วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562
คำถามต่อชัยคฺมุนัจญิด(รอฮิมะฮุลลอฮฺ) / HASHI
คำถามต่อชัยคฺมุนัจญิด(รอฮิมะฮุลลอฮฺ)
ผู้ถาม: อะไรคือข้อแตกต่างอะอฺลิสซุนนะห์วัลญะมาอะฮฺกับมัสฮับอื่นๆ(ชะฟิอี,มาลิกี,) ในวันนี้?
ตอบ อัลฮัมดุลลิลลาฮฺ
อะฮฺลุสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ ไม่ได้ต่อต้าน มัสฮับ มะลีกี, ชะฟีอี, ฮัมบาลี, ฮะนาฟี, และอื่นๆ.....
ในทางตรงข้ามพวกเขาต่อต้านเหล่าสาวกที่ทำบิดอะฮฺ และหลงทางในเรื่องอะกีดะฮฺ !
.....เช่น อัชอะรี, มุตาซีละห์, มุรญิอะฮฺ, ซูฟี และอื่นๆ.
...... สำหรับฮะนาฟี, ชะฟีอี, และฮัมบาลี พวกเขาคือสำนักแห่งฟิกฮฺ, ซึ่งอิหม่ามของพวกเขาอยู่ในแนวทางอะห์ลุสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ. แต่อะอูศุบิลลาฮิมินซาลิก ....
...........บรรดาสาวกของมัสฮับเกือบทั้งหมด และบรรดาสำนักฟิกฮฺ ได้เริ่มกลับไปตามพวกบิดอะฮฺ และหลงทางในเรื่องอะกีดะฮฺ,
........ มีบรรดาที่ยึดชะฟีอี, มะลิกี มากมารย กลายเป็นอัชอะรี.
........ และมีบรรดาที่ยึดฮะนาฟี มากมายกลายเป็นมะตุริดี.
........แต่เกี่ยวกับอะกีดะฮฺ, ฮัมบะลี – จะมีส่วนน้อยที่แยกออกมา – ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางประการ นอกจากว่าอะกีดะฮฺอะห์ลุสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่พวกเขายังยึดมั่น.
หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับมุสลิมคือเขายึดมั่นในอัลกุรอานและซุนนะฮ ตามความเข้าใจของศอฮาบะฮฺ ของท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาผู้ปฏิบัติตามการชี้นำของพวกเขาเหล่านั้น.
..... สำหรับการทำตามบรรดาสี่มัสฮับใดมัสฮับหนึ่ง หรืออื่นๆนั้น,ก็ไม่เป็นข้อแนะนำ, และมุสลิมไม่จำเป็นต้องยึดมั่นกับมัสฮับใดเป็นพิเศษ. แต่กลายเป็นว่า พวกเขากลับยึดมัสฮับเฉพาะนั้นๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา. จบคำตอบ
อันนี้ผมถามเองว่า....
แล้ววันนี้ ท่านคิดว่าควรจะให้ชาวบ้าน มาศรัทธาในอะกีดะฮฺ อะฮฺลุสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ ก่อนมั้ย
แล้วบ้านเรานะบอกตรงๆ มันเป็นเชิงสัญลักษณ์ไปแล้ว...ว่า
พวกกุนูต คือ พวกไหน?
พวกไม่กุนูต คือพวกไหน?
อุลามะอฺก็แนะนำแล้วให้วางเป็นสเต็ป แต่พูดเตาฮีดมันเบื่อใช่มั้ย?
อย่าอ้างว่า พูดแล้วนะ สำคัญคือ เข้าใจมั้ย มันคืออะไร? ไม่ใช่พูดตามตัวหนังสือ แต่เข้าในหัวใจ และออกมาด้วยการกระทำที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ
วัลลอฮุอะอฺลัม
วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562
การคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง โดย เชค อัลบานีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺ จากหนังสือ ฮิญาบุลมัรอะตุลมุสลิมะห์ หน้าที่ 54-67
การคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง

การคลุมฮิญาบเป็นหนึ่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ที่อิสลามมีบทบัญญัติให้บรรดาผู้หญิงที่บรรลุศาสนะภาวะ และเมื่อพูดถึงฮิญาบหลายคนอาจเข้าใจว่า จะเป็นผ้าคลุมแบบไหนก็ได้ เล็กบ้าง บางบ้าง หรือคลุมแล้วยังมีผมโผล่ด้านหลัง แต่ในความเป็นจริงการคลุมฮิญาบที่อิสลามมีบทบังคับใช้นั้น เพื่อให้ผู้หญิงได้ปกปิดเอาเราะห์ของพวกนาง และฮิญาบคือสิ่งที่มารักษาจิตใจของผู้หญิงให้มีความบริสุทธิ์
ผู้หญิงที่เข้าใจจุดประสงค์ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยกับการคลุมฮิญาบ ว่ามีเป้าหมายอะไร นางก็จะเข้าใจคำว่า ฮิญาบ รวมไปด้วยกับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่อิสลามได้กำหนดไว้ ความหมายของฮิญาบ คือ การปกปิดทุกอย่างที่ห้ามมิให้นางเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคิ้ว ทาหน้า ทาปาก หรือใส่น้ำหอมออกจากบ้าน ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นอยู่ในรายละเอียดของการคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง
ปัจจุบันเราจะเห็นว่าฮิญาบของมุสลิมะห์จำนวนมากไม่ต่างอะไรกับแฟชั่นเสื้อผ้า ที่ออกมาตามรุ่นต่างๆ มีการออกแบบใหม่ตลอดเวลา เพื่อดึงดูดลูกค้า ด้วยเหตุจะเห็นว่ามีผู้หญิงมุสลิมะห์จำนวนมากที่คลุมฮิญาบหลากหลายรูปแบบ และคิดว่าการคลุมฮิญาบ จะคลุมแบบไหนก็ได้ โดยไม่รู้การคลุมฮิญาบที่ถูกต้องว่ามันครอบคลุมเรื่องใดบ้าง แต่ฮิญาบที่อิสลามได้กำหนด ต้องมีเงื่อนไขการคลุมที่ถูกต้อง ขอนำเสนอเงื่อนไขที่ ท่านเชคอัลบานีย์รอฮิมาอฮุลลอฮฺได้กล่าวถึงการคลุมฮิญาบที่ถูกต้องไว้ดังต่อไปนี้
เงื่อนไขข้อที่หนึ่ง
ฮิญาบต้องปกปิดร่างกายทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่อนุญาตให้เปิดได้ คำดำรัสของอัลลอฮ์ ความว่า
“โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา
ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน
และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”
สำหรับอายะแรก เป็นการระบุอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นในการปกปิดสิ่งที่เป็นเครื่องประดับ ไม่อนุญาติให้เปิดเผยสิ่งใดจากเครื่องประดับ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ไม่ใช่มะฮฺรอม นอกจากสิ่งที่เปิดเผยได้ โดยไม่ได้เจตนา ถือว่านางไม่มีบาปเมื่อรีบที่จะปกปิดมัน
ท่านฮาฟิซ อิบนู กะซีรได้กล่าวไว้ในหนังสือ ตัฟซีรของท่าน (อธิบายอายะห์ข้างต้น) หมายความว่า
“พวกนางจะต้องไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นเครื่องประดับแก่บุคคลที่สามารถแต่งงานกันได้ นอกจากสิ่งที่ไม่สามารถจะทำการปกปิดได้”

เงื่อนไขข้อที่สอง
ผ้าคลุมฮิญาบต้องไม่มีการประดับประดาในตัวของมัน คำดำรัสของอัลลอฮ์ ความว่า
“พวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง”{ ولا يبدين زينتهن }
สำหรับอายะห์นี้ครอบคลุม เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วดึงดูดความสนใจ ซึ่งมีเครื่องประดับ ที่ทำให้บรรดาผู้คนเกิดความสนใจต้องชำเลืองสายตามองเสื้อผ้าของนาง และหลักฐานที่มายืนยันในเรื่องดังกล่าว คำดำรัสของอัลลอฮฺ ความว่า
“และพวกนางจงอยู่ในบ้านของพวกนาง และพวกนางอย่าได้ทำการอวดโฉมเหมือนกับการอวดโฉมของคนยุคงมงายแรกๆ”
(ซูเราะห์อัลอะซาบ อายะที่ 33 )
และคำพูดของท่านนบี
“บุคคลสามประเภท จะไม่ถูกถามถึงพวกเขา(ถูกทอดทิ้ง)
ชายที่ละทิ้งญะมาฮะห์(กลุ่มมุสลิม) และเขาฝ่าฝืนผู้นำของเขา และตายในสภาพที่ยังฝ่าฝืน(ฝ่าฝืนผู้นำ)
ทาสหญิง หรือทาสชายที่หนีจากเจ้านาย
และผู้หญิงที่เมื่อสามีของนางไม่อยู่ โดยที่สามีของให้ความสะดวกในการดำเนินชีวิตเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่นางกลับแต่งตัวยั่วยวน(ผู้อื่น)เมื่อสามีไม่อยู่
ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกถามถึง(ถูกทอดทิ้ง)”
(บันทึกโดยอัลหากิม 1/119 ฮะหมัด 6/19 และหะดีษของท่านฟาดอละห์ บินตฺ อุบัยดฺ สายรายงานของเขาถูกต้อง ซึ่งอยู่ในหนังสือ อัลอาดะบุลมุฟรอต)
เงื่อนไขที่สาม
เนื้อผ้าจะต้องไม่บาง เนื่องจากการปกปิดถือว่ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่นำมาปกปิดยังบางอยู่ สำหรับการสวมเสื้อผ้าที่บางเป็นการทำให้(ฟิตนะ)ความไม่ดีเพิ่มขึ้น และยังถือว่าเป็นการประดับประดาอยู่
يقول صلى الله عليه وسلم : "سيكون في آخر أمتي نساء كاسيات عاريات على رؤوسهن كأسنمة البخت العنوهن فإنهن ملعونات " زاد في حديث آخر :"لا يدخلن الجنة ولا يجدن ريحها وإن ريحها لتوجد من مسيرة كذا وكذا " . رواه مسلم من رواية أبي هريرة .
สำหรับเรื่องดังกล่าวท่านนบี ได้กล่าวว่า
“จะปรากฏขึ้นในช่วงท้ายๆ ของประชาชาติของฉัน ผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าแต่ยังเหมือนเปลือยกายอยู่ บนศีรษะของพวกนางนั้นคล้ายกับโหนกอูฐ
พวกท่านจงสาปแช่งพวกนาง เพราะว่าพวกนางนั้นถูกสาปแช่ง”
และมีสำนวนที่เพิ่มอีกสายรายงานหนึ่ง
“พวกนางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และพวกนางจะไม่ได้กลิ่นไอของสวรรค์ เพราะแท้จริงกลิ่นไอของสวรรค์ ระยะทาง อย่างนั้น อย่างนั้น”
(บันทึกโดย อิหม่ามมุสลิม จากสายรายงานของท่าน อาบูฮุรัยเราะห์ )
ท่าน อิบนู อับดุลบิรได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้หมายถึงผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้า และเสื้อผ้านั้นยังบางอยู่ ไม่สามารถปกปิดเอาเราะห์ได้ ดังนั้นพวกนางก็เป็นผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าแต่ในความเป็นจริงก็เหมือนเปลือยกายอยู่
(รายงานจาก อัซซูยูตีย์ในหนัง ตันวีร อัลหาวาลิกเล่มที่3/103)
เงื่อนไขที่สี่
เสื้อผ้าจะต้องไม่รัดรูป จนเห็นทรวดทรง เพราะจุดประสงค์ของการใช้ให้คลุมฮิญาบ คือต้องการปกป้องผู้หญิงจากความไม่ดีงาม(จากการเปิดเผยเอาเราะห์) ดังนั้นหากไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่กว้างแล้ว ก็ถือว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องนี้ การใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป ถึงแม้จะปกปิดผิวหนังแล้ว แต่ยังคงเปิดรูปร่างทรวดทรง หรือเปิดเผยบางส่วนของรูปร่าง และการแต่งตัวที่รัดรูปไม่สามารถทำให้รอดพ้นจากสายตาผู้ชายได้ และยังเชิญชวนสายตาที่มองมา ด้วยกับการมองนั้นเป็นสาเหตุที่นำไปสู่สิ่งไม่ดี ดังนั้นการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่รัดรูปจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ท่าน ฮูซามะห์ บุตรชายของท่านเซด ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้สวมเสื้อ กิบตียะห์ที่หนาให้กับฉัน ซึ่ง ท่านดาฮียะ อัลกัลบีย์ได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ท่านนบี แล้วฉันก็ได้นำเสื้อผ้านั้นไปสวมให้แก่ภรรยาของฉัน แล้วท่านนบีได้กล่าวว่า ทำไมท่านไม่สวมเสื้ออัลกิบตียะห์ ฉันตอบไปว่า ฉันได้สวมมันให้แก่ภรรยาของฉัน ท่านรอซูลได้กล่าวว่า
“ท่านจงกำชับนาง ให้นางใส่มันไว้ใต้เสื้อคลุม เพราะว่าแท้จริงฉันกลัวว่า การสวมเสื้อผ้าของนางจะทำให้เห็นรูปร่างของนาง”
(บันทึกโดย อัดดิยาฮฺ อัลมูกอดดีซีย์ ในหนังสือ อัลอะหาดีษ อัลมุคตาร 1/441 และท่านอะหมัด วัลบัยฮากีย์ ด้วยสายรายงานที่ดี)

เงื่อนไขข้อที่ห้า
ต้องไม่ใส่เครื่องหอม น้ำหอม มีหะดีษมากมายที่ห้ามผู้หญิงไม่ให้ใส่น้ำหอม เมื่อนางออกจากบ้าน และขอนำเสนอหลักฐานที่มีสายรายงานที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีรายงานจากท่าน อาบีมูซา อัลอัชอารีย์ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
“ผู้หญิงคนใดก็ตาม ที่นางนั้นได้ใส่น้ำหอม แล้วนางได้ผ่านไปยังผู้คน(หมายถึงผู้ชาย)
เพื่อที่จะให้พวกเขาได้รับกลิ่นหอมที่มาจากตัวนาง ก็เท่ากับว่านางนั้นเป็นผู้ที่ผิดประเวณี”
มีรายงานจากท่านซัยหนับ อัซซอกอฟียะห์ แท้จริงท่านนบี กล่าวว่า
“เมื่อผู้หญิงคนใดจากพวกนางได้ออกไปยังมัสยิด ดังนั้นพวกนางก็อย่าได้ใส่น้ำหอม”
มีรายงานจากท่าน อาบู ฮูรัยเราะห์ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ได้กล่าวว่า
“ผู้หญิงคนใดก็ตาม ที่นางนั้นได้ใส่น้ำหอมนางอย่าได้มาละหมาดอีดร่วมกับพวกเรา”
มีรายงานจากท่าน มูซา บิน ยาซาร จากท่าน อาบีอูรัยเราะห์
“แท้จริงผู้หญิงคนหนึ่งได้ผ่านมายังเขา แล้วกลิ่นของนางก็ได้โชยมา(หมายถึงกลิ่นน้ำหอม)
ท่าน อาบูอูรัยเราะห์กล่าวว่าโอ้หญิงสาวผู้หยิ่งยโสเธอต้องการที่จะไปมัสยิดใช่ไหม?
ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า ใช่แล้ว
ท่านอาบูอุรัยเราะห์ถามนางว่า เธอใส่น้ำหอมใช่ไหม?
นางตอบว่า ใช่
อาบูอูรัยเราะห์กล่าว เธอจงกลับไป แล้วไปอาบน้ำ(เพื่อขจัดกลิ่นน้ำหอม) เพราะว่าแท้จริงฉันได้ยิน ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
“ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ตามที่นางได้ออกไปยังมัสยิดแล้วกลิ่นของนาง(หมายถึงกลิ่นน้ำหอม)ได้โชยออกไป
อัลลอฮฺจะรับละหมาดจากนางนั้น ก็ต่อเมื่อนางได้กลับไปยังบ้านของนางแล้วนางอาบน้ำ (เพื่อขจัดกลิ่นน้ำหอม)”
สำหรับหลักฐานต่างๆ ได้กล่าวแบบภาพรวม ซึ่งในหะดีษได้ชี้ให้เห็นว่า การใส่น้ำหอมมักจะใส่ตามร่างกายและเสื้อผ้า โดยเฉพาะหะดีษที่ได้กล่าวถึงการใช้น้ำหอมที่เสื้อผ้าเป็นการเฉพาะ สาเหตุที่ห้ามใส่น้ำหอม เนื่องจากการใส่น้ำหอมของผู้หญิงจะมากระตุ้นอารมณ์ความต้องการทางเพศ โดยนักวิชาการได้นำเรื่องการใส่น้ำหอมไปรวมอยู่ในความหมาย ของการใส่เสื้อผ้าที่สวยงามที่มีการประดับประดาด้วยเครื่องประดับ และมีความหมายรวมอยู่กับการปะปนกับผู้ชาย (ให้ไปดู ฟัตหุลบารีย์ 2/279)
ท่านอิบนู ดากีกอัลอีด ได้กล่าวไว้ว่า “ในหะดีษได้ห้ามการใส่น้ำหอมสำหรับผู้หญิงที่ต้องการจะไปมัสยิด เนื่องจากการใส่น้ำหอมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศแก่ผู้ชาย” ท่านอัลมานาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟัยดุลกอดีร ในการอธิบายหะดีษของท่านอาบูฮูรอยเราะห์หะดีษที่หนึ่ง
เงื่อนไขที่หก
จะต้องไม่เป็นการแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย ได้มีปรากฏในหะดีษที่ถูกต้องถึงการสาปแช่งผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชายในการแต่งตัว หรือเรื่องอื่นๆ
รายงานจากท่านอาบูฮูรัยเราะห์ ได้กล่าวว่า
“ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้สาปแช่งผู้ชายที่เลียนแบบการแต่งกายของผู้หญิงและผู้หญิงที่แต่งกายแบบผู้ชาย”
มีรายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนู อัมรฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
“ ไม่ถือว่าเป็นพวกของเรา บรรดาผู้หญิงที่ไปเลียนแบบพวกผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่เลียนแบบพวกผู้หญิง”
มีรายงานจากท่าน อิบนูอับบาสได้กล่าวว่า
“ท่านนบี ได้สาปแช่งบรรดาผู้ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิง(กะเทย)จากบรรดาผู้ชาย และสาปแช่งพวกที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย(ทอม)จากบรรดาผู้หญิง
และท่านได้กล่าวว่า ให้พวกท่านไล่พวกเขาออกจากบ้าน แล้วท่านนบีได้ให้คนคนหนึ่งออกไป และท่านอุมัรได้ให้คนหนึ่งออกไป”
และมีอีกสำนวนหนึ่ง
“ท่านนบี ได้สาปแช่ง บรรดาผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่ทำตัวเหมือนผู้หญิง”
มีรายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนู อุมัร ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลอฮฺ ได้กล่าวว่า
“บุคคลสามประเภทพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และอัลลอฮจะไม่มองไปยังพวกเขาในวันกิยามะห์
ผู้ที่เนรคุณต่อพ่อแม่ ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่ไม่สนใจครอบครัว”
มีรายงานจากท่าน อิบนู อาบีมาลีกะ ชื่อจริงของเขาคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยดฺ เขาได้กล่าวว่า ได้มีคนกล่าวกับท่านหญิงอาอิชะห์รอฏิยัลลอฮู อันฮาว่า
“แท้จริงผู้หญิง ที่นางสวมรองเท้านั้น (หมายถึงรองเท้าเหมือนผู้ชาย) ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้สาปแช่ง ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย”
สำหรับหะดีษที่กล่าวมานี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ ถึงการห้ามผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายและผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง ซึ่งครอบคลุมการเลียนแบบการแต่งกายและสิ่งอื่นๆ สมควรที่มุสลิมต้องรู้หลักฐานที่ถูกต้องในข้อนี้ ซึ่งอยู่มีมากมายในอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ และหากว่าในอัลกุรอานกล่าวไว้แบบรวมๆไม่ละเอียดมาก แน่นอนอัซซุนนะห์จะมาอธิบายอัลกุรอานอยู่เสมอ
เงื่อนไขที่เจ็ด
อย่าแต่งกายเลียนแบบบรรดาผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธา เมื่อได้มีการกำหนดในบทบัญญัติว่า ไม่อนุญาตสำหรับบรรดามุสลิมไม่ว่าชายหรือหญิง ไปเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบประเพณี หรืองานรื่นเริงการเฉลิมฉลอง หรือการเลียนแบบเรื่องแต่งกาย ที่เป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะสำหรับผู้ปฏิเสธ ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในบทบัญญัติอิสลาม
ปัจจุบันมุสลิมจำนวนมากที่ออกนอกกฎเกณฑ์นี้ จนกระทั่งถึงขั้นไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาผู้ปฏิเสธในเรื่องของศาสนา และทำหน้าที่เรียกร้องมาสู่ศาสนา ทั้งที่ไม่ความรู้ในศาสนา ทำให้เกิดความผิดเพี้ยน โน้มเอียงไปยังค่านิยมของชาวยุโรปที่ปฏิเสธศรัทธา เป็นสาเหตุที่ทำให้มุสลิมตกต่ำและอ่อนแอ ทำให้ต่างชาติเข้ามามีอำนาจเหนือบรรดามุสลิม และทำการยึดครองประเทศของพวกเขา ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ความว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนแปลงกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของพวกเขาเอง”
เงื่อนไขที่แปด
เสื้อผ้านั้นต้องไม่เป็นเสื้อผ้าชุฮฺเราะห์ หมายถึง สวมใส่เพื่อการโอ้อวด เสื้อผ้าที่ราคาแพงเกินความจำเป็น และฟุ่มเฟือย
فلحديث ابن عمر رضي الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم " من لبس ثوب شهرة في الدنيا ألبسه الله ثوب مذلة يوم القيامة ثم ألهب فيه ناراً". حجاب المرأة المسلمة " ( ص 54 - 67 ) .
มีหะดีษของอิบนุ อุมัรรอฎิยัลลอฮุ อันฮุได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
“ใครที่สวมเสื้อผ้าชุฮเราะห์(หมายถึงสวมใส่เพื่อการโอ้อวด เสื้อผ้าที่ราคาแพงเกินความจำเป็น และเป็นการฟุ่มเฟือย)ในโลกดุนยา
อัลลอฮ์ จะสวมใส่ให้แก่เขาในวันกิยามะห์ เสื้อผ้าแห่งความตกต่ำ หลักจากนั้นพระองค์ได้ให้ไฟลุกที่เสื้อนั้น”
والله أعلم بالصواب
....................................................................................
โดย เชค อัลบานีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺ
จากหนังสือ ฮิญาบุลมัรอะตุลมุสลิมะห์ หน้าที่ 54-67
จงยึดมั่นในความสัตย์จริง
จงยึดมั่นในความสัตย์จริง
พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า
﴿ فَمَنۡ أَظۡلَمُ مِمَّنِ ٱفۡتَرَىٰ عَلَى ٱللَّهِ كَذِبًا أَوۡ كَذَّبَ بَِٔاليَٰتِهِۦٓۚ إِنَّهُۥ لَا يُفۡلِحُ ٱلۡمُجۡرِمُونَ ١٧ ﴾ [يونس : ١٧]
"ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริงบรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ" (ยูนุส: 17)
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّـهَ وَكُونُوا مَعَ الصَّادِقِينَ ﴿ سورة التوبة: ١١٩﴾
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงอยู่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง (ซูเราะหฺ อัตเตาบะฮฺ : 119
عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بن مسعود رضي الله عنه قَالَ; قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم :
" عَلَيْكُمْ بِالصِّدْقِ فَإِنَّ الصِّدْقَ يَهْدِي إِلَى الْبِرِّ وَإِنَّ الْبِرَّ يَهْدِي إِلَى الْجَنَّةِ وَمَا يَزَالُ الرَّجُلُ يَصْدُقُ وَيَتَحَرَّى الصِّدْقَ حَتَّى يُكْتَبَ عِنْدَ اللَّهِ صِدِّيقًا وَإِيَّاكُمْ وَالْكَذِبَ فَإِنَّ الْكَذِبَ يَهْدِي إِلَى الْفُجُورِ وَإِنَّ الْفُجُورَ يَهْدِي إِلَى النَّارِ وَمَا يَزَالُ الرَّجُلُ يَكْذِبُ وَيَتَحَرَّى الْكَذِبَ حَتَّى يُكْتَبَ عِنْدَ اللَّهِ كَذَّابًا "
صحيح البخاري : 6094 , صحيح مسلم: 2607 , صحيح-الألباني"صحيح الجامع": 407 , صحيح-الألباني"صحيح الترمذي": 1971
จากท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอู๊ด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า:
"พวกท่านทั้งหลายจงยึดมั่นในความสัตย์จริง เพราะความสัตย์จริงนั้นจะนำพาไปสู่ความดี และความดีจะนำพาไปสู่สวนสวรรค์ ผู้ใดก็ตามที่มีความสัตย์จริง และใฝ่หาความสัตย์จริง เขาจะได้รับการบันทึก ณ ที่อัลลอฮฺว่าเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความสัตย์จริง และพวกท่านทั้งหลายจงพึงระวังการโกหก เพราะการโกหกนั้นจะนำพาไปสู่ความชั่วร้าย และความชั่วร้ายจะนำพาไปสู่ไฟนรก ผู้ใดก็ตามที่ชอบโกหก และฝักใฝ่การโกหกอยู่เป็นนิจ เขาก็จะถูกบันทึก ณ ที่อัลลอฮฺว่าเป็นจอมโกหก"
เศาะฮีหฺ อัลบุคอรียฺ : 6094 , เศาะฮีหฺ มุสลิม : 2607 , เศาะฮีหฺ-อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ" : 407 , เศาะฮีหฺ-อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัตติรฺมิซียฺ" : 1971
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلي الله عليه وسلم قَالَ:
"مَنْ كَانَ يُؤْمِنُ بِاَللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ فَلْيَقُلْ خَيْرًا أَوْ لِيَصْمُتْ،...."
[ متفق عليه ]
صحيح البخاري :6475,6136,6018 , صحيح مسلم:47 , صحيح ابن حبان:530
จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เมื่อ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า :
“ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก เขาก็จงพูดสิ่งดี หรือไม่ก็จงเงียบเสีย ….”
[มุตตะฟะกุล อลัยฮฺ]
เศาะฮีหฺ อัลบุคอรียฺ : 6475,6136,6018 , เศาะฮีหฺ มุสลิม :47 , เศาะฮีหฺ อิบนุ ฮิบบาน :530
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه ، سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ :
" إِنَّ الْعَبْدَ لَيَتَكَلَّمُ بِالْكَلِمَةِ مَا يَتَبَيَّنُ فِيهَا، يَزِلُّ بِهَا فِي النَّارِ أَبْعَدَ مِمَّا بَيْنَ الْمَشْرِقِ ".
صحيح البخاري: 6477 واللفظ له , صحيح مسلم: 2988, صحيح-الألباني"صحيح الجامع": 1678
จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ยิน ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า ;
“แท้จริง(หากว่า)บ่าวคนหนึ่งที่พูดด้วยคำพูดหนึ่งโดยไม่หาข้อเท็จจริงในคำพูดนั้น(ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนว่าคำพูดนั้นดีหรือชั่ว) มันทำให้เขาตกนรกที่ไกลยิ่งกว่าระยะระหว่างทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเสียอีก”
เศาะฮีหฺ อัลบุคอรียฺ : 6477 และเป็นสำนวนของท่าน , เศาะฮีหฺ มุสลิม : 2988 , เศาะฮีหฺ–อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ" : 1678
عن سهل بن سعد رضي اللّه عنه عن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال:
“ مَنْ يَضْمَنْ لِيْ مَا بَيْنَ لَحْيَيْهِ وَمَا بَيْنَ رِجْلَيْهِ، أَضْمَنْ لَهُ الْجَنَّةَ “
صحيح البخاري: 6474 , صحيح الألباني "صحيح الجامع": 6617
จากสะฮฺลฺ บิน สะอัด เราะฎิยัลลอฮุ อันฮฺ จาก ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า :
“ผู้ใดที่รับประกันกับฉันว่าจะระวังรักษาสิ่งที่อยู่ระหว่างขากรรไกรทั้งสองข้างของเขา (ปากและลิ้น) และสิ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา (อวัยวะเพศ) ฉันจะรับประกันสวรรค์ให้แก่เขา”
เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺ : 6474 , เศาะฮีหฺ อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ" : 661
มักมีการกล่าวหา คนที่เขาเรียกกลุ่มวะฮบีย์ หรือพวกคณะใหม่ว่า เป็นพวกไม่เอาอุลามาอฮ ต่อต้านมัซฮับ ทั้งหมดล้วนเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น
มักมีการกล่าวหา คนที่เขาเรียกกลุ่มวะฮบีย์ หรือพวกคณะใหม่ว่า เป็นพวกไม่เอาอุลามาอฮ ต่อต้านมัซฮับ ทั้งหมดล้วนเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น
ขอชี้แจงว่า
กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “วะฮาบีย์ ในอดีตและปัจจุบัน ไม่ได้คัดค้านมัซฮับทั้งสี่ แต่ไม่ได้ส่งเสริมให้ยึดติดและตักลิด(เชื่อตาม)มัซฮับทั้งสี่อย่างหลับหูหลับตาต่างหาก
มาดูคำพูดของ เช็คอับดุลลอฮ บุตร เช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ กล่าวไว้ว่า
مذهبنا في أصول الدين مذهب أهل السنة والجماعة وطريقتنا طريقة السلف وهي أنا نقر آيات الصفات وأحاديثها على ظاهرها .
ونحن أيضا في الفروع على مذهب الإمام أحمد بن حنبل ولا ننكر على من قلد أحد الأئمة الأربعة .
ولا نستحق مرتبة الاجتهاد المطلق ولا أحد لدينا يدعيها . إلا أننا في بعض المسائل إذا صح لنا نص جلي من كتـاب أو سنة غيـر منسـوخ ولا مخصص ولا معارض بأقوى منه وقال به أحد الأئمة الأربعة أخذنا به وتركنا المذهب كإرث الجد والإخوة ، فإنا نقدم الجد بالإرث وإن خالف مذهب الحنابلة
มัซฮับของเราในเรื่องอุศูลุดดีน(หมายถึงในเรืองรากฐานของศาสนา ซึ่งหมายถึงด้านอะกีดะฮ) คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ และแนวทางของเราคือ แนวทางสะลัฟ และมันคือ แท้จริงเรายอมรับบรรดาอายาตสิฟาต(อายะฮอัลกุรอ่านที่เกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ) และบรรดาหะดิษสิฟัต ตามความหมายที่ปรากฏของมัน(ตามตัวบท)
และเช่นเดียวกันใน ด้านฟุรูอุดดีน(ในด้านสาขาศาสนา หมายถึงในภาคปฏิบัตศาสนกิจ) เรา
นั้นอยู่มัซฮับอิมามอะห์มัด บิน ฮัมบัล และเราไม่คัดค้านต่อผู้ที่เชื่อตามอิมามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอิมามทั้งสี่ และเราไม่มีสิทธิ์อยู่ในฐานะอิจญติฮาดมุฏลัก(อิจญติฮาดอิสระ)และคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเราไม่อ้างมัน เว้นแต่ว่า ในบางประเด็น
เมื่อมีตัวบทชัดเจน เศาะเฮียะสำหรับเรา จากคัมภีร์และสุนนะฮที่ไม่ถูกยกเลิก และไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกจำกัดเฉพาะและไม่ได้ค้านกับหลักฐานที่แข็งแรงกว่า โดยที่คนหนึ่งคนใดจากมัซฮับทั้งสี่ได้กล่าวมันเอาไว้ เราก็เอามันมายึดถือ และเราก็จะละทิ้งมัซฮับ (ที่เราสังกัดอยู่) เช่น (มัซฮับที่มีทัศนะว่า)ปู่และบรรดาพี่น้องหญิงสืบทอดมรดกได้ เราก็เอาผู้ที่เป็นปู่มาก่อน (ผู้เป็นพี่น้องหญิงที่มีสิทธิ์รับมรดก) และแม้มันจะขัดแย้งกับมัซฮับอัลหะนาบะฮละฮ (ที่เราสังกัดอยู่)ก็ตาม - อัดดุรรุสสะนียะฮ เล่ม 1 หน้า 126
……………………….
จะเห็นได้ว่า กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “วะฮาบีย์ในอดีต” พวกเขา ไม่ได้ต่อต้านมัซฮับ แต่พวกเขาสอนให้ตามมัซฮับอย่างมีสติ คือ ตามที่ตรงกับหลักฐานที่เศาะเฮียะ ไม่ใช่หลับตาตาม
อิหม่ามมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ เองกล่าว ว่า
عقيدتنا في جميع الصفات الثابتة في الكتاب والسنة هي عقيدة أهل السنة والجماعة، نؤمن بها ونقرها كما جاءت مع إثبات حقائقها وما دلت عليه، من غير تكييف ولا تمثيل، ومن غير تعطيل ولا تبديل ولا تأويل
อะกีดะฮของเรา ในทั้งหมดของสิฟัตที่ปรากฏยืนยันในอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ คือ อะกีดะฮ อะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ,เราศรัทธาและยอมรับมันตามที่ปรากฏมา พร้อมทั้งยืนยันถึงความจริงของมัน และสิ่งที่มันได้แสดงบอกไว้ โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ และไม่เปรียบเทียบ และโดยไม่ปฏิเสธสิฟัต ,ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ตีความความ
وأما مذهبنا ، فمذهب الإمام أحمد بن حنبل إمام أهل السنة والجماعة في الفروع ولا ندعي الاجتهاد ، وإذا بانت لنا سنة
صحيحة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم عملنا بها ، ولا نقدم عليها قول أحد ، كائناً من كان.
สำหรับมัซอับของเรา เราดำเนินตามมัซฮับ อิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล อิหม่ามแห่งอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ในเรื่องสาขาของศาสนา(หมายถึงในเรื่องภาคปฏิบัติศาสนกิจ) และเราไม่กล่าวอ้างการอิจญติฮาด และเมื่อปรากฏสุนนะฮที่เศาะเฮียะจากรซูลุลลออ แก่เรา เราก็ปฏิบัติด้วยมัน และเราจะไม่นำคำพูดของคนหนึ่งคนใดล้ำหน้าสุนนะฮรซูลุลลอฮ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
- อัลฮะดียะฮอัสสะนียะฮ หน้า 99
........................
จากคำพูดของเช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ท่านไม่ได้รังเกียจมัซฮับ แต่ท่านไม่ได้ยึดติดกับมัซฮับแบบเอามัซฮับนำหน้า แล้วเอาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮไว้เบื้องหลัง
ส่วนเรื่องอะกีดะฮนั้น ท่านยึดแนวทางอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ไม่ใช่อะกีดะฮยิวตามที่คนบางกลุ่มกล่าวหา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
ขอชี้แจงว่า
กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “วะฮาบีย์ ในอดีตและปัจจุบัน ไม่ได้คัดค้านมัซฮับทั้งสี่ แต่ไม่ได้ส่งเสริมให้ยึดติดและตักลิด(เชื่อตาม)มัซฮับทั้งสี่อย่างหลับหูหลับตาต่างหาก
มาดูคำพูดของ เช็คอับดุลลอฮ บุตร เช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ กล่าวไว้ว่า
مذهبنا في أصول الدين مذهب أهل السنة والجماعة وطريقتنا طريقة السلف وهي أنا نقر آيات الصفات وأحاديثها على ظاهرها .
ونحن أيضا في الفروع على مذهب الإمام أحمد بن حنبل ولا ننكر على من قلد أحد الأئمة الأربعة .
ولا نستحق مرتبة الاجتهاد المطلق ولا أحد لدينا يدعيها . إلا أننا في بعض المسائل إذا صح لنا نص جلي من كتـاب أو سنة غيـر منسـوخ ولا مخصص ولا معارض بأقوى منه وقال به أحد الأئمة الأربعة أخذنا به وتركنا المذهب كإرث الجد والإخوة ، فإنا نقدم الجد بالإرث وإن خالف مذهب الحنابلة
มัซฮับของเราในเรื่องอุศูลุดดีน(หมายถึงในเรืองรากฐานของศาสนา ซึ่งหมายถึงด้านอะกีดะฮ) คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ และแนวทางของเราคือ แนวทางสะลัฟ และมันคือ แท้จริงเรายอมรับบรรดาอายาตสิฟาต(อายะฮอัลกุรอ่านที่เกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ) และบรรดาหะดิษสิฟัต ตามความหมายที่ปรากฏของมัน(ตามตัวบท)
และเช่นเดียวกันใน ด้านฟุรูอุดดีน(ในด้านสาขาศาสนา หมายถึงในภาคปฏิบัตศาสนกิจ) เรา
นั้นอยู่มัซฮับอิมามอะห์มัด บิน ฮัมบัล และเราไม่คัดค้านต่อผู้ที่เชื่อตามอิมามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอิมามทั้งสี่ และเราไม่มีสิทธิ์อยู่ในฐานะอิจญติฮาดมุฏลัก(อิจญติฮาดอิสระ)และคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเราไม่อ้างมัน เว้นแต่ว่า ในบางประเด็น
เมื่อมีตัวบทชัดเจน เศาะเฮียะสำหรับเรา จากคัมภีร์และสุนนะฮที่ไม่ถูกยกเลิก และไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกจำกัดเฉพาะและไม่ได้ค้านกับหลักฐานที่แข็งแรงกว่า โดยที่คนหนึ่งคนใดจากมัซฮับทั้งสี่ได้กล่าวมันเอาไว้ เราก็เอามันมายึดถือ และเราก็จะละทิ้งมัซฮับ (ที่เราสังกัดอยู่) เช่น (มัซฮับที่มีทัศนะว่า)ปู่และบรรดาพี่น้องหญิงสืบทอดมรดกได้ เราก็เอาผู้ที่เป็นปู่มาก่อน (ผู้เป็นพี่น้องหญิงที่มีสิทธิ์รับมรดก) และแม้มันจะขัดแย้งกับมัซฮับอัลหะนาบะฮละฮ (ที่เราสังกัดอยู่)ก็ตาม - อัดดุรรุสสะนียะฮ เล่ม 1 หน้า 126
……………………….
จะเห็นได้ว่า กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “วะฮาบีย์ในอดีต” พวกเขา ไม่ได้ต่อต้านมัซฮับ แต่พวกเขาสอนให้ตามมัซฮับอย่างมีสติ คือ ตามที่ตรงกับหลักฐานที่เศาะเฮียะ ไม่ใช่หลับตาตาม
อิหม่ามมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ เองกล่าว ว่า
عقيدتنا في جميع الصفات الثابتة في الكتاب والسنة هي عقيدة أهل السنة والجماعة، نؤمن بها ونقرها كما جاءت مع إثبات حقائقها وما دلت عليه، من غير تكييف ولا تمثيل، ومن غير تعطيل ولا تبديل ولا تأويل
อะกีดะฮของเรา ในทั้งหมดของสิฟัตที่ปรากฏยืนยันในอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ คือ อะกีดะฮ อะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ,เราศรัทธาและยอมรับมันตามที่ปรากฏมา พร้อมทั้งยืนยันถึงความจริงของมัน และสิ่งที่มันได้แสดงบอกไว้ โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ และไม่เปรียบเทียบ และโดยไม่ปฏิเสธสิฟัต ,ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ตีความความ
وأما مذهبنا ، فمذهب الإمام أحمد بن حنبل إمام أهل السنة والجماعة في الفروع ولا ندعي الاجتهاد ، وإذا بانت لنا سنة
صحيحة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم عملنا بها ، ولا نقدم عليها قول أحد ، كائناً من كان.
สำหรับมัซอับของเรา เราดำเนินตามมัซฮับ อิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล อิหม่ามแห่งอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ในเรื่องสาขาของศาสนา(หมายถึงในเรื่องภาคปฏิบัติศาสนกิจ) และเราไม่กล่าวอ้างการอิจญติฮาด และเมื่อปรากฏสุนนะฮที่เศาะเฮียะจากรซูลุลลออ แก่เรา เราก็ปฏิบัติด้วยมัน และเราจะไม่นำคำพูดของคนหนึ่งคนใดล้ำหน้าสุนนะฮรซูลุลลอฮ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
- อัลฮะดียะฮอัสสะนียะฮ หน้า 99
........................
จากคำพูดของเช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ท่านไม่ได้รังเกียจมัซฮับ แต่ท่านไม่ได้ยึดติดกับมัซฮับแบบเอามัซฮับนำหน้า แล้วเอาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮไว้เบื้องหลัง
ส่วนเรื่องอะกีดะฮนั้น ท่านยึดแนวทางอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ไม่ใช่อะกีดะฮยิวตามที่คนบางกลุ่มกล่าวหา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
เมื่อผู้ปฏิบัติตามบรรพชนยุคต้นกลับถูกเรียกว่าคณะใหม่
เมื่อผู้ปฏิบัติตามบรรพชนยุคต้นกลับถูกเรียกว่าคณะใหม่
ปัญหาคือ คนที่ปฏิบัติตามแนวทางสะลัฟ คณะเก่า ถูกกล่าวหาว่าเป็นคณะใหม่ และ คนที่อ้างว่าเป็นคณะเก่าแต่อุตริบิดอะฮขึ้นใหม่มาอ้างเป็นคำสอนศาสนา โดยอ้างประเพณีนิยมปู่ย่าตายายเป็นแบบอย่าง นี่คือปัญหา
คำว่าเก่า ต้องมีมาแต่ก่อนคือ คำสอนอัลลอฮ สุนนะฮรอซูลและอิจญมาอฺของบรรพชนผู้ทรงธรรมยุคสะลัฟ
และคำว่าใหม่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง เช่นคำสอนที่เกิดขึ้นหลังจากศาสนาสมบูรณ์แล้ว
ท่านอีหม่ามมาลิก(รอฮีมาฮุลลอฮฺ)ได้กล่าวว่า..
: "مَن ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أنَّ محمداً خان الرسالة؛ لأنَّ الله يقول: {الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ} ، فما لَم يكن يومئذ ديناً فلا يكون اليوم ديناً" الاعتصام للشاطبي (1/28) .
“ ผู้ใดที่ได้อุตริกรรมขึ้นในอิสลาม โดยมองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แน่นอน เขาได้อ้างว่า ท่านนบี ได้ทุจริตต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะอัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า “ ดั้งนั้น ถ้าวันนั้นมันไม่ได้เป็นศาสนา วันนี้มันก็ไม่ใช่ศาสนา “ (หนังสือ อัลอิอฺติศอม ของท่านอีหม่าม อัชชาฏีบีย์ )
ผู้ชาย ทำงานบ้าน ซุนนะ ศาสดา นบีมูฮัมหมัด
ผู้ชาย ทำงานบ้าน ซุนนะ ศาสดา นบีมูฮัมหมัด
ผู้ชายทำงานบ้าน ซุนนะฮฺที่ถูกลืม!
การทำงานบ้าน เลี้ยงดูลูก ถือเป็นหน้าที่หลักของภรรยา แต่คุณสามีรู้หรือไม่ การช่วยเหลือภรรยาในการทำงานบ้าน ถือเป็นหนึ่งในซุนนะห์ที่ต้องปฏิบัติ
หลังจากอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ หวังว่าข้ออ้างที่ว่างานภายในบ้านถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้หญิงจะหมดไป เพราะจริงๆ เเล้วผู้ชายก็มีหน้าที่ทำงานบ้านเช่นเดียวกัน
ดังที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้สร้างแบบอย่างเอาไว้โดยการกระทำของท่านเอง
سئلت عَائِشَة رضي الله عنها : " مَا كَانَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَعْمَلُ فِي بَيْتِهِ؟ فقَالَتْ: كَانَ بَشَرًا مِنَ الْبَشَرِ يَفْلِي ثَوْبَهُ ، وَيَحْلُبُ شَاتَهُ ، وَيَخْدُمُ نَفْسَهُ " .
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ได้ถูกเรียนถามว่า :
"ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.)ทำอะไรในบ้านของท่าน ?"
ท่านหญิงตอบว่า :
"ท่านก็เป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งจากบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ท่านทำความสะอาดเสื้อผ้าของท่าน ท่านรีดนมเเกะของท่าน เเละท่านรับใช้ตัวท่านเอง"
(บันทึกโดยอิหม่ามอะหมัด เเละเชคอัลบานีให้สถานะศ่อฮีฮฺ)
เเละในอีกสายรายงานหนึ่งในบันทึกของอิหม่ามอะหมัด
" كَانَ يَخِيطُ ثَوْبَهُ ، وَيَخْصِفُ نَعْلَهُ، وَيَعْمَلُ مَا يَعْمَلُ الرِّجَالُ فِي بُيُوتِهِمْ "
"ท่านเย็บเสื้อของท่าน ท่านซ่อมรองเท้าของท่าน เเละท่านทำงานที่บรรดาผู้ชายทำกันในบ้านของพวกเขา"
(เชคอัลบานีให้สถานะศ่อฮีฮฺ)
عَنِ الأَسْوَدِ ، قَالَ: " سَأَلْتُ عَائِشَةَ مَا كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَصْنَعُ فِي بَيْتِهِ؟ قَالَتْ: كَانَ يَكُونُ فِي مِهْنَةِ أَهْلِهِ - تَعْنِي خِدْمَةَ أَهْلِهِ - فَإِذَا حَضَرَتِ الصَّلاَةُ خَرَجَ إِلَى الصَّلاَةِ " .
จากท่านอัล-อัซวัด ได้กล่าวว่า : ฉันได้ถามท่านหญิงอาอิชะฮฺว่าท่านบี (ซ.ล.)ทำสิ่งใดในบ้านของท่าน ?
ท่านหญิงกล่าวว่า :"ท่านอยู่ในการรับใช้ครอบครัวของท่าน เเละเมื่อถึงเวลาละหมาด ท่านก็ออกไปยังการละหมาด"
(บันทึกโดยอิหม่ามอัล-บุคอรี)
ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผู้ชายจะทำงานบ้าน เพราะเเม้กระทั่งท่านนบี (ซ.ล.) ผู้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด ยังทำงานบ้านเเละรับใช้ตัวท่านเองเลย !
ที่มา: อิสลามตามแบบฉบับ
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
หากยึดสะลัฟจริงๆ เหมือนอ้างกัน ก็คงไม่ยืดเยื้อแบบนี้หรอกครับ(ยาวนิดหนึ่งครับเพราะมันจำเป็นจริงๆ) /อจ อิสหาก
หากยึดสะลัฟจริงๆ เหมือนอ้างกัน ก็คงไม่ยืดเยื้อแบบนี้หรอกครับ(ยาวนิดหนึ่งครับเพราะมันจำเป็นจริงๆ)
ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอับบาสกล่าวว่า
عن ابن عباس رضي الله تعالى عنهما أنه قال: التفسير أربعة: حلال وحرام لا يعذر أحد بجهالته، وتفسير تقره العرب بألسنتها، وتفسير تفسّره العلماء، وتفسير لا يعلمه إلا الله تعالى
“ตัฟสีรนั้นแบ่งได้เป็นสี่ประเภทคือ (หนึ่ง) เรื่องฮะล้าลฮะรอม (ที่ปรากฏชัดเจนในอัลกุรอ่าน) ใครจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ (สอง) ตัฟสีรตามที่อาหรับเข้าใจได้ด้วยภาษาของพวกเขา (สาม) ตัฟสีรที่บรรดาปราชญ์(เท่านั้น) ที่จะอธิบายได้ (สี่) และตัฟสีรที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้นอกจากอัลลอฮ์ ตะอาลา”
สรุปดังนี้
1-ความหมายพื้นๆ ที่ชัดเจนในตัวเอง ใครก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าไม่เข้าใจ
2-ความตามนัยยะของภาษาและระเบียบภาษาของอาหรับ
3-ความหมายลุ่มลึกละเอียดอ่อน มีปราชญ์เท่านั้นที่จะเข้าถึง
4-ความหมายที่พระองค์อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทราบได้ ผู้อื่นเข้าไม่ถึง
นั่นคือประเภทต่างๆ ของการเข้าใจอัลกุอ่าน แต่ถ้าเป็นขั้นตอนว่าจะเริ่มและหยุดตรงไหน ชัยคุลอิสลามได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้
ในหนังสือ “มุก๊อดิมะห์ฯ” ท่านกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“ขณะเดียวกันนั้น หากเราไม่พบตัฟสีรในอัลกุรอ่าเองหรือในซุนนะห์ เราจะกลับไปดูคำพูดของศ่อฮาบะห์ เพราะท่านเหล่านั้นรู้สิ่งนั้น(ความหมาย)ดี(ยิ่งกว่าใครอื่น) เพราะพวกท่านเห็นประจักษ์ในเรื่องอัลกุรอ่าน และประจักษ์ต่อเหตุการณ์ที่มีพวกท่านเท่านั้น รวมถึงความเข้าใจอันครบถ้วนสมบูรณ์ ความรู้ที่ถูกต้อง การงานที่เพียบพร้อมถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้รู้และผู้อาวุโสในหมู่พวกท่าน เช่นระดับผู้นำแถวหน้าสี่ท่านคือคุละฟาอ์อัรรอชิดีน ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับทางนำ
وحينئذ، إذا لم نجد التفسير في القرآن ولا في السنة رجعنا في ذلك إلى أقوال الصحابة، فإنهم أدرى بذلك لما شاهدوه من القرآن، والأحوال التي اختصوا بها، ولما لهم من الفهم التام، والعلم الصحيح، والعمل الصالح، لا سيما علماؤهم وكبراؤهم، كالأئمة الأربعة الخلفاء الراشدين، والأئمة المهديين
อีกวรรคหนึ่งปรากฏข้อความดังนี้
“และหากท่านไม่พบตัฟสีรในอัลกุรอ่านหรือซุนนะห์หรือแม้แต่จากศ่อฮาบะห์ ปวงปราชญ์ส่วนใหญ่จะกลับไปหาคำพูด(คำอธิบาย) ตาบิอีน”
وإذا لم تجد التفسير في القرآن ولا في السنة، ولا وجدته عن الصحابة، فقد رجع كثير من الأئمة في ذلك إلى أقوال التابعين
สิ่งที่ต้องสังเกตคือ
1-หากมีตัฟสีรจากอัลกุรอ่านแล้ว จะต้องย้อนไปดูหรือยึดซุนนะห์อีกหรือไม่
2-หากพบตัฟสีรในซุนนะห์แล้ว จะต้องย้อนกลับไปดูหรือยึด
คำพูดของศ่อฮาบะห์หรือไม่
3-หากพบตัฟสีรในคำพูดและคำอธิบายของ “ตาบิอีน” แล้วต้องย้อนกลับไปดูหรือไปยึด หลักภาษาหรือไม่
ประเด็นแรก มีคำตอบในตัวมันเองชัดเจนครับ ว่านบีไม่พูดค้านอัลกุรอ่าน หากมีซุนนะห์มาเสริมยิ่งทำให้เราเข้าใจอัลกุรอ่านเที่ยงตรงแม่นยำยิ่งขึ้น
ประเด็นที่สอง ไม่มีศ่อฮาบะห์ท่านใดโจงใจคัดค้านหรือโต้แย้งท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีแต่จะมาขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และข้อความใดที่นบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมละไว้ บทบาทการอธิบายและให้ความหมายข้อความนั้นๆ จะตกถึงเหล่าศ่อฮาบะห์ และหากศ่อฮาบะห์มีคำอธิบายที่แตกต่างกัน ท่านชัยคุลอิสลามอธิบายว่าหากพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียดแล้ว พบว่ามันเป็นความแตกต่างที่ไม่ขัดแย้งกัน ในส่วนที่ขัดแย้งกันนั้นมีน้อยมากหรืออาจจะเรียกว่าเกือบไม่มี
ประเด็นที่สาม ระดับตาบิอีนคือระดับผู้เป็นศิษย์ของศ่อฮาบะห์ ท่านเหล่านั้นแท้ที่จริงแล้วหาใช่ใครอื่น ท่านเหล่านั้นก็คือผู้สืบทอดความรู้ของศ่อฮาบะห์นั่นเอง ดังนั้นจึงไม่พบว่าท่านใดในหมู่ตาบิอีนโจงใจจะส่วนทางหรือคัดค้านศ่อฮาบะห์ หากจะมีก็เป็นเพียงแต่คำอธิบเพิ่มเติมให้กระจ่างขึ้น
ในกรณีหรือประเด็นที่สามนี้ หากคนใยยุค “ตาบิอีน” มีคำอิบายที่เป็นเอกฉันท์ นั่นคือ “ฮุจญะห์” คือถือเป็นหลักฐานที่สิ้นสุด แต่ถ้าหากมีกรณีขัดแย้งกันในหมู่ “ตาบิอีน” และเป็นข้อขัดแย้งที่มิอาจประสานได้ ท่านชัยคุลอิสลามเสนอทางออกไว้ชัดเจนดังนี้
أما إذا أجمعوا على الشيء فلا يرتاب في كونه حجة؛ فإن اختلفوا فلا يكون قول بعضهم حجة على بعض ولا على من بعدهم، ويرجع في ذلك إلى لغة القرآن، أو السنة، أو عموم لغة العرب، أو أقوال الصحابة في ذلك.
“หากว่าพวกท่าน(ตาบิอีน) มีมติเอกฉันท์ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด (รวมถึงเรื่องตัฟสีร) ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือ “ฮุจญะห์”(เป็นหลักฐานอ้างอิงได้) แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกัน ทัศนะของแต่ละท่านมิอาจหักล้างซึ่งกันและกันได้ หรือหักล้างผู้มาทีหลัง(จากยุคของพวกท่าน) ดังนั้นต้องกลับไปหา(ลักษณะการใช้ภาษาของอัลกุรอ่านหรือของซุนนะห์ หรือกลับไปดู(หลักการใช้)ภาษาอาหรับโดยรวม หรือการ(ใช้ภาษา)ของศ่อฮาบะห์”
ท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านคิดว่าบทบาทการนำเอาความหมายทางภาษามาอธิบายอัลกุรอ่านอยู่ในลำดับขั้นตอนใด ท่านตอบของท่านเองนะครับ ผมจะไม่ชี้นำก็แล้วกัน
อายะห์อัลกุรอ่านจากซูเราะห์ อัลนาซิอาต ข้อความที่ว่า “ดะฮาฮา” มีสะลัฟ (ศ่อฮาบะห์และตาบิอีน) อธิบายไว้แล้วหรือไม่
หากบอกว่ามีแล้ว แล้วเหตุใดจึงมีคนดึงดันนำ “ความหมายทางภาษา” มาอธิบายอีกเล่า อันว่าความหมายทางภาษาที่อ้างถึงนั้นก็หาไม่พบในตำราดั่งเดิมทางภาษาอาหรับ ใดๆ พบแต่ในคำพูดและตำราร่วมสมัยเท่านั้น
หากท่านยึดเอา “ความหมายทางภาษา” ที่พบจากคนยุคใหม่ แล้วขั้นตอนการอธิบายอัลกุรอ่านตามที่ชัยคุลอิสลามอธิบายไว้ จะเอาไปไว้ไหน การลัดขึ้นตอนตามที่ปราชญ์อิสลามวางไว้ จะเรียกว่าข้ามหัวปราชญ์ได้ไหม
ที่ผมตั้งเป็นคำถามก็เพราะเพื่อให้ผู้อ่านคิดเอาเอง เพราะหากชี้ชัดตัดสินไปก็จะถูกกล่าวหาให้ร้ายต่างๆ นาๆ และหากผู้ใดอ่านโดยละเอียดมาแต่ต้น จะทราบคำตอบเหล่านั้นได้ดีครับ
ดังนั้นผมจะให้ข้อสรุปแค่ว่า “หากตามสะลัฟจริงๆ ไม่ยืดเยื้อและวุ่นวายมาถึงวันนี้ครับ”
ส่วนว่าใครจะอ้างว่าตามสะลัฟ เราไม่ดูที่ข้ออ้างแต่จะดูที่การกระทำ ยามเมื่อเกิดเหตุครับ ยามปกติบางทีก็ดูไม่ออกหรอก
สำหรับนักค้นทั้งหลายผมแนะให้ไปค้น อายะห์ “ดะฮาฮา” ว่าศ่อฮาบะห์ท่านอธิบายว่าอย่างไร หากพบแล้ว ก็อย่าทิ้งคำอธิบายไว้ในตำราครับ นำออกมายึดถือด้วย ข้อร้องอย่าก้าวข้ามความถูกต้องเหล่านั้น แล้วหันไปยึดสิ่งที่ยังถกเถียงกันและค่อนจะไปทางผิดมากกว่าถูกครับ จะได้เป็นการพิสูจณ์ชัดๆ ว่า “ท่านสะละฟี” จริงหรือปลอมครับ
ยึดสะลัฟจริงไม่ทิ้งศ่อฮาบะห์ แน่นอน
จะเถียงจนตกโลกหรืออย่างไร ??? / อจ อิสหาก
จะเถียงจนตกโลกหรืออย่างไร ???
***********************************
กรณีหนังสือ “อัลมุนญิด” ของพ่อหลวงโทษทีหลวงพ่อ “หลุยส์ มะอ์ลูฟ” ผมชี้แจงไปพอสังเขปแล้ว แต่ก็มิวายมีคนจะดึงดันจะเอามาอธิบายหรือแปลอัลกุรอ่านให้ได้ ที่สำคัญคือยังอ้างอีกว่านักวิชาการเขาก็ใช้อ้างอิง ผมไม่ได้พูดเรื่องทั่วไปนะครับ และพวก(ขอใช้คำนี้ก็แล้วกันเพราะเห็นมีหลายคนที่โต้ผม) ก็มิได้โต้ผมเรื่องอื่น เราคุยกันเรื่อง “ความหมายของอัลกุรอ่านอายะห์หนึ่ง”
จริงๆ แล้วสิ่งที่เสนอไปน่าจะพอเพียงแล้วหากคนมันไม่ดื้อ แต่นี่พวกท่านดื้อดึงจริงๆ เหนื่อยใจกับพวกท่านจริงๆ พูดเรื่องนี้พาไปเรื่องโน้น พูดเรื่องโน้นพามาเรื่องนี้ พอผมถามหาแหล่งอ้างอิงของเชคฯ นั้นเชคฯ นี้ ก็กล่าวหาว่าข้ามหัวปราชญ์ ดูถูกปราชญ์ ถามจริงๆ เถอะว่าพวกท่านไปรู้จักคนเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจริงๆ แล้วพวกท่านนับถือปราชญ์กันขนาดนั้นเลยหรือ
ผมขอใช้คำว่า “พวกเรา” บ้างนะครับ เพราะตั้งแต่เขียนมามีแต่ “ผม” คนเดียว พวกเราในที่นี้หมายถึงคนที่เห็นตรงกันนะครับ ไม่ใช่ในนามหรือสามาชิกองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
เราขอเตือนดีๆ ว่าเลิกอ้างอิงเถอะครับตำราเล่มนี้ เพราะหากท่านทราบว่ามันอันตรายแค่ไหนท่านจะหนาวครับ หากกลับเนื้อกลับตัวได้ก็จะเป็นการดีต่อคนรุ่นหลังๆ พวกเขาจะได้ไม่เอาเยี่ยงอย่างผิดๆ แบบนี้ คืออ้างอิงตำราของคาทอลิกมาแปลและอธิบายอัลกุรอ่าน เหตุเพราะตรงตามอารมณ์ตนและตรงตามที่จะเอาเท่านั้น
ย้ำอีกครั้งนะครับกลับตัวเสีย พวกเราไม่เคยใช้วิธีการเขียนเสื่อให้วัวกลัวนะครับ ของเรามีแต่เชือดไก่ให้ลิงดูอย่างเดียว และเราก็เบื่อเรื่องเขียนเสือให้วัวกลัวเต็มทีแล้ว เตือนกันดีๆ บอกกันดีๆ หากดึงดันจนลามเลยสร้างความเสียหาย ก็คงต้องเชือดไก่ให้ลิงดูแล้วละครับ ส่วนว่าจะเชือดแบบไหน ใครจะเชือด ก็รอดูต่อไปครับ ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความดื้อและความดึงดันของพวกท่านนั่นเอง เตือนนะครับเลิกอ้างอิงหนังสือดังกล่าว
ขอร้องอีกครั้งสำทับอีกรอบครับเผื่อจะลืมต้นเรื่อง เรากำลังพูดถึงความหมายอายะห์ที่ 30 จากซูเราะห์อัลนาซิอาต และประเด็นหลักคือคำว่า “ดะฮาฮา” แปลว่า “อัลลอฮ์ทำให้โลกกลมแบบไข่นกกระจอกเทศ” หรือไม่ หนังสือหลวงพ่อหลุยส์ไม่มีสิทธิ์ใดๆ จะมาอธิบายกิตาบุลลอฮ์ครับ กลับตัวนะครับเรื่องจะได้จบๆ ไป
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม (ตอนที่ 1) Yahya Haskanbancha
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม
(เนื่องจากบทความค่อนข้างยาว ผู้แปลจึงขอแบ่งบทความเป็นสามตอน และจะทยอยลงทีละตอนจนครบ และหลังจากลงจนครบแล้วจะทำการสรุปและแจกไฟล์เอกสารพีดีเอฟสำหรับดาวน์โหลดให้แก่ผู้ที่สนใจเก็บไว้อ่านนะครับ อินชาอัลลอฮฺ)
ตอนที่ 1
(ท่านเชคอะฏียะฮฺ ซาลิมได้กล่าวอธิบายว่า) "จากพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ตรัสว่า
((وَالْأَرْضَ بَعْدَ ذَلِكَ دَحَاهَا))
ความว่า "และหลังจากนั้นทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ" ซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30
ในอายะฮฺนี้ได้บอกให้ทราบว่าอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนั้นแผ่ราบเรียบ และในอีกอายะฮฺหนึ่งได้บอกไว้ว่าอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินราบเรียบ และในอีกอายะฮฺหนึ่งบอกไว้ว่าอัลลอฮฺทรงแผ่มันให้ราบเรียบ นั่นก็คืออายะฮฺ
((وَإِلَى الْأَرْضِ كَيْفَ سُطِحَتْ))
ความว่า "และ(พวกเขามิได้พิจารณา)ไปยังแผ่นดินหรอกหรือว่ามันถูกทำให้แผ่ราบไว้อย่างไร" ซูเราะฮฺอัลฆอชิยะฮฺ อายะฮฺที่ 20
และบรรดานักวิชาการด้านตัฟซีร(การอธิบายอัลกุรอาน)ได้มีความเห็นต่างกันในการอธิบายความหมายของคำว่า ((دَحَاهَا)) (อ่านว่า "ดะหาฮา")
โดยท่านอิบนุกะษีรฺได้กล่าวว่า "คำอธิบายของคำๆนี้(ดะหาฮา)คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺในอายะฮฺหลังจากนั้นก็คือ
((أَخْرَجَ مِنْهَا مَاءَهَا وَمَرْعَاهَا وَالْجِبَالَ أَرْسَاهَا))
ความว่า "พระองค์ทรงทำให้น้ำของแผ่นดินผุดออกมาจากมันและทุ่งหญ้าของมันงอกเงยออกมา และทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นคง" ซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 31-32
และนี่คือคำอธิบายของท่านอิบนุญะรีรที่รายงานมาจากท่านอิบนุอับบาส
และท่านอิมามอัลกุรฏุบีย์ได้กล่าวว่า "ดะหาฮา"นั้น หมายถึง (อัลลอฮฺ)ทรงแผ่แผ่นดินให้ราบเรียบ
และชาวอาหรับจะกล่าวว่า ดะฮัชชัยอฺ เมื่อเขาแผ่สิ่งนั้นให้ราบเรียบ
และท่านอบูฮัยยานกล่าวว่า คำว่า"ดะหาฮา"หมายถึง แผ่และปรับมันให้ราบเรียบเหมาะแก่การอยู่อาศัยและพำนักอยู่บนนั้น
จากนั้นท่านก็ได้อธิบายความหมายของคำว่า แผ่และปรับให้ราบเรียบ(อัตตัมฮีด)ด้วยสิ่งที่จำเป็นในการปรับหน้าแผ่นดินนั่นก็คือการให้มีน้ำผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน และทำให้ทุ่งหญ้างอกเงยออกมาจากแผ่นดิน รวมถึงทำให้ภูเขาตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง และสิ่งที่ได้กล่าวมานั้นคือการตระเตรียมให้พร้อมสำหรับการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตโดยรวมถึงเกลือ อาหารและเครื่องดื่ม และที่กล่าวมานี้คือคำอธิบายของอัซซะมัคชะรีย์
และท่านฟัครุรฺรอซีย์ได้กล่าวว่า "ดะหาฮา" หมายถึง ทำให้มันแผ่ราบ ซึ่งท่านจะพบว่านักอธิบายอัลกุรอานแทบจะทั้งหมดนั้นต่างเห็นพ้องต้องกันว่า"ดะหาฮา"หมายถึง" ทำให้มันแผ่ราบ" ทั้งสิ้น (เนื่องจากมีปราชญ์บางส่วนเห็นว่าความหมายและคำอธิบายของ"ดะหาฮา"อยู่ในอายะฮฺถัดไป ฟัครุรรอซีย์จึงใช้คำว่าแทบจะทั้งหมดเห็นพ้องว่าดะหาฮาหมายถึงทำให้มันแผ่ราบ(อัลบัสฏ์)
และคำอธิบายของท่านอิบนุญะรีรฺ และท่านอิบนุกะษีรฺที่บอกว่า คำว่า"ดะหาฮา"ได้รับการอธิบายความหมายโดยอายะฮฺที่อยู่ถัดไปนั้น ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับความหมายว่า แผ่และปรับผืนแผ่นดินให้ราบแต่อย่างใด
และสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่า คำว่า อัดดะหฺวุ นั้นเป็นที่รู้กันว่าหมายถึง แผ่ให้ราบ ก็คือคำกล่าวของ อิบนุรูมีย์ที่กล่าวว่า
مَا أَنْسَ لَا أَنْسَ خَبَّازًا مَرَرْتُ بِهِ ... يَدْحُو الرُّقَاقَةَ وَشْكَ اللَّمْحِ بِالْبَصَرِ
مَا بَيْنَ رُؤْيَتِهَا فِي كَفِّهِ كُرَةً ... وَبَيْنَ رُؤْيَتِهَا قَوْرَاءَ كَالْقَمَرِ
إِلَّا بِمِقْدَارِ مَا تَنْدَاحُ دَائِرَةٌ ... فِي صَفْحَةِ الْمَاءِ تَرْمِي فِيهِ بِالْحَجَرِ
ความว่า "หากฉันจะลืมแต่จะไม่ลืมช่างขนมปังคนหนึ่งที่ฉันผ่านมา เขานวดแป้ง(ละเอียด) ชั่วพริบตาเดียว
คือแค่เห็นมันเป็นก้อนกลมๆ ในมือเขา ระหว่างที่เห็นมันเป็นรูปกลมๆ ดุจดวงจันทร์นั้น ทันใดก้อนกลมๆนั้นก็ขยายออกไป(ตันดาฮุ) ดุจผิวน้ำที่ขยายออกไปเมือมีการปาก้อนหินลงไป"
และได้เกิดประเด็นขึ้นมาจากอายะฮฺนี้ว่ารูปทรงของโลกนั้นแบนหรือกลม?
ซึ่งเมื่อเราได้กลับไปค้นคว้าตำราภาษาดั้งเดิมเราจะพบ(ความหมายทั้งหมดของคำว่าอัดดะหฺว์ หรือ ดะหาฮา)ดังต่อไปนี้
(โปรดติดตามต่อไปในตอนที่ 2) อินชาอัลลอฮฺ
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม ตอนที่ 2 / Yahya Haskanbancha
ตอนที่ 2
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม
______________________________________
และได้เกิดประเด็นขึ้นมาจากอายะฮฺนี้ว่ารูปทรงของโลกนั้นแบนหรือกลม? ซึ่งเมื่อเราได้กลับไปค้นคว้าตำราภาษาดั้งเดิมเราจะพบ(ความหมายทั้งหมดทางภาษาของคำว่าอัดดะหฺว์ หรือ ดะหาฮา)ดังต่อไปนี้
อันดับแรก
จากตำรามุฟร่อดาต อัรฺรอฆิบ ได้ให้ความหมาย "ดะหาฮา" ไว้ว่า ขจัดมันให้หายไปจากตำแหน่งและที่ตั้งของมัน เช่น
คำกล่าวของพวกเขา(ชาวอาหรับ)ที่ว่า "สายฝนนั้นได้ขจัดก้อนกรวดให้ออกไปจากพื้นดิน" หมายถึงพัดพามันออกไป
และคำกล่าวของพวกเขา(ชาวอาหรับ)ที่ว่า "ม้าได้วิ่งผ่านมาจนดินฝุ่นตลบ" คือเมื่อมันใช้เท้าหน้าของมันกระทืบลงไปบนพื้นดินแล้วก็ทำให้ดินฝุ่นตลบขึ้นมา
และคำกล่าวของพวกเขา(ชาวอาหรับ)ที่ว่า "นกกระจอกเทศได้ปรับพื้นดินให้ราบเรียบเพื่อวางไข่" และคำว่า อัดดะหฺวุ ก็มีความหมายเดียวกันกับคำว่า อัฏเฏาะหฺวุ ก็คือ การแผ่สิ่งหนึ่งให้ราบเรียบออกไป (ดังเช่นพระดำรัสที่อัลลอฮฺทรงตรัสว่า)
((وَالْأَرْضِ وَمَا طَحَاهَا))
ความว่า "และ(อัลลอฮฺได้ทรง)สาบานด้วยผืนแผ่นดิน และที่พระองค์ทรงแผ่มัน" (ซูเราะฮฺ อัชชัมส์ อายะฮฺที่6 )
และนักกวีอาหรับได้กล่าวว่า
طَحَا بِكَ قَلْبٌ فِي الْحِسَانِ طَرُوبُ
ความว่า "ใจเจ้าที่หวั่นไหว ในความสวยความงาม พัดพา(ฏ่อฮา) เจ้าเตลิดไปไกล"
(อันดับที่สอง)
และในตำรา มัวะอฺญัม มะกอยีส อัลลุเฆาะฮฺ ได้ระบุไว้ว่า องค์ประกอบของคำว่า "ดะหฺว์" นั้นมาจาก อักษรสามตัว คือ ดาล หาอฺ และวาว หมายถึง การแผ่และปรับให้ราบเรียบ ดังที่มีคำกล่าวว่า "อัลลอฮฺได้ทรงทำให้แผ่นดินนั้นดะหฺว์ คือทำให้มันแผ่ราบเรียบ
และคำกล่าวที่ว่า "สายฝนนั้นได้ดะหฺว์(พัด)กรวดหินออกไปจากผืนแผ่นดิน และเพราะเหตุนี้ก็เท่ากับว่าสายฝนนั้นได้ปรับผืนแผ่นดินให้มันราบเรียบหมดจด(ด้วยการขจัดพัดพากรวดหินออกไป)
และดังที่มีคำกล่าวสำหรับม้าเมื่อมันย่ำเท้าของมันลงไปบนพื้นดินแล้วกีบเท้าของมันไม่ยกสูงขึ้นจากพื้นดินมากนักว่า "มันได้ทำให้พื้นดินราบเรียบ"(ด้วยการย่ำเท้าของมันลงไปบนพื้นดิน)
และหนึ่งในความหมายของคำๆนี้ ก็คือ คำว่า อุดฮียุนนะอามะฮฺ แปลว่า "สถานที่ๆนกกระจอกเทศได้กกไข่ของมัน" เนื่องจากว่าก่อนที่มันจะวางไข่นั้น มันจะกระทืบเท้าบนพื้นดินเพื่อทำให้พื้นราบเรียบเสียก่อนจึงค่อยวางไข่บนพื้นนั้น เพราะนกกระจอกเทศไม่มีรังไข่
(อันดับที่สาม)
และในตำราลิซานุ้ลอะร็อบ ระบุไว้ว่า องค์ประกอบของคำว่า "ดะหฺว์" นั้นมาจากคำกริยา "ดะหา" แปลว่า แผ่ให้ราบเรียบ เช่นคำกล่าวที่ว่า "(อัลลอฮฺ)ทรงทำให้แผ่นดินนั้นแผ่ราบเรียบ"
และท่านฟัรรออฺได้กล่าวว่า "จากพระดำรัสที่อัลลอฮฺตรัสว่า "และหลังจากนั้นทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ" (ซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30) ก็คือทรงทำให้มันราบเรียบ
และคำว่า อัลอุดฮีย์ หมายถึง ที่วางไข่ของนกกระจอกเทศซึ่งอยู่บนพื้นทราย เนื่องจากว่า นกกระจอกเทศก่อนที่จะวางไข่นั้น มันจะกระทืบเท้าของมันบนพื้นดินเพื่อปรับให้พื้นราบเรียบเสียก่อนจึงค่อยวางไข่ลงไป
และอัลฟัรรออฺได้ยกคำกล่าวของท่านอิบนุอุมัรที่กล่าวว่า "แล้วสายน้ำก็ได้***ไหลทะลัก***เข้าไปในที่ราบลุ่มนั้น" ในที่นี้ ดะหฺว์หมายถึง ขว้าง หรือ โยน
_____________________________
***หมายเหตุ คำอธิบายเสริมจากผู้แปลถ่ายทอดนอกเหนือจากข้อความในตำรา
เนื่องจากในภาษาไทยจะไม่ใช้คำว่าโยน หรือ ขว้างกับสายน้ำ ผู้แปลถ่ายทอดจึงใช้คำว่า ไหลทะลักเนื่องจากมีความหมายและคุณลักษณะตรงกัน แต่ในทางภาษาอาหรับจะใช้คำว่า โยน หรือขว้างกับสายน้ำ จึงอธิบายให้ผู้อ่านได้รับทราบถึงความต่างนี้)
_____________________________________
และอัลฟัรฺรออฺได้กล่าวว่า ท่านสะอีด บุตรของอัลมุสัยยิบได้ถูกสอบถามถึงการขว้างหิน(การละเล่นชนิดหนึ่ง) ท่านตอบว่า เล่นได้ ไม่เป็นไร หมายถึง การเล่นขว้างหินและการแข่งขันกัน(ในการขว้างหิน)
และมีรายงานจากท่านอิบนุ้ลอะอฺรอบีย์ว่าเขาเล่นขว้างหิน และคำว่า ดาฮีย์ ก็คือผู้ที่โยนหรือขว้างหินในมือของเขา
และจากบทกลอนที่ได้ถูกขับขานให้แก่เอาซฺ บุตรของหะญัรฺ
يَنْزِعُ جِلْدَ الْحَصَى أَجَشُّ مُبْتَرِكٌ ... كَأَنَّهُ فَاحِصٌ أَوْ لَاعِبٌ دَاحٍ
ความว่า "ฝนฟ้าอันจำเริญ ชำระล้าง(พัดพาสิ่งสกปรกไป) จากผิวหิน ดุจประหนึ่งว่ามันคือผู้พลิกๆฝุ่นดิน หรือคนเล่นดาฮิน(ของเล่นเด็กชนิดหนึ่ง เป็นไม้หรือผ้ากลมๆ โยนลงหลุม) ก็มิปาน"
และในคำกล่าวของอบูรอเฟียะอฺที่กล่าวว่า "ครั้งหนึ่งฉันได้เล่นมะดาฮีย์กับหะซันและหุซัยนฺ"(ลูกชายทั้งสองของท่านอะลี บุตรของ อบูฏอลิบ)
มะดาฮีย์หมายถึง การละเล่นชนิดหนึ่ง โดยใช้หินก้อนเล็กๆขนาดใกล้เคียงกับชิ้นขนมปังก้อนกลมๆเล็กๆ โดยที่ผู้เล่นต้องขุดหลุมขึ้นมาหลุมหนึ่งแล้วต้องขว้างหินเหล่านั้นให้ลงหลุม และผู้ใดที่สามารถขว้างหินลงหลุมนั้นได้ถือว่าเขาเป็นผู้ชนะ ส่วนผู้ที่ขว้างหินไม่ลงหลุมถือว่าเขาเป็นผู้แพ้
และคำว่า อัดดะหฺว์นั้นหมายถึง การขว้างก้อนหินหรือลูกวอลนัทหรือสิ่งอื่นๆ(ที่คล้ายคลึงกัน)ของผู้เล่น(แข่งขว้างหิน)
(เชคอะฏียะฮฺ ซาลิม กล่าวว่า) และการละเล่นขว้างหินที่เจ้าของตำราลิซานุ้ลอะร็อบ(อิบนุมันซูรฺ)ได้เล่าถึงโดยอ้างอิงจากคำกล่าวของอบูรอเฟียะอฺนั้นก็ยังคงมีอยู่ที่นครมะดีนะฮฺจวบจนปัจจุบันนี้ โดยมีชื่อเรียกว่า อัดดะหฺล์ (แผลงมาจากคำว่า อัดดะหฺว์) โดยมีลักษณะการเล่นเหมือนเดิมทุกประการ
และหลังจากที่ได้หยิบยกตำราทางภาษาดั้งเดิม รวมถึงคำอธิบายของบรรดานักอธิบายอัลกุรอานมาอ้างอิงแล้ว ปรากฏว่าพวกเราก็ได้มาเผชิญกับการโต้แย้งระหว่างนักดาราศาสตร์ และนักวิชาการด้านอื่นๆ เกี่ยวกับประเด็นรูปทรงของโลก
ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือให้สำเร็จด้วยความโปรดปรานจากอัลลอฮฺในการชี้แจงความจริงในเรื่องนี้ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครคิดเดาเอาว่าอัลกุรอานมีการย้อนแย้งกับสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์จากหลักดาราศาสตร์ และเพื่อที่คนไม่รู้จะได้ไม่หลงคล้อยตามคำกล่าวที่แอบอ้างต่ออิสลาม(อย่างผิดๆ)
และเมื่อพิจารณาไปยังคำอธิบายของบรรดานักอธิบายอัลกุรอาน เราจะพบว่า................
โปรดติดตามต่อในตอนที่ 3 อินชาอัลลอฮฺ
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม ตอนที่ 3 / Yahya Haskanbancha
ตอนที่ 3
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยานของเชคมุฮัมมัดอะมีนอัชชังกีฏีย์ และสานต่อการอธิบายจบครบสมบูรณ์โดยเชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม
____________________________________
และเมื่อพิจารณาไปยังคำอธิบายของบรรดานักอธิบายอัลกุรอาน เราจะพบว่าทั้งหมดนั้นล้วนแต่เห็นพ้องต้องกันทั้งสิ้นว่า คำว่า "ดะหาฮา" นั้น หมายถึง การปรับพื้นแผ่นดินให้ราบเรียบเหมาะสมและสะดวกง่ายดายในการดำรงชีวิต โดยแจกแจงถึงปัจจัยต่างๆที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก นั่นก็คือ การที่พระองค์ทรงให้มีน้ำผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน และมีทุ่งหญ้างอกเงยขึ้นมา รวมถึงทำให้เทือกเขาตั้งตระหง่าน
ซึ่งความหมายนี้สอดคล้องกับตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอาน(ในอายะฮฺอื่นๆ)ที่อัลลอฮฺตรัสว่า
(( أَلَمْ نَجْعَلِ الْأَرْضَ مِهَادًا وَالْجِبَالَ أَوْتَادًا ))
ความว่า "เรามิได้ทำให้แผ่นดินแผ่ราบหรอกหรือ และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้หรอกหรือ" ซูเราะฮฺ อันนะบะอฺ อายะฮฺที่ 6-7
และพระดำรัสที่อัลลอฮฺตรัสว่า
((هُوَ الَّذِي جَعَلَ لَكُمُ الْأَرْضَ ذَلُولًا فَامْشُوا فِي مَنَاكِبِهَا وَكُلُوا مِنْ رِزْقِهِ ))
ความว่า "พระองค์คือผู้ทรงทำให้แผ่นดินราบเรียบสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นจงสัญจรไปตามขอบเขตของมัน และจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระองค์" ซูเราะฮฺ อัลมุลกฺ อายะฮฺที่ 15
และอายะฮฺทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีความหมายไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น นั่นก็คือ หมายถึง การปรับแผ่นดินให้ราบเรียบเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตบนนั้น และไม่ได้มีความหมายว่า "ม้วนเป็นทรงกลม" หรือ "ทำให้มีรูปทรงกลม" แต่อย่างใดเลย
และเมื่อเรากลับไปค้นคว้า(ความหมายของคำว่า ดะหาฮา)จากตำราภาษาทุกๆเล่ม เราจะพบว่า ตำราภาษาทั้งหมดเหล่านั้นล้วนแต่บ่งบอกว่าความหมายของคำว่า(อัดดะหฺว์ หรือดะหาฮา)นั้นหมายถึง การแผ่ให้ราบเรียบ ,การโยนขว้าง, การขจัดให้หายไป, การปรับให้ราบเรียบ
ดังนั้น คำว่า แผ่ราบเรียบ(อัลบัสฏ์), การปรับให้ราบเรียบ(อัตตัมฮีด) และการขว้างหินเม็ดกลมลงไปในหลุมเล็กๆ ล้วนแต่มีความหมายที่สอดคล้องร่วมกันทั้งสิ้น โดยที่ทั้งสามคำนี้ล้วนแต่อธิบายคำว่า"ดะหาฮา" ว่าหมายถึง การแผ่และปรับแผ่นดินให้ราบเรียบ
และคำว่า อัลอุดฮียะฮฺนั้นหมายถึง สถานที่ๆวางไข่ของนกกระจอกเทศ มิได้หมายถึง"ไข่นกกระจอกเทศ"อย่างที่พวกเขากล่าวกัน
และสาเหตุที่เรียกสถานที่วางไข่ของนกกระจอกเทศว่า อัลอุดฮียะฮฺ ก็เนื่องจากว่านกกระจอกเทศนั้นก่อนที่มันจะวางไข่ มันจะกระทืบเท้าบนพื้นเพื่อปรับพื้นดินให้ราบเรียบเสียก่อนแล้วจึงวางไข่ลงไปบนนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันไม่มีรังไข่นั่นเอง
และจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ปรากฏว่าไม่มีหลักฐานใดๆเลยจากตำราภาษาอาหรับที่ยืนยันว่า อัดดะหฺว์(หรือดะหาฮา)แปลว่า ทำให้เป็นรูปทรงกลม
_________________________________________
โดยประเด็นของความหมายคำว่า"ดะหาฮา"ในทางตัฟซีร(การอธิบายอัลกุรอาน)และทางภาษาจบลงแต่เพียงเท่านี้ (อ้างอิงจากตำรา ตะติมมะฮฺ อัฎวาอฺ อัลบะยาน เล่มที่ 2 หน้าที่ 32-37)
ส่วนหลังจากนี้เชคได้นำเสนอประเด็นที่มีการถกกันว่าโลกกลมนั้นจริงเท็จหรือไม่ ซึ่งท่านก็ได้อธิบายและชี้แจงต่อไป ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นการอธิบาย(ตัฟซีร)ความหมายของคำว่า"ดะหาฮา"ที่ได้เสร็จสิ้นและได้ข้อสรุปดังที่ได้นำเสนอไป
หากท่านใดประสงค์จะอ่านเพื่อศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นอื่นๆเหล่านั้น สามารถอ่านได้จากตำรา ตะติมมะฮฺ อัฎวาอฺ อัลบะยาน เล่มที่ 2 หน้าที่ 37-42
สำหรับตอนหน้า คือ ตอนที่ 4 จะเป็นการนำเสนอสรุปผลลัพธ์ต่างๆที่ได้รับจากการอธิบาย(ตัฟซีร)ความหมายของคำว่า"ดะหาฮา"จากตำราอัฎวาอุ้ลบะยาน พร้อมแจกไฟล์เอกสารในประเด็นนี้ให้ท่านที่สนใจเข้ามาดาวน์โหลดเก็บไว้อ่านกันด้วยเช่นกันครับ อินชาอัลลอฮฺ
วัลลอฮฺ อะอฺลัม
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามให้ทุกท่านที่ร่วมติดตามอ่านเพื่อแสวงหาความจริงในประเด็นนี้ และหวังว่าเราและท่านทั้งหลายจะได้รับการชี้นำจากอัลลอฮฺสู่แนวทางที่ถูกต้องในประเด็นนี้และในทุกๆเรื่องของศาสนาอิสลามอันถูกต้องและอย่าได้ถูกล่อลวงให้หันเหไปสู่ความหลงผิดทั้งปวงด้วยเถิด อามีน
บทสรุปและผลลัพธ์ต่างๆของการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการในประเด็นนี้จากตำราตะติมมะฮฺ อัฎวาอฺ อัลบะยาน / Yahya Haskanbancha
บทสรุปและผลลัพธ์ต่างๆของการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการในประเด็นนี้จากตำราตะติมมะฮฺ อัฎวาอฺ อัลบะยาน
หลังจากที่ได้นำเสนอคำแปลข้อเท็จจริงของความหมายคำว่า "ดะหาฮา" ในซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 โดยอ้างอิงมาจากตำราอัฎวาอุ้ลบะยาน ผู้แปลขอสรุปผลลัพธ์ต่างๆที่สำคัญในประเด็นนี้ ได้แก่
1.คำว่า "ดะหาฮา" ในซูเราะฮฺอันนาซิอาต อายะฮฺที่ 30 นั้นมีรากศัพท์ทางภาษามาจากคำว่า "ดะหา" หรือ อัดดะหฺว์ ซึ่งมีความหมายทางภาษาดังนี้
• การแผ่ให้ราบ(อัลบัสฏ์)
• การปรับให้เรียบ(อัตตัมฮีด)
• การขว้าง,โยน (อัรร็อมย์)
• การขจัดสิ่งหนึ่งให้หายไป(อัลอิซาละฮฺ)
2.ไม่มีตำราทางภาษาอาหรับของแท้ดั้งเดิมใดๆที่ยืนยันว่า "ดะหาฮา" แปลว่า "พระองค์อัลลอฮฺทรงทำให้โลกเป็นทรงกลม"(รวมถึงทรงไข่และทรงไข่นกกระจอกเทศด้วยเช่นกัน)
รวมถึงไม่มีทางภาษาอาหรับของแท้ดั้งเดิมใดๆที่ยืนยันว่าอัดดะหฺว์ แปลว่า วงกลม หรือ ไข่ เช่นกัน
3.อาจจะมีผู้สงสัยหรือโต้แย้งว่า มีตำราทางด้านภาษาอาหรับบางเล่มยืนยันว่า "ดะหาฮา" แปลว่า "พระองค์(อัลลอฮฺ)ทรงทำให้โลกเป็นทรงกลม(รวมไปถึงทรงไข่และทรงไข่นกกระจอกเทศด้วยเช่นกัน)" หรือ อัดดะหฺว์ แปลว่า "วงกลม"หรือทำให้เป็นทรงกลมด้วยเช่นกัน
ซึ่งผู้แปลขอชี้แจงดังนี้
ประการที่หนึ่ง
ตำราทางภาษาที่ระบุว่า "อัดดะหฺว์" มีความหมายว่า ทรงกลมหรือไข่นั้น ล้วนแต่เป็นตำราทางภาษาร่วมสมัยที่เพิ่งบัญญัติความหมายว่าวงกลมหรือทำให้เป็นทรงกลมเข้าไปในยุคสมัยใหม่นี้เอง
ดังนั้นความหมายใหม่นี้จึงไม่เป็นที่รู้จักในความเข้าใจของนักภาษาอาหรับผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ในยุคอดีต
และไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการตัฟซีรชั้นอาวุโสดังเช่น เชคอะฏียะฮฺ ซาลิม
รวมถึงตำราอัลมุนญิด ที่เรียบเรียงโดยบาทหลวงคาทอลิคนามว่าหลุยส์ มะอฺลูฟ ชาวเลบานอน ซึ่งไม่นับว่าตำราเล่มนี้เป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องการอธิบายอัลกุรอาน เนื่องจากเป็นตำราของต่างศาสนิก
และตำราเล่มนี้ยังมีข้อผิดพลาดมากมายในทางศาสนา ซึ่งนักวิชาการศาสนาไม่แนะนำให้นักค้นคว้าใช้ตำราเล่มนี้ โดยให้หันไปใช้ตำราทางภาษาเล่มอื่นๆที่เรียบเรียงโดยนักวิชาการมุสลิมด้านภาษาอาหรับที่มีความชำนาญ เช่น ลิซานุ้ลอะร็อบ, มัวะอฺญัม มะกอยีซ อัลลุเฆาะฮฺ ฯลฯ
ประการที่สอง
ตำราทางด้านตัฟซีร(อธิบายอัลกุรอาน)ที่น่าเชื่อถือต่างให้ความหมายของคำว่า "ดะหาฮา"ไว้ดังนี้
• พระองค์อัลลอฮฺทรงแผ่ผืนแผ่นดินให้ราบเรียบ (อัลบัสฏ์)
• ทำให้มีน้ำผุดออกมาจากแผ่นดินรวมถึงมีทุ่งหญ้างอกเงยขึ้นมาจากแผ่นดิน ซึ่งเป็นการอธิบายคำว่า"ดะหาฮา"ด้วยอายะฮฺถัดมาหลังจากนั้น(การอธิบายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอาน)
และไม่มีตำราตัฟซีรใดที่น่าเชื่อถือและเป็นตำราแท้ดั้งเดิมตั้งแต่อดีต เช่น ตำราตัฟซีรอัฏฏ่อบะรีย์, ตัฟซีรอิบนุกะษีร, เรื่อยมาจนถึงยุคร่วมสมัย เช่น ตัฟซีรเชคสะอฺดีย์ , ตัฟซีรเชคอัลอุษัยมีน
ไม่มีเล่มใดเลยที่อธิบายความหมายของคำว่า"ดะหาฮา"ว่า อัลลอฮฺทรงทำให้โลกมีรูปทรงกลม หรือมีรูปทรงไข่ หรือมีรูปทรงไข่นกกระจอกเทศ
นอกจากบุคคลต่อไปนี้
• ผู้แอบอ้างตนเป็นนบีอย่าง รอชาด ค่อลีฟะฮฺ
• กลุ่มก็อดยานีย์สายร็อบวะฮฺ
• นักวิชาการมุสลิมร่วมสมัยบางท่าน เช่น มุฮัมมัด ญะมีล ฆอซีย์ , มุตะวัลลีย์ อัชชะอฺรอวีย์, นัวะอฺมาน อะลีคาน, นะซีฮฺ อัลก่อมีฮา(นักวิชาการสายชีอะฮฺ) โดยที่บางท่านก็ไม่ได้เป็นนักวิชาการที่สามารถอ้างอิงความรู้ในเรื่องการอธิบายอัลกุรอานได้ อาทิ เช่น ซากิรไนค์ เนื่องจากซากิรไนค์ไม่มีความรู้ภาษาอาหรับพอเพียงที่จะค้นคว้าและไม่ได้เป็นนักวิชาการด้านการอธิบายอัลกุรอาน(ตัฟซีร)เพราะเขาเป็นเพียงหมอคนหนึ่งที่ทำงานเผยแผ่อิสลามที่ยังไม่ถึงขั้นปราชญ์อาวุโสที่อ้างอิงทางวิชาการศาสนาได้
4.ตำราตัฟซีรอัฎวาอุ้ลบะยานเป็นหนึ่งในตำราตัฟซีรที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เนื่องจากจุดเด่นของตำราเล่มนี้คือ เน้นการอธิบายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอาน ซึ่งถือเป็นสุดยอดแนวทางในการอธิบายอัลกุรอาน
และเป็นตำราที่บรรดานักวิชาการตัฟซีรและคณาจารย์ในระดับการศึกษาชั้นสูงต่างให้การยอมรับในด้านเนื้อหาวิชาการ รวมถึงในการอ้างอิงเป็นข้อมูลที่สำคัญทางด้านการอธิบายอัลกุรอานด้วยเช่นกัน
5.เชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม เป็นหนึ่งในปราชญ์แนวทางสลัฟชั้นอาวุโสที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในโลกอิสลาม โดยเฉพาะการได้รับเกียรติให้สอนในมัสยิดนบี ณ นครมะดีนะฮฺครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
และท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายๆสาขาวิชาด้านศาสนา โดยเฉพาะในการอรรถาธิบายอัลกุรอานที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในสังคมนักวิชาการอิสลาม
หากท่านใดต้องการทราบประวัติของท่านอย่างละเอียดสามารถเข้าไปสืบค้นได้ในเว็บไซต์ด้านล่างนี้
https://shamela.ws/index.php/author/1028
ซึ่งคงต้องสงวนไว้ให้เฉพาะท่านที่เข้าใจภาษาอาหรับเท่านั้น เนื่องจากว่าประวัติของท่านถูกนำเสนอเป็นภาษาอาหรับ
วัลลอฮฺ อะอฺลัม
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามให้ทุกท่านที่ร่วมติดตามอ่านเพื่อแสวงหาความจริงในประเด็นนี้ และหวังว่าเราและท่านทั้งหลายจะได้รับการชี้นำจากอัลลอฮฺสู่แนวทางที่ถูกต้องในประเด็นนี้และในทุกๆเรื่องของศาสนาอิสลามอันถูกต้องและอย่าได้ถูกล่อลวงให้หันเหไปสู่ความหลงผิดทั้งปวงด้วยเถิด อามีน
อับดุรร๊อรซาก (เสียชีวิต ฮ.ศ210) ซซาอาตี (เสียชีวิต ค.ศ 1958) / อจ อิสหาก
อับดุรร๊อรซาก (เสียชีวิต ฮ.ศ210) หนึ่งจากรายงานฮะดีษ "อัดฮี้ยุ" ที่วางไข่
อัซซาอาตี (เสียชีวิต ค.ศ 1958) คนอธิบายฮะดีษ "อัดฮี้ยุ" ไข่ (ถ้าท่านอย่างนั้นจริงนะ)
ผมจะเชื่อในดีหนอ บอกหน่อยพี่น้อง
ชี้แจง “ข้อคลุมเครือ” ฝ่ายสนับสนุนคำแปลของคุณซากิรไนค์ (ตอนที่หนึ่ง) / อจ อิสหาก
ชี้แจง “ข้อคลุมเครือ” ฝ่ายสนับสนุนคำแปลของคุณซากิรไนค์
(ตอนที่หนึ่ง)..........................
(#ระหว่างท่านกับเราคือตำราสะลัฟ)
อนุสนธิจากาการโต้แย้งเรื่องความหมายอัลกุรอ่านอายะห์ที่ 30 จากซูเราะห์ อัลนาซิอาต ที่อัลลอฮ์กล่าวถึงแผ่นดินหรือโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นสองวันก่อนการสร้างฟ้า ต่อมาพระองค์ปรับมันให้เหมาะแก่การอยู่อาศัยไว้ในอายะห์ดังกล่าว แต่คุณซากิรไนค์และคนรุ่นใหม่อีกกลายคน กลับแปลให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในแง่โลกกลมหรือไม่กลม
เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีใครเคยให้ความหมายลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด คือหมายถึงก่อนยุคหนังสือ “อัลมุนญิด” ซึ่งเป็นปทานุกรมอาหรับแต่รวบรวมขึ้นโดยบาทหลวงชาวแคทอลิกเมื่อปี ค.ศ 1908 คือเมื่อ 110 ปีที่ผ่านมา
ปทานุกรมดังกล่าวให้ความหมายว่า “ดะฮา” ไว้หลายแง่มุม แต่ส่วนหนึ่งแปลว่า “ทำให้กลมแบบรูปไข่” ในเบื้องต้นหนังสือดังกล่าวได้รับความนิยมมากในหมู่นักศึกษาในยุคนั้น และใช้เป็นแหล่งอ้างอิงทางภาษาของคนรุนใหม่ที่นิยมความก้าวหน้า
ต่อมาได้มีนักวิชาการหลายท่านออกมาเตือนถึงความไม่ชอบมาพากลของหนังสือดังกล่าวโดยได้ลงมือศึกษาอย่างจริงจังก็พบว่ามีข้อผิดพลาดทางภาษามากมายเมื่อเทียบกับตำราภาษาอาหรับดั่งเดิม
มิหนำซ้ำยังพบการบิดเบือนความหมายทางศาสนาอิสลามอีหลายจุดหลายแห่ง ซึ่งในโอกาสอันควรผมจะคัดมานำเสนอ
ก่อนอื่นขอย้ำตรงนี้ว่าผมมิได้คัดค้านเรื่องโลกกลมเพราะผมทราบดีว่านักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่ในอดีตได้เห็นพ้องกันว่า จรรกวาลเป็นทรงกลมรวมถึงสัณฐานของโลกก็กลมด้วย แต่จะกลมแบบไหนนั้นมิได้มีการกล่าวถึง ดังนั้นหากท่านใดถูกชักนำไปสู่ความเข้าใจว่าการถกกันนี้คือประเด็นโลกกลมหรือไม่กลม ให้ทราบไว้เลยว่านั่นคือการเบี่ยงประเด็นหลอกคนอ่านหลงเข้าใจผิดผม
เมื่อถกกันมาได้ระยะหนึ่ง ผมได้ทราบถึงข้ออ้างและข้อคลุมเครือของฝ่ายที่สนับสนุนการแปลของคุณซากิรไนค์ นำมาอ้างอิงเพื่อยืนยันว่าการแปลของคุณซากิรไนค์ไม่ผิดและสามารถแปลได้ตามนั้น
ต่อไปนี้จะเป็นการนำข้ออ้างที่คลุมเครือเหล่านั้นมาหักล้างด้วยหลักการและเหตุผลที่สามารถอ้างอิงได้ เพื่อเป็นบทสรุปสุดท้ายของการโต้แย้งนี้ ส่วนว่าท่านใดจะเลือกเชื่อใคร อันนี้ขอยกเป็นสิทธิ์ของผู้อ่านก็แล้วกันครับ เพราะผมมิได้บังคับใครให้เชื่อตามได้ และผมขอยืนยันจนถึงขณะนี้ว่า “ดะฮาฮา” ไม่สามารถจะแปลว่า “ทำให้กลมหรือหรือทำให้กลมแบบไข่นกกระจอกเทศ” ได้ ส่วนหลักการและเหตุผลส่วนหนึ่งได้นำเสนอไปแล้ว และรวมถึงบทแปลของท่านอ.จารย์ยะห์ยา หัสการบัญชา ที่ได้นำเสนอไปแล้วเช่น
#ข้อคลุมเครือที่หนึ่งและการหักล้าง
อ้างถึงข้อเขียนของเชค “มุซาอิด อัฏฏอยยาร”
1-ผมได้นำเสนอไปบ้างแล้วในโพสต์ก่อนๆ หากผู้ใดติดตามอ่านก็พอจะทราบได้ว่า ข้อเขียนเหล่านั้นท่านเชคมุซาอิดได้อ้างอิงถึงแนวคิดของคนร่วมสมัยที่นิยมอ้างอิงความมหัสจรรย์ของวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอ่าน หนึ่งในจำนวนนั้นคือบทความของชีอะห์สุดโต่งคนหนึ่งชื่อ “นะซีห์ ก่อมีฮา” ดังปรากฏในหนังสือ “อัลเอี๊ยะอ์ญาซฯ” ของท่านหน้า 120 ซึ่งท่านอ้างอิงไว้ในฟุตโน้ตที่สองที่ 2 ดูหลักฐานประกอบ
(2) ينظر مقال في الشبكة العنكبوتية تحت عنوان الإعجاز العلمي (القرآن يتجلى في تكوين كوكب الأرض) لنزيه القميحا
2-ท่านได้ออกตัวไว้ชัดเจนชัดเจนเกินกว่าที่ใครจะอ้างว่าเป็นทัศนะของท่าน หรือเป็นการรับรองของท่าน หลังจากที่ได้อภิปรายแนวคิดดังกล่าวแล้ว ในหน้าถัดไปคือหน้าที่ 221 ท่านได้ใส่ฟุตโน้ตลำดับที่ (1) หลังบทวิเคราะห์ว่า
(1) مما يحسن التنبيه عليه أن بعض المعاصرين ممن لهم عناية بالإعجاز العلمي لا يذهبون بهذه الآية إلى هذا المعنى، بل إن بعضهم يردُّ هذا المعنى، والأمر في ذلك واسع، وإنما أردت ضرب المثال، ولا يعني ذلك أني أتبنى هذا القول
แปลว่า
“สมควรยิ่งที่จะติง(ไว้ตรงนี้)ก่อนว่า คนร่วมบางคนที่ให้ความสนใจเรื่องมหัสจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ ก็มิได้ยึดทัศนะดังกล่าว (“ดะฮาฮา” แปลว่าทำให้โลกกลม) เป็นความหมายอายะห์นีแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังตอบโต้ปฏิเสธความหมายดังกล่าวอีกด้วย เรื่องนี้ (การถกเพื่อหาความถูกต้อง) เป็นสิ่งเปิดกว้างเสมอ สำหรับฉัน (เชคอัฏฏอยยาร) ประสงค์เพียงยกตัวอย่าง (คือหากมีแง่มุมทางภาษาสื่อถึงความหายใดที่ไม่ค้านต่อความหมายที่สะลัฟให้ไว้ เราก็อาจอธิบายความตามหลักภาษาได้) ทั้งนี้และทั้งนั้น (ข้อความทีวิเคราะห์มานั้น) ฉันไม่ได้ยึดเอาเป็นทัศนะ(ของฉัน) แต่อย่างใด”
3-การออกตัวเหล่านั้นของท่าน ชัดเจนเกินกว่าจะยึดเอาท่านมาเป็นตัวประกันในเรื่องนี้ หากอ่านบทความที่ฝ่ายสนับสนุนคุณซากิรไนค์ นำมาอ้างอิงจากบทความของเชคอัฏฏอยยาร ท่านก็จะพบสิ่งที่ท่านได้สำทับไว้กระจ่างแจ้งชัดเจน คือผู้ที่จะนำเอาความหมายทางภาษามาใช้อธิบายเพิ่มเติมได้คือต้องเป็นนักตัฟสีร เรียกง่ายๆ ว่าต้องเป็นผู้รู้กว้างขวางในด้านการอธิบายอัลกุรอ่าน ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ทำงานให้ห้องทดลอง แล้วก็ออกมาให้ทัศนะ(เรื่องว่าอัลกุรอ่านโองการนั้นโองการนี้ มีความหมายอย่างนั้นอย่างนี้ ) แต่มันต้องเอาความหมายนั้นเสนอแก่ปราชญ์ผู้เชียวชาญด้านตัฟสีร และให้ท่านเหล่านั้นตัดสินว่าถูกหรือผิดเท่านั้น ดูหลักฐานประกอบ
وأريد أن أنبه على قضية القبول ومن الذي يقبل؟ وهذا مهم جداً أن ننتبه له، فمن الذي يصحح التفسير ويقول: إنه صحيح؟ ليس العالم التجريبي الذي يعمل في المختبرات ثم يخرج برأي، إنما يعرض هذا على علماء التفسير فيصححونه ويصوبونه
4-บรรดาผู้ที่รับรองความถูกต้องของคุณซากิรไนค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาในประเทศไทย หาใครเป็นปราชญ์ทางตัฟสีรไม่ได้เลยสักคน หากอ้างเชคอัฏฏอยาร แล้วกฏกติกาของเชคฯใยโยนกันทิ้งเสียเล่า
ยิ่งไปกว่านั้นแม้กระทั้งตัวคุณซากิรไนค์เองก็หาใช่ปราชญ์ทางตัฟสีรไม่ เอาแค่ว่าภาษาอาหรับพื้นฐานก็ผิดชัดเจนตามที่เคยเสนอไปแล้ว อ้างอิงเชค “มุซอิด อัฏฏอยยาร” เฉพาะในส่วนที่เห็นว่าสนับสนุนความคิดความเชื่อของตน แต่พออะไรที่คัดค้านหรือไม่สอดคล้องกับที่จะเอา กลับละเลยตัดทิ้งไปเฉยๆ แต่พออะไรที่เป็นประโยชน์สนับสนุนความคิดความเชื่อตนก็รีบกุลีกุจอเอามาอ้างอิง พร้อมเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างนั้นหรือ
ผมบอกตรงๆ ว่าหลังจากที่ถกเถียงกันมาระยะหนึ่ง ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงความคิดของใครแน่นอน เพียงแต่สงสารคนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลและอาจจะหลงเคลิ้มตามไป จึงต้องอาสาออกมาชี้แจ้งความจริงแบบสามารถอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ ส่วนว่าผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ผมถือว่าผมหมดหน้าที่ และเมื่อใดเห็นว่ามีการโยนความคลุมเครือใส่สังคมอีก หากอัลลอฮ์ยังให้กำลังความสามารถ เมื่อนั้นผมก็จะทำหน้าที่ของผมต่อไป
บทนี้เป็นแค่การชี้แจ้งขอคลุมเครือประการแรกเท่านั้น ยังมีข้อคลุมเครืออีกหลายข้อ โปรดติดตามตอนต่อๆ ไปครับ อินชาอัลลอฮ์จะนำเสนอเป็นลำดับไป
5-เชคมุซาอิ อัฏฏอยยาร ท่านก็อธิบายอัลกุรอ่านไว้ เช่นกัน เรียกว่าอธิบายญุซ “อัมมา” ผู้เกาะท่านแจในเรื่องแปลคำว่า “ดะฮาฮา” ว่าหมายถึง “ทำให้กลม” เหตุใดจึงเว้นไม่อ้างอิงการอธิบายอัลกุรอ่านของท่านเล่า แต่กลับไปยึดตัวย่างการอธิบายอัลกุรอ่านของคนร่วมสมัยที่ท่านยกมาเป็นตัวอย่าง
นี้สะท้อนว่าแท้จริงแล้วก็มิได้ยึดเชคฏอยยารแต่อย่างใด แต่ยึดตัวอย่างการอธิบายของคนอื่นที่ท่านยกมาวิเคราะห์วิจารณ์เท่านั้นเอง ผมขอพิสูจน์ให้ท่านผู้อ่านเห็นชัดๆ ดังนี้ ในตัฟสีรซูเราะห์อัลนาซิอาต อายะห์ที่ 30 ท่านอธิบายไว้ดังนี้ (คือทั้งในตัวบทคำอธิบายและฟุตโน้ตในการอธิบายเสริมโดยท่านเอง) ดังนี้
คำแปลตัวบทของท่าน
30 - قولُه تعالى: {وَالأَرْضَ بَعْدَ ذَلِكَ دَحَاهَا}؛ أي: بسَطَ الأرضَ (2) بعد خلقِ السماء وإغطاشِ ليلِها وإخراجِ ضُحاها (3).
30 ดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า (وَالأرض ...)(2) หมายถึงปรับพื้นดินให้ราบหลังจากสร้างฟ้า ให้กลางคืนของมันมืดและนำความสว่างของมันออกมา
ทั้งสองฟุตโน้ตไม่ปรากฏการอธิบายใดๆ ของท่านชี้ไปถึงเรื่อง “ทำให้กลม” หรือ “ทำให้กลมแบบไข” หรือ “ทำให้กลมแบบไข่นกกระจอกเทศ” ส่วนเนื้อหามีแต่เพียงชี้แจงเรื่องว่าฟ้าและดินใครถูกสร้างก่อนกันเท่านั้น ในทีนี้ขอเว้นจะไม่ยกข้อความเหล่านั้นมาเพราะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ถกกัน
สรุปคือท่านอธิบายไว้ แต่ไม่เอาไปเอาสิ่งที่ท่านอ้างอิงถึงคนอื่น แล้วอ้างว่าท่านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นีคือความไม่ตรงในการนำเสนอข้อมูล
ท่านผู้อ่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ท่านจะทราบได้เองว่าการอ้างอิงเชคฏอยยารเป็นการอ้างอิงลักษณะใด มีวัตถุประสงค์ใด และเป็นการอ้างอิงที่เที่ยงตรงหรือไม่ ผู้เจริญด้วยปัญญาหากไม่หลับหูหลับตาจริงๆ ก็สามารถแยกแยะถูกผิดดีร้ายได้ครับ
(#ระหว่างท่านกับเราคือ"ยึดคน"กับ"ยึดหลักฐานของคน")
ขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งว่า ผู้ใดที่ตอบโต้บทความของผมเกี่ยวกับคำว่าดะฮาฮาทั้งสามตอน ขอให้คนผู้นั้นรู้ไว้ว่าเขามิได้ตอบโต้ผม /Yahya Haskanbancha
ขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งว่า ผู้ใดที่ตอบโต้บทความของผมเกี่ยวกับคำว่าดะฮาฮาทั้งสามตอน ขอให้คนผู้นั้นรู้ไว้ว่าเขามิได้ตอบโต้ผม แต่เขากำลังตอบโต้หักล้างกับเชคอะฏียะฮฺ ซาลิม เนื่องจากข้อความทั้งหมดผมเป็นผู้แปลถ่ายทอดมาจากตำราของเชคอะฏียะฮฺ มิใช่เป็นผู้อธิบายหรือตั้งตนเป็นปราชญ์วิเคราะห์เอาเอง
คำถามต่อมาคือเขาผู้นั้นเป็นใครถึงได้อาจหาญไปตอบโต้กับปราชญ์แนวทางสลัฟระดับโลก ทั้งๆที่เขาผู้นั้น ภาษาอาหรับก็ไม่เข้าใจ เรียนในระดับไหน และ มารยาทกับผู้รู้เป็นอย่างไร เขายังไม่เข้าใจเลย แต่กลับลำพองตนออกมาชี้แจงสังคมในเรื่องที่เขาไม่มีความสามารถ จงเกรงกลัวไฟนรกของอัลลอฮฺให้มากเถิด
ผมคงไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้มากความนะครับ ท่านผู้อ่านผู้ติดตามที่มีใจเป็นกลางคงสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกผิดหรือใครนำเสนอความจริงใครนำเสนอความเท็จ
ขอให้เข้าใจไว้ตามนี้ด้วยนะครับเพื่อที่ผู้อ่านทั้งหลายจะได้ไม่ถูกคนผู้นั้นหลอกลวงและเขาผู้นั้นก็จะได้ไม่หลอกตัวเองและผู้อื่นด้วยเช่นกัน
วัลลอฮฺ อะอฺลัม
อะกีดะห์พื้นฐานแท้ๆ / อจ อิสหาก
อะกีดะห์พื้นฐานแท้ๆ
อัลลอฮ์เท่านั้นที่รู้กาลล่วงหน้าแล้วมนุษย์ธรรมดาจะรู้ว่านบีมุฮัมหมัดศอลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะปรากฏเมื่อใด
ในอนาคต ได้หรือ
มุฮัมหมัดในพระเวท ปุราณะ พระไตร ฯลฯ
ยกเว้นจะต้องเชื่อว่าคัมภีร์เหล่ามาจากอัลลอฮ์ และอะกีดะห์พื้นฐานอีกเช่นกันสอนว่าอัลลอฮ์จะไม่ประทานคัมภีร์ให้ใครนอกเสียจากร่อซูลของพระองค์
สรุปคือเมื่อใดเชื่อว่าคัมภีร์อื่นบอกถึงกาลข้างหน้าว่าจะมีนบีคนใหม่ชื่อว่า “มุฮัมหมัด” ปรากฎขึ้น
คัมภีร์นั้นๆ ต้องเป็นคัมภีร์จากพระองค์เท่านั้น หาไม่เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนพื้นฐานอะกีดะห์กันใหม่ว่ามนุษย์ก็สามารถรู้กาลล่วงหน้าได้เทียบอัลลอฮ์
ผมไม่ต้องการเปลี่ยนอะกีดะห์ผม ผมจึงไม่เชื่อสิ่งที่คุณซากิรไนค์พูด หรือใครจะอยากเปลี่ยนบอกมาตรงๆ
และถ้าบอกว่าไม่เปลี่ยนอะกีดะห์แต่ก็จะเชื่อตามคุณซากิรไนค์ นั่นก็หมายความว่าท่านได้คัมภีร์เพิ่มได้นบีเพิ่มอีกมากมาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
แต่ผมเลือกแล้วครับ คือไม่เปลี่ยนอะกีดะห์และไม่ต้องการคัมภีร์และนบีเพิ่ม ผมจึงปฏิเสธคำสอนจากคุณซากิรไนค์ที่นำเสนอครับ
ฝากเอาไปคิดทบทวนกันให้ดีๆ. ครับ
ชี้แจงข้อคลุมเครือเฉพาะประเด็น เชค อะห์หมัด อับดุรเราะห์มาน อัลบันนา อัซซาอาตี / อจ อิสหาก
ชี้แจงข้อคลุมเครือเฉพาะประเด็น เชค อะห์หมัด อับดุรเราะห์มาน อัลบันนา อัซซาอาตี
#กล่าวนำ
ฝ่ายที่สนับสนุนคุณซากิรไนค์ พยายามจะนำเสนอแหล่งอ้างอิงทางวิชาการเพื่อยืนยันว่า “ดะฮาฮา” สามารถแปลว่า “ทำให้กลม” ก็ได้ เพราะอย่างน้อยนักวิชาการเฉกเช่นเชค อะห์หมัด อับดุรเราะห์มาน อัลบันนา อัซซาอาตี (ต่อไปขอเรียกว่า) อัซซาอาตี ยังอธิบายคำว่า “อุดฮียุ” เป็นไข่นกกระจอกเทศเลย และได้ถ่ายหน้าหนึ่งจากหนังสือ “บะดาอิอุลมินัน” ของท่านมาแสดง ซึ่งเป็นการอธิบายฮะดีษบทหนึ่งที่กล่าวเกี่ยวกับชาวอันศอรคนหนึ่งที่ขี่อูฐไปเหยียบรังไขนกกระจอกเทศจนเป็นเหตุให้ไข่มันแตก ในขณะที่ชายผู้นี้ครองเอี๊ยะห์รอมอยู่ โดยเขาจะต้องถูกปรับ(เกี่ยวกับพิธีฮัจญ์)หรือไม่ ตัวบทฮะดีษคือ
عن معاوية بن قرَّة عن رجلٍ من الأنصار أنَّ رجلًا أوطأ بعيره أدحي نعامٍ وهو محرم فكسر بيضها، فانطلق إلى عليَّ رضى الله عنه فسأله عن ذلك، فقال له علىٌّ عليك بكلِّ بيضة جنين ناقة أو ضراب ناقة فانطلق إلى رسول الله صلَّى الله عليه وسلَّم فذكر ذلك له، فقال رسول الله صلَّى الله عليه وعلى آله وصحبه وسلَّم قد قال علىٌّ بما سمعت ولكن هلمَّ إلى الرُّخصة، عليك بكلِّ بيضةٍ صوم أو إطعام مسكين
ฮะดีษรายงานโดยนักรายงานหลายท่าน เช่น อิหม่ามอะห์หมัด อิหมามดาร่อกุฏฏนีย์ อิบนุอะบีชัยบะห์ และอัลดุรรอซซ๊าก เป็นต้น เชคอัลบานีแจ้งสถานะว่าเป็นฮะดีษมุรซัล (ชนิดหนึ่งของฮะดีษฏ่ออีฟ)
ข้อความที่ฝ่ายสนับสนุนคุณซากิรไนค์ ยกมาอ้างอิงคือคำอธิบายของเชคอัซซาอาตีที่ว่า
أدحي نعام بكسر الحاء المهملة وتشديد الياء التحتية مفتوحة أي بيض نعام
สรุปคือ “อุดฮียะ อัยบัยฎ่อนะอาม” แปลได้ความว่า “อุดฮียะ” คือไข่นกกระจอกเทศ
ขอชี้แจงความคลุมเครือดังต่อไปนี้
1-ผู้ที่หยิบยกหนังสือดังกล่าวมาอ้างอิง รีบร้อนเกินไปและไม่ตรวจสอบให้ดีและถ่องแท้เสียก่อนว่าข้อความดังกล่าวนั้นมันผิดถูกอย่างไร มัวแต่นึกจะเอามาอ้างอิงเพราะตรงตามประสงค์ที่จะเอา และไม่ตรวจสอบให้ดีว่าเชคอัซซาอาตีมีหนังสืออื่นอีกหือไม่ และคำๆ นี้ท่านได้อธิบายไว้ในเล่มอื่นหรือไม่ เมื่อเห็นสิ่งที่ต้องอารมณ์ก็รีบคว้าเอามาอ้างอิงเลยโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้องใดๆ
2-เชคอัซซาอาตีมิได้มีหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ท่านยังมีหนังเล่มอื่นๆ อีกด้วย เช่น “อัลฟัตฮุลรอบบานีฯ” และหนังสือ “บุลูฆุลอัสร๊อรฯ” เล่มหลังนืคือหนังสืออธิบายเล่มแรก คือหนังสือ“อัลฟัตฮุลรอบบานีฯ” ในหนังสือสองเล่มนี้ ท่านก็ได้อธิบายความหมายคำว่า “อุดฮียุ” ไว้เช่นกัน และเป็นคำอธิบายที่ละเอียดกว่า ชัดเจนกว่า และไม่สามารถจะกล่าวได้ว่ามีการพิมพ์ผิดพลาดได้เฉกเช่นการอธิบายไว้ในหนังสือ “บะดาอิอุลมินัน”
3-ในภาษาอาหรับหากเขียนตกไปแม้แต่อักษรเดียวความหายอาจเปลี่ยนเป็นอื่นได้ ตัวอย่างเช่นคำว่า “มะบีด-مبيض” หากเขียน “มีม” ตกไป ก็จะได้คำว่า “บัยด์-بيض” ทันที ความแตกต่างคือ “มะบีด-مبيض” แปลว่า “ที่วางไข่” ส่วน “บัยด์-بيض” แปลว่า “ไข่”
4-ข้อความในหนังสือ “บะดาอิอุลมินัน” ปรากฏแต่เพียงคำว่า “บัยด่อนะอาม” จึงเป็นข้อความที่มีอักษร “มีม” ขาดหายไป สื่อง่ายๆ คือพิมพ์ตกไปนั่นเอง เลยทำให้ความหมายของคำว่า “อุดฮียุ” เปลี่ยนไปจาก “รังไข่” กลายเป็น “ไข่”
5-ผมเป็นใครถึงบังอาจกล่าวเช่นนั้น อย่าเพิ่งร้อนใจไปครับ ผู้จะมายืนยันว่าคำๆ นี้ไม่สมบูรณ์และมีอะไรขาดหายไป มิใช่ใครอื่น ท่านคือเจ้าของหนังสือนั่นเอง ซึ่งก็คือเชคอัซซาอาตี เพราะท่านได้อธิบายคำๆ นี้ไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ “บุลูฆุลอัสร๊อรฯ”ดังนี้
(غريبه) (1) الأدحى بضم الهمزة وسكون الدال المهملة بعدها حاء مهملة مكسورة ثم ياء مشددة، الموضع الذى تبيض فيه النعامة وتفرَّخ، جمعه
أداحى وهو أفعول من دحوت لأنها تدحوه برجلها أى تبسطه ثم تبيض فيه
#แปลได้ดังนี้
“(คำยากของฮะดีษ) “อัลอุดฮียุ” –หมายถึง “อัลเมาเฏี๊ยะอ์-สถานที่” ที่นกกระจอกเทศวางไข่และฟักไข่ มีพหูพจน์ว่า “อะดาฮี” มัน(อยู่ในตราชั่ง-กฎผันคำในภาษาอาหรับ) อุฟอูล จากคำว่า “ดะฮะวัต” (เหตุที่เรียก “อุดฮียุ” ว่ารังไข่) ก็เพราะนกกระจอกเทศมันจะใช้เท้าของมัน “ตัดฮู” สถานที่นั้น หมายถึงปรับให้มันราบ หลังจากนั้นมันก็ไข่ลงในสถานที่นั้น”
ผู้อธิบายคือคนๆ คนเดียวกัน ย่อมไม่อธิบายคำๆ เดียวกัน ไปคนละทางสองทางแน่นอน คำอธิบายจากหนังสือที่ผู้สนับสนุนคุณซากิรไนค์ยกมาอ้างอิง เป็นการอธิบายเพียงย่อๆ ไม่กี่คำ แต่ในหนังสือนี้ ท่านอัซซาอาตีอธิบายไว้ยืดยาว ยากที่จะเกิดข้อผิดพลาดทางการพิมพ์ได้ หรือแม้หากเกิดข้อผิดพลาดทางการพิมพ์ขึ้น ก็ไม่ส่งผลต่อความหมายโดยรวม
6-นี้คือบทพิสูจน์ให้เห็นชัดๆ ว่าในหนังสือชื่อ “บะดาอิอุลมินัน” มีการพิมพ์ “มีม” ตกหล่นไปโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ หากจะมีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้ไหมว่า ท่านอาจจะสื่อทั้งสองความหมาย คำตอบคือสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเป็นนักฮะดีษและนักภาษาด้วยเช่นกัน และท่านเองก็เป็นผู้อ้างอิงผู้บันทึกฮะดีษไว้ด้วยหลายท่าน หนึ่งในผู้บันทึกฮะดีษนี้คือท่านอัลดุรร๊อซซ๊าก (210) ท่านได้บันทึกฮะดีษนี้ไว้ใน อัลมุศอนนัฟของท่านดังนี้
8292 - عَنْ مَعْمَرٍ، عَنْ مَطَرٍ الْوَرَّاقِ، عَنْ مُعَاوِيَةَ بْنِ قُرَّةَ، أَنَّ رَجُلًا مِنَ الْأَنْصَارِ أَوْطَأَ أُدْحِيَّ نَعَامَةٍ، وَهُوَ مُحْرِمٌ - يَعْنِي عُشَّهَا - فَكَسَرَ بَيْضَةً، فَسَأَلَ عَلِيًّا، فَقَالَ: عَلَيْكَ جَنِينُ نَاقَةٍ، أَوْ قَالَ: ضَرَّابُ نَاقَةٍ، فَخَرَجَ الْأَنْصَارِيُّ فَأَتَى النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَخْبَرَهُ، فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «قَدْ سَمِعْتُ مَا قَالَ عَلِيٌّ، وَلَكِنْ هَلُمَّ إِلَى الرُّخْصَةِ، صِيَامٍ أَوْ إِطْعَامِ مِسْكِينٍ»
ท่านอับดุรร๊อซซ๊าก ผู้รายงานฮะดีษนี้ได้อธิบายคำว่า “อุดฮียะ” แทรกไว้ว่า يَعْنِي عُشَّهَا คือหมายถึง “รังของมัน”
7-และในฐานะท่านเป็นนักภาษา แน่นอนท่านทราบดีว่าคำว่า “อุดฮียุ” ไม่อาจแปลเป็น “ไข่” ได้ เพราะ หากเรานำสำนวนนี้มาเทียบกับภาษาไทยง่ายๆ เราก็จะเข้าใจว่าจุดที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น “ผมเหยียบหัวนายแดงแล้วเลยทำให้แขนดขาหัก”
ท่านผู้อ่านคิดว่าข้อความนี้เป็นอย่างไร ทำนองเดียวกันหากคำว่า “อุดฮียุ” ในฮะดีษแปลว่า “ไข่” เหตุใดคำหลังจึงเป็น “بيضها” ทำไมไม่มีการใช้ว่า “أدحيها” การใช้คำที่แตกต่างเพราะมันมีความหมายที่แตกต่างนั่นเอง นี้คือแง่มุมทางภาษา ซึ่งเชคท่านทราบดี
8-หนังสือที่ฝ่ายที่สนับสนุนคุณซากิรไนค์นำมาอ้างอิงนั้น (บะดาอิอุลมินันฯ) ตีพิมพ์ก่อนหนังสือที่ผมยกมาหักล้าง หากใครสงสัยก็ให้เปิดไปดูหน้าสุดท้ายของหนังสือ “บะดาอิอุลมินัน” เขาจะแจ้งไว้ชัดเจนว่ามีหนังอะไรของเชคฯที่พิมพ์แล้วและยังมิได้พิมพ์ สรุปคือหนังสือ “อัลฟัตอัรร๊อบบานีฯ” พิมพ์ทีหลังหนังสือ “บะดาอิอุลมินันฯ หากผมจะพูดว่าหนังเล่มแรกแก้ไขความผิดพลาดหนังสือเล่มหลัง หรือเล่มหลังมาแก้ไขความผิดพลาดของเล่มแรกครับ หากสติเรายังปกติอยู่ก็หวังว่าเราคงจะเลือกถูกนะครับ
9-ผมมีตัวอย่างให้ผู้อ่านพิจารณาดังนี้ สมมุติว่าผมเขียนหนังสือไว้สองเล่ม ในเล่มหนึ่งผมเขียนว่า ผมได้ไปเที่ยว”ห้วยขาแช็ง” เป็นป่าที่สวยงามมาก แต่ในอีกเล่มหนึ่งผมเขียนว่า ผมไปชม “ห้วยขาแข้ง” ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก หากมีใครจะเอาคำพูดผมไปอ้างอิง เพื่อยืนยันความถูกต้องทางวิชาการ โดยอ้างว่า “ครูหาก” เป็นปราชญ์ โดยยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าคำนี้ต้องเรียก “ห้วยขาแข็ง” โดยให้เหตุผลว่าหากใครไปแล้วต้องเดินจนขาแข็ง ท่านคิดว่าผู้นั้นตะแบงไหม แค่นั้นครับ
10-สรุปว่าผู้สนับสนุนคุณซากิรไนค์ มิได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน พอเห็นข้อความที่พิมพ์ตกไป ก็รีบนำมาอ้างอิงทันที ดังนั้นข้ออ้างที่ว่ายึดเชคซาอาตี ตอนนี้คงไม่ยึดแล้วละครับ คงต้องย้อนกลับไปยึดคำบรรยายของเชค “ฆอซี” ต่อไป
11-และแม้สมมุติว่าเราไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนของเชคซาอาอตีมายืนยันหักล้างความผิดพลาดนั้นได้ ก็มิได้หมายความว่าคำๆ นี้จะแปลได้ว่า “ไข่” แต่อย่างใด เพราะเท่ากับว่าเชคซาอาตีอธิบายค้านกับคนในยุคสะลัฟเฉกเช่นท่านอับดุรร๊อซซ๊าก คำอธิบายของเชคอัซซาอาตีย่อมตกไปเพราะท่านคือคนร่วมสมัย แต่นักรายงานฮะดีษที่ชื่อว่าอับดุรร๊อซซ๊าก คือคนในยุคสามร้อยปีแรก นับแต่วันที่ท่านเสียชีวิตจวบวันนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 1200 ปี
12-เมื่อทราบความจริงแล้วว่าเชคอัซซาอาตี มิได้อธิบายคำดังกล่าวว่า “ไข่” แต่หมายถึง “ที่วางไข่ของนกกระจอกเทศ” ดังนั้นกรุณาหยุด อ้างอิงสิ่งผิดๆ แล้วนำไปโยนใส่ท่านอีก
ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มก็ควรจะตรวจสอบทุกเล่มให้ดีเสียก่อน คือตรวจสอบหลายๆ เล่ม ไมใช่หยิบยกเอาหนังสือที่พิมพ์ผิดมากล่าวอ้างพร้อมร้องแรกแหกกระเชอท้าโต๊ะครูโน่นนี่นั่นให้ไปตรวจสอบ
อัลฮัมดุลิลลาห์ที่เผอิญผมเป็นโต๊ะครูเล็กๆ และพอมีความรู้อยู่บ้างเล็กๆ น้อย ก็เลยค้นเจอความจริงข้างต้นและนำมาแจกจ่ายคนที่มิได้เป็นโต๊ะครูไงครับ
นับตั้งแต่ผมได้ชี้แจงประเด็นต่างๆในเรื่องที่ผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดทางศาสนาที่มีกลุ่มบุคคลได้นำมาแพร่กระจายในสังคมมุสลิมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัลกุรอาน เรื่องหลักความเชื่อ ฯลฯ Yahya Haskanbancha
นับตั้งแต่ผมได้ชี้แจงประเด็นต่างๆในเรื่องที่ผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดทางศาสนาที่มีกลุ่มบุคคลได้นำมาแพร่กระจายในสังคมมุสลิมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัลกุรอาน เรื่องหลักความเชื่อ ฯลฯ ก็ได้เกิดการล่วงเกินต่อผมและคณาจารย์บางท่านในทางส่วนบุคคลมากมายสอดแทรกมาทางการตอบโต้ทางวิชาการเรื่องที่พาดพิงมายังศาสนา เช่นคำว่า อย่าโง่ให้มากนัก, กาก, ฯลฯ ในช่องแชทกลุ่มของพวกเขา
ในความเป็นจริงผมและคณาจารย์บางท่านเราแสดงตัวตนจริงออกมาอย่างชัดเจนแม้จะต้องถูกคนกลุ่มหนึ่งอธรรมใส่ด้วยช่องทางต่างๆก็ตามบ่งบอกถึงความจริงใจ ไม่ปิดบังอำพรางตนในมุมมืดแล้วคอยสร้างฟิตนะฮฺอย่างลับๆแบบที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังทำกัน ซึ่งมันบ่งบอกถึงความไม่จริงใจโดยเฉพาะในการทำงานศาสนาที่คนทั่วไปสามารถสัมผัสได้ครับ
ซึ่งสิ่งใดที่เด็กคนนั้นและพรรคพวกที่ร่วมสมคบคิดได้ล่วงเกินผมในส่วนที่นอกเหนือจากวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นคำด่าทอ เยาะเย้ย เหยียดหยาม ดิสเครดิตส่วนบุคคล ใส่ร้ายในสิ่งที่ผมไม่ได้พูดไม่ได้ทำ ฯลฯ ทั้งๆที่ผมเคยเตือนแล้วว่าอย่าทำเพราะมันเป็นความชั่วร้ายที่บ่งบอกถึงจิตอันต่ำทรามที่ซ่อนอยู่ภายในใจของพวกท่าน ผมขอใช้สิทธิ์ของผมกับอัลลอฮฺนะครับ
และอย่าคิดว่าจะเอาเหตุผลทำเพื่อศาสนามาอ้างในการทำชั่วใส่ผมไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ ดูถูก เหยียดหยามใส่ร้ายในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น ไม่ได้ทำ ไม่ได้พูดนะครับ ผมไม่ด่าหรือทำกลับแบบเดียวกับพวกท่านหรอกครับเพราะผมไม่คิดจะเอาตัวผมเข้าแลกกับคนอย่างพวกท่านมันเปลืองตัวเปล่าๆครับ ผมเพียงแค่ต้องการให้คนทั่วไปที่ใฝ่หาความจริงได้เข้าใจข้อเท็จจริงในเรื่องศาสนาที่ถูกต้อง ไม่คิดจะปะทะคารมตอแยกับพวกท่านเลยครับ อย่าคิดว่าผมลดตัวไปทะเลาะกับพวกท่านเลยนะครับ ผมอยู่ในที่ของผม พวกท่านก็อยู่ในที่ของท่าน
และก็หยุดใส่ร้ายครูบาอาจารย์ที่เสียสละตัวออกมาปกป้องคำสอนศาสนาได้แล้วครับ ชีวิตบั้นปลายจะได้มีโอกาสจบแบบสวยงาม ผมเตือนจากใจจริงๆ
ผมคงไม่ฟ้องร้องมนุษย์คนใดหรอกครับ และผมก็ไม่มีเส้นสายทางสังคมที่จะมาเอาเรื่องกับพวกท่านได้ แต่ขอใช้สิทธิ์ของผมกับอัลลอฮฺนะครับ ถ้าอยากท้าทายต่อก็มาดูกันว่าจะเป็นยังไงนะครับ ผมขอเตือนจากใจจริงๆ
ฝากคนที่ติดตามรับความรู้จากคนกลุ่มนี้ทั้งหลายนะครับว่าคิดให้ดีๆ คนแบบนี้หรือที่ท่านมั่นใจไว้ใจให้ชีวิตของท่านหมดไปกับพวกเขาในเรื่องศาสนา? ท่านเชื่อจริงๆหรือครับว่าคนแบบนี้หรือที่จะชี้นำสังคมให้ดีงาม? ที่จะสร้างคุณประโยชน์ให้อิสลามและมุสลิม? คนแบบนี้หรือที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้ท่านและลูกหลานของท่าน?
คิดให้ดีๆครับ ผมคงเตือนพวกท่านได้เพียงเท่านี้ ส่วนการตัดสินใจก็อยู่ที่พวกท่านนะครับ ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกทางที่ถูกต้องและดีที่สุดนะครับ
اللهم أرنا الحق حقا وارزقنا اتباعه وأرنا الباطل باطلا وارزقنا اجتنابه ولاتجعله ملتبسا علينا فنضل واجعلنا للمتقين إماما،
وما توفيقي إلا بالله عليه توكلت وإليه أنيب.
วัลลอฮฺ อะอฺลัม
ใครมีปัญญาก็ช่วยกันคิด / อจ อิสหาก
ใครมีปัญญาก็ช่วยกันคิด
1-อัลลอฮ์เท่านั่นที่รู้กาลล่วงหน้า
2-มนุษย์ธรรมดาไม่รู้
3-แล้วนบีมุฮัมหมัด ไปโผล่ในคัมภีร์อื่นได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่าคัมภีร์เหล่านั้นมาจากอัลลอฮ์
4-อัลลอฮ์ไม่ให้คัมภีร์แก่คนธรรมดา จะมอบให้แต่ผู้เป็นร่อซู้ลของพระองค์
5-ถ้าบอกว่าบอกว่าคัมภีร์เหล่านั้นไม่ใช่ของอัลลอฮ์ แสดงว่ามีผู้รู้กาลล่วงหน้าเท่าอัลลอฮ์
6-แต่ถ้าบอกว่าเป็นของอัลลอฮ์ เราได้นบีเพิ่ม และได้คัมภีร์เพิ่ม
ฝากบอกคุณซากิรไนค์ด้วย ว่าจะเลือกแบบไหน
"ชุบฮะห์" ข้อคลุมเครือ / อจ อิสหาก
"ชุบฮะห์" ข้อคลุมเครือ
ใครๆก็ทำได้และทำง่าย โดยโยนมันลงไปในสังคม ให้คนเขาเคลียบแคลงสงสัย ทักษะนี้ ทำได้ทุกคนครับ ผมได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง มาสองวันติดๆ กัน
แต่สิ่งที่ผมทำ อิงข้อเท็จจริงทั้งสิ้นครับ หากใครเห็นว่าไม่จริงข้อใด ก็แจ้งมาจะได้แก้ไข
วิธีเขียนสั้นๆ แล้วสร้างความสงวัยทำง่ายครับ ไม่ต้องรู้ไม่ต้องเรียนอะไรมาก ก็ทำได้ คือทุกคนทำได้หมด เรียกว่าของกล้วยๆ และผมก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างในสองวันที่ผ่านมา
ผมเชื่อว่าคนที่คิดจะตอบโต้ "ชุบฮะห์" ที่ผมโยนลงไป คงตอบโต้ไม่ทันแน่นอน และคงหัวเสียไม่น้อย เห็นได้จากคำด่าและคำสพประมาทที่พรั่งพรูออกมา
หลายคนอึดอัดและแสดงความหวังดีส่งคำเตือนมาทางอินบ๊อกส์ส่วนตัว ผมก็ขอขอบคุณในความปราถนาดีอันนั้น และขออัลลอฮ์ตอบแทนคุณความดีมากมายให้แก่ผู้เขียนด้วย
ผมคนเลยวัยหกสิบไปแล้ว โดยส่วนตัวจะคิดก่อนทำเสมอ บางครั้งทำอะไรก็มิได้แจ้งประสงค์ให้ใครทราบก่อน บางคนอาจสับสนว่าผมจะเอาอะไร วางใจเถอะครับ
เมื่อเข้าวัยนี้แล้วส่วนใหญ่จะคิดก่อนทำเสมอและเมื่อทำอะไรย่อมมีเป้าหมายอยู่ในใจเรียบร้อย เพียงแต่อาจจะยังมิได้บอกใครเท่านั้นเอง
ณ ตอนนี้ท่านทราบแล้วนะครับว่าผมประสงค์อะไร...
การเขีบนอะไรแบบสั้นๆ แล้วโยนใส่สังคม ง่ายครับ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้น หากคิดจะแก้ก็คงแก้ไม่ทัน เพราะคนแก้ต้องเขียนยาวและต้องอิงข้อเท็จจริงและต้องค้นคว้าทางวิชาการ
ส่วนข้อความที่ผมเขียนนั้นสามารถอ้างอิงข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดครับ เพียงแต่อาศัยวิธีการเดียวกันกับคนที่โยน "ชุบฮะห์-ข้อเคลือบแคลงส่งสัย" สู่สังคม
คือจะบอกว่า "แบบนี้" ใครๆ ก็ทำได้ และอาจทำได้ดีกว่าด้วยครับ
หากใครจะแนะนำขอเป็นอินบ๊อกส่วนตัวนะครับ เพราะเกรงจะเข้าใจผิดในเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของคนเตือนครับ
ตรรกะคุณซากิรไนค์และสาวก / อจ อิสหาก
ตรรกะคุณซากิรไนค์และสาวก
++++++++++++++++++++++
อาจเรียกอัลลอฮ์ว่า "พระพรหม" ก็ได้เพราะหนึ่งในความของ "พรหม" คือผู้สร้าง
มีคนพยายามอธิบายว่าคุณซากิรฯ ไม่ผิดเพราะอิงความหมายดังเดิมของคำๆ นี้
#สองตรรกะ นะครับ
1-ใช้เรียกนามอัลลอฮ์ได้ "เพราะ" แปลได้ว่า "พระผู้สร้าง" (ของคุณซากิรฯ)
2-คุณซากิรฯไม่ผิด "เพราะ" อิงความหมายเดิม (ของคนป้องคุณซากิรฯ)
นี่คือตรรกะล้วนๆ ในการพูดและอธิบายถึงพระนามของอัลลอฮ์ บรรดาสะลัฟฯ ไม่ปฏิเสธการใช่เหตุใช่ผลหากเหตุผลนั้นไม่ขัดต่อหลักใดของศาสนา
ท่านคิดว่าสองตรรกะข้างต้นขัดต่อหลักใดของศาสนาหรือไม่....
คำนามมีสองประเภท สามานยนามและวิสามานยนาม คำแรกคือนามเฉพาะส่วนคำลังคือนามไม่เฉพาะ
ตัวอย่างสามานยนามคือ รถ บ้าน คน รั้ว ฯลฯ คือไม่เฉพาะเจาะจง ว่าคันไหน หลังไหน คนไหน
ตัวอย่างวิสามานยนามคือ กรุงเทพมหานคร นครสวรรค์ คุณซอและ ตอแหลเก่ง (นามสกุลสมุติ) และฯลฯ
กรุงเทพฯ นครสวรรค์ คุณซอและห์ฯ ทั้งหมดคือนามเฉพาะ กรุงเทพฯ มีที่เดียว นครสวรรค์ก็มีที่เดียว คุณซอและห์ฯ ก็มีคนเดียว
นามเฉพาะนี้ส่วนใหญ่ก็มีความหมายทางภาษาแทบทุกนาม เช่น
กรุง=เท่ากับเมืองหรือเหมืองหลวง
เทพ=ผู้มีฐานะเกินมนุษย์
นคร=ก็คือเมืองหรืออาจเป็นเมืองหลวง
สวรรค์=อันนี้ขึ้นกับแต่ละศาสนาจัให้ความหมาย แต่หมายถึงสถานที่ๆอยู่สุขสบาย
ซอและห์=คนดี
หากจะถามว่า "พระพรหม" เป็นนามเฉพาะหรือนามทั่วไป...คนไม่เรียนก็คงตอบได้ครับ
หาดยึดตามตรรกะของคุณซากิรไนค์ เราก็สามารถเรียกอัลลอฮ์ได้ว่า "ลาต อุซซา และ ฯลฯ"
เพราะ "ลาต" ผันมาจากคำว่า "อิลาหฺ์" และเป็นรากศัพท์ของคำว่า "อัลลอฮ์"
ส่วน "อุซซา" ผันมาจากคำว่า "อิซซะห์" แปลว่าทรงเกียรติ หากเป็นเพศชายก็ใช้ว่า "อะอัซ" แต่ถ้าเป็นเพศหญิงก็ใช่ว่า "อุซซา"
คำเหล่านี้แม้จะยังมีความหมายในเชิงภาษาแบบไม่เจาะจง แต่ถูกใช้จนกลายเป็นนามที่เฉพาะเจาะจงในที่สุด
ดังนั้น "พรหม" ณ ปัจจุบันคือนามเฉพาะที่เป็นเทพฯ ของศาสนาอื่น หากยึดเอาตามตรรกะของคุณซากิรไนค์และสาวก ต่อไปอาจมีคนพิเรณเรียกอัลลอฮ์ว่า "ลาต" พอนำมาตั้งชื่อก็แค่เติมคำว่า "อับด์" ก็กลายเป็น "อับดุลลาต หรือไม่ก็ อับดุลอุซา"
ลาตกับอุซซาไม่ต่างอะไรกับคำว่า "พระพรหม" ทั้งหมดคือนามของเทพฯ ที่ถูกเคารพกราบไหว้อื่นจากอัลลอฮ์
อัลลอฮ์ปฏิเสธนามเหล่านี้ไว้แล้วในอัลกุอ่าน คือในซูเราะห์อันนัจม์ตั้งแต่อายะห์ที่ 19 ไป ยกมาเกรงจะยาว ไปหาอัลกุรอ่านแปลกันเอาเองครับ
นี่หลักฐานมิใช่ตรรกะครับ
ในซุนนะห์ ท่านบี ศอลลัลลอูอะลัยฮิวะซัลลัม เคยใช้ให้ศ่อฮาบะห์บางท่านเปลี่ยนชื่อแค่ความไม่เหมาะสม แต่นี้ไม่ใช่แค่ไม่เหมาะสมแต่มันส่อสื่อถึง "ชิรก์" ฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในโอกาสที่เหมาะสมจะนำเสนอนะครับ
เมื่อสามารถนำมาเรียกชื่ออัลลอฮ์ได้ก็ย่อมนำมาตั้งชื่อคนได้ เช่น อับดุรรอชีด อับดุลลอฮ์ อับดุลเราะห์มาน และฯลฯ
ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ว่าผมปกป้อง "ตอฆูต" แท้ที่จริงแล้วคือใครและพวกไหนกันแน่ ดุยานี้ก็ย้อนไปหาอย่างเห็นมันตาแล้วครับ ไม่ต้องรอวันกิยามะห์แต่อย่างใด
พระพรหม คือนามเพฉาะของศาสนาอื่นที่เขาเคารพบูชากัน ใครปกป้องการใช้คำๆ นี้ เพื่อนำมาใข้เรียกอัลลอฮ์ หากผมจะบอกว่า นี่แหละคือการปกป้อง "ตอฆูต" ก็คงไม่ผิดนะครับ
ระดับอิบนุตัยมียะห์ / อจ อิสหาก
ระดับอิบนุตัยมียะห์
หากไม่ต้องอารมณ์ยังบอกว่าผิดได้ แล้วเชค”ฆอซี” แปลเองอธิบายเองโดยไม่อ้างสะลัฟไม่อ้างตำราใดๆ จะผิดไม่ได้เชียวหรือ
อิบนุตัยมียะห์. พวกท่านยังบอกว่าพลาดประเด็นนั้นประเด็นนี้ แล้วผมจะไม่รับเชคบางคนที่พวกท่านอ้างมาเพราะเห็นว่าพลาด เรื่องไข่นกกระจอกเทศ พวกท่านก็เลยประณามว่า
ไม่เอาปราชญ์
ข้ามหัวปราชญ์
ไม่เอาอุละมาอ์
ซึ่งตอนนี้จะเหลือก็แต่เฉพาะเชค”ฆอซี” ที่ยังมิได้เขียนขี้แจง “ชุบฮะห์-ข้อคลุมเครือ”
ดังนั้น อันหลังนี่ตีกินชัดๆ เพราะหากจะเอาหลายๆคนก็ต้องรวมเอานายรอขาต นบีองค์ใหม่ นายนะซีห์ชีอะห์สุดโต่ง หลวงพ่อหลุยส์ เข้าไปด้วยอีกคน ถึงจะเรียก “อุละมาอ์” แต่ถ้าคนเดียวเรียกว่า “อาลิม” หรือจะเอาสองคนก็ “อาลิมานหรืออาลิมัยน์”
การเขียนว่า “อุละมาอ์” ผิดครับ แต่ถ้าเจตนาให้คนเข้าใจผิด อันนี้เรียกว่าหลอกชาวบ้านครับ
วิธีนี้เลิกไปเลย เพราะผมจะเฉยอีกต่อไป
ปราชญ์คุณบอกอิบนุอิบนุตัยมียะห์พลาด ผมบอกว่าเชคฆอซีก็พลาด ผมคงไม่ผิดนะครับ เพราะอย่างไรเชคฆอซีก็คงเทียบไม่ได้กับ “ชัยคุลอิลาม อิบนุตัยมียะห์ หรือจะมีคนแย้งก็ว่ามา
นั่งร่วมกับพวกอุตริ. / Khalid Pantrakul
นั่งร่วมกับพวกอุตริ.
มีมติเอกฉันท์ ห้ามนั่งร่วมกับพวกอุตริ.
แต่บางครั้งเราเห็นอุละมาอสะละฟี่ไปนั่งอยู่กับพวกหิซบีย์ เราต้องเข้าใจบริบทด้วย.
-เขาไม่ได้นั่งเพื่อหาความรู้
-เขาไม่ได้นั่งร่วมเพราะมีอุดมการณ์เดียวกัน
-เขาไม่ได้นั่งร่วมกันทุกวันหรือโดยไม่มีเหตุจำเป็น.
หรือจะกล่าวหาอุละมาอว่า พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง .
ภรรยานบีในคัมภีร์ศาสนาอื่น ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ ภรรยา 12 คน หรือพาหนะ 20 คัน?
ภรรยานบีในคัมภีร์ศาสนาอื่น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ภรรยา 12 คน หรือพาหนะ 20 คัน?
{{ ดร. เวท เชื่อว่าข้อความในบทที่ 2 กล่าวว่าผู้นำคนนี้มีภรรยา 12 คน ดร. เวท จึงเทียบกับท่านนบีมุฮัมมัดโดยยกชื่อภรรยาทั้ง 12 คนของท่านมาอ้าง ตั้งแต่ท่านหญิงคอดีญะห์ ท่านหญิงเซาดะห์ ท่านหญิงอาอีซะห์ ไปจนถึงท่านหญิงมัยมูนะห์ ซึ่งเป็นลำดับที่ 12 ข้าพเจ้าสะดุดใจคำว่า ภรรยา 12 คนเป็นอย่างมาก เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านต้นฉบับสันสกฤตก็พบคำว่ วธูมนฺโต ทวิทศ คำว่า วธู นั้น แปลว่า ภรรยา ใช่แล้ว แต่ก็ยังหมายถึงสัตว์เพศเมีย เช่น วัว ม้า ได้ด้วย ที่สำคัญคำนี้ไม่ใช่ วธู อย่างเดียว แต่เป็นคำว่า วธูมนฺโต ซึ่งหมายถึง (พาหนะ) ที่ลากด้วยม้าตัวเมีย และ ทวิทศ แปลว่า 20 ไม่ใช่ ทวาทศ ซึ่งแปลว่า 12 ดังนั้น สิ่งที่ผู้นำนั้นได้รับจึงไม่ใช่ภรรยา 12 คน หากเป็นพาหนะ 20 คัน สอดคล้องกับคำอื่นๆ ในบทเดียวกันซึ่งกล่าวถึงคุณสมบัติพิเศษของยานพาหนะที่จะใช้ในการสู้รบ }}
ข้อความตอนหนึ่งที่คัดจากบทความของ ดร.กุสุมา รักษมณี
สรุปคือ (ตีความเอาทั้งสิ้น)
1-คำว่า “วธู” ภรรยา,ม้า,วัว
2-คำในคัมภีร์ คือ “วธูมนฺโต” แปลว่า พาหนะที่ลากด้วยม้าตัวเมีย
3-ในคัมภีร์ใช้คำว่า “ทวิทศ” แปลว่า 20 แต่ ดร.เวทแปลเป็น 12 สิบสองคือ “ทวาทศ”
4-เป็นการตีความจากดร.เวท ชาวอินเดีย ทุกคนที่กล่าวถึงเรื่องนบีมุฮัมหมัด ในคัมภีร์พระเวท. ล้วนอ้างจากหนังสือของดร.เวท
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ.. ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่หนึ่ง 10 ตัฟสีร)
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ..
ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่หนึ่ง 10 ตัฟสีร)
*************************************************************
1-تفسير مجاهد [مجاهد بن جبر]
الكتاب: تفسير مجاهد المؤلف: أبو الحجاج مجاهد بن جبر التابعي المكي القرشي المخزومي (المتوفى: 104هـ) المحقق: الدكتور محمد عبد السلام أبو النيل الناشر: دار الفكر الإسلامي الحديثة، مصر الطبعة: الأولى، 1410 هـ - 1989 م عدد الأجزاء: 1 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمتي التخريج ومقارنة التفاسير]
2-تفسير مقاتل بن سليمان [مقاتل]
الكتاب: تفسير مقاتل بن سليمان المؤلف: أبو الحسن مقاتل بن سليمان بن بشير الأزدي البلخى (المتوفى: 150هـ) المحقق: عبد الله محمود شحاته الناشر: دار إحياء التراث - بيروت الطبعة: الأولى - 1423 هـ [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
4-تفسير سفيان الثوري [سفيان الثوري]
الكتاب: تفسير الثوري المؤلف: أبو عبد الله سفيان بن سعيد بن مسروق الثوري الكوفي (المتوفى: 161هـ) الناشر: دار الكتب العلمية، بيروت - لبنان الطبعة: الأولى 1403 هـ 1983 م [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
5-تفسير القرآن من الجامع لابن وهب [ابن وهب]
الكتاب: تفسير القرآن من الجامع لابن وهب المؤلف: أبو محمد عبد الله بن وهب بن مسلم المصري القرشي (المتوفى: 197هـ) المحقق: ميكلوش موراني الناشر: دار الغرب الإسلامي الطبعة: الأولى، 2003 م عدد الأجزاء: 3 أعده للشاملة/ يا باغي الخير أقبل [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
6-تفسير يحيى بن سلام [يحيى بن سلام]
الكتاب: تفسير يحيى بن سلام المؤلف: يحيى بن سلام بن أبي ثعلبة، التيمي بالولاء، من تيم ربيعة، البصري ثم الإفريقي القيرواني (المتوفى: 200هـ) تقديم وتحقيق: الدكتورة هند شلبي الناشر: دار الكتب العلمية، بيروت - لبنان الطبعة: الأولى، 1425 هـ - 2004 م عدد الأجزاء: 2 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
7-تفسير الإمام الشافعي [الشافعي]
الكتاب: تفسير الإمام الشافعي المؤلف: الشافعي أبو عبد الله محمد بن إدريس بن العباس بن عثمان بن شافع بن عبد المطلب بن عبد مناف المطلبي القرشي المكي (المتوفى: 204هـ) جمع وتحقيق ودراسة: د. أحمد بن مصطفى الفرَّان (رسالة دكتوراه) الناشر: دار التدمرية - المملكة العربية السعودية الطبعة الأولى: 1427 - 2006 م عدد الأجزاء: 3 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع] أعده للشاملة: أبو إبراهيم حسانين
7-تفسير عبد الرزاق [عبد الرزاق الصنعاني]
الكتاب: تفسير عبد الرزاق المؤلف: أبو بكر عبد الرزاق بن همام بن نافع الحميري اليماني الصنعاني (المتوفى: 211هـ) الناشر: دار الكتب العلمية دراسة وتحقيق: د. محمود محمد عبده الناشر: دار الكتب العلمية - بيروت. الطبعة: الأولى، سنة 1419هـ عدد الأجزاء: 3 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة التخريج]
8-معانى القرآن للأخفش [الأخفش الأوسط]
الكتاب: معانى القرآن للأخفش [معتزلى] المؤلف: أبو الحسن المجاشعي بالولاء، البلخي ثم البصري، المعروف بالأخفش الأوسط (المتوفى: 215هـ) تحقيق: الدكتورة هدى محمود قراعة الناشر: مكتبة الخانجي، القاهرة الطبعة: الأولى، 1411 هـ - 1990 م عدد الأجزاء: 2 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
9-تفسير التستري [سهل التستري]
الكتاب: تفسير التستري المؤلف: أبو محمد سهل بن عبد الله بن يونس بن رفيع التُستري (المتوفى: 283هـ) جمعها: أبو بكر محمد البلدي المحقق: محمد باسل عيون السود الناشر: منشورات محمد علي بيضون / دارالكتب العلمية - بيروت الطبعة: الأولى - 1423 هـ [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
10-جزء فيه تفسير القرآن برواية أبي جعفر الترمذي [الترمذي، أبو جعفر]
الكتاب: الجزء فيه تفسير القرآن ليحيى بن يمان ونافع بن أبي نعيم القارئ ومسلم بن خالد الزنجي وعطاء الخراساني برواية أبي جعفر الترمذي المؤلف: أَبُو جَعْفَرٍ التِّرْمِذِيُّ مُحَمَّدُ بنُ أَحْمَدَ بنِ نَصْرٍ الشافعي التِّرْمِذِيّ الرملي الفقيه (المتوفى: 295هـ) المحقق: حكمت بشير ياسين الناشر: مكتبة الدار بالمدينة المنورة الطبعة: الأولى 1408 هـ - 1988 م عدد الأجزاء: 1 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع] أعده للشاملة: يا باغي الخير أقبل
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ.. ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่สอง 10 ตัฟสีร)
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ..
ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่สอง 10 ตัฟสีร)
*************************************************************
11-تفسير الطبري = جامع البيان ت شاكر [الطبري، أبو جعفر]
الكتاب: جامع البيان في تأويل القرآن المؤلف: محمد بن جرير بن يزيد بن كثير بن غالب الآملي، أبو جعفر الطبري (المتوفى: 310هـ) المحقق: أحمد محمد شاكر الناشر: مؤسسة الرسالة الطبعة: الأولى، 1420 هـ - 2000 م عدد الأجزاء: 24 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، والصفحات مذيلة بحواشي أحمد ومحمود شاكر، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
12-تفسير الطبري = جامع البيان ط هجر [الطبري، أبو جعفر]
الكتاب: تفسير الطبري = جامع البيان عن تأويل آي القرآن المؤلف: محمد بن جرير بن يزيد بن كثير بن غالب الآملي، أبو جعفر الطبري (المتوفى: 310هـ) تحقيق: الدكتور عبد الله بن عبد المحسن التركي بالتعاون مع مركز البحوث والدراسات الإسلامية بدار هجر الدكتور عبد السند حسن يمامة الناشر: دار هجر للطباعة والنشر والتوزيع والإعلان الطبعة: الأولى، 1422 هـ - 2001 م عدد الأجزاء: 26 مجلد 24 مجلد ومجلدان فهارس [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة التخريج]
13-معاني القرآن وإعرابه للزجاج [الزجاج]
الكتاب: معاني القرآن وإعرابه المؤلف: إبراهيم بن السري بن سهل، أبو إسحاق الزجاج (المتوفى: 311هـ) المحقق: عبد الجليل عبده شلبي الناشر: عالم الكتب - بيروت الطبعة: الأولى 1408 هـ - 1988 م عدد الأجزاء: 5 أعده للشاملة/ أبو إبراهيم حسانين [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
14-تفسير ابن المنذر [ابن المنذر]
الكتاب: كتاب تفسير القرآن المؤلف: أبو بكر محمد بن إبراهيم بن المنذر النيسابوري (المتوفى: 319هـ) قدم له الأستاذ الدكتور: عبد الله بن عبد المحسن التركي حققه وعلق عليه الدكتور: سعد بن محمد السعد دار النشر: دار المآثر - المدينة النبوية الطبعة: الأولى 1423 هـ، 2002 م عدد الأجزاء: مجلدان في ترقيم مسلسل واحد [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
15-تفسير ابن أبي حاتم - محققا [الرازي، ابن أبي حاتم]
الكتاب: تفسير القرآن العظيم لابن أبي حاتم المؤلف: أبو محمد عبد الرحمن بن محمد بن إدريس بن المنذر التميمي، الحنظلي، الرازي ابن أبي حاتم (المتوفى: 327هـ) المحقق: أسعد محمد الطيب الناشر: مكتبة نزار مصطفى الباز - المملكة العربية السعودية الطبعة: الثالثة - 1419 هـ [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير] __________ [تنبيه] 1- الجزء الأصيل من الكتاب (عن مخطوطات) هو * من الفاتحة إلى الرعد * من (المؤمنون) إلى العنكبوت والباقي جمعه المحقق من تفسير ابن كثير والدر المنثور وغيره 2- الأرقام من بعد حديث 8327 إلى ما قبل حديث 10100 بها خلط وتكرار شديد في المطبوع فلا يعتمد عليها، وينبغي العزو إلى لجزء والصفحة في هذه المواضع
16-تفسير ابن أبي حاتم، الأصيل - مخرجا [الرازي، ابن أبي حاتم]
الكتاب: تفسير القرآن العظيم لابن أبي حاتم المؤلف: أبو محمد عبد الرحمن بن محمد بن إدريس بن المنذر التميمي، الحنظلي، الرازي ابن أبي حاتم (المتوفى: 327هـ) المحقق: أسعد محمد الطيب الناشر: مكتبة نزار مصطفى الباز - المملكة العربية السعودية الطبعة: الثالثة - 1419 هـ [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة التخريج] __________ [تنبيه] 1- الجزء الأصيل من الكتاب (عن مخطوطات) هو * من الفاتحة إلى الرعد * من (المؤمنون) إلى العنكبوت وهذا فقط هو الموجود في هذه النسخة الإلكترونية والباقي جمعه المحقق من تفسير ابن كثير والدر المنثور وغيره 2- الأرقام من بعد حديث 8327 إلى ما قبل حديث 10100 بها خلط وتكرار شديد في المطبوع فلا يعتمد عليها لهذا حذفنا ترقيمها من هذه النسخة الإلكترونية، وينبغي العزو إلى لجزء والصفحة في هذه المواضع
17-تفسير الماتريدي = تأويلات أهل السنة [أبو منصور المَاتُرِيدي]
الكتاب: تفسير الماتريدي (تأويلات أهل السنة) المؤلف: محمد بن محمد بن محمود، أبو منصور الماتريدي (المتوفى: 333هـ) المحقق: د. مجدي باسلوم الناشر: دار الكتب العلمية - بيروت، لبنان الطبعة: الأولى، 1426 هـ - 2005 م عدد الأجزاء: 10 أعده للشاملة/ أبو إبراهيم حسانين [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
18-تفسير السمرقندي = بحر العلوم [أبو الليث السمرقندي]
الكتاب: بحر العلوم المؤلف: أبو الليث نصر بن محمد بن أحمد بن إبراهيم السمرقندي (المتوفى: 373هـ) [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
19-تفسير القرآن العزيز لابن أبي زمنين [ابن أبي زَمَنِين]
الكتاب: تفسير القرآن العزيز المؤلف: أبو عبد الله محمد بن عبد الله بن عيسى بن محمد المري، الإلبيري المعروف بابن أبي زَمَنِين المالكي (المتوفى: 399هـ) المحقق: أبو عبد الله حسين بن عكاشة - محمد بن مصطفى الكنز الناشر: الفاروق الحديثة - مصر/ القاهرة الطبعة: الأولى، 1423هـ - 2002م عدد الأجزاء: 5 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
20-تفسير ابن فورك [ابن فُورَك]
الكتاب: تفسير ابن فورك من أول سورة المؤمنون - آخر سورة السجدة المؤلف: محمد بن الحسن بن فورك الأنصاري الأصبهاني، أبو بكر (المتوفى: 406هـ) دراسة وتحقيق: علال عبد القادر بندويش (ماجستير) عدد الأجزاء: 1 الناشر: جامعة أم القرى - المملكة العربية السعودية الطبعة الأولى: 1430 - 2009 م [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع] * * * * * * * * * * * * * تفسير ابن فورك من أول سورة الأحزاب - آخر سورة غافر المؤلف: الإمام العلَّامة / أبو بكر محمد بن الحسن ابن فورك (المتوفى 406) دراسة وتحقيق: عاطف بن كامل بن صالح بخاري (ماجستير) عدد الأجزاء: 1 الناشر: جامعة أم القرى - المملكة العربية السعودية الطبعة الأولى: 1430 - 2009 م [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع] جَزَى اللَّهُ كَاتِبَهُ وَمَنْ تَحَمَّلَ نَفَقَةَ الْكِتَابَةِ خَيرَ الجَزَاءِ وَأَوفَاهُ. * * * * * * * * * * * * * الكتاب: تفسير ابن فورك - من أول سورة نوح - إلى آخر سورة الناس المؤلف: الإمام العلَّامة / أبو بكر محمد بن الحسن ابن فورك (المتوفى 406) دراسة وتحقيق: سهيمة بنت محمد سعيد محمد أحمد بخاري (ما جيستير) عدد الأجزاء: 1 الناشر: جامعة أم القرى - المملكة العربية السعودية الطبعة الأولى: 1430 - 2009 م [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع] * * * * * * * * * * * * * تنبيه: بقي مجلدان يجري تحقيقهما الآن أولهما من أول سورة فصلت إلى آخر سورة ق والثاني من أول سورة الذاريات إلى آخر سورة المعارج * * * * * * * * * * * * *
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ.. ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่สาม 10 ตัฟสีร)
"ดะฮาฮา" แปลว่า ทำให้กลมแบบ..
ไข่นกกระจอเทศอยู่ตัฟสีรเล่มไหนครับ (ชุดที่สาม 10 ตัฟสีร)
************************************************************
21-تفسير الثعلبي = الكشف والبيان عن تفسير القرآن [الثعلبي]
الكتاب: الكشف والبيان عن تفسير القرآن المؤلف: أحمد بن محمد بن إبراهيم الثعلبي، أبو إسحاق (المتوفى: 427هـ) تحقيق: الإمام أبي محمد بن عاشور مراجعة وتدقيق: الأستاذ نظير الساعدي الناشر: دار إحياء التراث العربي، بيروت - لبنان الطبعة: الأولى 1422، هـ - 2002 م عدد الأجزاء: 10 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
22-الهداية الى بلوغ النهاية [مكي بن أبي طالب]
الكتاب: الهداية إلى بلوغ النهاية في علم معاني القرآن وتفسيره، وأحكامه، وجمل من فنون علومه المؤلف: أبو محمد مكي بن أبي طالب حَمّوش بن محمد بن مختار القيسي القيرواني ثم الأندلسي القرطبي المالكي (المتوفى: 437هـ) المحقق: مجموعة رسائل جامعية بكلية الدراسات العليا والبحث العلمي - جامعة الشارقة، بإشراف أ. د: الشاهد البوشيخي الناشر: مجموعة بحوث الكتاب والسنة - كلية الشريعة والدراسات الإسلامية - جامعة الشارقة الطبعة: الأولى، 1429 هـ - 2008 م عدد الأجزاء: 13 (12، ومجلد للفهارس) [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
23-تفسير الماوردي = النكت والعيون [الماوردي]
الكتاب: تفسير الماوردي = النكت والعيون المؤلف: أبو الحسن علي بن محمد بن محمد بن حبيب البصري البغدادي، الشهير بالماوردي (المتوفى: 450هـ) المحقق: السيد ابن عبد المقصود بن عبد الرحيم الناشر: دار الكتب العلمية - بيروت / لبنان عدد الأجزاء: 6 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
لطائف الإشارات = تفسير القشيري [القشيري، عبد الكريم]
الكتاب: لطائف الإشارات = تفسير القشيري المؤلف: عبد الكريم بن هوازن بن عبد الملك القشيري (المتوفى: 465هـ) المحقق: إبراهيم البسيوني الناشر: الهيئة المصرية العامة للكتاب - مصر الطبعة: الثالثة [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
24-التفسير الوسيط للواحدي [الواحدي]
الكتاب: الوسيط في تفسير القرآن المجيد المؤلف: أبو الحسن علي بن أحمد بن محمد بن علي الواحدي، النيسابوري، الشافعي (المتوفى: 468هـ) تحقيق وتعليق: الشيخ عادل أحمد عبد الموجود، الشيخ علي محمد معوض، الدكتور أحمد محمد صيرة، الدكتور أحمد عبد الغني الجمل، الدكتور عبد الرحمن عويس قدمه وقرظه: الأستاذ الدكتور عبد الحي الفرماوي الناشر: دار الكتب العلمية، بيروت - لبنان الطبعة: الأولى، 1415 هـ - 1994 م عدد الأجزاء: 4 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
25-الوجيز للواحدي [الواحدي]
الكتاب: الوجيز في تفسير الكتاب العزيز المؤلف: أبو الحسن علي بن أحمد بن محمد بن علي الواحدي، النيسابوري، الشافعي (المتوفى: 468هـ) تحقيق: صفوان عدنان داوودي دار النشر: دار القلم , الدار الشامية - دمشق، بيروت الطبعة: الأولى، 1415 هـ عدد الأجزاء: 1 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
26-تفسير السمعاني [السمعاني، أبو المظفر]
الكتاب: تفسير القرآن المؤلف: أبو المظفر، منصور بن محمد بن عبد الجبار ابن أحمد المروزى السمعاني التميمي الحنفي ثم الشافعي (المتوفى: 489هـ) المحقق: ياسر بن إبراهيم وغنيم بن عباس بن غنيم الناشر: دار الوطن، الرياض - السعودية الطبعة: الأولى، 1418هـ- 1997م [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير]
27-تفسير الراغب الأصفهاني [الراغب الأصفهاني]
الكتاب: تفسير الراغب الأصفهاني المؤلف: أبو القاسم الحسين بن محمد المعروف بالراغب الأصفهانى (المتوفى: 502هـ) جزء 1: المقدمة وتفسير الفاتحة والبقرة تحقيق ودراسة: د. محمد عبد العزيز بسيوني الناشر: كلية الآداب - جامعة طنطا الطبعة الأولى: 1420 هـ - 1999 م عدد الأجزاء: 1 جزء 2، 3: من أول سورة آل عمران - وحتى الآية 113 من سورة النساء تحقيق ودراسة: د. عادل بن علي الشِّدِي دار النشر: دار الوطن - الرياض الطبعة الأولى: 1424 هـ - 2003 م عدد الأجزاء: 2 جزء 4، 5: (من الآية 114 من سورة النساء - وحتى آخر سورة المائدة) تحقيق ودراسة: د. هند بنت محمد بن زاهد سردار الناشر: كلية الدعوة وأصول الدين - جامعة أم القرى الطبعة الأولى: 1422 هـ - 2001 م عدد الأجزاء: 2 أعده للشاملة/ أبو إبراهيم حسانين [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
28-غرائب التفسير وعجائب التأويل [الكرماني، برهان الدين]
الكتاب: غرائب التفسير وعجائب التأويل المؤلف: محمود بن حمزة بن نصر، أبو القاسم برهان الدين الكرماني، ويعرف بتاج القراء (المتوفى: نحو 505هـ) دار النشر: دار القبلة للثقافة الإسلامية - جدة، مؤسسة علوم القرآن - بيروت عدد الأجزاء: 2 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع]
29-تفسير البغوي - إحياء التراث [البغوي ، أبو محمد]
الكتاب : معالم التنزيل في تفسير القرآن = تفسير البغوي المؤلف : محيي السنة ، أبو محمد الحسين بن مسعود بن محمد بن الفراء البغوي الشافعي (المتوفى : 510هـ) المحقق : عبد الرزاق المهدي الناشر : دار إحياء التراث العربي -بيروت الطبعة : الأولى ، 1420 هـ عدد الأجزاء :5 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع ، وهو مذيل بالحواشي، وضمن خدمة مقارنة التفاسير] __________ الكتاب مرتبط بنسخة أخرى (ط : دار طيبة) للشاملة، ومصورة
30-تفسير البغوي - طيبة [البغوي ، أبو محمد]
الكتاب: معالم التنزيل في تفسير القرآن = تفسير البغوي المؤلف: محيي السنة، أبو محمد الحسين بن مسعود البغوي (المتوفى: 510هـ) المحقق: حققه وخرج أحاديثه محمد عبد الله النمر - عثمان جمعة ضميرية - سليمان مسلم الحرش الناشر: دار طيبة للنشر والتوزيع الطبعة: الرابعة، 1417 هـ - 1997 م عدد الأجزاء: 8 [ترقيم الكتاب موافق للمطبوع، والصفحات مذيلة بالحواشي، وهو ضمن خدمة مقارنة التفاسير] __________ الكتاب مرتبط بنسخة أخرى للشاملة (دار إحياء التراث العربي -بيروت)
กัชฟุชชุฮาต (คลายข้อคลุมเครือ) เรื่องไม่เอาอุละมาอ์ตัฟสีร / (อจ อิสฮาก)
กัชฟุชชุฮาต (คลายข้อคลุมเครือ) เรื่องไม่เอาอุละมาอ์ตัฟสีร
************************************************************
สามโพสต์ที่แล้ว ผมนำรายชื่อตำราตัฟสีรมาโพสต์ คือประมาณ 30 ตัฟสีร จริงๆ แล้าตำราตัฟสีรมีไม่ต่ำกว่า 170 ตัฟสีร คือทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
ยุคนี้เป็นยุคติจิตอน เรามีห้องสมุดอีเล็กโทรนิค เราจึงสามารถสืนค้นกันได้โดยสดวก คือตำราส่วนใหญ่มีการนำเข้าสู่ระบบดิจิตอลเรียบร้อย ซึ่งรวมถึงตำราตัฟสีรด้วยเช่นกัน
จากการสืบค้นผมไม่พบว่ามีตัฟสีรเล่มใดอธิบายหรือแปลคำว่า "ดะฮาฮา" เป็น "ทำให้กลม" หรือ "ทำให้กลมแบบไข่นกกระจอกเทศ"
ผมจะแยกเป็นสองความหมายคือ
1-การแปลคำว่า "ดะฮาฮา" ว่า "กลม" เฉยๆ
2-การแปลคำๆ นี้ว่า "กลมแบบไข่นกกระจอกเทศ"
มีบางคนโยน "ชุบฮะห์-ข้อคลุมเครือ" สู่สังคมว่า
"ตกลงยอมรับแล้วหรือไม่ว่า มีอุละมาอ์แปลเช่นนั้นจริงๆ" ไหนละว่าไม่มีเลย"
"พกความมั่นใจเกินร้อย หน้าแตกละสิ"
ข้อคลุมเครือนี้หากผู้ติดตามอ่านโพสต์ต่างๆ ของผม จะทราบดีเองว่า ผมย้ำเสมอว่าที่บอกว่าไม่พบคือตำราในยุคอดีต ไม่ใช่ในยุคปัจจุบันหรือที่เรียกว่า "ร่วมสมัย" แต่ยังมีคนโยน "ชุบฮะห์-ตีกิน" เอาแบบด้านๆ ดิบๆ
และที่เป็น "ชุบฮะห์" ที่น่าเกลียดที่สุดคือ อ้างเอาดิบๆ ว่า "อุละมาอ์" ทั้งที่่พูดชัดๆ เต็มปากเต็มคำก็เห็นจะมีแค่สองคน คนหนึ่งชื่อเชค "ฆอซี" อีกคนคือคุณซากิรไนค์
ในกรณีของเชค "ฆอซี" นั้น ก็เป็นแค่เสียงของแกที่ขึ้นคุตบะห์และอธิบายซูเราะห์อัลนาซิอาต มิใช่เขียนเป็นตำราตัฟสีรแต่อย่างใดไม่ และก็เป็นการพูดลอยๆ โดยมิได้อ้างอิงอะไรเลย
ดังนั้นผมจึงต้องคัดรายชื่อตัฟสีรมาตั้งเป็นคำถามว่า เล่มไหนหรือที่ให้ความหมายแบบเชค "ฆอซี" และซากิรไนค์ ย้ำนะครับว่า ผมถามถึงตัฟสีรที่มาก่อนหน้าหนังสือ "อัลมุนญิด" ของบาทหลวงแคทอลิกหลุยส์มะอลูฟ ผมยืนยันและนั่งยันว่าผมไม่พบตำราตัฟสีร "อิสลาม" ที่ใช้คำนี้ก็เพราะว่าไม่จำกัดว่าผู้เขียนจะอยู่แนวไหน
บาทหลวงหลุยส์ ตีพิมพ์ "อัลมุนญิด" และเผยแพร่ในปีค.ศ 1908 ตรงกับ ฮ.ศ 1325 คือก่อนตัฟสีรของอัลกอสิมีประมาณ 7 ปี และหลังตัฟสีรของท่านมุฮัมหมัด อุมัร นะวะวี 9 ปี
ตำราตัฟสีรนับตั้งแต่ของท่านมุฮัมหมัดถอยหลังไปจนศตวรรษแรกๆ ของอิสลามไม่ปรากฏตำราใดที่สื่อถึงคำว่า "ทำให้กลม" หรือ "ทำให้กลมแบบรูปไข่นกกระจอกเทศ"
1-การแปลว่าทำให้ "กลม" เฉยๆ มีการอ้างอิงได้เพียงแคสองแหล่ง และเป็นแหล่งอ้างอิงรวมสมัย และมิใช่เป็นตำราตัฟสีรแต่อย่างใดทั้งสิ้น
2-การแปลว่าทำให้"กลมแบบไข่นกกระจองเทศ" มีแหล่งอ้างอิงไม่เกินสองแหล่งท่ี่ร่วมสมัย และมิใช่ตำราทางตัฟสีรแต่อย่างใดทั้งสิ้น
คำถามแบบชาวบ้านๆ ให้ผู้อ่านคิตตามคือ
1-นักตัฟสีรไล่ร้อยเลียงมาแต่ยุคศ่อฮาบะห์ จวบจนถึงปีค.ศ 1908 ไม่มีใครเคยระแคะระคายเลยหรือว่า "ดะฮาฮา" สามารถแปลได้ว่า "ทำให้กลม" หรือ "ทำให้กลมแบบไข่นกกระจอกเทศ
2-บรรดาปราชญ์ตัฟสีรเหล่านั้น ไม่มีความรู้หรือรู้ไม่ถึงคนยุคหลังบางคนอย่างนั้นหรือ
3-บรรดานักตัฟสีรเหล่านั้นรู้ดีทุกอย่าง แต่รวมหัวกันปกปิดความหมายนั้น กระนั้นหรือ
4-ปราชญ์อิสลามนับแต่ครั้งบรรพชนในศตวรรษแรกๆ จวบจนมาถึงยุคก่อนปี 1908 ขาดความรู้เรื่องความหมายอัลกุรอ่านอายะห์ที่ 30 ของซูเราะห์ อัลนาซิอาตว่าสามาถแปลได้ว่าทำให้ "กลม" หรือ "กลมแบบไข่นกกระจอเทศ" และความรู้นั้นเพิ่งจะมาค้นพบในปีค.ศ1908
ใครที่กล่าวหาผมว่าข้ามหัวอุละมาอ์ ไม่เอาอุละมาอ์ ไม่ยึดอุละมาอ์ ผมเอาครับเอาของดั้งเดิม เอาบรรดาปราชญ์ตัฟสีรก่อนยุคท่านหลวงพ่อหลุยส์ ตามทีได้คัดรายชื่อตำราเสนอไปบางส่วนก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนคนที่ผมไม่เอามีเพียงไม่กีคนหรอกครับ คือแค่คนสองคน ที่เหลืออีกเป็นร้อยกว่าอุละมาอ์ และเป็นอุละมาอ์ตัฟสีรตัวจริงทั้งสิ้นครับ เพราะแต่ละท่านมีตำราตัฟด้วยกันทั้งสิ้น ผมเอาหมดเลยครับ
ฉะนั้นข้อกล่าวหาที่กล่าวหาผม ผมขอคืนให้พวกท่านก็แล้วกันนะครับเพราะเหมาะสมกว่า หากผมจะบอกว่าพวกท่านยึดคนแค่สองสามคนที่ไม่ใช่อุละมาอ์ทางตัฟสีร แต่ทิ้งอุละมาอ์ตัฟสีรอีกนับร้อยคน
เคลียร์นะครับสำหรับคำว่า "ทิ้งอุละมาอ์-ข้ามหัวอุละมาอ์-ไม่เอาอุละมาอ์" ว่างๆ ลองเอากระจกส่องดูหน้าตัวเองนะครับเผื่อจะเจอคนที่พวกท่านกล่าวหาตัวจริงและตัวเป็นๆ ก็ได้ครับ
เรารับรู้ร่วมกันว่า... / Haris Ruangprach
เรารับรู้ร่วมกันว่า...
_____________________
- อุละมาอฺยุคก่อน รู้แล้วว่าโลกกลม โดยไม่ต้องรอข้อพิสูจน์จากยุคเรา
-อุละมาอฺยุคก่อน รู้แล้วว่าอายะฮฺไหน พูดเกี่ยวกับโลกกลม
-อุละมาอฺยุคก่อน ไม่ได้ใช้อายะฮฺที่30 ซูเราะฮฺ อันนาซิอาต มาพูดเกี่ยวกับโลกกลม
-อุละมาอฺยุคก่อน ไม่ได้แปลคำว่า ดะฮาฮา ว่า กลม, ไข่,ไข่นกกระจอกเทศ
-อุละมาอฺที่เชี่ยวชาญตัฟซีรอย่าง เชคอะฏียะฮฺ มุฮัมมัด ซาลิม บอกว่าไม่มีหลักฐานปรากฎ ที่แปลดะฮาฮา ว่า กลม, ไข่,ไข่นกกระจอกเทศ
- เพิ่งจะมีการแปลคำว่า ดะฮาฮา ว่า กลม, ไข่, ไข่นกกระจอกเทศ ในยุคร่วมสมัยเรา
ฉะนั้น การแปลคำว่า ดะฮาฮา ไม่ต้องรอ ร่วมสมัย ไม่ต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าโลกกลม ถึงจะแปลว่า กลม, ไข่, ไข่นกกระจอกเทศ ใหม่อีกรอบ
พี่น้องจะปลอดภัยได้อย่างไร หากเราแปล เราเข้าใจ ไม่เหมือนกับที่อุละมาอฺยุคก่อนเขาเข้าใจ
ขอให้เราช่วยกันปกป้อง รักษาอัลกุรอานกันต่อไป และขอให้อัลลอฮฺช่วยเหลือเราในการแสวงหาความจริงในทุกๆเรื่อง ให้พบกับสัจธรรม อามีน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)