ผู้เขียนรอฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “และเพราะว่าซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺมีความสมบูรณ์พร้อมของศาสนา และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม”
บทอธิบาย
ซาลิกา (นี่เป็น) การอ้างอิง ในสิ่งที่นำหน้ามาก่อนหน้านี้ในการชี้แนะ
และยึดบ่วงผู้คนในแนวทางของซุนนะฮฺของท่านนบี และญะมาอะฮฺ.
ซึ่งได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ในความหมายของ, ชาวอะฮฺลุสซุนนะฮฺคือ ผู้ที่ยึดมั่นเกาะติดกับซุนนะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาชาวซุนนะฮฺ
อัล-ญะมาอะฮฺ คือบรรดาผู้ซึ่งเป็นเอกภาพบนสัจจะธรรม ปราศจากการแยกออก ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮโดยพร้อมกันหมด และจงอย่าแตกแยกกัน (อาละอิมรอน:3:103)
พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่บนสัจจธรรมโดยไม่มีการแยกออกมา หรือมีความแตกต่าง บรรดาพวกเขาคือชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺ
……
แท้จริงบรรดาผู้แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่างๆนั้น..
อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา กล่าวต่อท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า
เจ้า(มูฮำหมัด)หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่ แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮฺ แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำมา(อาละอิมรอน:6:159)
“และเพราะว่าซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺมีความความสมบูรณ์..” มันคือกิจการงานทั้งหมดของศาสนา, การงานของศาสนามันจะถูกจำกัดด้วยซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺ ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
“แท้จริงแล้วใครก็ตามในบรรดาพวกท่านที่มีชีวิตยาวนาน จะได้เห็นความบาดหมางกัน;
ดังนั้นจงยึดมั่นกับซุนนะฮฺของฉัน” [28]
[28] ส่วนหนนึ่งของฮะดิษ อัลอิรบาดฺ บินศอรียฺยะฮฺ(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ) ซึ่งได้อ้างมาก่อนหน้านั้นแล้ว
ไม่มีสิ่งใดสามารถปกป้องผู้คนจากชัยตอนที่มีความคิดเห็นต่างกัน นอกจากยึดมั่นซุนนะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านที่ยึดมั่นอยู่บนอะกีดะฮฺ, การเคารพสักการะ, การงาน, บุคลิก และมารยาท: พวกเขาคือกลุ่มที่รอดปลอดภัย(ฟิรกอฮฺ อัน-นะญิย์ยะฮฺ) ในบรรดาเจ็ดสิบสามกลุ่ม, ทั้งหมดนั้นลงนรกนอกจากกลุ่ม เดียว, พวกเขาถามว่า: “พวกเขาคือใคร, โอท่านรอซูลุลลอฮฺ?” กลุ่มนี้ได้รับการยกเว้น, จากญะมาอะฮฺที่ต่างกับกลุ่มเหล่านี้; “พวกเขาคือใคร?” ท่านนบีได้กล่าวและอธิบายว่าพวกเขาคือใคร
ดังนั้นจงยึดมั่นกับซุนนะฮฺของฉัน” [28]
[28] ส่วนหนนึ่งของฮะดิษ อัลอิรบาดฺ บินศอรียฺยะฮฺ(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ) ซึ่งได้อ้างมาก่อนหน้านั้นแล้ว
ไม่มีสิ่งใดสามารถปกป้องผู้คนจากชัยตอนที่มีความคิดเห็นต่างกัน นอกจากยึดมั่นซุนนะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านที่ยึดมั่นอยู่บนอะกีดะฮฺ, การเคารพสักการะ, การงาน, บุคลิก และมารยาท: พวกเขาคือกลุ่มที่รอดปลอดภัย(ฟิรกอฮฺ อัน-นะญิย์ยะฮฺ) ในบรรดาเจ็ดสิบสามกลุ่ม, ทั้งหมดนั้นลงนรกนอกจากกลุ่ม เดียว, พวกเขาถามว่า: “พวกเขาคือใคร, โอท่านรอซูลุลลอฮฺ?” กลุ่มนี้ได้รับการยกเว้น, จากญะมาอะฮฺที่ต่างกับกลุ่มเหล่านี้; “พวกเขาคือใคร?” ท่านนบีได้กล่าวและอธิบายว่าพวกเขาคือใคร
“ใครก็ตามที่ยึดตามฉันและสิ่งที่เหล่าศอฮาบะฮฺของฉันยึดมัน” [29]
[29] รายงานโดยติรมีซี(5/26, no. 2614) อิบนีนัสรฺ อัล-มะรูซี ในอัสซุนนะฮฺ(หน้า23 no.59), อัล-ฮากีม(1/218), อัล-อะจูรียฺ ในอัช-ชะรีอะฮฺ(no.23), อัล-ลาลกาอี ในชัรฮฺ อิติกอด อะฮฺล-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ(no.147) ยังมีรายงานอีกมากมาย สิ่งที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านได้ยึดมั่นนั่นคือซุนนะฮฺ. ใครก็ตามที่ยึดเกาะบ่วงนี้ไว้ก็จะรอดปลอดภัย. ดังนั้น, พวกเขาถูกเรียกว่า อัล-ฟิรกอฮฺ อัน-นะญิย์ยะฮฺ (กลุ่มที่รอดปลอดภัย)
[29] รายงานโดยติรมีซี(5/26, no. 2614) อิบนีนัสรฺ อัล-มะรูซี ในอัสซุนนะฮฺ(หน้า23 no.59), อัล-ฮากีม(1/218), อัล-อะจูรียฺ ในอัช-ชะรีอะฮฺ(no.23), อัล-ลาลกาอี ในชัรฮฺ อิติกอด อะฮฺล-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ(no.147) ยังมีรายงานอีกมากมาย สิ่งที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านได้ยึดมั่นนั่นคือซุนนะฮฺ. ใครก็ตามที่ยึดเกาะบ่วงนี้ไว้ก็จะรอดปลอดภัย. ดังนั้น, พวกเขาถูกเรียกว่า อัล-ฟิรกอฮฺ อัน-นะญิย์ยะฮฺ (กลุ่มที่รอดปลอดภัย)
ผู้เขียนรอฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า
“และเพราะว่าซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺมีความสมบูรณ์พร้อมของศาสนา และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม
ดังนั้นใครก็ตามที่ออกมาจากความจริงก็จะตกไปสู่ทางหลง. และความจริงคือสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมั่นไม่รวมกับสิ่งอื่น.เขากล่าวว่า “และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม” เป็นที่ชัดเจนต่อผู้คนที่ว่าการงานศาสนาทั้งหมดนั้นเป็นการยึดเกาะอยู่กับซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺ. ดังนั้น, ไม่มีการต่อต้านในสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมัน นอกเสียจากว่าเขาหลงทาง อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้กล่าวว่า …ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น...(ยูนุส:10:32)
ดังนั้นใครก็ตามที่ออกมาจากความจริงก็จะตกไปสู่ทางหลง. และความจริงคือสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมั่นไม่รวมกับสิ่งอื่น.
“และเพราะว่าซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺมีความสมบูรณ์พร้อมของศาสนา และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม
”เขากล่าวว่า “และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม”
เป็นที่ชัดเจนต่อผู้คนที่ว่าการงานศาสนาทั้งหมดนั้นเป็นการยึดเกาะอยู่กับซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺ. ดังนั้น, ไม่มีการต่อต้านในสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมัน นอกเสียจากว่าเขาหลงทาง อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้กล่าวว่า
…ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น...(ยูนุส:10:32)
ดังนั้นใครก็ตามที่ออกมาจากความจริงก็จะตกไปสู่ทางหลง. และความจริงคือสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมั่นไม่รวมกับสิ่งอื่น.เขากล่าวว่า “และมันเป็นความชัดเจนต่อผู้คน. ดังนั้นมันเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนที่ต้องตาม” เป็นที่ชัดเจนต่อผู้คนที่ว่าการงานศาสนาทั้งหมดนั้นเป็นการยึดเกาะอยู่กับซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺ. ดังนั้น, ไม่มีการต่อต้านในสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมัน นอกเสียจากว่าเขาหลงทาง อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้กล่าวว่า …ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น...(ยูนุส:10:32)
ดังนั้นใครก็ตามที่ออกมาจากความจริงก็จะตกไปสู่ทางหลง. และความจริงคือสิ่งที่ชาวซุนนะฮฺและญะมาอะฮฺยึดมั่นไม่รวมกับสิ่งอื่น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น