วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
กัชฟุชชุบุฮาต (เคลียร์ข้อคลุมเครือ) (อจ อิสฮาก)
กัชฟุชชุบุฮาต (เคลียร์ข้อคลุมเครือ)
อิบนุรอญับ อัลฮัมบาลีกล่าวไว้ว่า
أعمل الشيطان مكائده على المسلمين وألقى بأسهم بينهم ، وأفشى بينهم فتنة الشبهات والشهوات
"ชัยฏอนใช้แผนการต่างๆ ของมันต่อมุสลิมีนและทำให้ต้องทะเลาะกัน ทำให้ "ฟิตนะห์" ของข้อคลุมเครือและความอยากต่างๆ เกิดขึ้นโดยทั่ว"
ปราชญ์ชี้ให้เห็นว่า "ข้อคลุมเครือ" คืองานของ "ชัยฏอน" แต่งานของนบี ศ้อลลัลลฮฮุอะลัยฮิวะซัลลัมคือ "คืออธิบายขยายความให้กระจ่าง" (อัลนะฮ์ / 44)
การโพสต์อะไรสั้นๆ แล้วตั้งเป็นทำถามให้เกิดข้อสงสัย ทำให้ผู้คนเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งไปในทางลบ มันไม่ใช่การอธิบายความ แต่มันคือการสร้าง "ชุบฮะห์-ข้อคลุมเครือ" หรือข้อเคลือบแคลงสงสัยแล้วโยนใสสังคม
ผมได้เลียนแบบผู้ที่นิยมวิธีการนี้แล้วโพสต์ จนคนสงสัยไปต่างๆ นาๆ ว่า "ครูอิสฮาก" เปลี่ยนแนวไปแล้วหรือ จริงๆ แล้วมันก็แค่สะท้อนอะไรบางอย่างซึ่งก็คือหากผมจะใช้วิธีการดังกล่าว ผมก็ทำได้และอาจทำได้ดีกว่าด้วย
วิธีการดังกล่าวผมเรียกมันว่า "โยนชุบฮะห์" ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักไม่ชี้ชัดฟังธงอะไร เป็นแต่เพียงสร้างข้อสงสัยให้ผู้อ่าน และเป็นวิธีการที่สร้างภาพลบให้ฝ่ายตรงกันข้ามได้ไม่เลวเลย ไม่ว่า "ข้อคลุมเครือเหล่านั้น" จะอิงความจริงหรือเป็นความเท็จทั้งแท่งก็ตาม
ข้อคลุมเครือส่วนใหญ่มันจะดูดีและเหมือนจะถูกต้อง แต่พอวิเคราะห์เจาะลึกจะปรากฏเสมอว่า มันถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เช่นกรณีของ "เชคศ่อฟียุรเราะห์มาน อัลมุบาร๊อกฟูรี่"
มีคนหยิบยกท่านมาอ้างอิงเรื่อง "นบีมุฮัมหมัด ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" ในคัมภีร์พระเวท โดยมีหลักฐานว่าท่านก็เชื่อเช่นนั้นและกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือของท่าน
หากพูดแค่นี้ ก็ยังนับเป็นชุบฮะห์-ข้อคลุมเครือ แต่ผู้ที่อ้างมิได้อ้างแค่นี้ พวกเขายังอ้างเลยไปอีกว่า
1-ท่านเป็นผู้รู้ เป็นผู้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และที่สำคัญยังได้รับการรับรองจากมหาลัยมะดีนะห์ อีกด้วย
2-หากใครตำหนิหรือไม่เชื่อเรื่อง "นบีมุฮัมหมัด ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" ในคัมภีร์พระเวท ก็เท่ากับไม่เชื่อผู้รู้ ดูแคลนปราชญ์ และอาจะทำลายความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยมะดีนะห์มุเนาวะเราะห์ ไปโน่นเลย
คนชาวบ้านอ่านแล้ว อาจมีหลายคนเคลิ้มตามไป เพราะฟังแล้วมีเหตุผลดีเดียว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งที่เห็นตรงกันข้ามก็จะดูไม่ดีและเสียหายอย่างร้ายแรงไปเลย
สองข้อหลังนี้แหละที่ผมเรียกมันว่า "ชุบฮะห์-ข้อคลุมเครือ" ผมจะพิสูจน์ให้ดูมันคลุมเครือตรงไหน
1-ตามแนวทางสะลัฟ มิได้สอนให้ยึดคน คนแม้จะเป็นผู็รู้แค่ไหนก็ถือว่าผิดพลาดได้ ดังนั้นสะลัฟจึงสอนให้ยึด #หลักฐานและข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น
ท่านออุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ หนี่งในคุละฟาอ์รอชิดีน สอนไว้ว่า
وقال أمير المؤمنين عمر بن الخطاب رضي الله عنه: (ثلاث يهدمن الدين: زلة عالم، وجدال منافق بالقرآن (2) , وأئمة مضلون ( الموافقات : 90/4)
"สิ่งสามประการที่ทำลายศาสนาคือ ความผิดพลาดของผู้รู้ มุนาฟิกโต้แย้งเรื่องอัลกุรอ่าน และผู้นำที่หลงผิด"
ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอับบาส สอนไว้อีกว่า
وعن ابن عباس رضي الله عنهما قال: (ويل للأتباع من عثرات العالم، قيل: كيف ذلك؟ قال: يقول العالم شيئاً برأيه، ثم يجد من هو أعلم برسول الله صلى الله عليه وسلم منه؛ فيترك قوله ذلك، ثم يمضي الأتباع) رواه ابن عبد البر في ((جامع بيان العلم)) (2/226).
"ความหายนะจะมีต่อผู้ตามความผิดพลาดของผู้รู้ ท่านถูกถามว่ามันแบบไหนหรือ ท่านตอบว่า ผู้รู้พูดอะไรด้วยความเห็นตัวเอง แม้ผู้ตามจะพบว่ามีผู้อื่นรู้ละเอียด(ในเรื่องซุนนะห์ของ) ร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มากว่า แต่ผู้ตามก็ยังฝืนทิ้งผู้รู้คนนี้(คนหลัง) แล้วยังยืนยันตาม(คนแรกต่อไป)"
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาสและท่านมุญาฮิด ผู้เป็นศิษย์ ยังได้กล่าวไว้อีกว่า
قال ابن عباس ومجاهد ليس أحد بعد النبي صلى الله عليه وسلم صلى الله عليه وسلم إلا يؤخذ من قوله ويترك إلا النبي صلى الله عليه وسلم صلى الله عليه وسلم (الإمام البخاري في القراءة خلف الإمام ص: 213)
"ไม่ว่าใครที่ไหน หลังจากท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยกเว้นที่คำพูด(ทัศนะ) ของเขาอาจถูกรับหรือปฏิเสธก็ได้ คือยกเว้น(คำพูดของ) ท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเท่านั้น (ที่เราปฏิเสธ) ไม่ได้
อธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย บรรดาศ่อฮาบะห์ยืนยันว่า แม้ผู้ใดจะเป็นผู้รู้แต่ถึงอย่างไรย่อมมีข้อบกพร่องและผิดพลาดได้ และหากใครดึงดันจะตามในสิ่งที่ผิดๆ นั้น ผู้ตามนั่นเองจะวิบัติ เพราะผู้รู้ท่านมิได้ตั้งใจจะผิดพลาด เพียงแต่ท่านก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ "มะอ์ศูม" หรือได้รับการคลุ้มครองจากความผิดใดๆ เฉกเช่นท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ดังนั้นการเขียนลักษณะบังคับให้ผู้อื่นตามผู้รู้ท่านหนึ่งท่านใดในทุกเรื่อง โดยอ้างสรรพคุณมากหมายหลากหลาย จึงเป็น"ชุบฮะห์" อันหนึ่งที่มีการโยนใส่สังคมแบบแยบยล
2-การโยงเรื่องไม่รับความเห็นหรือทัศนะของผู้รู้บางคนในบางเรื่อง ไปสู่การกล่าวหาว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อของผู้รู้นั้นๆ รวมถึงเป็นการทำลายสถาบันการศึกษาศาสนาระดับโลก เป็น "ชุบฮะห์" อีกอันหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นเหตุผลวิบัติ นักวิชากการในอดีตเรียกมันว่าพวก "ซัฟสะฏออียะห์" ดูเหมือนฝรั่งจะเรียกว่า " Soph•ism" ผู้ใดสนใจก็ลองไปสืบค้นเอาเองนะครับ เพราะการไม่รับทัศนะหนึ่งทัศนะใดของผู้รู้ไม่ได้หมายความว่าผู้ไม่รับจะไม่เคารพหรือให้เกียรติผู้รู้
อิหม่ามชาฟิอีย์ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ตนซึ่งก็คืออิหม่ามมาลิก ในหลาย "มัสอะละห์ –ประเด็น" อิหม่ามอะห์หมัดไม่เอาทัศนะของอาจารย์ท่านซึ่งก็คืออิหม่ามชาฟีอีย์ในหลายๆ "มัสอะละห์" ก็ไม่ได้หมายความว่า อิหม่ามชาฟิอีย์ทำหลายอิหม่ามมาลิก หรืออิหม่ามอะห์หมัดข้ามหัวอิหมามชาฟิอีย์ ทำลายความน่าเชื่อถื่อของผู้รู้
ดังนั้นหากเราจะไม่รับทัศนะของ "เชคศ่อฟียุดดีนฯ" ในเรื่องนี้ ก็มิได้หมายความว่าเราจะไปเหยียบหัวท่านหรือปฏิเสธความรู้ท่านในเรื่องอื่นๆ ดังนั้นอย่าใช่ตรรกะวิบัติแบบ "ซัฟซะฏออียะห์" เลย เพราะตรรกะแบบนี้มันสร้างข้อคลุมเครือสงสัยต่อผู้อื่นให้เสียหายในสายตาคนไม่รู้ทั้งหลาย ทั้งๆ ที่พวกท่านก็ทราบดีว่ามันคือ "ซัฟซะฏออียะห์"
3-เหตุผลที่เราไม่ยินดีรับทัศนะของเชคศ่อฟียุดดีน อัลมุบาร๊อกฟูรี่ เกี่ยวกับาการยืนยันว่า "ท่านนบีมุฮัมหมัด ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกกล่าวไว้นำคัมภีร์พระเวท" มีหลายประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง แม้เราจะยอมรับว่าท่านเป็นผู้รู้ท่านหนึ่งที่รู็ภาษาอุรดุ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในหมู่มุสลิมอินเดียร่วมไปถึงภาษาอินเดียที่ใช้กันในปัจจุบัน (ภาษฮินดี่) แต่ภาษาดังเดิมที่สุดที่สามารถอ้างอิงได้ของคัมภีร์พระเวท คือภาษาสันสกฤตที่มิได้เป็นภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไป
ประการที่สอง ท่านเองก็มิได้ยืนยันว่าอ่านจากคัมภีร์นั้นโดยตรง หากแต่อ้างผู้อื่นที่เชี่ยวชาญภาษาสันสกฤติ ซึ่งก็คือ ดร.เวท (Dr.Ved Prakash padhyaya) ไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า "อินนะก้าละอะลาฯ" หน้า 347 ดังนี้
والترجمة التي اخترناها – وهي ان ازواجه تكون انتى عشرة امرأة – هي التي ذكرها أحد كبار علماء اللغة السنسكرتية في شبه جزيرة الهند وهو ويد بركاش آبادهياي في كتابه "نراشني أور أنتم رشي" ص 14
ข้อความนี้ผมยกมาเพื่อยืนยันว่าท่านมิได้แปลคัมภีร์พระเวทเอง หากแต่อาศัยการแปลของดร.เวท ที่กล่าวแล้วข้างต้น ส่วนว่าเนื้อหาสาระจะเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง จะกล่าวถึงภายหลัง
ประการที่สาม ดร.เวท คือใคร หากยึดตามที่เชคมุบาร๊อกฟูรีกล่าวไว้ท่านผู้นี้ก็คือนักเชี่ยวชาญภาษาสันสกฤตแห่งชมพูทวีป และเท่าตรวจสอบดูจากหลายๆ แหล่งพบว่าผู้นี้นับถือศาสนาฮินดู และเราพบว่าคนผู้นี้มีแนวคิดเรื่องประสานทุกศาสนาเข้าด้วยกัน หรือจะเรียกว่าเชื่อมสัมพันธ์ทุกศาสนา เพื่อผลทางสังคม
ดังนั้นผมจึงขอคัดข้อเขียนของ ดร. กุสุมา ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดังนี้
((ทั้ง ดร. เวท และศาสตราจารย์อศิตมีความตั้งใจดีที่อยากจะเห็นความสมานฉันท์กันระหว่างคนต่างศาสนา โดยเฉพาะในดินแดนที่มีความขัดแย้งกันอย่างมากเช่นประเทศอินเดีย เป็นที่รู้กันว่าชาวฮินดูกับมุสลิมนั้นแบ่งแยกและขัดแย้งกันมานานแล้ว และก็มีผู้ที่พยายามจะสมานความแตกแยกนี้อยู่เสมอ ดร. เวท เขียนหนังสือเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวนี้ ในบทนำของตอนที่ 2 เขากล่าวชัดเจนว่า หนังสือเรื่องนี้เป็นความพยายามที่จะประสานวัฒนธรรมอินเดียโบราณเข้ากับวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 45) เพื่อส่งเสริมเอกภาพในสังคมอินเดียและในโลก (หน้า 46) โดยขอให้ความสมัครสมานสามัคคีกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม และชาติต่างๆ (หน้า 46)
ดร. เวท พยายามประนีประนอมจนกระทั่งยอมขอให้มุสลิม(ในอินเดีย) เลิกกินเนื้อวัวเพราะชาวฮินดูนั้นนับถือวัว เขากล่าวว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของความแตกแยกในชาติของเขาก็คือการที่มุสลิมกินเนื้อวัว (หน้า 41) มุสลิมจึงควรเลิกกินเนื้อวัว เขายังได้ยกหลักฐานมาอ้างว่าเนื้อวัวมีเชื้อโรคจึงไม่ควรกิน (หน้า 42) แต่ผู้อ่านย่อมจะเห็นเจตนาแฝงหรือวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) ของเขาว่าที่ไม่ควรกินก็เพราะจะกระเทือนความรู้สึกของชาวฮินดูซึ่งนับถือวัว )) คัดจากเว็ปต์ อิสลามมอร์ ซึ่งคัดมาจากวารสารสายสัมพันธ์อีกทีหนึ่ง
ผมคงไม่เกินเลยไปใช่ไหมว่า หนังสือของดร.เวทและสหาย มีเป้าประสงค์เพื่อความสมานฉันท์ระหว่งศาสนาอิสลามกับฮินดู
ประการที่สี่ หากเราดูช่วงเวลา (ไทมไลน์) ของการนำเสนอเรื่อง "นบีมุฮัหมัด ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในคัมภีร์พระเวท" แล้ว ผู้ที่นำเสนอความคิดนี้คนแรกคือคนจากสำนัก "ก๊อดยานี" สายหรือสาขาลาโฮร์
1936-1940 Maulana Abdul Haq Vidyarthi (ก็อดยานีย์)
นักวิชาการ กลุ่มก็อดยานีย์ สาขาลาโฮร์
1969-1971 Dr.Ved Prakash padhyaya (นักภาษาสันสกฤต)
2006-2008 Shiekh Safiyurrahman Mubarak furi (ผู้รู้ชาวอินเดียท่านหนึ่ง)
โดยอ้างอิงถึง Dr.Ved Prakash padhyaya
2008 Dr.Zakir Naik (ดาอีย์)
ก็อดยานีย์อ้างว่าDr.Zakir naik ไป copyหนังสือของ maulana haq มา เขียนมาบรรยาย โดยเทียบข้อเขียนและคำบรรยายของทั้งสองคน
ผู้มาก่อนคงมิได้ลอกมาจากคนที่มาทีหลังแน่นอน ครั้นจะกล่าวอ้างว่าผู้มาทีหลังลอกมาจากผู้มาก่อน ก็คงพอจะกล่าวได้ แต่เราไม่มีหลักฐานยืนยันยกเว้นที่เจ้าตัวเขายืนยันไว้ เช่น เชคศ่อฟียุรเราะห์มานกล่าวไว้ว่าเลือกการแปลของดร.เวทมาอ้างอิง
ประการที่ห้า ตัวอย่างการตีความ ดร.กุสุมาได้ยกตัวอย่างของการตีความของดร.เวทไว้ น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบรรดาภรรยานบี มุฮัมหมัดศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าถูกกล่าวไว้ในพระเวทเช่นกัน ขอคัดตอนสำคัญมาให้พิจารณาดังนี้
((ภรรยา 12 คน หรือพาหนะ 20 คัน?
ดร. เวท เชื่อว่าข้อความในบทที่ 2 กล่าวว่าผู้นำคนนี้มีภรรยา 12 คน ดร. เวท จึงเทียบกับท่านนบีมุฮัมมัดโดยยกชื่อภรรยาทั้ง 12 คนของท่านมาอ้าง ตั้งแต่ท่านหญิงคอดีญะห์ ท่านหญิงเซาดะห์ ท่านหญิงอาอีซะห์ ไปจนถึงท่านหญิงมัยมูนะห์ ซึ่งเป็นลำดับที่ 12 ข้าพเจ้าสะดุดใจคำว่า ภรรยา 12 คนเป็นอย่างมาก เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านต้นฉบับสันสกฤตก็พบคำว่ วธูมนฺโต ทวิทศ คำว่า วธู นั้น แปลว่า ภรรยา ใช่แล้ว แต่ก็ยังหมายถึงสัตว์เพศเมีย เช่น วัว ม้า ได้ด้วย ที่สำคัญคำนี้ไม่ใช่ วธู อย่างเดียว แต่เป็นคำว่า วธูมนฺโต ซึ่งหมายถึง (พาหนะ) ที่ลากด้วยม้าตัวเมีย และ ทวิทศ แปลว่า 20 ไม่ใช่ ทวาทศ ซึ่งแปลว่า 12 ดังนั้น สิ่งที่ผู้นำนั้นได้รับจึงไม่ใช่ภรรยา 12 คน หากเป็นพาหนะ 20 คัน สอดคล้องกับคำอื่นๆ ในบทเดียวกันซึ่งกล่าวถึงคุณสมบัติพิเศษของยานพาหนะที่จะใช้ในการสู้รบ)) คัดจากแหล่งอ้างอิงก่อนหน้านี้
สรุปว่าตีความเอาเอง แต่ในคัมภีร์ไม่ปรากฏตามที่อ้าง ดร.กุสุมาออกตัวไว้ว่า หากเป็นต้นฉบับที่ใช้และนิยมในหมู่นักวิชาการ ไม่มีข้อความตามที่ดร.เวท อ้างยกเว้นดร.เวทจะใช้ฉบับอื่นซึ่งก็มิได้อ้างอิงไว้ เช่นกัน
ประการที่หก ตัวอย่างการทีความ "นาม" นบี มุฮัมหมัด ศ้อลลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดร.กุสุมาชี้แจงไว้ดังนี้
((คำปริศนานั้นหมายถึงนามมุฮัมมัดจริงหรือ? ในตอนที่ 4 ของหนังสือเรื่องนี้ ผู้เขียนอีกคนหนึ่งคือ ศาสตราจารย์อศิตได้นำมนตร์ทั้ง 14 บท ในตอนที่ 127 มาอธิบายขยายความ โดยวิเคราะห์ว่าในบทที่ 3 มีคำปริศนาว่า มมห (หน้า 96) ซึ่งไม่ใช่คำสันสกฤต แต่เป็นคำภาษาอาหรับหมายถึงมุฮัมมัด ข้าพเจ้าอยากจะขอให้ผู้อ่านสังเกตลำดับอักษรด้วย คำปริศนานั้นมีเสียง ม ม ห ส่วนนามมุฮัมมัดมีเสียง ม ห ม (ห, ฮ ถือเป็นเสียงเดียวกันตามหลักภาษาศาสตร์) ซึ่งสลับลำดับกัน แต่นั่นเป็นเพียงประเด็นย่อย ที่สำคัญหากศาสตราจารย์อศิตจะถือเอาคำว่า ม ม ห เป็นชื่อท่านนบีแล้ว ข้อความในมนตร์บทที่ 3 ก็จะแปลไม่เข้าความเลย
ข้าพเจ้าได้พิจารณาคำนี้จากต้นฉบับแล้ว เป็นคำที่ลงวิภัติ (แจกรูปอย่างกริยา) ว่า มมห ไม่ใช่คำนาม แต่เป็นคำกริยาประเภท intensive (การกระทำซ้ำๆ) ของรากคำ มห ซึ่งแปลว่า เพิ่มหรือให้ หรือแจกจ่าย คำนี้เป็นกริยาของบุรุษที่ 3 เอกพจน์ ประธานคือ ฤษีรูปหนึ่ง ข้อความในมนตร์บทนี้ แปลได้ว่า “ฤษีรูปนี้ได้แจกจ่ายทองคำ 100 แท่ง มาลัย 10 พวง ม้า 300 ตัว และโค 10,000 ตัว” ที่แน่ชัดสำหรับข้าพเจ้าก็คือคำปริศนานั้นไม่ใช่นามท่านนบี อย่างที่ผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ประสงค์จะให้เป็น))
อันนี้ก็ตีความเอาอีกเช่นกัน จากคำว่า "มมห" เป็น "มหม" แต่พอมีการนำไปแปลงเป็นภาษาอาหรับ กลายเป็น อะห์หมัด มะฮาเมด และฯลฯ
4-จริงๆ แล้วอาจเขียนอธิบายได้อีกมากมาย แต่ในที่นี้ข้อยุติแค่นี้เพราะหากยาวมากผู้อ่านไม่นิยมอ่าน แต่ก่อนจะยุติ ผมมีบทวิเคราะห์ในเชิงหลักการให้ท่านพิจารณา ดังนี้ (เคยโพสต์ไปแล้วทางเฟสบุ๊ค)
1)-อัลลอฮ์เท่านั่นที่รู้กาลล่วงหน้า
2)-มนุษย์ธรรมดาไม่รู้
3)-แล้วนบีมุฮัมหมัด ไปโผล่ในคัมภีร์อื่นได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่าคัมภีร์เหล่านั้นมาจากอัลลอฮ์
4)-อัลลอฮ์ไม่ให้คัมภีร์แก่คนธรรมดา จะมอบให้แต่ผู้เป็นร่อซู้ลของพระองค์
5)-ถ้าบอกว่าบอกว่าคัมภีร์เหล่านั้นไม่ใช่ของอัลลอฮ์ แสดงว่ามีผู้รู้กาลล่วงหน้าเท่าอัลลอฮ์
6)-แต่ถ้าบอกว่าเป็นของอัลลอฮ์ เราได้นบีเพิ่ม และได้คัมภีร์เพิ่ม
หากใครมีทางเลือกที่สามก็กรุณแจ้งมาผมจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง สำหรับผมเห็นว่าไม่มี คือไม่ยกคนธรรมดามาเท่าอัลลอฮ์ ก็ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าคัมภีร์พระเวทมาจากอัลลอฮ์ และใครที่นำคัมภีร์พระเวทมาสอนก็ต้องไม่พ้นนบีหรือร่อซูลของอัลลอฮ์ และหากใครปฏิเสธคัมภีร์ของอัลลอฮ์ เขาจะมีสภาพเช่นไร ทุกคนทราบดี
5-ที่ผมเสนอนี้ก็เพื่อคลายปัญหาของนักแสวงโชคจากการโยนข้อเคลือบแคลงสงสัยสู่สังคม เรายึดแนวทางของท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คือพยายามสร้างความเข้าใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะไม่สร้างข้อคลุมเครือใดๆ โยนใส่สังคมแบบนักแสวงโชคร้ายเหล่านั้น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น