ความมุ่งมั่นและเพียรพยายามของบรรดาอุละมาอ์ในการแสวงหาความรู้
من خرج في طلب العلم فهو في سبيل الله حتى يرجع
“ผู้ใดออกไปในการแสวงหาความรู้เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮ จนกว่าจะกลับมา” (อัตติรมิซีย์)
การได้รับความรู้ก็ด้วยกับการไปหาหากปรารถนาสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่ง แน่นอนเราก็พร้อมยอมสละทรัพย์สินเพื่อให้ได้สิ่งล้ำค่านั้นมาความรู้ก็เช่นเดียวกัน บรรดาอุละมาอ์ ผู้รับมรดกของท่านนบียอมสละแรงกายและทรัพย์สินของพวกเขา หรือแม้กระทั่งทิ้งญาติพี่น้องนานเป็นสิบๆปีเพื่อศึกษาหาความรู้
อิมามอัลหะสันอัลบัศรีย์ เราะหิมะฮุลลอฮ กล่าวว่า
باب من العلم يتعلمه الرجل خير له من الدنيا وما فيها
“ความรู้หนึ่งบทที่คนๆหนึ่งได้เรียนรู้นั้นดีกว่าดุนยาและทุกสิ่งที่อยู่ในมัน”[1]
อิมามอัลหากิม ได้อธิบายเกี่ยวกับผู้ที่เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้ไว้ว่า
آثروا قطع المفاوز والقفاز على التنعم في الدمنوالأوطان، وتنعموا بالبؤس في الأسفار مع مساكنة أهل العلم والأخبار، جعلوا المساجدبيوتهم، وجعلوا غذاءهم الكتابة، وسمرهم المعارضة، استرواحهم المذاكرة، وخلوقهمالمداد، ونومهم السهاد، وتوسدهم الحصى
“พวกเขาเลือกที่จะเดินทางผ่านทะเลทรายและแผ่นดินที่แห้งแล้งมากกว่าการสุขสบายอยู่ในที่พักและประเทศของตนเองพวกเขารู้สึกมีความสุขจากความลำบากในการเดินทางพร้อมกับผู้มีความรู้และรายงานพวกเขาทำให้มัสญิดทั้งหลายเป็นบ้านของพวกเขา ให้การเขียนบันทึกเป็นเสมือนอาหารในแต่ละวันให้การเขียนแข่งขันเป็นการสนทนาในยากดึก ให้การทบทวนบทเรียนเป็นการพักผ่อนให้น้ำหมึกเป็นเครื่องหอม ให้การอดทนเป็นการนอน และให้ก้อนหินเป็นหมอนรองสำหรับพวกเขา” [2]
และมีผู้ถามอิมามอะหฺมัดว่า“จำเป็นไหมที่คนๆหนึ่งจะต้องออกเดินทางเพื่อหาความรู้?”ท่านตอบว่า “แน่นอน...ขอสาบานต่ออัลลอฮ จำเป็นที่สุด แท้จริงแล้วอัลเกาะมะฮฺ บินก็อยสฺ อันนะเคาะอีย์ และอัลอัสวัด บิน ยะซีด อันนะเคาะอีย์ พวกเขาทั้งสอง(เป็นตาบิอีน)มาจากเมืองกูฟะฮฺ(ที่อิรัก)เมื่อ(ข่าวคราวเกี่ยวกับ)หะดีษบทหนึ่งจากอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺได้มีมายังพวกเขา พวกเขาจะยังไม่พอใจจนกว่าจะได้เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺและฟังหะดีษบทนั้นโดยตรงจากอุมัร”
บรรดาอุละมาอ์มิได้แสวงหาความรู้ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งหรือสองวันแต่เป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นสิบๆปี และแน่นอนในการเดินทางนั้นเต็มไปด้วยการก่อกวนและบททดสอบความรู้สึกหิวและกระหาย ความทุกข์ยากและลำบาก และอันตรายต่างๆที่คุกคามชีวิต
อิมามอบูอับดิลลาฮ มุหัมมัด บินอิสหากบินมันดะฮฺ เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้ตอนอายุได้ 20 ปีและกลับมายังประเทศของท่านตอนอายุ 65 ปี หมายความว่าท่านใช้เวลาเดินทางแสวงหาความรู้เป็นเวลานาน45 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวนั้นท่านฟังและรับความรู้จากชัยคฺ(ครูบาอาจารย์) 1,700 คน เมื่อท่านกลับมายังประเทศแล้ว ท่านก็แต่งงานขณะที่อายุได้ 65 ปี และมีลูก แล้วท่านก็ถ่ายทอดและสอนหะดีษแก่ผู้คน [3]
อิมามอัซซะฮะบีย์ เราะหิมะฮุลลอฮได้เล่าเกี่ยวกับบะกียฺ บิน มัคลัด ว่า
أما بقي بن مخلد فقد قام برحلتين إلى الشام والحجاز؛الأولى استغرقت أربعة عشر عاماً والثانية استمرت عشرين عاماً، وكلها كانت علىالأقدام ماشياً كما صرح هو بذلك حيث قال: كل من رحلت إليه فماشياً على قدمي
“บะกียฺ บิน มัคลัดเดินทาง(เพื่อแสวงหาความรู้)ที่เมืองชามและฮิญาซ 2 ครั้งครั้งแรกใช้เวลานาน 14 ปี และครั้งที่สองใช้เวลา 20 ปี ทั้งหมดนี้เขาเดินทางด้วยเท้า เหมือนที่เขาได้เล่าไว้เองว่า : ‘ทุกคนที่ฉันเดินทางไปหาเขานั้น ฉันเดินทางไปด้วยกับเท้าทั้งสองของฉันเอง’” [4]
มีเรื่องเล่าว่า อับดุลลอฮบินอัลกอสิม อัลอะตะกีย์ อัลมิศรีย์ต้องการเดินทางจากเมืองอัลกอฮิเราะฮฺ(ไคโร)ไปยังเมืองมะดีนะฮฺเพื่อศึกษาความรู้กับอิมามมาลิกในขณะที่ภรรยาของเขากำลังตั้งครรถ์อยู่ ท่านถามภรรยาว่า
إني قد عزمت على الرحلة في طلب العلم، وما أراني عائداًإلى مصر إلا بعد مدة طويلة، فإن شئت أن أطلقك طلقتك فتنكحين من شئت، وإن أردتأبقيك في عصمتي فعلت ولكن لا أدري متى سأرجع إليك
“ฉันอยากจะเดินทางไปหาความรู้และฉันคิดว่าคงใช้เวลานานกว่าจะกลับมาอียิปต์อีก ถ้าเธอต้องการให้ฉันหย่าฉันก็จะหย่าให้ และเธอสามารถแต่งงานกับใครก็ตามที่เธอต้องการแต่ถ้าเธอยังอยากอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของฉัน ฉันก็จะทำแต่ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะกลับมาหาเธอ”
ภรรยาของเขาเลือกที่จะอยู่และเป็นภรรยาของเขาต่อไปอับดุลลอฮ บินอัลกอสิม จึงเดินทางไปยังอิมามมาลิก เขาอยู่ที่นั่นนาน 17 ปีกับอิมามมาลิกโดยไม่ได้ทำการค้าขายแต่อย่างใดความนึกคิดของเขาทุ่มเทให้กับการศึกษาเรียนรู้ขณะนี้ภรรยาของเขาได้คลอดลูกชายคนหนึ่งและโตขึ้นแล้ว อับดุลลอฮบินอัลกอสิมไม่ทราบข่าวการเกิดของลูกเลยเพราะข่าวคราวต่างๆเกี่ยวกับภรรยานั้นได้ถูกตัดขาดทิ้งตั้งแต่วันที่เขาจากภรรยามาแล้ว
อับดุลลอฮบินอัลกอสิม กล่าวว่า
فبينا أنا ذات يوم عند مالك في مجلسه، إذ أقبل علينا حاجمصري شاب ملثم فسلم على مالك ثم قال: أفيكم ابن القاسم؟ فأشاروا إلي، فأقبل علييعتنقني ويقبل ما بين عيني، ووجدت منه رائحة الولد، فإذا هو ابني الذي تركت زوجتيحاملاً به وقد شب وكبر
“ครั้งหนึ่งฉันกำลังอยู่ในมัจลิสของอิมามมาลิกทันใดนั้นก็มีผู้ทำฮัจญ์วันรุ่นจากอียิปต์มายังเราโดยปิดหน้าไว้แล้วกล่าวสลามแก่อิมามมาลิก และพูดว่า ‘ในหมู่พวกท่านมีคนชื่ออิบนุอัลกอสิมไหม?’แล้วพวกเขาก็ชี้มายังฉัน แล้วเขายังฉันกอดฉัน และจูงลงที่ระหว่างตาของฉัน ฉันได้กลิ่นของลูกจากตัวเขาปรากฏว่าเขาคือลูกของฉันที่ฉันได้ทิ้งไว้กับภรรยาของฉันที่ตั้งครรถ์และตอนนี้ได้โตขึ้นแล้ว”
อัลเคาะฏีบอัลบัฆดาดีย์ ได้กล่าวถึงอิมามอัลบุคอรีย์ ว่า
والإمام البخاري رحل إلى محـدثي الأمصـار، وكـتب بخراسانوالجبال ومدن العراق كلها والحجاز والشام ومصر، وورد بغداد دفعات
“อิมามอัลบุคอรีย์เดินทางไปหานักหะดีษมากมายในหลายประเทศเขาจดบันทึกหะดีษที่เมืองคุรอสาน บนภูเขา และเมืองต่างๆในอิรักทั้งหมด ที่ฮิซายชาม และอียิปต์ และไปยังเมืองมัฆดาด(แบกแดด)หลายครั้ง”[5]
อิมามอัลบุคอรีย์ได้เล่าเกี่ยวกับตัวท่านเองไว้ว่า
كتبت عن ألف شيخ من العلماء وزيادة، وليس عندي حديث إلاأذكر إسناده
“ฉันได้เขียนบันทึก(ความรู้)จากชัยคฺ1,000 คนในหมู่อุละมาอ์ และไม่มีหะดีษใดที่ฉันนอกจากฉันจะระบุสายรายงานของมันไว้ด้วย” [6]
ประวัติศาสตร์ได้จารึกความมุ่งมั่นพยายามในการแสวงหาความรู้ของบรรดาอุละมาอ์ไว้เช่นนั้นความมุมานะที่ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางความร้อนของดวงอาทิตย์และความหนาวเหน็บของฤดูหนาวกระนั้นพวกเขาก็ยังทุ่มเทแรงกายทั้งหมดจนชีวิตต้องประสบกับความคับแคบและความลำบากในการเดินทาง
อิมามอัซซะฮะบีย์ได้เล่าเรื่องการเดินทางเพื่อหาความรู้ของอุมัร บินอับดุลกะรีม อัรเราะวาสีย์ไว้ว่า
ورحل عمر بن عبد الكريم الرواسي في طلب العلم، وسمعالعلم من ثلاثة آلاف وستمائة شيخ، وفي إحدى رحلاته سقطت بعض أصابعه من شدة البردوالثلج، ولم يكن معه آنذاك ما يتدفأ به
“อุมัร บินอับดุลกะรีมอัรเราะวาสีย์ เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้และฟังความรู้จากชัยคฺ 3,600 คน ในการเดินทางครั้งหนึ่งเขาได้สูญเสียนิ้วมือบางนิ้วไปเนื่องจากอากาศที่หนาวมากและเต็มไปด้วยหิมะและเขาไม่มีสิ่งใดเลยที่ให้ความอบอุ่นแก่เขาได้” [7]
อิมามอัลหาฟิซมุหัมมัด บินฏอฮิร อัลมักดิสีย์ ได้เล่าเรื่องราวการแสวงหาความรู้ของตัวเขาเอง ว่า
بلت الدم في طلبي للحديث مرتين: مرة ببغداد ومرة بمكة؛وذلك أني كنت أمشي حافياً في سفري لطلب العلم في شدة الحر وعلى الرمضاء المحرقة،فأثر ذلك في جسدي فبلت دماً، وما ركبت دابة قط في طلب الحديث إلا مرة واحدة، وكنتدائماً أحمل كتبي على ظهري في أثناء سفري، حتى استوطنت البلاد وما سألت في حالطلبي للعلم أحداً من الناس مالاً، وكنت أعيش على ما يأتيني الله به من رزق من غيرسؤال
“ฉันปัสสาวะเป็นเลือด2 ครั้งขณะแสวงหาหะดีษ ครั้งหนึ่งที่เมืองบัฆดาดและอีกครั้งหนึ่งที่เมืองมักกะฮฺนั่นเป็นเพราะวาฉันเดินทางโดยไม่ได้สวมใส่ร้องเท้า(เพราะไม่มีให้ใช้)ขณะการเดินทางแสวงหาความรู้ในสภาพอากาศที่ร้อนมากบนทะเลทรายที่ร้อนระอุ มันจึงมีผลต่อร่างกายของฉันและทำให้ฉันปัสสาวะออกมาเป็นเลือดฉันไม่เคยใช้ยานพาหนะเพื่อหาหะดีษนอกจากเพียงครั้งเดียวฉันแบกหนังสือไว้บนหลังในช่วงการเดินทางจนไปถึงประเทศหนึ่งฉันไม่เคยขอทรัพย์สินจากใครเลยขณะศึกษาหาความรู้ฉันมีชีวิตด้วยริซกีที่อัลลอฮทรงมอบให้กับฉันโดยไม่ได้ขอ(จากใคร)” [8]
อิมามอิบนุกะษีรรายงานว่า
وقال أحمد بن سنان الواسطي: بلغني أن أحمد بن حنبل رهننعله عند خباز على طعام أخذه منه، عند خروجه من اليمن. وسرقت ثيابه وهو باليمن،فجلس في بيته ورد عليه الباب، وفقده أصحابه، فجاءوا إليه فسألوه فأخبرهم، فعرضواعليه ذهباً فلم يقبله، ولم يأخذ منهم إلا ديناراً واحداً، ليكتب لهم به ـ أي أخذالدينار على أن يكون أجرة لما ينسخه لهم من الكتب ـ فكتب لهم بالأجر، رحمه اللهتعالى
อะหฺมัดบิน สินาน อัลวาสิฏีย์ กล่าวว่า “ได้มีข่าวคราวมายังฉันว่าอะหฺมัด บินหัมบัล ได้จำนองร้องเท้าของเขาแก่คนขายขนมปังคนหนึ่งสำหรับอาหารที่เขาเอามาขณะออกจากประเทศเยเมน เสื้อผ้าของเขาถูกขโมยขณอยู่ที่เยเมนเขาจึงอยู่แต่ในบ้านและปิดประตูบ้านไว้ เพื่อนๆของเขารู้สึกตัวได้ว่าเขาหายไปพวกเขาจึงมาหาเขาและถามเขา เขาเล่าสภาพของตัวเองพวกเขายื่นเสนอทองคำให้แต่เขาปฏิเสธ เขารับมาจากเพื่อนๆเพียง 1ดิรฮัมเท่านั้นสำหรับเป็นค่าจ้างการจดบันทึกให้แก่พวกเขาหมายถึงเขารบเงินดีนารเป็นค่าจ้างการเขียน(คัดลอก)หนังสือให้กับพวกเขาแล้วเขาก็เขียนให้และได้รับค่าจ้าง ขออัลลอฮทรงเมตตาเขาด้วยเถิด”[9]
มุหัมมัดบินอบีหาติม เล่าว่า
خرجت إلى آدم بن أبي إياس، فتخلفت عني نفقتي حتى جعلتأتناول الحشيش ولا أخبر بذلك أحداً، فلما كان اليوم الثالث أتاني آت لم أعرفهفناولني صرة دنانير، وقال: أنفق على نفسك
“ฉันออกไปหาอาดัมบินอบีอิยาส ค่าใช้จ่ายของฉันมาถึงช้าจนฉันจำเป็นต้องกินเส้นผมและฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้แก่ใครเลย หลังจากวันที่สามไปชายไม่รู้จักคนหนึ่งมาพบฉัน และมอบถึงบรรจุเงินดีนารจำนวนหนึ่งไว้ แล้วพูดว่า ‘จงใช้มันสำหรับตัวท่านเองเถอะ’” [10]
มาชาอัลลอฮ....ความเข้มแข็งยืนหยัดในการแสวงหาความรู้ของพวกเขาช่างน่าอัศจรรย์จริงๆและหากเรารวบรวมเรื่องราวทั้งหมดของพวกเขาแล้วไซร้ บทความนี้คงไม่มีตอนจบเป็นแน่ความดีงามที่พวกเขามีอันหมายถึงความมุ่งมั่นบากบั่นในการแสวงหาความรู้ได้กลายเป็นสาเหตุให้อัลลอฮทรงช่วยเหลือศาสนานี้พวกเขาท่องจำความรู้และเผยแพร่มันแก่มนุษย์เพราะอิบาดะฮฺจะไม่ใช่อิบาดะฮฺหากปราศจากความรู้และด้วยกับความรู้ศาสนา(ที่พวกเขามุ่งมั่นเสาะหามา)นี่เองที่พวกเขาได้รักษาศาสนานี้เอาไว้
อิบรอฮีมบินอัดฮัม กล่าวว่า
إن الله يدفع البلاء عن هذه الأمة برحلة أهل الحديث
“อัลลอฮทรงให้ภัยพิบัติห่างไกลจากอุมมะฮฺนี้ด้วยกับการเดินทาง(เพื่อแสวงหาความรู้)ของอะฮฺลุลหะดีษ”[11]
นอกจากนี้ความพยายามในการปกปักษ์รักษาความรู้ที่พวกเขาได้รับมาแล้วก็น่าอัศจรรย์เช่นกันพวกเขาใช้เวลาของตนอย่างดีในการศึกษาและทบทวนความรู้ที่ได้รับมา
อิมามอิบนุกะษีรได้กล่าวถึงอิมามอัลบุคอรีย์ เราะหิมะฮุลลอฮ ไว้ว่า
وهذا الإمام البخاري رحمه الله يستيقظ في الليلة الواحدةمن نومه، فيوقد السراج ويكتب الفائدة تمر بخاطره، ثم يطفئ سراجه، ثم يقوم مرة أخرىوأخرى، حتى كان يتعدد ذلك منه في الليلة الواحدة قريباً من عشرين مرة
“นี่คืออิมามอัลบุคอรีย์เราะหิมะฮุลลอฮ เขาตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับในค่ำคืนหนึ่งแล้วเขาก็จุดตะเกียงไฟและเขียนประโยชน์(ความรู้)ที่ผ่านเข้ามาในความคิดแล้วเขาก็ดับตะเกียง หลังจากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาอีก(และทำเหมือนเดิม)และตื่นขึ้นมาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งว่าท่านทำเช่นนั้นในคืนหนึ่งประมาณ 20ครั้ง” [12]
อิมามอันนะเคาะอีย์กล่าวว่า
إنه ليطول علي الليل حتى ألقى أصحابي فأذاكرهم
“บางครั้งฉันรู้สึกว่ากลางคืนยาวนานสำหรับฉันฉันจึงไปหาเพื่อนๆ และชวนพวกเขาทบทวนบทเรียน” [13]
จงซื่อสัตย์กับตัวเองเถอะเราช่างแตกต่างจากพวกเขาจริงๆ เราฝันอยากได้เกียรติ แต่ไม่ยอมเดินตามทางของพวกเขาดังนั้นจงให้เรื่องนี้เป็นแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีตัวเองให้มีพลังเถิด
ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ไม่มีคำว่าสายสำหรับการศึกษาเรียนรู้ อิมามอิบนุหัซมฺเริ่มต้นศึกษาความรู้ตอนอายุ 26ปี ,อิมามอัลกอฟัลเริ่มศึกษาความรู้ตอนอายุ 40ปี และมีอุละมาอ์บางท่านที่ศึกษาความรู้ตอนอายุ 80ปี ไม่มีข้ออ้างใดๆสำหรับเราแล้วที่จะหนีจากมัจลิสอิลมีย์หรือแม้แต่จะเลื่อนเวลาออกไป จนกระทั่งความตายได้มาถึงเรา
อิมามอะหฺมัดคือแบบอย่างของพวกเรา
قال محمد بن إسماعيل الصائغ: مر بنا أحمد بن حنبل ونعلاهفي يديه وهو يركض في دروب بغداد ينتقل من حلقة لأخرى، فقام أبي وأخذ بمجامع ثوبهوقال له: يا أبا عبد الله! إلى متى تطلب العلم؟ قال: إلى الموت
มุหัมมัดบินอิสมาอีล อัศศออิฆ กล่าวว่า “อะหฺมัด บินหัมบัลผ่านพวกเราโดยมีรองเท้าสองข้างอยู่ที่มือทั้งสองเขาวิ่งไปมาตามถนนหนทางในเมืองบัฆดาดย้ายจากวงหะละเกาะฮฺหนึ่งไปยังอีกวงหะละเกาะฮฺหนึ่ง พ่อของฉันจึงยืนขึ้นและจับเสื้อของเขาและถามว่า‘โอ้อบูอับดิลลาฮ ท่านจะศึกษาหาความรู้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน?’เขาตอบว่า ‘จนถึงตาย’”[14]
เมื่อความรู้ศาสนาถูกทอดทิ้ง ความฝันก็จะอ่อนแรงและยากจะได้มาหวังว่าเรื่องราวความอดทนและความมุ่งมั่นพยายามของบรรดาอุละมาอ์ในการแสวงหาความรู้นี้จะทำให้เรามีพลังมากขึ้นที่ปฏิบัติตามพวกเขาและเดินบนเส้นทางของพวกเขา
فكن رجلا رجله في الثرى وهامة همته في الثريا
ดังนั้นจงเป็นคนที่เท้าอยู่บนผืนดิน
แต่ความใฝ่ฝันอยู่สูงถึงดาวลูกไก่
(อิบนุล เญาซีย์ เราะหิมะฮุลลอฮ)
อ้างอิง: วะเราะษะตุล อัมบิยาอ์ เขียนโดย ชัยคฺอับดุลมะลิก อัลเกาะศีม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น