วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
หากยึดสะลัฟจริงๆ เหมือนอ้างกัน ก็คงไม่ยืดเยื้อแบบนี้หรอกครับ(ยาวนิดหนึ่งครับเพราะมันจำเป็นจริงๆ) /อจ อิสหาก
หากยึดสะลัฟจริงๆ เหมือนอ้างกัน ก็คงไม่ยืดเยื้อแบบนี้หรอกครับ(ยาวนิดหนึ่งครับเพราะมันจำเป็นจริงๆ)
ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอับบาสกล่าวว่า
عن ابن عباس رضي الله تعالى عنهما أنه قال: التفسير أربعة: حلال وحرام لا يعذر أحد بجهالته، وتفسير تقره العرب بألسنتها، وتفسير تفسّره العلماء، وتفسير لا يعلمه إلا الله تعالى
“ตัฟสีรนั้นแบ่งได้เป็นสี่ประเภทคือ (หนึ่ง) เรื่องฮะล้าลฮะรอม (ที่ปรากฏชัดเจนในอัลกุรอ่าน) ใครจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ (สอง) ตัฟสีรตามที่อาหรับเข้าใจได้ด้วยภาษาของพวกเขา (สาม) ตัฟสีรที่บรรดาปราชญ์(เท่านั้น) ที่จะอธิบายได้ (สี่) และตัฟสีรที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้นอกจากอัลลอฮ์ ตะอาลา”
สรุปดังนี้
1-ความหมายพื้นๆ ที่ชัดเจนในตัวเอง ใครก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าไม่เข้าใจ
2-ความตามนัยยะของภาษาและระเบียบภาษาของอาหรับ
3-ความหมายลุ่มลึกละเอียดอ่อน มีปราชญ์เท่านั้นที่จะเข้าถึง
4-ความหมายที่พระองค์อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทราบได้ ผู้อื่นเข้าไม่ถึง
นั่นคือประเภทต่างๆ ของการเข้าใจอัลกุอ่าน แต่ถ้าเป็นขั้นตอนว่าจะเริ่มและหยุดตรงไหน ชัยคุลอิสลามได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้
ในหนังสือ “มุก๊อดิมะห์ฯ” ท่านกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“ขณะเดียวกันนั้น หากเราไม่พบตัฟสีรในอัลกุรอ่าเองหรือในซุนนะห์ เราจะกลับไปดูคำพูดของศ่อฮาบะห์ เพราะท่านเหล่านั้นรู้สิ่งนั้น(ความหมาย)ดี(ยิ่งกว่าใครอื่น) เพราะพวกท่านเห็นประจักษ์ในเรื่องอัลกุรอ่าน และประจักษ์ต่อเหตุการณ์ที่มีพวกท่านเท่านั้น รวมถึงความเข้าใจอันครบถ้วนสมบูรณ์ ความรู้ที่ถูกต้อง การงานที่เพียบพร้อมถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้รู้และผู้อาวุโสในหมู่พวกท่าน เช่นระดับผู้นำแถวหน้าสี่ท่านคือคุละฟาอ์อัรรอชิดีน ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับทางนำ
وحينئذ، إذا لم نجد التفسير في القرآن ولا في السنة رجعنا في ذلك إلى أقوال الصحابة، فإنهم أدرى بذلك لما شاهدوه من القرآن، والأحوال التي اختصوا بها، ولما لهم من الفهم التام، والعلم الصحيح، والعمل الصالح، لا سيما علماؤهم وكبراؤهم، كالأئمة الأربعة الخلفاء الراشدين، والأئمة المهديين
อีกวรรคหนึ่งปรากฏข้อความดังนี้
“และหากท่านไม่พบตัฟสีรในอัลกุรอ่านหรือซุนนะห์หรือแม้แต่จากศ่อฮาบะห์ ปวงปราชญ์ส่วนใหญ่จะกลับไปหาคำพูด(คำอธิบาย) ตาบิอีน”
وإذا لم تجد التفسير في القرآن ولا في السنة، ولا وجدته عن الصحابة، فقد رجع كثير من الأئمة في ذلك إلى أقوال التابعين
สิ่งที่ต้องสังเกตคือ
1-หากมีตัฟสีรจากอัลกุรอ่านแล้ว จะต้องย้อนไปดูหรือยึดซุนนะห์อีกหรือไม่
2-หากพบตัฟสีรในซุนนะห์แล้ว จะต้องย้อนกลับไปดูหรือยึด
คำพูดของศ่อฮาบะห์หรือไม่
3-หากพบตัฟสีรในคำพูดและคำอธิบายของ “ตาบิอีน” แล้วต้องย้อนกลับไปดูหรือไปยึด หลักภาษาหรือไม่
ประเด็นแรก มีคำตอบในตัวมันเองชัดเจนครับ ว่านบีไม่พูดค้านอัลกุรอ่าน หากมีซุนนะห์มาเสริมยิ่งทำให้เราเข้าใจอัลกุรอ่านเที่ยงตรงแม่นยำยิ่งขึ้น
ประเด็นที่สอง ไม่มีศ่อฮาบะห์ท่านใดโจงใจคัดค้านหรือโต้แย้งท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีแต่จะมาขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และข้อความใดที่นบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมละไว้ บทบาทการอธิบายและให้ความหมายข้อความนั้นๆ จะตกถึงเหล่าศ่อฮาบะห์ และหากศ่อฮาบะห์มีคำอธิบายที่แตกต่างกัน ท่านชัยคุลอิสลามอธิบายว่าหากพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียดแล้ว พบว่ามันเป็นความแตกต่างที่ไม่ขัดแย้งกัน ในส่วนที่ขัดแย้งกันนั้นมีน้อยมากหรืออาจจะเรียกว่าเกือบไม่มี
ประเด็นที่สาม ระดับตาบิอีนคือระดับผู้เป็นศิษย์ของศ่อฮาบะห์ ท่านเหล่านั้นแท้ที่จริงแล้วหาใช่ใครอื่น ท่านเหล่านั้นก็คือผู้สืบทอดความรู้ของศ่อฮาบะห์นั่นเอง ดังนั้นจึงไม่พบว่าท่านใดในหมู่ตาบิอีนโจงใจจะส่วนทางหรือคัดค้านศ่อฮาบะห์ หากจะมีก็เป็นเพียงแต่คำอธิบเพิ่มเติมให้กระจ่างขึ้น
ในกรณีหรือประเด็นที่สามนี้ หากคนใยยุค “ตาบิอีน” มีคำอิบายที่เป็นเอกฉันท์ นั่นคือ “ฮุจญะห์” คือถือเป็นหลักฐานที่สิ้นสุด แต่ถ้าหากมีกรณีขัดแย้งกันในหมู่ “ตาบิอีน” และเป็นข้อขัดแย้งที่มิอาจประสานได้ ท่านชัยคุลอิสลามเสนอทางออกไว้ชัดเจนดังนี้
أما إذا أجمعوا على الشيء فلا يرتاب في كونه حجة؛ فإن اختلفوا فلا يكون قول بعضهم حجة على بعض ولا على من بعدهم، ويرجع في ذلك إلى لغة القرآن، أو السنة، أو عموم لغة العرب، أو أقوال الصحابة في ذلك.
“หากว่าพวกท่าน(ตาบิอีน) มีมติเอกฉันท์ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด (รวมถึงเรื่องตัฟสีร) ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือ “ฮุจญะห์”(เป็นหลักฐานอ้างอิงได้) แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกัน ทัศนะของแต่ละท่านมิอาจหักล้างซึ่งกันและกันได้ หรือหักล้างผู้มาทีหลัง(จากยุคของพวกท่าน) ดังนั้นต้องกลับไปหา(ลักษณะการใช้ภาษาของอัลกุรอ่านหรือของซุนนะห์ หรือกลับไปดู(หลักการใช้)ภาษาอาหรับโดยรวม หรือการ(ใช้ภาษา)ของศ่อฮาบะห์”
ท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านคิดว่าบทบาทการนำเอาความหมายทางภาษามาอธิบายอัลกุรอ่านอยู่ในลำดับขั้นตอนใด ท่านตอบของท่านเองนะครับ ผมจะไม่ชี้นำก็แล้วกัน
อายะห์อัลกุรอ่านจากซูเราะห์ อัลนาซิอาต ข้อความที่ว่า “ดะฮาฮา” มีสะลัฟ (ศ่อฮาบะห์และตาบิอีน) อธิบายไว้แล้วหรือไม่
หากบอกว่ามีแล้ว แล้วเหตุใดจึงมีคนดึงดันนำ “ความหมายทางภาษา” มาอธิบายอีกเล่า อันว่าความหมายทางภาษาที่อ้างถึงนั้นก็หาไม่พบในตำราดั่งเดิมทางภาษาอาหรับ ใดๆ พบแต่ในคำพูดและตำราร่วมสมัยเท่านั้น
หากท่านยึดเอา “ความหมายทางภาษา” ที่พบจากคนยุคใหม่ แล้วขั้นตอนการอธิบายอัลกุรอ่านตามที่ชัยคุลอิสลามอธิบายไว้ จะเอาไปไว้ไหน การลัดขึ้นตอนตามที่ปราชญ์อิสลามวางไว้ จะเรียกว่าข้ามหัวปราชญ์ได้ไหม
ที่ผมตั้งเป็นคำถามก็เพราะเพื่อให้ผู้อ่านคิดเอาเอง เพราะหากชี้ชัดตัดสินไปก็จะถูกกล่าวหาให้ร้ายต่างๆ นาๆ และหากผู้ใดอ่านโดยละเอียดมาแต่ต้น จะทราบคำตอบเหล่านั้นได้ดีครับ
ดังนั้นผมจะให้ข้อสรุปแค่ว่า “หากตามสะลัฟจริงๆ ไม่ยืดเยื้อและวุ่นวายมาถึงวันนี้ครับ”
ส่วนว่าใครจะอ้างว่าตามสะลัฟ เราไม่ดูที่ข้ออ้างแต่จะดูที่การกระทำ ยามเมื่อเกิดเหตุครับ ยามปกติบางทีก็ดูไม่ออกหรอก
สำหรับนักค้นทั้งหลายผมแนะให้ไปค้น อายะห์ “ดะฮาฮา” ว่าศ่อฮาบะห์ท่านอธิบายว่าอย่างไร หากพบแล้ว ก็อย่าทิ้งคำอธิบายไว้ในตำราครับ นำออกมายึดถือด้วย ข้อร้องอย่าก้าวข้ามความถูกต้องเหล่านั้น แล้วหันไปยึดสิ่งที่ยังถกเถียงกันและค่อนจะไปทางผิดมากกว่าถูกครับ จะได้เป็นการพิสูจณ์ชัดๆ ว่า “ท่านสะละฟี” จริงหรือปลอมครับ
ยึดสะลัฟจริงไม่ทิ้งศ่อฮาบะห์ แน่นอน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น