บิ๊กแบงในอัลกุรอ่าน!? #ตอนที่ 3
สาร์นตักเตือนไปยัง นักตอบโต้มุสลิม ที่เอาสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอ่าน
เรียบเรียงโดยดร.อบูอิย้าด อัมจ้าด รอฟิก
บิ๊กแบง Bigbang Model
แบบจำลองบิ๊กแบง เริ่มต้นจากจุดที่เรียกว่า Singrulariy
บิ๊กแบง เป็นแบบจำลองที่อธิบายจุดกำเนิดของจักรวาล
เป็นเพียงเเค่การคาดเดา
เป็นแค่ความเชื่อหนึ่งที่ได้รับการตีความไปในหลายรูปเเบบ [13]
มีพื้นฐานมาจากการตั้งสมมติฐาน[14]
และสภาพของมันเหมือนกับชายคนนึ่งที่ตายสนิทไปเเล้ว
แต่ยังกลับมามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการค้ำจุนจากผู้ที่ศรัทธาในมัน
ที่ยังคงนั่งประคองชีวิตของมันด้วยกับบทสวดวิทยาศาสตร์อยู่ข้างๆ เตียง
ละเล่นบนตัวเลขทางคณิตศาสตร์
และใช้จินตาการปลุกปั้นเสกสิ่งเร้นลับขึ้นมาจากองค์ประกอบที่มองไม่เห็น
เพื่อบังคับให้มันคืนชีพขึ้นมาอีก
ในขณะที่มันได้กลายเป็นซากศพอยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้น [15]
พวกเขาหัวรั้นปิดใจจากความจริง พวกเขาปฏิเสธที่จะปิดเครื่องต่อลมหายใจนี้
[16]
ขณะเดียวกัน
ก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือเเสดงละครตบตาต่อไป
โดยนำเสนอข้อมูลที่มีการจดบันทึกอย่างระมัดระวัง
เพื่อทำให้ภาพลวงตานั้นปรากฏออกไปว่า
นักวิทยาศาสตร์กำลังเข้าใกล้การค้นพบความลับของจักรวาลเเล้ว
เมื่อเกิดเรื่องตรงกันข้ามตรงกับกรณีนี้:
พวกเขาเกิดการเสียขวัญและยิ่งเริ่มเดินเข้าไปไกลยิ่งขึ้น
เริ่มเดินออกจากความเป็นจริงทางกายภาพ
เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะละทิ้งการศาสนาบิ๊กแบงจอมโกหกนี้
และและพื้นฐานการคาดเดานี้ได้ขัดขวางพวกเขาจากความจริง,ความเที่ยงเเท้,
การค้นพบที่มาจากการเดาสุ่มนี้ได้ผลักดันพวกเขาต่อไปสู่ทิศทางของการปลอมแปลงทางคณิตศาสตร์
[17] และเริ่มประดิษฐ์ “หลักฟิสิกส์แปลก ๆ “ ขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อลดช่องว่างระหว่างปรัชญาทางศาสนากับความเป็นจริงทางกายภาพที่สังเกตได้
สำหรับเหตุการณ์ในช่วงการสร้างเอกภพยังไม่ได้รับการยืนยันโดยตรง
ส่วนใหญ่ของแบบจำลองบิ๊กแบงนั้นมาจากทฤษฏีและแบบจำลองต่างๆ
“คำอธิบายทฤษฏีบิ๊กแบงนำไปสู่การอธิบายวิธีการเกิดเอกภาพ มันฟังดูง่ายๆ
เป็นการพูดถึงในเรื่องจักรวาลที่เรารู้ว่ามันเริ่มต้นมาจากจุดเล็กๆ จุดเดียว (singrularity)
จากนั้นมันได้ขยายตัวออกใช้เวลา13.8 ล้านปี
จนกลายเป็นจักรวาลที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
เนื่องจากเครื่องมือปัจจุบันไม่สามารถทำให้นักดาราศาสตร์ย้อนกลับไปสังเกตการกำเนิดของเอกภพได้
สิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีบิ๊กแบงจึงได้มาจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และแบบจำลองเท่านั้น
“ [18]
[ 13- พวกคลั่งบิ๊กแบงนั้นได้แตกแยกกันออกเป็นหลายกลุ่ม
แต่ละกลุ่มมีการตีความตามรูปแบบของตัวเองจากคำสอนหลักของศาสนานี้
มหาปุโรหิตแห่งศาสนานี้
ทำให้จินตนาการของพวกเขาศักดิ์สิทธ์ขึ้นด้วยกับคำคาดเดาเเละนิยายที่ไม่สามารถพิสูจน์
ได้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีผู้สร้าง” หรือ “สิ่งต่างๆ
เกิดขึ้นมาด้วยตัวมันเอง”
เทพนิยายของพวกเขาจะถูกนำไปสวมใส่กับหลักการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน
เพื่อให้เกิดภาพลวงตาว่า สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นข้อเท็จจริง
สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นก็คือการนำสมการต่างๆ
มาทำให้สิ่งที่อยู่ในจินตนาการปรากฏขึ้นมาบนโลกแห่งความจริง
แล้วใช้สื่อช่วยกันประโคมเรื่องราวการคาดเดาและภาพมายานี้ในลักษณะที่จะทำให้คนทั่วไปคิดว่า
มันได้กลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์เเล้ว
ในขณะที่ความเป็นจริงคือสิ่งที่ตรงกันข้าม]
[ 14- สมมติฐานชั้นต้นที่สำคัญในเรื่องนี้ คือ เรื่อง “การเเยกกระจายออกไปอย่างสม่ำเสมอและทุกทิศทางที่เหมือนกันหมดของจักรวาล” (เรียกว่าหลักการ the Cosmological and Copernican) เป็นหลักแรกที่ใช้ตีความหลักฐานเชิงสังเกตทั้งหมด
สมมติฐานนี้ อธิบายธรรมชาติการขยายตัวในบิ๊กแบงว่ามันควรจะเหมือนกันในทุกทิศทาง ส่วน “หลักฐานจากสังเกตการณ์”
จะต้องถูกคัดกรอง ผ่านข้อสันนิษฐานเหล่านี้ก่อนที่จะได้รับการตีความใดๆ
ให้เป็นหลักฐานที่ได้รับการยอมรับ. หลักการนี้
ถูกนำไปใช้ตรวจสอบหลักฐานจากการสังเกตการณ์
แต่นักศาสนาบิ๊กแบงเหล่านี้ไม่ได้ตระเตรียมในการทิ้งการตามอย่างหูหนวกตาบอด
และละทิ้งหลักคำสอนศาสนาเท็จนี้ใว้เลย หากปราศจากสมมติฐานที่ว่า
จักรวาลมีการขยาย(เหมือนกันในทุกทิศทาง)
และแบบเดียวกันทั้งหมด(การกระจายที่เท่ากันของสสาร ดวงดาว กาเเลกซี่)
ก็จะไม่มีศาสนาบิ๊กแบง
ซึ่งข้อมูลจากดาวเทียม COBE, WWAP(ดาวเทียมสำรวจคลื่นไมโครเวฟวิลกินสัน)
และ Planck projects ที่ได้ทำให้สมมติฐานเหล่านี้เป็น “โมฆะ” ดังนั้น
ศาสนาบิ๊กแบงจึงเป็นโมฆะไปด้วย
สำหรับรายละเอียดอ้างอิงจาก Planck Satellite Data, Lawrence Krauss and
the Earth at the Center of the Universe ท่านสามารถเจาะลึกอ่านเพิ่มเติม
ได้ที่บทความนี้ [
http://aboutatheism.net/?ghyiwfg.]
และรังสีที่สังเกตได้ในโครงการวิจัยเหล่านี้
ไม่ได้อ้างอิงถึงบิ๊กแบงแต่อย่างใด แต่การแผ่รังสีเหล่านี้
สนับสนุนมุมมองที่ว่าโลกอยู่ในตำเเหน่งกลางจักรวาลต่างหาก
[ 15- แบบจำลองนี้ เหมือนกับหลักความเชื่อในเรื่อง “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” มันจะล้มครืนลงทันที หากมันถูกเเสดงให้เห็นว่าเป็นเท็จ.]
[ 16- จิม พิเบิลส์, ศาสตราจารย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เป็นศาสตราจารย์วิทยาศาสตร์ และเป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์กิติศักดิ์
เป็นผู้ที่ถูกอ้างในแบบจำลองบิ๊กแบงมากที่สุดอีกด้วย เขากล่าวว่า
“เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและฉลาด ที่ผู้คนยังคงคิดหาทางเลือก
เพื่อสร้างแบบมาตรฐาน [ของบิ๊กแบง] ต่อไป
เพราะหลักฐานที่มีอยู่ยังไม่สมบูรณ์เเบบนัก”
[หนังสือ “หลักการของจักรวาลวิทยาทางกายภาพ (Princeton University Press, 1993) หน้า 226.]
สถานการณ์เช่นนี้ยังคงเหมือนเดิมจนถึงทุกวันนี้ ยกเว้น
กลุ่มคนที่มีความกระตือรือร้น
ได้ครอบงำความยุติธรรมในหมู่พวกเขาซึ่งดื้อรั้นที่จะให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้
หนึ่งในนั้นได้เเก่ พิเบิลส์
[ 17- การเชื่อมโยงและความถูกต้องทางคณิตศาสตร์
ไม่สามารถแปลงให้เป็นความจริงทางกายภาพได้
คณิตศาสตร์เป็นเพียงเครื่องมือและสามารถนำไปใช้ในสมมติฐานที่ไม่สามารถยืนยันได้
ซึ่งก็สรุปผลให้ดีสุดก็เเค่เท่าที่สมมติฐานเบื้องต้นกำหนดใว้เท่านั้น]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น