บิ๊กแบงในอัลกุรอ่าน!? #ตอนที่ 4
บิ๊กแบงในอัลกุรอ่าน!? #ตอนที่ 4
สาร์นตักเตือนไปยัง นักตอบโต้มุสลิม ที่เอาสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอ่าน
เรียบเรียงโดยดร.อบูอิย้าด อัมจ้าด รอฟิก

Red-shift (การเลื่อนไปทางสีแดง)

Red shift เบาะเเสที่สำคัญของบิ๊กแบง
หลักฐานสำคัญสำหรับแบบจำลองบิ๊กแบงจอมปลอมนี้ปรากฏอยู่ในการยืนยันในเรื่อง Red-shift (การเลื่อนไปทางสีแดง) คือ การเปลี่ยนตำเเหน่งของเส้นสเปกตรัมในการเเผ่รังสี ที่มีความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น [19] ซึ่งใช้ในการวัดความเร็วเเละระยะทางเท่านั้น [20] เพื่อยืนยันคำกล่าวอ้างที่ว่า จักรวาลกำลังขยายตัวอยู่ และในตรงกันข้ามของมันหากนับเวลาย้อนถอยหลังกลับไป ก็เท่ากับว่าจักรวาล ครั้งหนึ่งเคยมาจากจุดที่เป็นมวลเดียว เล็กมากเป็นอนันต์ กระทั่งเริ่มมาจากศูนย์ ไม่มีอะไรเลย [21] หรือเรียกว่า “singularity” แล้วจึงเกิดระเบิดขึ้นในทันใดจากจุดที่หนาเเน่นและร้อนเป็นอนันต์ “singularity” นั้น เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีที่เเล้ว ขยายตัวและเย็นลง เปลี่ยนเเปลงสู่สิ่งต่างๆ จนเราสามารถสังเกตและพบเห็นได้.
นั่นเเสดงให้เห็นว่า การตีความทั้งหมดของแบบจำลองนี้ ขึ้นอยู่กับการศึกษาในเรื่อง red-shift ที่ให้คำอธิบายเเละบ่งชี้ถึงความเร็วเเละระยะทางของแต่ละกาเลกซี่ และนำไปสู่การตีความเรื่องอื่นๆ [22]
[19 – เมื่อเเสงส่องผ่านปริซึมมันจะเเยกและสร้างสเปกตรัม (แสดงสีของรุ้ง) ฝั่งหนึ่งเป็นสีเเดง อีกฝั่งเป็นสีน้ำเงิน ดาวฤกษ์และกาแลคซีให้แสงที่เป็นสเปกตรัม ซึ่งเส้นเเสงอาจเลื่อนไปทางด้านสีแดงมากกว่า ศาสนาบิ๊กแบงตั้งอยู่บนฐานของการตีความนี้ การขยับไปทางแดง ‘red-shift’ ว่าได้รับการตีความอย่างไร เพื่อเป็นตัวชี้วัดความเร็วเเละระยะทาง อ้างอิงขนาด อายุ และการขยายตัวของจักรวาล ใช้เป็นสิ่งยืนยันในเรื่องนี้ ถ้าหากการยืนยันนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ ศาสนาบิ๊กแบงทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะ ]
[20- วิธีการ “Dozens of mechanisms” เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบาย การขยับไปทางแดง “red-shift” อ้างอิงจากเอกสารของ ลุยส์ มาร์เมต (ปี 2014) หัวข้อ “On the Interpretation of Red-Shifts: A Quantitive Comparison of Red- Shift Mechanisms II” (วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.2014) เอกสารนี้มุ่งเน้นไปที่ 59 วิธีการ อธิบายการสังเกตการขยับไปทางแดง(red-shift). เกือบครึ่งหนึ่งของเอกสารเกี่ยวข้องกับเรื่องระยะห่าง และส่วนที่เหลือเกี่ยวข้องกับเเนวคิดเรื่องการขยายของจักรวาล ซึ่งศาสนาบิ๊กแบงต้องพึ่งพาเรื่องนี้]
[21- ศาสนาบิ๊กแบง เชื่อว่า ไม่มีผู้สร้างหรือทุกอย่างเกิดขึ้นมาเองจากที่มันไม่เคยมีมาก่อน โดยบางคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดเเล้วบนโลกนี้ สถาปนาตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์และเอทิสต์ สาระสำคัญของหลักความเชื่อในศาสนานี้คือ จักรวาลระเบิดไปสู่อะไรบางอย่างจากสิ่งที่มันไม่เคยมีมาก่อน และมันได้ขยายเติบโตขึ้นผ่านการขยายตัว มีสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นจากที่มันไม่มีมาก่อนเลย ปัญหาเเรกสุดและท้ายสุด ของจักรวาลวิทยาสมัยใหม่นี้ สามารถเเก้ใขได้โดยพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากไม่มีอะไรเลย” นี่คือความเชื่อทางศาสนาที่พิสูจน์ความวิกลจริตของผู้ที่ยึดถือมัน
สำหรับสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยในคัมภีร์ ชั้นฟ้าทั้งหลายเเละเเผ่นดินถูกสร้างขึ้นตามการดำเนินไปของเวลาโดยมีผู้สร้างมัน เป็นสิ่งที่ดูมีเหตุผลและจิตสำนึก สติปัญญาสามารถยอมรับได้อย่างง่ายดาย สำหรับคนที่ไม่มีความเย่อหยิ่ง ทนงตน
เมื่อมีสองทางเลือกปรากฏอยู่ตรงหน้าคนหนึ่ง เป็นสิ่งดูเหมือนจะได้รับการออกแบบมา
1 ) จากการกระทำของผู้ที่ออกแบบมันขึ้นมา
2 ) จากการขยายขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
กลายเป็นบางอย่างที่เปลี่ยนเเปลงไปตามกะบวนการที่ไม่มีทิศทางเเน่นอน
กระบวนการที่ไม่มีเป้าหมาย เกิดเป็นภาพมายาของการออกเเบบ
คนที่มีเหตุผลและสัจจริง จะเลือกผู้สร้าง
เองตามประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปราถนาให้มันเป็น
ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมิยะฮฺ กล่าวว่า “ฉันขอกล่าวว่า ไม่มีคนรุ่นก่อนๆ ของประชาชาตินี้ หรือนักวิชาการชั้นนำคนใด ที่กล่าวว่า บรรดาท้องฟ้าเเละโลกมันได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเกิดมาก่อน และถึงแม้ว่าจะมีการสันนิษฐานโดยอะฮฺลุลกาลาม จากที่พวกเขาอนุมานหลักฐานขึ้นมาสำหรับมัน,มันเป็นคำกล่าวที่ไร้ประโยชน์ และเช่นเดียวกัน ไม่มีคนรุ่นก่อนๆ ของประชาชาตินี้ หรือนักวิชาการของเราคนใด ที่กล่าวว่าบรรดาท้องฟ้าเเละโลก ไม่ได้สร้างถัดมาจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้ามัน ยิ่งกว่านั้น เป็นสิ่งที่ได้รับรายงานมาอย่างเเพร่หลาย(มุตาวาติร) ว่าสิ่งเหล่านั้นถูกสร้างต่อมาจากสิ่งที่มีก่อนนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เเละมีการอ้างโดยพวกอะฮฺลุลกาลามส่วนใหญ่ รวมท้ังพวกญะมียะฮฺในเรื่องที่เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการสร้าง (ว่ามาจากไม่มีอะไรมาก่อน) เช่นเดียวกับที่พวกเขากล่าวในเรื่อง จุดสิ้นสุด ว่าวัตถุต่างๆ ของเอกภพทั้งหมดจะพังพินาศ “ไม่เหลืออะไรซักอย่าง” และความคิดอุตรินี้เป็นเเค่เรื่องที่ไร้สาระทั้งสิ้น จากมติของบรรพชนของอุมมะฮฺและบรรดาอิหม่ามชั้นนำ”
[ที่มา Bayān Talbīs al- Jahmiyyah (2/459-461).]
เชคกล่าวต่อไปว่า “เเละเช่นเดียวกับคำพูดของพวกเอทิสต์(พวกปฏิเสธการมีอยู่ของผู้สร้าง) ที่กล่าวว่า ท้องฟ้าจะไม่หยุดนิ่งอยู่บนสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะไม่หยุดอยู่เช่นนี้
นี่คือการปฏิเสธที่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักในสิ่งที่ปรากฏในอัลกุรอ่าน ในสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธาเป็นเอกภาพกันบนสิ่งนี้
เเละเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันด้วยข้อมูลที่มาจากบรรดาศาสทูต
(ในประเด็นที่เกี่ยวกับการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย) เช่นเดียวกัน
คำพูดของญะมี่ยะฮฺหรือคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า “ชั้นฟ้าต่างๆ
และโลกถูกสร้างมาไม่มีสสารและเวลามาก่อน
และพวกมันจะพังพินาศและถูกทำลายทั้งหมด” หรือว่า
“สวรรค์จะหมดวาระของมันเช่นกัน” ทั้งหมดนี้
ล้วนเเต่ขัดเเเย้งกับอายะฮฺกุรอ่าน
และมันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บรรดาคนดีในยุคก่อนๆได้
ตักฟีร(ตัดสินเป็นคนตกศาสนา)พวกนั้น(ญะมียะฮฺ)
เเม้ว่า การปฏิเสธศรัทธาของกลุ่มคนที่กล่าวถึงในตอนเเรก(พวกเอทิสต์) จะชัดเจน แต่เจตนาที่หมายถึง ณ ตรงนี้ก็เพื่อชี้ให้เป็นถึงการการเฉไฉในข้อพิสูจน์ต่างๆ ของเอทิสต์ ผู้ปฏิเสธว่ามีผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง พวกอยู่เขาตรงกันข้าม และพวกญะมียะก็รับเอารากฐานความเชื่อที่เสียหายบางส่วนนี้เข้ามา”]
[ที่มา Bayān Talbīs al-Jahmiyyah (2/473).]
[22- การตีความเรื่องการเลื่อนไปทางสีเเดง(Red-Shift.) – แบบจำลองบิ๊กแบงจะพังราบเป็นหน้ากลองทันทีหากแสดงให้เห็นว่าการเลื่อนไปทางสีแดง – ไม่ได้เท่ากับความเร็วและระยะทาง – ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันได้ถูกปกป้องอย่างมาก และมีการปิดกั้นเรื่องนี้กันตามสถาบันต่างๆ เพราะเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องของมันรวมไปถึง ทฤษฏีวิวัฒาการด้วย]
[23- การตีความเรื่องการเลื่อนไปทางสีเเดง(Red-Shift.) – แบบจำลองบิ๊กแบงจะพังราบเป็นหน้ากลองทันที หากมีข้อบ่งชี้ว่าการเลื่อนไปทางสีแดง ไม่เท่ากับความเร็วและระยะทาง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันได้ถูกปกป้องอย่างมากมาย ตามสถาบันต่างๆ มีการปิดกั้นเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงกันอย่างมากมายในประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า red-shift เท่ากับความเร็วเเละระยะทาง ข้อคาดเดานี้ เป็นรากฐานของเรื่องราวทั้งหมด แต่ข้อมูลทั้งหมดได้ชี้ไปในทางตรงกันข้ามด้วยการศึกษาอย่างละเอียดในเรื่องเควเซอร์(quasar – Quasistellar Radio Sources หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แหล่งกำเนิดของคลื่นวิทยุคล้ายกับดวงดาว) บุคคลหนึ่งที่ศึกษาเรืองนี้คือ ดร.ฮอลตั้น อ้าป(Halton Arp – นักดาราศาสตร์ชื่อดังที่ทำงานร่วมกับเอ็ดวิน ฮับเบิล – ตอนหลังถูกไล่ออก)
หากเรายอมรับข้อสันนิษฐานที่ว่า red-shift เท่ากับความเร็วเเละระยะทาง ข้อมูลจากการสังเกต ก็จะขัดเเย้งกับเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยปริยาย เพราะการตีความ red-shift เเสดงให้เห็นว่า กาเเลกซี่ต่างๆ โครจรเป็นวงกลมเคลื่อนห่างออกจากโลกทุกทิศทาง ทำให้โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เเสดงถึงกลเม็ดที่พวกเขากำลังตบตาผู้คน”
อ้างอิงจาก บทความเรื่อง “Cosmologist Claims Universe May not be Expanding in Nature”, (16th July 2013).
ฮอลตั้น อ้าป เป็นนักดาราศาสตร์ ผู้คัดค้านทฤษฏีบิ๊กแบง ข่าวการเสียชีวิตด้วยวัย 86 ของเขายังปรากฏบนหน้าวารสารทั้งนิวยอร์ก ไทม์ (ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2014) และเทเลกราฟ (ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2014) ท่านสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมในประเด็น Planck Satellite Data, Lawrence Krauss and the Earth at the Center of the Universe ได้ที่ http://aboutatheism.net/?ghyiwfg.

Halton Arp ผู้ได้ฉายะว่า เกลิเลโอ แห่งยุค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น