เทปบันทึกการบรรยาย “ปรากฎการณ์และทัศนะอุละมาอ” กรณี ISIS
ณ มัสยิดดารุลมุฮาญิรีน ตลาดเมืองใหม่ยะลา
.
-เมื่อเดือนกันยายน 2006 ได้มีการยกเลิกสภาซูรอมุญาฮิดิน และอะบูหัมซะฮฺ อัลมุฮาญิรได้รับการแต่งตั้งเป็นอะมีรกลุ่มกออิดะฮฺแห่งอิรักพร้อมๆกับการประกาศจัดตั้งรัฐอิสลามอิรัก(The Islamic State Iraq – ISI) ภายใต้การนำของอะบุอุมัร อัลบัมดาดีย์
- กำเนิดรัฐอิสลามแห่งอิรักและซาม (The Islamic State of Iraq and Sham – ISIS )
หลังจากเกิดการปฏิวัติประชาชนที่ซีเรียเมื่อต้นปี 2011 กลุ่มนี้เริ่มเข้าไปในซีเรีย ด้วยเหตุผลปกป้องและต่อสู้กับระบอบบัซซาร์ ในเบื้องต้นได้ผนึกรวมเข้าไปในกลุ่มญับฮะฮฺนุศเราะฮฺ ที่มีอะบู มุฮัมมัด อัลญาลานี เป็นอะมีร ต่อมาในช่วงปี 2012 อะบูบักร์ อัลบัฆดาดีย์ได้ประกาศผนวกรวมอิรักและซีเรีย โดยไม่ปรึกษาใครและไม่เป็นที่รับรู้จากผู้ใดมาก่อนเลยแม้กระทั่งอัลเญาลานีย์หรืออัยมาน เศาะวาฮีรีย์ อะมีรกลุ่มกออิดะฮฺ จนกระทั่งปี 2013 นายอัลบัฆดาดีย์ได้ประกาศรัฐอิสลามแห่งอิรักและซาม ชื่อภาษาอังกฤษว่า (The Islamic State of Iraq and Sham – ISIS หรือ Islamic State of Iraq and The Levant – ISIS ) พร้อมออกคำสั่งให้ญับฮะฮฺ นุศเราะฮฺเป็นสาขาหนึ่งของรัฐอิสลาม ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง นำไป สู่การนองเลือดและปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่าย จนทำให้นายอัยมัน เศาะวาฮีรีย์ ผู้นำอัลกออิดะฮฺหลังการเสียชีวิตของบินลาเด็น ออกคำสั่งให้นายอัลบัฆดาดีย์ กลับไปประจำที่อิรักตามเดิม ส่วนที่ซีเรียให้อยู่ในเขตความรับผิดชอบของญับฮะฮฺนุศเราะห์ฮฺ พร้อมชี้แจงว่ากลุ่มกออิดะฮฺสำนักงานใหญ่ ไม่รับผิดชอบใดๆต่อการกระทำของอัลบัฆดาดีย์ที่ซีเรีย แต่ทุกอย่างก็บานปลายเกินกว่าแก้ เมื่อโฆษก ISIS นายอัดนานีย์ ได้ประกาศตัดความสัมพันธ์กับกลุ่มอัลกออิดะฮฺที่นำโดยเศาะวาฮีรีย์ ในช่วงนี้ได้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่าง ISIS กับญับฮะฮฺ นุศเราะฮฺและกองกำลังปลดแอกซีเรีย ( FSA) โดยที่ ISIS ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนองเลือดระหว่างพี่น้องมุสลิม การลอบฆ่าแกนนำคนสำคัญของกลุ่มมุญาฮิดินแม้กระทั่งการปล้นเสบียงอาหารหรือกองคารวานความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ถูกลำเลียงเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องซีเรียและในช่วงนี้เช่นกัน ที่คลิปภาพการตัดคอ การสังหารหมู่และการกระทำอันน่าสยดสยองถูกแพร่สะพัดตามสื่อออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการฟัตวาทางศาสนาที่ผิดเพี้ยน เช่นญิฮาดุนนิกาหฺ(การแต่งงานโดยหญิงสาวยินยอมเป็นภรรยาชั่วคร่าวเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่มุญาฮิดีน) การทำลายกุโบร์เศาะฮาบะฮฺและศาสนสถานของกลุ่มซีอะฮฺ เป็นต้น
-ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายและไร้กฎระเบียบ ในวันที่ 10 มิถุนายน 2014 ไอซิสที่มีกองกำลังเพียง 2,000- 3,000 นายได้นำทัพบุกเมืองโมซุล เมืองใหญ่ทางภาคเหนือเป็นอันดับสองของอิรัก รองจากกรุงแบกแดกแบบสายฟ้าแล็บ ทั้งๆที่ในโมซุล มีทหารอิรักและอีหร่านปรพจำการ จำนวน 30,000 นาย แต่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันกองกำลังไอสิสได้รุกขยายพื้นที่อาณาจักรของตนอย่างกว้างขวางราวปฏิหาริย์ ซึ่งคุมพื้นที่จากเหนือซีเรียไปยังตอนเหนืออิรักระยะทางกว่า 500 กิโลเมตรสามารถควบคุมหลายแห่งและปลดปล่อยผู้ต้องขังให้เป็นอิสระจำนวน 1,000 คน ทำให้ ทหารอิรักและกองกำลังซีอะฮฺได้ถอยร่นไม่เป็นท่าอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทิ้งปริศนาค้างคาใจของประชาคมโลกจนกระทั่งปัจจุบัน พร้อมๆกับทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายที่ไอสิสยึดเป็นทรัพย์สงคราม อีกทั้งได้บุกยึดธนาคารในโมซุล โกยเงินกว่า 425 ล้านดอลล่าร์สหรัฐและอีกหลายร้อยล้านดอลล่าร์สหระฐจากธนาคารที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมของตน พร้อมประกาศว่า กรุงแบกแดกคือเป้าหมายการโจมตีรายต่อไป
-ท่ามกลางความตื่นตระหนกของประชาคมโลก และความดีใจของประชาชาติมุสลิมต่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลามในวันแรก เดือนรอมฎอน 1435 (29 มิถุนายน 2014) นายอัดนานีย์ในนามโฆษกไอสิสได้ประกาศสถาปนารัฐอิสลาม (Islamic State – IS ) โดยตัดคำว่า Iraq and Sham คำประกาศนี้เริ่มต้นด้วยคำว่า “ นี่คือคำมั่นสัญญาของอัลลอฮฺ ” พร้อมเชิญชวนมุสลิมทั่วโลกให้คำสัตยาบันต่อรัฐอิสลาม และในวันศุกร์แรกของเดือนรอมฏอนที่ผ่านมานายอัลบัฆดาดีย์ พร้อมด้วยผ้าโพกศีรษะและชุดโต๊บสีดำ ได้คว้าขึ้นคุตบะฮฺที่มัสยิดกลางเมืองโมซุล ด้วยอากัปกิริยาที่สำรวมและสงบเสงี่ยม ประกาศตนเองเป็นศะลีฟะฮฺมุสลิมมีนพร้อมกล่าวว่าการเชื่อฟังเขาเป็นสิ่งวาญิบ(สิ่งบังคับตามศาสนา)สำหรับทุกคน
-สมาพันธ์อุละมาอฺมุสลิมโลกร่วมกับกระทรวงศาสนสมบัติประจำจังหวัดสุลัยมานียะฮฺ (เมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอิรัก) สมาพันธ์อิสลามเคิร์ค สมาพันธ์อุละมาอฺมุสลิมีนเคิร์ดและสมาคมอิสลามอื่นๆ จัดสัมมนาทางวิชาการในหัวข้อ “บทบาทอุละมาอฺเคิร์ดต่อการเผชิญหน้ากับพฤติกรรมไอสิส ” โดยมีนักวิชาการอิสลาม นักนิติศาสตร์อิสลามและผู้นำอื่นๆทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 1,000 คน โดย ศ.ดร.อาลี กุเราะฮฺดาฆี เลขาธิการสมาพันธ์อุละมาอฺมุสลิมโลกได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ว่า เพื่อศึกษาชุดความคิดและอุดมการณ์ของไอสิส พร้อมระบุว่าแนวคิดและอุดมการณ์จะต้องได้รับการเยี่ยวยาแก้ไขด้วยแนวคิดและอุดมการณ์เช่นกัน
1.เราจะไม่เหมารวมว่ากลุ่มไอสิส มีความสัมพันธ์กับองค์กรสายลับสากลเนื่องจากบรรดากลุ่มเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่ถูกเกณฑ์มาจากประเทศต่างๆให้เข้าในกลุ่มนี้ พวกเขามีความจริงจังต่ออิสลามบริสุทธิ์ใจปกป้องศาสนา และไม่พอใจต่อการรุกรานของกองกำลังต่างชาติที่มีต่อประเทศมุสลิมแต่ความมุ่งมั่นจรเกินไป อาจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางการลำเลียงของอาวุธยุทธโธปกรณ์จำนวนมหาศาลที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งเราจะไม่ขอพูดในประเด็นนี้ เพราะจะต้องอาศัยหลักฐานที่ชัดเจนที่สามารถยืนยันได้ แต่จะศึกษาเฉพาะพฤติกรรมและการแสดงออกของพวกเขาที่มีการตักฟีร (การตัดสินมุสลิมว่าเป็นคนนอกศาสนาหรือกาฟีร) มุสลิมที่เห็นต่าง ตลอดจนอาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นจากแนวคิดตักฟีรนี้และนี่คือหัวข้อการพูดคุยของเรา
2.ปัญหาหลักของไอสิสคือ การตักฟีรมุสลิมอย่างเลยเถิด และไม่ยอมรับคนอื่นนอกจากกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกันกับกลุ่มตนเท่านั้น ซึ่งแนวคิดในลักษณะนี้ขัดแย้งกับแนวทางสะลัฟ ศอลิหฺและทางนำของนบี ดังที่นบีได้ยอมรับความเป็นมุสลิมของอับดุลลอฮฺ บินอุบัย หัวหน้ามุนาฟิกที่แสดงความเกลียดชังต่อนบีและอิสลามอย่างโจ่งแจ้ง แต่นบีไม่ได้สั่งฆ่าเขา หนำซ้ำยังละหมาดญะนาซะอฺเขาด้วย บรรดาเศาะฮาบะฮฺได้ถามเหตุผลว่าทำไมนบีไม่ตัดสินประหารชีวิตเขา เช่นเดียวกันกับกรณีที่อูซามะฮฺ บินชัยด์ที่ฆ่าคนหนึ่งในสมรภูมิสงครามหลังจากที่เขากล่าวซะฮาดะฮฺ โดยอ้างว่า ชายคนนั้นกล่าวซะฮาดะฮฺเพื่อต้องการเอาตัวรอดเท่านั้น พอนบีทราบข่าวเรื่องนี้ จึงได้ถามซ้ำอุซามะฮฺว่า ท่านฆ่าคนที่กล่าวซะฮาดะฮฺฮุกระนั้นหรือ จนกระทั่งอูวามะฮุกกล่าวว่า คำถามของนบี ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเพิ่งรับอิสลามในวันนั้นเอง
3. สาเหตุหลักของแนวคิดสุดโต่ง มาจากปัจจัยหลายประการ ส่วนหนึ่งได้แก่
3.1 การหันหลังให้กับสังคมใหญ่ และเฉือนอวัยวะตัวเองให้ตัดขาดจากเรืองร่างทั้งกาย ดูแคลนบทบาทอุละมาอฺที่ทำงานในสังคมพวกเขาเห็นว่าอุละมาอฺเหล่านี้ เก่งแต่จัดสัมมนาตามโรงแรมเท่านั้นไม่ใช่อุละมาอฺที่อยู่ในสรภูมิสงคราม ทั้งๆที่เยาวชนกลุ่มนี้ มีความรู้ที่ตื้นเขิน มีความเข้าใจอิสลามที่ไม่ครบถ้วนและขาดองค์ความรู้ที่ครอบคลุมตามบริบทต่างๆของหลักศาสนบัญญัติที่ถูกต้อง
3.2 การตีความตัวบทที่คลาดเคลื่อนและการมองตัวบทด้วยมุมมองเชิงเดี่ยวที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับบทอื่นๆ พร้อมจำกัดกรอบว่าความคิดเห็นของตนฝ่ายเดี่ยวเท่านั้นคือความถูกต้อง ในขณะที่ทัศนะของอุละมาอฺอื่นๆ ที่พวกเขาตั้งฉายาว่าอุละมาอฺสุสฏอน (อุละมาอฺใฝ่รัฐบาล)หรืออุละมาอฺขี้ขลาด เป็นทัศนะที่ผิดเพี้ยน
3.3 การสร้างมโนคติว่าสังคม โดยรวมคือสังคมแห่งอวิชชา (ญาฮิลียะฮฺ) จนกว่าสังคมนั้นยอมรับแนวคิดสุดโต่งของตน ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่อันตรายมากๆ
3.4 นิยามของอิสลามในกรอบของคำว่าญิฮาด ที่มีความหมายว่าสงครามเท่านั้น ทั้งๆที่อิสลามคือคำสอนที่สมบูรณ์และครอบคลุมทั้งด้านอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ อัคลาก มุอามะลาต การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาและอื่นๆที่ครอบคลุมต่อความจำเป็นของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ แม้กระทั่งคำว่า ญิฮาดในอิสลามก็ไม่เพียงแค่มีความหมายที่เจาะจงด้านสงครามเท่านั้น
3.5 การตีความที่จำกัดของคำว่าซะรีอะฮฺคือบทบัญญัติที่ว่าด้วยบทลงโทษเท่านั้น ทั้งที่เป็นที่ทราบว่าอัลกุรอานที่บัญญัติด้วยบทลงโทษถูกประทานลงมาช่วงท้ายๆของการประทานอัลกุรอาน บางโองการถูกประทานหลังเปิดเมืองมักกะฮฺด้วยซ้ำ เพื่อให้เราทราบว่า การปฏิบัติตามซะรีอะฮฺว่าด้วยการลงโทษ ถูกบัญญัติในสังคมหลังจากนบีมีอำนาจเบ็ดเสร็จ และสังคมผ่านการอบรมและเข้าใจด้านอะกีดะฮฺ ซะรีอะฮฺและอิคลากอย่างสมบูรณ์เท่านั้น และเมื่อกฎหมายว่าด้วยบทลงโทษถูกบังคับใช้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร้กฎกติกาการตัดสิ้นต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและรัดกุมภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ตามหลักศาสนบัญญัติ ดังที่ท่านอุมัร เคยยกเลิกการลงโทษฐานผิดลักทรัพย์ในช่วงที่สังคมเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงเป็นต้น
3.6 แนวคิดของไอสิสส่วนใหญ่ได้ตกผลึกจากตำราต่างๆที่พวกเขายึดถือและตีความตามความเข้าใจของกลุ่มตนเองเท่านั้น โดยไม่ยอมฟังการอธิบายของอุละมาอฺอาวุโสและมีความเชียวชาญเฉพาะด้าน
3.7 มีความเข้าใจอิสลามที่แข็งทื่อไม่ยืดหยุ่นจมปลักในแนวคิดสะละฟีย์ญิฮาดี ปฏิเสธระบบการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตยและมองว่าประชาธิปไตยคือระบบกาฟิร และผู้ที่สนับสนุนระบอบนี้ถือเป็นกาฟีรเช่นกัน
4.มีความเข้าใจอิสลามรอบด้าน ตีความอิสลามบนพื้นฐานบริบทเดียวคือบริบทสงครามที่เน้นความดุดัน เด็ดขาดและเข้มแข็ง ทั้งที่ในความเป็นจริงอิสลามมีบริบทที่หลากหลาย เช่นบริบทการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่จะต้องให้ความสำคัญกับสันติภาพและความปลอดภัยในทุกด้านชีวิต บริบทของการเผยแพร่ในอิสลามที่เน้นความอ่อนโยน เอื้ออาทร ความปรองดอง สานเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยวิธีการที่ดีกว่า
5.การให้ความสำคัญและให้น้ำหนักกับบทบัญญัติที่ตนเองสนใจเท่านั้น แต่ละเลยในอีกหลายๆบทหรือโองการที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อยเลย
6.อาชญากรรมที่พวกเขาก่อขึ้นที่ซีเรียที่มีทั้งเข่นฆ่ามุสลิมและกลุ่มมุญาฮิดีนด้วยวิถีอันน่าสยดสยอง ขับไล่ชาวคริสเตียนและปฏิบัติต่อสตรีต่างศาสนิกเหมือนทรัพย์สงครามและมีการซื้อขายผู้หญิงเหล่านี้เหมือนยุคทาส ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้สร้างภาพลักษณ์ที่มืดมนต่ออิสลาม ทั้งๆที่อิสลามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น