ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านฮาฟิซ อืบนุอับดุลบัร ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ในหนังสืออัตตัมฮีด (13/214) ว่า
"ไม่มีนักวิชาการท่านใดว่าจำนวนร๊อกอาตของละหมาดในอยามค่ำคืน (ละหมาดซุนนะห์) ตายตัวโดยจะเกิน (เท่านั้นเท่านี้) ไม่ได้
ละหมาดนี้ (ซุนนะห์ในอยามกลางคืน) เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องประเสริฐ และเป็นการแสวงหาความใกล้ชิด(ต่ออัลลอฮ์) ผู้ใดประสงค์จะละหมาดมาก (ร๊อกอะห์) หรือน้อยร๊อกอะห์เขาย่อมทำได้ ขออัลลอฮ์นำพาและช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ประสงค์ด้วยเมตตาจากพระองค์ ผู้ทรงไร้ภาคีใดๆ"
قال الحافظ ابن عبد البر ـ رحمه الله ـ في كتابه “التمهيد” (13/ 214):
"ليس في عدد الركعات من صلاة الليل حدٌّ محدود عند أحد من أهل العلم لا يتعدى، وإنما الصلاة خير موضوع، وفعل بر وقربة، فمن شاء استكثر، ومن شاء استقل، والله يوفق ويعين من يشاء برحمته لا شريك له
ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านกอฎีอิยาฎ อัลยะห์ศอบี่ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ในหนังสือ อิกม้าลลุลมุอัลลิม ชัรฮุ ศ่อเฮี๊ยห์มุสลิม(3/82 ฮะดีษหมายเลขที่ 736) ...ว่า
"ในเรื่องดังกล่าว (ละหมาดซุนนะห์ในอยามค่ำคืน) ไม่มีข้อขัดแย้งว่าต้องมีจำนวนจำกัดที่จะเกินหรือจะขาดไม่ได้ การละหมาด (ซุนนะห์) กลางคืนเป็นเรื่องการงานประเสริฐและเป็นสิ่งที่ประสงค์ให้กระทำ และหากทำเพิ่มมากขึ้นผลบุญก็ย่อมได้มากขึ้นประเสริฐเยอะขึ้น
ที่มีข้อขัดแย้งจริงๆ ก็คือการกระทำของท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (ว่าท่านทำเท่าไหร่) และอะไรคือคือ (จำนวนร๊อกอะห์) ที่ท่านเลือกแก่ตัวท่านเอง"
ท่านอิหม่ามนะวาวี ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ได้อ้างอิงคำพูดนี้ไว้ใน ชัรฮุศ่อเฮี๊ยห์มุสลิม (6/263 ฮะดีษหมายเลข 736) โดยไม่วิจารณ์ใดๆ นั่นแสดงว่าท่านยอมรับสิ่งดังกล่าว
وقال القاضي عياض اليحصبي ـ رحمه الله ـ في كتابه ” إكمال المعلم شرح صحيح مسلم” (3/ 82 – عند حديث رقم:736):
ولا خلاف أنه ليس في ذلك حدٌّ لا يزاد عليه ولا ينقص منه، وأن صلاة الليل من الفضائل والرغائب التي كلما زيد فيها زيد في الأجر والفضل، وإنما الخلاف في فعل النبي صلى الله عليه وسلم، وما اختاره لنفسه.اهـ
ونقله عنه النووي ـ رحمه الله ـ في “شرح صحيح مسلم” (6/ 263 – عند حديث رقم:736))
، ونقل النووي له دون تعقيب يدل على اقراره
ولا خلاف أنه ليس في ذلك حدٌّ لا يزاد عليه ولا ينقص منه، وأن صلاة الليل من الفضائل والرغائب التي كلما زيد فيها زيد في الأجر والفضل، وإنما الخلاف في فعل النبي صلى الله عليه وسلم، وما اختاره لنفسه.اهـ
ونقله عنه النووي ـ رحمه الله ـ في “شرح صحيح مسلم” (6/ 263 – عند حديث رقم:736))
، ونقل النووي له دون تعقيب يدل على اقراره
ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านอบูซุรอะห์ อัลอิรอกี่ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ใน :ฏอรฮุลตัษรีบ" (2/661)
"ในนั้นคือมีบัญญัติให้ละหมาดอยามค่ำคืน ปราชญ์ต่างเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า (ละหมาดในอยามกลางคืน) มิได้ถูกกรอบด้วยจำนวนที่จำกัด แต่ที่เขาขัดแย้งกันคือสิ่งที่ท่านนบี ศอลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทำ (ว่าเท่าใดแน่)
قال أبو زرعة العراقي ـ رحمه الله ـ في “طرح التثريب” (2/ 661):
وفيه مشروعية الصلاة بالليل، وقد اتفق العلماء على أنه ليس له حد محصور، ولكن اختلفت الروايات فيما كان يفعله النبي ـ صلى الله عليه وسلم
وفيه مشروعية الصلاة بالليل، وقد اتفق العلماء على أنه ليس له حد محصور، ولكن اختلفت الروايات فيما كان يفعله النبي ـ صلى الله عليه وسلم
ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านอิหม่ามอิบนุตัยมียะห์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ใน "มัจมูอุลฟะตาวา" (22/272-273) ว่า
"เช่นเดียว การละหมาด (ในค่ำคืน) รอมฎอน ท่านนบีศอลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิไดักำหนดจำนวนตายตัวไว้ เพียงแต่ท่านไม่เพิ่มทั้งในและนอกรอมฎอนเกินกว่าสิบสามร๊อกอะห์ เหตุเพราะท่าน (ละหมาดแต่ละ) ร๊อกอะห์ยาวมาก"
***
قال الإمام ابن تيمية – رحمه الله – كما في “مجموع الفتاوى” (22/ 272 -273):
"كما أن نفس قيام رمضان لم يوقت النبي صلى الله عليه وسلم فيه عددًا معينًا، بل كان هو صلى الله عليه وسلم لا يزيد في رمضان ولا غيره على ثلاث عشرة ركعة، لكن كان يطيل الركعات.
ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านอัลลามะห์ มุฮัมหมัด อิบนุ ซอและห์ อัลอุษัยมีน ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ตามที่ปรากฏใน "มีจมู๊วอ์ฯ.." (14/195-196) คือหลังจากที่กล่าวถึงฮะดีษอิบนุอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ที่ว่า
"ละหมาดอยามค่ำคืนคือทีละสอง (ร๊อกอะห์)"
ท่านนบีศอลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้จำกัดจำนวน (ร๊อกอะห์) ไว้ตายตัว ทั้งๆ ที่สถาพควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะผู้ถามไม่ทราบทั้งจำนวนและวืธีการละหมาดอยามค่ำคืน ในเมื่อท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อธิบายขยายความเรื่องวืธีการแต่ปล่อยผ่านเรื่องจำนวน มันจึงทราบได้มันทีว่าจำนวนนั้นเปิดกว้าง"
قال العلامة محمد بن صالح العثيمين – رحمه الله – كما في “مجموع فتاوى ورسائل فضيلته” (14 / 195-196) بعد حديث ابن عمر – رضي الله عنهم "صلاة الليل مثنى"
ولم يحدد له النبي صلى الله عليه وسلم عددًا، مع أن الحال تقتضي ذلك؛ لأن الرجل السائل لا يعلم عن صلاة الليل كمية، ولا كيفية، فلما بين له النبي صلى الله عليه وسلم الكيفية، وسكت عن الكمية، عُلم أن الأمر في العدد واسع،
ولم يحدد له النبي صلى الله عليه وسلم عددًا، مع أن الحال تقتضي ذلك؛ لأن الرجل السائل لا يعلم عن صلاة الليل كمية، ولا كيفية، فلما بين له النبي صلى الله عليه وسلم الكيفية، وسكت عن الكمية، عُلم أن الأمر في العدد واسع،
ปราชญ์อาวุโสเข้าใจอย่างไร
(เกี่ยวกับจำนวนร๊อกอะห์ของละหมาดตะรอเวียห์)
ท่านอัลลามะห์ มุฮัมหมัด อัชเชากานี่ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ใน หนังสือของท่านชื่อ "นัลลุลเอาฏอร" (3/66) ว่า
ผลสรุปของบรรดาฮะดีษต่างๆ ในเรื่องนี้คือ มีบัญญัติให้ละหมาดอยามค่ำคืนของรอมฎอน จะละหมาดเป็นญะมาอะห์หรือต่างคนต่างละหมาดก็ได้ การจำกัด(ร๊อกอาตของ) ละหมาดที่เรียกว่า "ตะรอเวียห์" ว่าต้องเท่านั้นเท่านี้ หรือกำหนดว่าต้องอ่านแบบนั้นเท่านี้ ไม่ปรากฏว่ามีรายงานจากซุนนะห์ (แต่อย่างใด) "
***
قال العلامة محمد بن علي الشوكاني – رحمه الله – في كتابه “نيل الأوطار” (3/ 66):
"والحاصل أن الذى دلت عليه أحاديث الباب هو: مشروعية القيام في رمضان، والصلاة فيه جماعة وفرادى، فقصر الصلاة المسماة بالتراويح على عدد معّين، وتخصيصها بقراءة مخصوصة، لم يرد به سُنَّة".اهـ
ปราชญ์อาวุโส #จากศ่อฮาบะห์
(เข้าใจอย่างไรต่อกรณีจำนวนละหมาดอยามค่ำคืน)
ความเข้าใจของท่านอุซามะห์ อืบนุซัยด์ และอิบนุอับบาซ
ท่านอิบนุอะบีชัยบะห์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ รายงานไว้ในมุศอลนัฟของท่าน (6728) ดังนี้
ท่านอุซามะห์ อืบนุซัยด์ และอิบนุอับบาซ กล่าวว่า
"หากท่านละหมาดวิเตรไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำ (หลังอิชาอ์) แล้วท่านตื่นขึ้นมาละหมาด (กลางดึก) ท่านก็ละหมาดไปตามประสงค์ (คือกี่ร๊อกอะห์ก็ได้) ต่อมาให้ละหมาดหนึ่งร๊อกอะห์ เพื่อ (ให้ละหมาดก่อนนั้น) เป็นจำนวนคู่ เสร็จแล้วก็ละหมาดวิเตรอีกครั้งหนึ่ง"
***
ابن أبي شيبة – رحمه الله – في “مصنفه” (6728):
حدثنا وكيع، عن عمران بن حُدير، عن أبي مجلز، أن أسامة بن زيد وابن عباس، قالا:
(( إِذَا أَوْتَرْتَ مِنْ أَوَّلِ اللَّيْلِ، ثُمَّ قُمْتَ تُصَلِّي فَصَلِّ مَا بَدَا لَكَ، وَاشْفَعْ بِرَكْعَةٍ ثُمَّ أَوْتِرْ )).
حدثنا وكيع، عن عمران بن حُدير، عن أبي مجلز، أن أسامة بن زيد وابن عباس، قالا:
(( إِذَا أَوْتَرْتَ مِنْ أَوَّلِ اللَّيْلِ، ثُمَّ قُمْتَ تُصَلِّي فَصَلِّ مَا بَدَا لَكَ، وَاشْفَعْ بِرَكْعَةٍ ثُمَّ أَوْتِرْ )).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น