนะอุละมาอฺคนนั้นคนนี้ว่า ทั้งๆ ที่สิ่งที่พวกเขาตอบมันมีทัศนะของอุละมาอฺคนหนึ่งจาก 4 มัซฮับตอบเอาไว้แล้ว แล้วพวกเขาก็ยึดเอาทัศนะนั้นมาว่าพร้อมกับตีตราประทับดังกล่าว ใครที่พูดอื่นจากนั้นก็กลายเป็นของเถื่อนของปลอมไป
ที่สำคัญก็คือขณะที่พวกเขากล่าวว่า พี่น้องทั้งหลายจงเชื่ออย่างนี้ จงปฏิบัติอย่างนั้น เพราะนี่เป็นไปตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ อย่าได้ถือในมัซฮับ อย่าได้ยึดมั่นตะอัศศุบกับอิหม่ามท่านนั้นท่านนี้ คำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่ถูกต้องไม่ผิดเลยแต่สิ่งที่แอบแฝงและอยู่ในความมุ่งหมายของคำพูดก็คือ สิ่งที่เสียหายโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ “ต้องตามเรา ต้องเชื่ออย่างเรา เพราะเราตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ” ในที่สุดพวกเขากำลังตั้งมัซฮับใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
และผลข้างเคียงก็คือ ใครที่ถือมัซฮับเดิมหนึ่งใน 4 มัซฮับนั้นเป็นพวกตะอัศศุบ เอาอุละมาอฺเป็นใหญ่ ไม่ตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ! นี่แหล่ะตะอัศศุบของจริงที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเรา
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือ พวกเขากลายเป็นกลุ่มบรรทัดฐานที่จะวัดความเป็นสุนนะฮฺไปเสียแล้ว
อย่างผมนี่ไง กรณีคำตอบของผมถูกนำมาเทียบเคียงกับแนวทางของบุคคลเหล่านั้นว่าผมมีลักษณะการตอบปัญหาตรงกับแนวทางของอาจารย์สุนนะฮฺท่านอื่นๆ หรือไม่ แล้วคุณก็นิยามว่า
อ้างถึง
“หมายถึงตรงตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺไหม สรุปว่าใช่ครับ อาจารย์ตอบได้ตรง”
ตรรกะง่ายๆ ก็คือ “ผู้ที่ตอบตรงกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺเป็นอาจารย์สุนนะฮฺ อาลี เสือสมิง ตอบตรงกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ เพราะฉะนั้น อาลี เสือสมิง เป็นอาจารย์สุนนะฮฺ หรือว่า : การตอบตามตัวบทโดยตรงคือแนวทางของอาจารย์สุนนะฮฺ อาลี เสือสมิง ไม่ตอบตามตัวบทโดยตรงแต่ใช้ทัศนะของอุละมาอฺ สรุปได้ว่าแนวทางของอาลี เสือสมิง ไม่ใช่แนวทางของอาจารย์สุนนะฮฺ
คุณนึกออกหรือยังครับว่า บุคคลเหล่านั้นกลายเป็นบรรทัดฐานนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดเรื่องความเป็นสุนนะฮฺไปเสียแล้ว คำว่า กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺกลายเป็นเพียงคำอธิบายและรับรองความเป็นบรรทัดฐานตัวชี้วัดของพวกเขา เพราะจริงๆ แล้วกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺต่างหากคือบรรทัดฐานที่แท้จริง มิใช่กลุ่มคณะบุคคลหรือองค์กรหนึ่งองค์กรใด
กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺคือสัจธรรมเป็นตัวบทที่สมบูรณ์ ไม่มีความบกพร่องใดๆ เลย แต่คนหรือคณะบุคคลหรือแม้แต่องค์กรสถาบันซึ่งจัดตั้งและวางแนวทางโดยคน (มนุษย์) อาจจะผิดพลาดหรือบกพร่องในการทำความเข้าใจกับกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺได้เป็นธรรมดา นี่คือความจริงที่จำต้องแยกระหว่างสถานภาพของตัวบททางศาสนากับสภาวะความบกพร่องหรือมีขีดจำกัดของปัญหามนุษย์ที่เราเรียกว่า “คน”
และข้อเท็จจริงของมนุษย์ที่เรียกว่า “คน” นี้ก็คือมีระดับสติปัญญาและวุฒิภาวะทางปัญญาที่แตกต่างกัน ผมถึงอาศัยบรรดานักปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญาในยุคสะลัฟศอลิหฺเป็นเกณฑ์และอาศัยพลังการวิเคราะห์ของพวกท่านเหล่านั้นเป็นหนทางที่จะเข้าถึงกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺและการหาคำตอบในประเด็นข้อปลีกย่อยทางนิติศาสตร์
เพราะผมเชื่อว่าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมมีหะดีษนับหมื่นนับแสนบทอยู่ในคลังสมองของพวกท่าน มีอัล-กุรอานทั้งเล่มอยู่ครบถ้วนในการจดจำของพวกท่าน มีสรรพวิชาที่เหมือนเครื่องมือที่จะใช้ในการประกอบการวิเคราะห์ตัวบทจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺอย่างพร้อมมูล เมื่อนี่เป็นวิธีคิดและวิถีทางของผมซึ่งผมยอมรับต่อคุณูปการในการสืบสานและถ่ายทอดหลักคำสอนของศาสนามาสู่คนรุ่นหลัง จึงไม่แปลกที่ผมจะถ่ายทอดทัศนะและการวิเคราะห์ตัวบทของพวกท่านเหล่านั้นเพื่อนำไปสู่ข้อเท็จจริง
และสิ่งเหล่านั้นคือมรดกทางวิชาการที่ล้ำค่า ซึ่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานให้แก่บรรดาอุละมาอฺเหล่านั้นที่เป็นธรรมทายาทของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) และกลายเป็นความประเสริฐของประชาชาตินี้ที่บรรดาอุละมาอฺของประชาชาติคือผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกเขา ลองคิดสักนิด หากว่าเราไม่ถ่ายทอดมรดกทางวิชาการเหล่านั้น ไม่นานข้อมูลทางวิชาการเหล่านี้ก็จะสูญหายไปในที่สุดด้วยเหตุผลที่เราอ้างว่า ไม่จำเป็นต้องอาศัยพวกเขาอีกแล้ว
สำหรับผมแล้ว ความเป็นครูสอนศาสนาเป็นชีวิตและวิถีของผม ครูย่อมไม่หวงวิชา ครูต้องทำหน้าที่อธิบายแก่ศิษย์โดยไม่ปิดบังความรู้ และมรดกทางวิชาการของอุละมาอฺในอดีตนับแต่ยุคสะลัฟศอลิหฺก็คือความรู้ที่ทรงคุณค่าที่เราจะมองข้ามไปโดยคิดว่า “ไร้ค่า ไร้ราคา” มิได้โดยเด็ดขาด เพราะนั่นก็เท่ากับเรากำลังกระทำตนเยี่ยงคนไม่รู้คุณคน และเรากำลังดูถูกครูผู้ให้ความรู้แก่เราโดยไม่รู้ตัว
และอะมานะฮฺทางวิชาการที่เป็นจรรยาบรรณของครูก็คือ การถ่ายทอดความรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่แอบอ้างในความรู้ของผู้อื่นและอ้างความรู้นั้นว่าเป็นของตน ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าก็คือคนที่เรียนรู้มาจากผู้อื่น แอบอ้างคำตอบที่ตนเข้าใจตัวบทตามความรู้ที่ได้รับมาแล้ว ก็ไม่อ้างว่ารู้มาจากใคร กลับอ้างความรู้เป็นของตน
และที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ คนที่เข้าใจเอาเองและตอบตามความคิดของตนแล้วสรุปว่านั่นคือ กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ คนเช่นนี้แหล่ะที่ตนเองหลงแล้วยังได้ชักนำให้คนอื่นหลงตามไปด้วย และขอต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่าให้ผมเป็นส่วนหนึ่งจากคนประเภทนี้
สำหรับผมแล้วผมเป็นครูมากกว่าความเป็นนักพูดนักบรรยาย แม้ผมจะได้รับความโปรดปรานในเรื่องทักษะการพูดจากพระองค์อัลลลอฮฺ (ซ.บ.) ผมก็ใช้การพูดในการทำหน้าที่ครูมากกว่าความเป็นนักพูดหรือนักตอบปัญหา สิ่งที่ผมตอบจะเป็นข้อเขียนและลายลักษณ์อักษรมากกว่าการพูดตอบสดซึ่งมีหลักฐานประจักษ์ว่าการตอบสดของผมน้อยกว่าคำตอบที่เป็นข้อเขียนหลายเท่านัก นี่คือตัวผมที่คุณสงสัย
ผมดีใจที่คุณมีทัศนคติที่ดีต่อผม และจะดีใจมากขึ้นไปอีกถ้าหากความรู้สึกของคุณที่มีต่อผม ต่อวิถีและวิธีคิดของผมดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเป็นความรู้สึกที่ดีและชัดเจนมากขึ้นไปอีก ผมหวังเช่นนั้น
สุดท้ายผมก็ขอรับการมะอัฟของคุณเป็นครั้งที่สาม
ผมคุ้นเคยกับปากลัดดีครับ
والله ولى التو فيق والهدا ية
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น