วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อิสลามศาสนาแห่งความเมตตา - ผศ. มูหัมมัด สะมาโร๊ะ

 อิสลามศาสนาแห่งความเมตตา - ผศ. มูหัมมัด สะมาโร๊ะ

อิสลามเป็นศาสนา ที่วางอยู่บนรากฐาน แห่งความเมตตา เมตตาเพื่อนมนุษย์ เมตตาสรรพสัตว์ อัลลอฮฺมิได้ส่งท่านนบีมายังโลกนี้ นอกจากเพื่อแผ่ความเมตตา ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก
ท่านนบีได้ทำแบบอย่างไว้แก่เราได้ปฏิบัติในเรื่องของการให้ความเมตตา ให้ความรักกับผู้เยาว์ในครอบครัว โดยท่านจูบหลานของท่านคือ ฮาซัน บุตรท่านอาลี ซึ่งได้มีท่านอักเราะ บุตร ฮาบิสอัตตะมีมีย์นั่งอยู่ด้วย ท่านอักเราะได้กล่าวว่า แท้จริงฉันมีบุตรสิบคน ฉันไม่เคยจูบใครเลยแม้แต่คนเดียว ท่านรอซู้ล ได้มองไปยังเขา แล้วท่านกล่าวว่า ผู้ใดไม่มีเมตตา เขาจะไม่ได้รับความเมตตา โดยเหตุนี้เอง จำเป็นที่เราต้องให้ความเมตตาแก่มนุษย์ทุกคน เพื่อให้เกิดความรักความสมานฉันท์ ความสันติสุขในสังคมอย่างแท้จริง
มตตาธรรมในกรอบอัล-กุรอาน
อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ตรัสไว้ในอัลกุรอาน อาละอิมรอน 159
ความว่า : "ด้วยพระเมตตาจากอัลเลาะฮฺต่างหากถึงเจ้าได้อ่อนโยนต่อพวกเขา และถ้าหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวกระจัดกระจายไปจากเจ้ารอบด้านแน่นอน"
ในอัลอัมบียาอ์ 107 อัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) ตรัสว่า
ความว่า : "และเรามิได้แต่งตั้งเจ้ามาเพื่ออื่นใดเลยนอกจากเพื่อสร้างเมตตาธรรมแก่โลกทั้งผองเท่านั้น"
ในอัลอะร๊อฟ 156 อัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) ทรงตรัสว่า
ความว่า : "และเมตตาธรรมของข้านั้นแผ่ไพศาลยังทุกสิ่ง ซึ่งข้าจะประทานพระเมตตานี้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงทุกคน"
เมตตาธรรมในกรอบของอัลหะดีษ
เล่าจากอบีอุรอยเราะฮ์ ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า : อัลเลาะฮ์ได้ทรงบันดาลให้ความเมตตานั้นมีหนึ่งร้อยส่วน และพระองค์ทรงเก็บไว้เก้าสิบเก้าส่วน พระองค์ได้ทรงประทานลงมาในหน้าพื้นแผ่นดินเพียงหนึ่งส่วน และจากส่วนเดียวนี้เองที่บรรดาสรรพสิ่งต่าง ๆ มีความเมตตาต่อกันแม้แต่สัตว์มันจะยกกลีบเท้าขึ้นให้พ้นจากลูกของมันเพราะกลัวจะเกิดอันตรายแก่ลูกน้อย (รายงานโดยบุคคอรีย์และมุสลิม)
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : "ผู้ใดไม่เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์พระองค์อัลเลาะฮฺก็จะไม่ทรงเมตตาเขา" (รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : "พวกท่านจงมีเมตตาต่อผู้ที่อยู่ในผืนแผ่นดินเถิด ผู้ที่อยู่ในฟากฟ้าจักเมตตาต่อพวกท่าน" (อัฏเฏาะบะรอนีย์และอัลฮากีม)
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : "ผู้ใดไร้เมตตาธรรม ผู้นั้นย่อมมิได้รับเมตตาตอบ" (บุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : "ผู้ใดไม่เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ อัลเลาะฮ์ก็จะไม่เมตตาแก่เขาเช่นกัน" (บุคอรีย์และมุสลิม)
เริ่มต้นกิจกรรมทั้งปวงด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์
เมตตาธรรมเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นกิจกรรมทั้งปวงด้วย بسم الله الرحمن الر حيم เป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้แก่กิจกรรมนั้น ๆ อีกทั้งเป็นการบอกให้รู้ว่าพระเมตตาของพระองค์นั้นแผ่ไพศาลครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง
สัมพันธภาพระหว่างการขอความคุ้มครองต่ออัลเลาะฮ์กับการเริ่มต้นกิจกรรมด้วยพระนามแห่งพระองค์เป็นสิ่งที่สอดประสานกลมกลืนอย่างแนบแน่น
คุณลักษณะ الرحمن الرحيم ที่ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อัลฟาตีหะฮ์นั้นมีนัยยะที่สัมพันธ์กับ ربَ العا لمين อย่างลงตัว ทั้งนี้การบริหารจัดการกิจการหนึ่ง ๆ ควรประกอบด้วยคุณสมบัติสองประการคือ ความเมตตากรุณา และความเข้มแข็งเด็ดขาด หากมีแต่ความกรุณาแต่ไม่เด็ดขาด เข้มแข็งก็ถือเป็นความอ่อนแออย่างหนึ่ง หากความเข้มแข็งมีมาก แต่ปราศจากความเมตตาการุณก็ดูเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน
เมตตาธรรมเป็นคุณธรรมที่สำคัญประการหนึ่งที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องมี เนื่องด้วยเมตตาธรรมนี้เองทำให้จิตใจของมุสลิมเกิดความผ่องใสมีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์อยู่เสมอ การแสดงความเมตตาให้เป็นที่ประจักษ์สามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบ เช่น การอภัยแก่ผู้ที่ผิดพลาด การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่อ่อนแอ การเยียวยารักษาผู้ป่วย การปลอบประโลมใจผู้ที่เศร้าหมองเป็นต้น ซึ่งขอบข่ายของการแสดงความเมตตานั้นยังหมายรวมถึงสรรพสัตว์ทั้งปวงอีกด้วย
ความเมตตาต่อสัตว์
ดังปรากฏในหะดีษของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ระบุว่า : ชายผู้หนึ่งเกิดความกระหายน้ำเขาจึงได้ลงไปในบ่อน้ำและดื่มน้ำเพื่อดับความกระหาย ครั้นเมื่อเขาปีนป่ายขึ้นมาถึงปากบ่อก็พบสุนัขตัวหนึ่งกำลังเลียดินด้วยความกระหายน้ำเป็นยิ่งนัก ในที่สุดชายผู้นั้นจึงตัดสินใจลงไปในบ่อน้ำอีกครั้งหนึ่ง ใช้รองเท้านของตนตักน้ำจนเต็มแล้วแล้วคาบรองเท้าไว้กับปาก ปีนป่ายขึ้นมาจากบ่อ นำน้ำในรองเท้าให้สุนัขตัวนั้นได้ดื่ม ซึ่งการกระทำอันเกิดจากความเมตตาของชายผู้นี้ที่มีต่อสัตว์ร่วมโลกเป็นผลทำให้อัลเลาะฮ์ทรงอภัยโทษแกเขาในที่สุด (บุคอรีย์ และมุสลิม)
การมีเมตตาธรรมจึงเป็นคุณธรรมขั้นสูงที่ส่งผลกับตัวบุคคลผู้มีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งและบุคคลอื่นตลอดจนสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : "อันที่จริงอัลเลาะฮ์จะทรงเมตตาต่อบรรดาผู้มีเมตตาจากปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้น" (บุคอรีย์)
ดังนั้นการแสดงความเมตตาโดยสุจริตใจของบุคคลที่มีต่อผู้อื่นนั้น จริง ๆ แล้วคือการเมตตาต่อตัวเอง ในเมื่อบุคคลหนึ่งแสดงออกถึงความมีเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว ผลแห่งความเมตตานั้นย่อมสะท้อนกลับมายังบุคคลผู้นั้น ทั้งนี้ด้วยเหตุแห่งการกระทำจึงได้รับผลลัพท์ตอบแทนเช่นเดียวกัน กล่าวคือได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์ ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดสำหรับผู้ศรัทธาทุกคน ในทางกลับกันหากบุคคลใดไร้ความเมตตา บุคคลผู้นั้นย่อมมิได้รับเมตตาตอบเช่นเดียวกัน ดังที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : ผู้ใดไร้เมตตาธรรมผู้นั้นย่อมมิได้รับเมตตาตอบ (บุคอรีย์และมุสลิม)
ความเมตตานั้นนอกจากแสดงออกด้วยการกระทำแล้วยังแสดงออกมาจากคำพูดด้วยการพูดจาไพเราะ ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน มีปิยวาจาเพื่อแสดงออกถึงความเมตตา คำพูดที่ดีก่อให้เกิดการสงเคราะห์และสมานไมตรีซึ่งกันและกัน คนเราจะดีหรือจะเสียเหตุเพราะวาจาเป็นสำคัญ
นามของอัลเลาะฮ์ الرحمن الرحيم บ่งบอกถึงลักษณะว่าพระองค์เป็นผู้เอ็นดูเมตตาต่อบ่าวและมนุษย์ชาติ แต่อย่างไรก็ตามการที่มนุษย์จะหยิบยื่นความเมตตามอบให้ผู้อื่นเป็นสิ่งของ หรือให้อภัยในความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิบัติกันได้ง่าย ๆ เพราะการกระทำเหล่านี้ขัดกับความรู้สึกของมนุษย์ที่ส่อไปในทางแสวงหากอบโกย แต่การมีความเมตตาก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่มนุษย์จะทำไม่ได้ มนุษย์ต้องรู้จักฝึกที่จะเป็นผู้เมตตาบุคคลอื่น ความเมตตานั้นต้องเกิดขึ้นจากหัวใจที่บริสุทธิ์จากปัญญา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น
เมตตาธรรมยอดแห่งคุณธรรม
บุคลิกภาพที่ดีของมุสลิมนั้นจะต้องมีลักษณะที่สุภาพอ่อนโยน เป็นผู้มีเมตตาธรรมซึ่งจะทำให้ผู้อยู่รอบข้างเกิดความอบอุ่น รู้สึกปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ ปราศจากซึ่งการหวาดระแวง อันส่งผลให้คนในสังคมมีความสุข แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าหากผู้ใดในสังคมมีพฤติกรรมที่หยาบช้า จิตใจแข็งกระด้างหยาบโลนแล้ว แน่นอนที่สุดผู้คนที่อยู่รายรอบก็จะหน่ายหนี และแยกตัวออกจากเขาอย่างแน่นอน ศาสนาอิสลามได้สอนให้มุสลิมทุกคนติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ต้องการได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่มีคุณค่า ฟังแล้วรู้สึกชื่นใจ มีกำลังใจ เกิดความรู้สึกที่ดี ๆ ในขณะเดียวกันมนุษย์ทุกคนไม่ประสงค์ที่จะได้ยินได้ฟังในสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดหัวใจ หากเรานำคำพูดไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ ใช้อย่างมีเมตตาธรรมจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกชื่นใจ และสังคมก็จะเกิดสันติสุข
ความเมตตาในครอบครัว
ครอบครัวเป็นอีกสถาบันหนึ่งที่ต้องการความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำให้ครอบครัวนั้นเกิดความรักใคร่ปรองดอง เป็นครอบครัวที่มีแต่ความสุข เป็นครอบครัวที่น่าอยู่น่าอาศัย ผู้ใดก็ตามที่ไม่ให้ความเมตตาต่อผู้น้อย และไม่ให้เกียรติต่อผู้อาวุโส เขาผู้นั้นจะไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของท่านนบี (ซ.ล.) อย่างสมบูรณ์ ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : ไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของเรา ผู้ที่ไม่สงสารผู้น้อยของเรา และไม่ให้เกียรติแก่ผู้อาวุโสของเรา
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ทำแบบอย่างไว้แก่เราได้ปฏิบัติในเรื่องของการให้ความเมตตา ให้ความรักกับผู้เยาว์ในครอบครัว โดยท่านจูบหลานของท่านคือ ฮาซัน บุตรท่านอาลี ซึ่งได้มีท่านอักเราะ บุตร ฮาบิสอัตตะมีมีย์นั่งอยู่ด้วย ท่านอักเราะได้กล่าวว่า แท้จริงฉันมีบุตรสิบคน ฉันไม่เคยจูบใครเลยแม้แต่คนเดียว ท่านรอซู้ล ได้มองไปยังเขา แล้วท่านกล่าวว่า ผู้ใดไม่มีเมตตา เขาจะไม่ได้รับความเมตตา โดยเหตุนี้เอง จำเป็นที่เราต้องให้ความเมตตาแก่มนุษย์ทุกคน เพื่อให้เกิดความรักความสมานฉันท์ ความสันติสุขในสังคมอย่างแท้จริง
ใครบ้างที่พึงให้ความเมตตา
บิดา มารดา โดยแสดงความกตัญญูกตเวที มีความเมตตาและปฏิบัติต่อท่านอย่าง อ่อนโยน
ญาติพี่น้อง โดยให้ความรัก ความเมตตา และสานสัมพันธ์อันดีต่อกันและกัน
ผู้นำ คือสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพของสังคมมุสลิมจึงต้องแสดงออกถึงความรัก ความมีเมตตา และให้เกียรติ ด้วยการเชื่อฟัง และปฏิบัติตามในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ขัดแย้งกับศาสนา
ผู้ทรงความรู้ คือทายาทผู้สืบมรดกความดีงามจากเหล่าศาสดา จึงต้องมีความเมตตา และยกย่องให้เกียรติในฐานะผู้ให้แสงสว่างแก่สังคม
เพื่อนบ้าน โดยการแสดงออกถึงความมีเมตตา มีไมตรีจิต มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่สร้างความเดือนร้อนรำคาญแก่กันและกัน
มุสลิมทั่วไป เพราะมุสลิมทั้งหลายล้วนเป็นพี่น้องกัน จึงต้องมีความรัก ความเมตตา รักใคร่ สามัคคี และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
มนุษย์ทั่วไป ต้องมอบความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีให้แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนาใด เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนสืบทอดจากบรรพบุรุษเดียวกันคือดาอัม และฮาวา
สังคม คือกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องมีความเมตตา และให้เกียรติต่อกันและกันเพื่อให้สังคมมีความสงบและสันติสุข
สรรพสิ่งทั่วไป โดยการแสดงออกถึงความมีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง แม้กระทั่งสัตว์ก็ตาม
บทสรุปแห่งเมตตาธรรม
อิสลามสอนให้มนุษย์ทุกคนมีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน และผลลัพธ์แห่งความเมตตานั้นจะนำพาสังคมสู่ความสงบสุข
มุสลิมนั้นนอกจากจะมีเมตตาธรรมกับเพื่อนมนุษย์แล้ว ต้องมีเมตตาต่อสรรพสิ่งและสัตว์ทั้งหลายด้วย
ครอบครัวเป็นอีกสถาบันหนึ่งที่ต้องการความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำให้ครอบครัวนั้นเกิดความรักใคร่ปรองดอง เป็นครอบครัวที่มีแต่ความสุข อิ่มเอิบด้วยอุ่นไอรัก
การแสดงความเมตตาให้เป็นที่ประจักษ์สามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบ เช่นการอภัยแก่ผู้ที่ผิดพลาด การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การช่วยเหลือผู้อ่อนแอ การเยียวยารักษาผู้ป่วย การปลอบประโลมผู้ที่เศร้าหมองเป็นต้น
เมตตาธรรม เป็นคุณธรรมสำคัญสำหรับผู้ปกครองในทุกระดับชั้น และถือเป็นพันธกิจสำหรับผู้ศรัทธาทุกคน ที่จะต้องกำชับกันทั้งในส่วนของสังคมผู้ศรัทธา และสังคมโดยรวมเป็นสำคัญโดยยึดเมตตาธรรมเป็นที่ตั้ง
เมตตาธรรมประหนึ่งสายธารที่หล่อเลี้ยง ค้ำจุนให้สังคมเกิดความเป็นเอกภาพ ภราดรภาพและสันติภาพอย่างแท้จริง ด้วยการที่ทุกคนคิดดี พูดดี ปรารถนาดีต่อกันในทุกมิติของชีวิต

https://www.youtube.com/watch?v=MRXfVjYX2Us&list=PLYRbMSQGiTdaQNNfcn2G2ieGLkaFmzWdf&index=1&fbclid=IwAR0hTpkvhwhRffH51oakcQCHRviBLzmMpgzY9vgYvJXXP8Cyy2uuJXON67I

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น