อิทธิพลอะชาอิเราะฮฺต่อหลักศรัทธามุสลิม - Paksu Halim
ใคร่ครวญหลักคำสอน อะชาอิเราะฮ
นับเป็นเรื่องที่น่าฉงนสนเท่ห์ที่สำนักคิดอะชาอิเราะฮฺเองยอมรับว่าการตีความในศิฟัต (คุณลักษณะ) ของอัลลอฮฺนั้น เป็นแนวทางที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุคชาวสะลัฟ (กัลยาณชนรุ่นแรก) ไม่ว่าจะเป็นยุคของเศาะหาบะฮฺ หรือยุคของอัตตาบิอีน โดยพวกเขาได้สร้างวาทกรรมที่โดดเด่นว่า “แนวทางของชาวสะลัฟ (กัลยาณชนรุ่นแรก) เป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า และแนวทางของชาวเคาะลัฟ (ชนรุ่นหลัง) เป็นแนวทางที่รอบรู้และฉลาดกว่า” กล่าวคือแนวคิดของการตีความในหมู่ชนรุ่นหลังย่อมรู้ดีและฉลาดกว่าแนวคิดของชนชาวสะลัฟที่มอบหมายข้อเท็จจริง ซึ่งวาทกรรมนี้ส่อให้เห็นเจตนาดูแคลนแนวทางของชาวสะลัฟในความรู้และความเข้าใจของพวกเขาต่อเรื่องคุณลักษณะของอัลลอฮฺ การดูถูกดูแคลนเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นนอกจากด้วยปากของผู้ที่ไม่รู้ฐานะและสถานภาพชาวสะลัฟในความรู้ความเข้าใจในศาสนาอย่างแท้จริง
การอภิปรายคำพูดและหลักการเชื่อมั่นของอะชาริเราะฮฺในประเด็นที่ขัดแย้งกับแนวคิดของชาวสะลัฟ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดโดยปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ ถึงความปลอดภัยของแนวคิดของชาวสะลัฟจากความขัดแย้งและความสับสน ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ วิทยปัญญาและความปลอดภัย
ต่อไปนี้คือการอภิปรายในบางประเด็นของหลักการเชื่อมั่นของ อัล-อะชาอิเราะฮฺ เพื่อให้เกิดความชัดแจ้งว่า ความรู้ของชาวสะลัฟนั้นย่อมประเสริฐเหนือกว่าแนวคิดของชาวเคาะลัฟ และแนวคิดของชาวสะลัฟนั้นถูกต้องกว่าแนวคิดที่เกิดขึ้นมาภายหลัง
1.ประเด็น การใช้เหตุผลทางปัญญาก่อนหลักฐาน ตามกฎที่แนวคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺวางไว้
ข้อโต้ตอบ : อะฮลุสสุนนะฮฺ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างปัญญาที่สมบูรณ์ชัดเจน กับหลักฐานที่ถูกต้อง ในความเป็นจริงประเด็นดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นเลย
สติปัญญาได้เป็นสักขีพยานต่อความเป็นเราะสูลหรือนบีอย่างแท้จริง ดังนั้น อาศัยหลักดังกล่าวจึงจำเป็นต้องยึดความเป็นสักขีพยานของปัญญาในเรื่องนี้ ด้วยการเชื่อในสิ่งที่ท่านเราะสูลนำมาบอกทุกประการ และเชื่อฟังในสิ่งที่ท่านเราะสูลสั่งใช้ให้กระทำ เมื่อท่านเราะสูลบอกว่า อัลลอฮฺทรงดำรงอยู่เหนือพ้นฟากฟ้า ปัญญาก็จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านบอกด้วย หากเมื่อใดที่เหตุผลทางปัญญามานำหน้าหลักฐาน ก็เท่ากับว่าเป็นการกล่าวหาต่อการเป็นสักขีพยานของสติปัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายการเป็นสักขีพยานของสติปัญญาต่อความสัจจริงของท่านเราะสูล และเป็นการทำลายศาสนา
2. ประเด็น การปฏิเสธว่าอัลลอฮฺทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์
ข้อโต้ตอบ : ประเด็นนี้เป็นหลักการเดิมของอัลอะชาอิเราะฮฺที่ปฏิเสธว่าอัลลอฮฺทรงมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่โมฆะ แท้จริงแล้วอัลลอฮฺทรงมีอำนาจที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ทุกกาลเวลา ดังที่มีหลักฐานยืนยันจากอัลกุรอาน อัซซุนนะฮฺ และมติเห็นพ้องของเศาะหาบะฮฺ ดังที่อัลลอฮฺตรัสว่า
يَسْأَلُهُ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ ۚ كُلَّ يَوْمٍ هُوَ فِي شَأْنٍ
الرحمن: ٢٩
“ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินจะวอนขอต่อพระองค์ ทุกๆ ขณะพระองค์ทรงมีภารกิจ” (อัรเราะหฺมาน 29)
لَعَلَّ اللَّهَ يُحْدِثُ بَعْدَ ذَٰلِكَ أَمْرًا
“บางทีอัลลอฮฺจะทรงปรับปรุงกิจการ (ของเขา) หลังจากนั้น” (อัฏเฏาะลาก 1)
3. ประเด็น การจำกัดจำนวนคุณลักษณะของอัลลอฮฺเพียง 7 ประการนั้นคือ อัลหะยาฮฺ (ทรงมีชีวิต) อัลอิลมฺ (ทรงมีความรู้) อัลกุดเราะฮฺ (ทรงอานุภาพ) อัลอิรอดะฮฺ (ทรงพระประสงค์) อัสสัมอฺ (ทรงได้ยิน) อัลบะศ็อรฺ (ทรงมองเห็น) และ อัลกะลาม อันนัฟสีย์ (คำพูดที่ดำรงอยู่ด้วยอาตมัน ของอัลลอฮ) ส่วนคุณลักษณะอื่นๆ นั้นพวกเขาจะตีความเป็นอย่างอื่น
ข้อโต้ตอบ : แนวคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าแปลกและขัดแย้งกันอย่างยิ่ง หากไม่แล้ว ทำไมพวกอัลอะชาอิเราะฮฺจึงตีความคุณลักษณะ อัรเราะหฺมะฮฺ (ความเมตตา) แต่ไม่ได้ตีความคุณลักษณะ อัสสัมอฺ (ทรงได้ยิน) หากพวกเขากล่าวว่า คุณลักษณะ อัรเราะหฺมะฮฺ (ความเมตตา) นั้น บ่งชี้ถึงความอ่อนโยนของจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับอัลลอฮฺ เพราะจะไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา ถ้าเช่นนั้นคุณลักษณะ อัสสัมอฺ (ทรงได้ยิน) ก็ไม่สมควรใช้กับอัลลอฮฺเช่นกัน เพราะการยอมรับในคุณลักษณะของอัส-สัมอฺจะไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา หากพวกเขากล่าวว่า พวกเรายืนยันคุณลักษณะ อัส-สัมอฺที่เหมาะสมกับอัลลอฮฺ เราก็ขอตอบว่า ดังนั้น พวกท่านก็จงยืนยันคุณลักษณะอัร-เราะหฺมะฮฺที่เหมาะสมกับอัลลอฮฺดังที่พวกท่านได้ยืนยันคุณลักษณะของอัสสัมอฺที่เหมาะสมกับพระองค์
4. ประเด็น การให้คำนิยาม อัลอีหม่าน (ความศรัทธา) หมายถึง การเชื่อมั่นด้วยจิตใจเท่านั้น
ข้อโต้ตอบ : เป็นทัศนะที่ขัดแย้งกับอิจญ์มาอ์(มติเห็นพ้อง) และหลักฐานจากอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ ส่วนอิจญ์มาอ์นั้น อิหม่ามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า เป็นอิจญ์มาอ์ของเศาะหาบะฮฺ อัตตาบิอีน และผู้คนหลังจากยุคนั้นที่ข้าพเจ้ามีชีวิตทันกับยุคของพวกเขาว่า “อัลอีหม่าน คือ คำพูด การกระทำ และการตั้งใจ และอัล-อีหม่านจะไม่สมบูรณ์หากขาดไปอย่างหนึ่งอย่างใดจาก 3 ประการดังกล่าว” ดังนั้น ความเชื่อ การทำอะมัลที่ดี และการกล่าวคำปฏิญาณ (ชะฮาดะฮฺ) เป็นหลักการของอีหม่าน และถือว่าอีหม่านไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้องหากปราศจากสิ่งเหล่านั้น หลักฐานต่างๆ จากอัลกุรอานและสุนนะฮฺที่ยืนยันสนับสนุนการอิจญมาอ์ในเรื่องนี้มีมากมายเกินกว่าจะนับให้ครบถ้วนทีเดียว
https://www.islamweb.net/ar/article/65287/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น