วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ไสยศาสตร์ โรคมืด และวิธีการรักษา

 

ตอนที่ 1 : ความหมายและวิธีการที่นักไสยศาสตร์ใช้เรียกญิน[1]

ปัญหาไสยศาสตร์หรือโรคมืด เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของของสังคมมุสลิม ไม่เว้นสังคมมุสลิมไทย สถานีโทรทัศน์ไวท์แชนแนล ที่นำโดยเชคริฎอ อะหมัด สมะดี จึงได้เริ่มต้นเผยแผ่องค์ความรู้และหลักการศาสนาที่พูดถึงเรื่องนี้ หวังจะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบกับปัญหาเรื่องโรคมืด วันนี้ไวท์แชนแนลยินดีนำเสนอองค์ความรู้เหล่านั้นในรูปแบบของตัวอักษร เป็นบทความที่พี่น้องจะสามารถหยิบมากเปิดอ่านทำความเข้าใจใด้ตามสะดวก เราจะพยายามอธิบายให้สั้นกระชับและเข้าใจได้โดยง่าย หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องทุกคน

นักวิชาการภาษาอาหรับและศาสนาอิสลาม ได้อธิบายความหมายของคำว่า “ไสยศาสตร์” (ภาษาอาหรับใช้คำว่า “สิหิร”) ไว้อย่างมากมายหลากหลาย แต่โดยสรุปแล้ว “ไสยศาสตร์” ในมุมมองของหลักการศาสนาอิสลามนั้นคือ การทำข้อตกลงระหว่างผู้ทำไสยศาสตร์และชัยฏอน[2] โดยที่ผู้ทำไสยศาสตร์กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ศาสนาห้ามหรืออาจถึงตั้งภาคีต่ออัลลอฮ (ข้อห้ามที่รุนแรงสุด) เพื่อแลกกับการได้รับความช่วยเหลือจากชัยฏอน โดยผู้ทำไสยศาสตร์จะยอมรับหรือเชื่อฟังทุกข้อเรียกร้องของมัน

ท่านอิบนุกุดามะฮฺ อัลมักดิซีย์ (ขออัลลอฮทรงเมตตาท่าน) ได้กล่าวไว้ว่า ไสยศาสตร์คือ การผูกปม เป็นคาถาหรือคำอ่านบางอย่างที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งถูกอ่านหรือเขียน หรือเป็นการกระทำบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาของคนที่ถูกกระทำ โดยไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวคนๆนั้นเลย ไสยศาสตร์นั้นมีอยู่จริง อิทธิพลของมันอาจจะร้ายแรงจนนำไปสู่ความตายได้ หรือทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย สามีไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาได้ ทำให้สามีภรรยาต้องแยกทางกัน ทำให้คนสองคนเกิดความรู้สึกเกลียดชังกัน หรือทำให้คนสองคนรักใคร่ชอบพอกัน(หนังสือ อัลมุฆรีย์ เล่มที่ 10 หน้าที่ 104)

ข้อตกลงระหว่างผู้ทำไสยศาสตร์กับญินชั่วหรือชัยฏอนนั้นมีหลากหลาย นักไสยศาสตร์บางคนใช้การวางคัมภีร์อัลกุรอานใต้เท้าของเขา หรือใช้อัลกุรอานเป็นที่รองเท้าหรือเช็ดเท้าในห้องน้ำ บางคนเขียนโองการในคัมภีร์อัลกุรอานด้วยกับสิ่งที่สกปรก เช่น เขียนด้วยเลือดประจำเดือน หรือเขียนใต้เท้าของตัวเอง หรือเขียนสูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺโดยที่ตัวอักษรกลับด้าน บางคนละหมาดโดยไม่มีน้ำละหมาดหรือขณะที่ยังมีญะนาบะฮฺ[3] บางคนเชือดสัตว์ทวายให้แก่ชัยฏอน หรือเชือดโดยไม่กล่าวนามของอัลลอฮ แล้วนำสัตว์ที่เชือดนั้นไปทิ้งในสถานที่ที่ชัยฏอนกำหนด (คือ ทำตามคำสั่งของชัยฏอน) บางคนวิงวอนขอและก้มกราบแก่ดวงดาว บางคนร่วมเพศกับแม่หรือลูกสาวของตนเอง บางคนเขียนคาถาด้วยถ้อยคำที่ไม่ใช่ภาษาอาหรับและมีเนื้อหาที่เป็นการปฏิเสธศรัทธา

ญินชั่วจะไม่ช่วยเหลือผู้ทำไสยศาสตร์เด็ดขาด หากไม่มีผลตอบแทนหรือสิ่งแลกเปลี่ยนมาให้แก่มัน ยิ่งผู้ทำไสยศาสตร์กระทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาที่ใหญ่หลวงมากเท่าไหร่ ชัยฏอนก็จะยิ่งเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของเขาอย่างรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น หากผู้ทำไสยศาสตร์ทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาโดยไม่เต็มใจ ชัยฏอนก็จะปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งหรือข้อเรียกร้องของเขา หรือไม่มันก็อาจจะทรยศได้ นักไสยศาสตร์และชัยฏอนนั้น ความจริงแล้วคือ สองมิตรสหายที่มาพบเจอกันเพื่อฝ่าฝืนและเนรคุณต่ออัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่ง


[1]ญิน เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่พระเจ้าสร้างมา มีชีวิตคู่ขนานกับมนุษย์ในโลกใบนี้ มนุษย์มองไม่เห็น ญินมีทั้งดีและชั่ว มีญินที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ และปฏิเสธศรัทธา ในสังคมไทยอาจใช้คำว่า “ผี” หรือ “ปีศาจ” แทนญินที่ออกมาหลอกหลอนหรือทำร้ายผู้คน

[2]ชัยฏอน ใช้เรียกแทน มารร้ายหรือญินชั่วที่ล่อลวง หลอกหลอน และทำร้ายมนุษย์ หัวหน้าของเหล่าชัยฏอนชื่อว่า “อิบลีส” อัลลอฮทรงโกรธกริ้วต่ออิบลีสและชัยฏอน และพวกมันจะถูกลงโทษในนรกตลอดกาล

[3]ญะนาบะฮฺ คือสภาพความไม่สะอาด ที่เกิดจากการหลั่งน้ำกามหรืออสุจิ ทั้งเพศชายและหญิง ทั้งจากการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง มีเพศสัมพันธ์ หรือมีการสอดใส่อวัยวะเพศ แม้จะไม่มีน้ำกามหลั่งออกมา ฝันเปียก มีประจำเดือน มีเลือดจากการคลอดบุตร เป็นต้น โดยต้องอาบน้ำชำระร่างกายตามขั้นตอนที่ศาสนาได้บัญญัติไว้


ตอนที่ 2 : ญินและไสยศาสตร์มีอยู่จริง

เมื่อพูดถึงเรื่องญิน ชัยฏอน และไสยศาสตร์ บางคนอาจจะปฏิเสธ ไม่ยอมรับ ญินและนักไสยศาสตร์นั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน เป็นตัวละครเอกในการทำไสยศาสตร์แทบทุกชนิด นักไสยศาสตร์ต้องพึ่งพาญินในการทำไสยศาสตร์ฉันใด ญินก็ต้องพึ่งพานักไสยศาสตร์ในการข้ามเขตแดนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ฉันนั้น

ศาสนาอิสลามสอนว่าญิน ไสยศาสตร์ และพลังหรืออิทธิพลต่างๆของไสยศาสตร์นั้นมีอยู่จริง มีหลักฐานคำสอนมากมายจากคัมภีร์อัลกุรอานที่พูดถึงเรื่องนี้ เช่น

ในอัลกุรอานมีกล่าวไว้ว่า

…وَإِذْ صَرَفْنَا إِلَيْكَ نَفَرًا مِّنَ الْجِنِّ يَسْتَمِعُونَ الْقُرْآنَ…

และจงรำลึกเมื่อเราได้ให้ญินจำนวนหนึ่งมุ่งไปยังเจ้า (มุฮัมหมัด) เพื่อฟังอัลกุรอาน…
(อัลอะหฺก็อฟ 46 : 29)

ท่านอับดุลลอฮ บินมัสอูด (ขออัลลอฮทรงพอพระทัย) สหายของท่านนบีมุฮัมหมัด[1] (ขอการสถาพรและความศานติจงประสบแด่ท่าน) เล่าว่า คืนหนึ่งเราอยู่กับท่านนบี แต่แล้วท่านก็หายตัวไป พวกเราตามหาท่านทั้งที่บริเวณหุบเขาและเนินเขา แต่ก็ไม่พบท่าน จนเราคิดว่าท่านถูกฆ่าตายไปแล้ว เรานอนหลับไปโดยมีความวิตกกังวลใจเป็นอย่างมาก เมื่อถึงตอนเช้า ท่านนบีก็ปรากฏตัวมาจากทิศของถ้ำฮิรออ์ พวกเราถามท่านว่า ท่านครับ เมื่อคืนพวกเราพรากจากท่าน เราตามหาท่าน แต่ก็ไม่พบท่าน กระทั่งเรานอนหลับไปด้วยความกังวลใจอย่างมาก’ ท่านนบีตอบว่า ตัวแทนจากหมู่ญินตนหนึ่งได้มาหาฉัน และฉันก็ไปกับเขาเพื่ออ่านโองการอัลกุรอานให้แก่พวกเขา’”

หรือในตอนหนึ่งของอัลกุรอาน อัลลอฮทรงตรัสไว้ว่า

وَاتَّبَعُوا مَا تَتْلُو الشَّيَاطِينُ عَلَىٰ مُلْكِ سُلَيْمَانَ ۖ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَـٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ ۚ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَا إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلَا تَكْفُرْ ۖ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ ۚ وَمَا هُم بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّـهِ ۚوَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنفَعُهُمْ ۚ وَلَقَدْ عَلِمُوا لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الْآخِرَةِ مِنْ خَلَاقٍ ۚ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْا بِهِ أَنفُسَهُمْ ۚ لَوْ كَانُوا يَعْلَمُونَ

และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยกษัตย์สุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานมิได้ปฏิเสธศรัทธาแต่อย่างใด แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮฺทั้งสองคือ ฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิโลน และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดนอกจากจะกล่าวว่า แท้จริงเราเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ฉะนั้นท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากทั้งสอง ซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะใช้มันสร้างความแตกแยกระหว่างคนๆหนึ่งกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้น(คือ วิชาไสยศาสตร์)เป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษ และมิได้เป็นคุณแก่ตัวพวกเขาเอง และแท้จริงนั้นพวกเขารู้ว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในวันปรโลกย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนว่า เป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาเองด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 102)

อายะฮฺที่ 6 ซูเราะฮฺ[2]อัลอันอาม, อายะฮฺที่ 91 ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ, อายะฮฺที่ 117-122 ซูเราะฮฺอัลอะอฺร็อฟ และซูเราะฮฺอัลฟะลักทั้งซูเราะฮฺ ก็มีพูดถึงเรื่องนี้ รวมถึงในซูเราะฮฺอื่นๆ และในวจนะของท่านนบีมุฮัมหมัดด้วย (ขอการสถาพรและความศานติจงประสบแด่ท่าน)

การอ้างว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องเหลวไหล หรือเป็นเพียงจินตนาการที่คนสร้างขึ้นมาเองนั้น ไม่อาจหักล้างความจริงที่ว่า ไสยศาสตร์มีอยู่จริงๆ และอิทธิพลของมันก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์จริงๆ เป็นวิชาที่สามารถถ่ายทอดและศึกษาต่อกันได้ อิทธิพลของมันอาจส่งผลทำให้คนสองคนเกิดเสน่หาหลงรักกัน หรืออาจทำให้โกรธเคืองจนเกลียดชังกันก็ได้ สามีภรรยาต้องหย่าร้างตัดขาดจากกัน บางคนอาจเจ็บไข้ได้ป่วย และในบางรายอาจถึงขั้นสิ้นชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทและระดับความรุนแรงของไสยศาสตร์ที่นักไสยศาสตร์ทำขึ้นมา

หากบางสิ่งบางอย่างทำให้ชีวิตหนึ่งตายลงได้ เช่น ยาพิษหรืออาวุธ และบางอย่างทำให้ป่วยไข้ได้ เช่น โรคทั้งหลาย และบางอย่างก็สามารถรักษาอาการป่วยได้ เช่น ตัวยาและการรักษารูปแบบต่างๆ ไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแต่อย่างใด เพียงแต่มันอยู่ในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจและไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเท่านั้นเอง

การทำไสยศาสตร์ทำให้มนุษย์และญินต้องฝ่าฝืนกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายใหญ่หลวง อิสลามจึงห้ามศึกษาเรียนรู้และทำไสยศาสตร์ และถือว่ามันเป็นหนึ่งในภยันตราย 7 ประการที่ท่านเราะซูลกำชับให้หลีกห่าง[3] เป็นบาปใหญ่ที่อาจนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธาและตกศาสนาได้


[1]นบี / เราะซูล หมายถึง ศาสนทูตของพระเจ้า เป็นชื่อเรียกตำแหน่งของผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของพระองค์ในการนำสาส์นมาบอกแก่มนุษย์ ชาวมุสลิมชอบใช้คำว่า “ท่านนบีมุฮัมหมัด” หรือ “ท่านเราะซูลุลลอฮ” แทนการเรียกศาสนฑูตคนสุดท้าย

[2]ซูเราะฮฺ หมายถึง บทต่างๆที่มีอยู่ในอัลกุรอาน โดยแบ่งออกเป็น 114 บท เรียกว่า “ซูเราะฮฺ”

[3] ภยันตราย 7 ประการ ได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ, การทำไสยศาสตร์, การฆ่าชีวิตที่ต้องห้าม, ดอกเบี้ย, การกินทรัพย์สินเด็กกำพร้า, การหนีสงคราม และการใส่ร้ายหญิงมุสลิมที่บริสุทธิ์ว่าผิดประเวณี (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)

 


ตอนที่ 3 : วิธีการที่นักไสยศาสตร์เรียกญิน (ภาคที่ 1)

ไสยศาสตร์ คือการทำข้อตกลงระหว่างผู้ทำไสยศาสตร์และญินหรือชัยฏอน โดยที่ผู้ทำไสยศาสตร์กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ศาสนาห้ามเพื่อแลกกับการได้รับความช่วยเหลือจากมัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ทำไสยศาสตร์จะทำข้อตกลงนี้กับหัวหน้าของกลุ่มญินและชัยฏอน แล้วบรรดาลูกน้องญินทั้งหลายก็จะได้รับคำสั่งให้บริการและช่วยเหลือผู้ทำไสยศาสตร์ตามแต่เขาต้องการ หากญินลูกน้องไม่ยอมทำตามคำสั่ง นักไสยศาสตร์ก็จะร้องเรียนญินหัวหน้าให้ลงโทษญินลูกน้องที่ฝ่าฝืนไม่ยอมทำตาม แล้วสั่งให้ลูกน้องญินตัวอื่นทำงานแทน

ความสัมพันธ์ระหว่างนักไสยศาสตร์กับญินผู้รับใช้ไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและยินดีช่วยเหลือกันและกัน แต่วางอยู่บนพื้นฐานของการฝ่าฝืนอัลลอฮ ผลประโยชน์ของตัวเอง และความเกลียดชังต่อกัน ด้วยเหตุนี้ บางครั้งญินผู้รับใช้ก็จะก่อกวนสร้างความรำคาญแก่คนในครอบครัวของผู้ทำไสยศาสตร์ หรือแม้แต่ตัวนักไสยศาสตร์เอง

มีวิธีการบางอย่างที่นักไสยศาสตร์ใช้ในการเรียกญิน แต่ทั้งหมดมีการปฏิเสธศรัทธา การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ หรือการทำสิ่งที่เป็นบาปมหันต์เป็นข้อแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ เราจะนำเสนอวิธีการดังกล่าวโดยสังเขป ให้พอเห็นภาพคร่าวๆ เพื่อที่พี่น้องจะได้รู้จัก ไม่เข้าใจผิด หรือถูกหลอกว่าเป็นการรักษาไสยศาสตร์ที่ถูกต้องตามหลักการศาสนา ทั้งที่จริงๆแล้วมันคือการทำไสยศาสตร์ที่ฝืนหลักการศาสนาต่างหาก นั่นเพราะว่านักไสยศาสตร์บางคนใช้เล่ห์เหลี่ยมในการปิดบังไสยศาสตร์ของตัวเอง โดยเอาอัลกุรอานหรือสัญลักษณ์ต่างๆทางศาสนามาบังหน้า พี่น้องจึงต้องระมัดระวังให้ดีและรอบคอบในเรื่องนี้

วิธีการที่ 1 : สาบานด้วยนามของชัยฏอนมารร้าย

นักไสยศาสตร์จะเข้าไปในห้องมืด จุดไฟ และวางกำยานลงในธูป  ชนิดของกำยานขึ้นอยู่กับเปป้าหมายของไสยศาสตร์ที่ต้องการทำ แล้วเขาก็เริ่มท่องคาถาหรืออ่านถ้อยคำสำนวนต่างๆที่มีการตั้งภาคีต่ออัลลอฮอยู่ด้วย หรือวาดลวดลายหรือสักยันต์บางอย่างที่เป็นการสาบานต่อหัวหน้าญิน หลังจากนั้นเขาก็ขอให้ญินทั้งหลายช่วยเหลือเขาโดยอ้างชื่อหรือตำแหน่งของญินผู้นำ หรือเขาอาจจะกล่าวยกย่องบรรดาผู้นำของพวกญิน เพื่อแลกกับการได้รับความช่วยเหลือบางอย่าง นักไสยศาสตร์ปฏิบัติขั้นตอนเหล่านี้ในสภาพที่สกปรก เช่น ขณะมีญะนาบะฮฺ หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่มีนะญีส[1]

ญินชอบที่มืด และชอบความสกปรกโสมมด้วย และการที่นักไสยศาสตร์สาบานด้วยนามของญินหรือชัยฏอน พร้อมกับขอความช่วยเหลือจากพวกมันนั้นถือเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮที่ชัดเจนที่สุด

วิธีการที่ 2 เชือดสัตว์บูชายัญด้วยนามของชัยฏอน

นักไสยศาสตร์จะขอหรือหานก หรือไก่ หรือเป็ด หรือสัตว์อื่นๆ โดยกำหนดลักษณะเฉพาะตามคำขอของญิน แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นสัตว์สีดำ เพราะญินชอบสีดำ แล้วนักไสยศาสตร์ก็เชือดสัตว์ตัวนั้นโดยไม่ได้กล่าวนามของอัลลอฮ (คือไม่ได้กล่าว “บิสมิลลาฮ”) แต่เชือดด้วยนามของญินหรือชัยฏอนแทน บางครั้งเลือดของสัตว์บูชายัญจะถูกนำไปผสมให้ผู้ป่วยดื่ม ส่วนตัวสัตว์ที่ถูกเชือดจะถูกนำไปทิ้งไว้ที่บ้านหรือบ่อน้ำร้าง หรือทิ้งไว้ในที่ๆไม่มีคนอาศัยอยู่ เพราะสถานที่เหล่านี้เป็นที่อยู่ของพวกญิน แล้วนักไสยศาสตร์ก็กลับไปยังบ้านของเขา อ่านคาถาที่มีเนื้อหาการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ แล้วก็สั่งให้ญินทำตามคำสั่ง

การเชือดสัตว์ด้วยนามอื่นจากอัลลอฮ เป็นสิ่งต้องห้ามโดยมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการอิสลามทั้งรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ไม่ใช่แค่เพียงต้องห้าม (ฮารอม) แต่ยังเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ ซึ่งเป็นบาปใหญ่หลวงที่สุดในศาสนาอิสลาม และสัตว์ที่เชือดก็ไม่อนุญาตให้รับประทานด้วย เพราะถือว่าเป็นสัตว์ที่มิได้เชือดอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนา

วิธีการที่ 3 โปรดติดตามในบทความตอนต่อไป อินชาอัลลอฮ[2]


[1]นะญีส คือสิ่งสกปรกตามบัญญัติของอิสลาม เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำอสุจิ มูลสัตว์ เลือดประจำเดือน ซากสัตว์ เป็นตัน

[2]อินชาอัลลอฮ หมายถึง หากอัลลอฮทรงประสงค์ เป็นประโยคที่ใช้สื่อใจความได้ว่า ฉันจะทำตามที่ได้พูดหรือสัญญาไว้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดหรือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า


ที่มา : www.whitechannel.tv

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น