สาเหตุแห่งความแตกแยกในประชาชาติอิสลาม โดย อาจารย์ อามีน ลอนา
عَنْ ابْنِ عُمَرَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: ' إِنَّ اللَّهَ لَا يَجْمَعُ أُمَّتِي - أَوْ قَالَ: أُمَّةَ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - عَلَى ضَلَالَةٍ، وَيَدُ اللَّهِ مَعَ الجَمَاعَةِ، وَمَنْ شَذَّ شَذَّ إِلَى النَّارِ
“รายงานจากอิบนุอุมัร: ท่านเราะซูลลุลเลาะฮฺได้กล่าวว่า :แท้จริงพระองค์อัลเลาะฮฺจะไม่ทรงรวมประชาชาติของฉันหรือประชาชาติของมุฮัมมัดให้มีมติเอกฉันท์ในเรื่องที่หลงผิด และพระหัตถ์ของอัลเลาะฮฺนั้นทรงอยู่กับอัลญะมาอะฮฺและผู้ใดแยกตัวไปจากอัลญะมาอะฮฺเขาผู้นั้นก็แยกตัวไปยังไฟนรก”(สุนันอัตติรมิสี้ย์, อิมามอัลบานีย์รับรองหะดีษนี้ว่าเศาะฮีฮฺ ยกเว้นวรรค “ผู้ใดแยกตัว” ดู ศ.ส., หมายเลข : 2167, อิมามซุยูฏีย์กล่าวว่า เป็นหะดีษ ฮะซัน ดู อ.ญ., หมายเลข : 1818)[1]
[1]หะดีษบทนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความจำเป็นที่มุสลิมจะต้องอยู่ร่วมกับ “อัลญะมาอะฮฺ” (หมู่คณะ) ดังมีหะดีษกระแสอื่นๆที่เข้ามารายงานขยายความว่าعَلَيْكُمْ بِالجَمَاعَةِ وَإِيَّاكُمْ وَالفُرْقَةَ “พวกท่านจงอยู่กับญะมาอะฮฺและจงออกห่างจากความแตกแยกเป็นกลุ่มก๊ก” (สุนันอัตติรมิสี้ย์, หะดีษเศาะฮีฮฺ ดู ศ.ส.,หมายเลข : 2165) อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องอธิบายตรงนี้ก็คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “อัลญะมาอะฮฺ” ตามหะดีษบทนี้
อัลญะมาอะฮฺ หมายถึงกลุ่มนักปราชญ์อิสลามจากสาขาต่างๆ นับตั้งแต่เหล่า เศาะฮาบะฮฺอย่างท่านอบูบักรฺและอุมัรจวบจนกระทั่งปราชญ์ยุคสะลัฟท่านต่างๆ นี่คือความหมายตามที่ท่านอิบนุลมุบาร็อกปราชญ์ยุคสะลัฟกันเองได้ระบุไว้ ในขณะที่ท่านอิมาม อัชชาฏิบีย์ นักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องบิดอะฮฺได้อธิบายเสริมว่า อัลญะมาอะฮฺตามนัยของ หะดีษได้รวมเอากลุ่มนักปราชญ์ในประชาชาติอิสลามและเหล่าผู้ดำรงมั่นอยู่บนกฎหมายอิสลามตลอดจนมวลชนที่ปฏิบัติตามคำสอนของเหล่านักปราชญ์ ส่วนผู้ที่แยกตัวออกไปจากประชาคมนักปราชญ์อิสลามเหล่านี้ คนพวกนี้คือกลุ่มคนนอกรีต (อ.ล., หน้า 201-203) ข้อที่ควรคำนึงจากหะดีษบทนี้ก็คือคำว่า อัลญะมาอะฮฺ ที่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นคำสวยหรูที่บางกลุ่มโฆษณาเพื่อเรียกร้องการสมานฉันท์สิบทิศทั้งกับพวกบิดอะฮฺหลงทางทั้งหลายนั้น ในความเป็นจริงมันมิได้หมายถึงการหาพวกพ้องให้มากๆมารวมกองไว้ในหมู่คณะของตนเองโดยไม่สนถูกผิดแล้วก็เรียกกันชุ่ยๆว่าอัลญะมาอะฮฺ! เพราะอัลญะมาอะฮฺนั้นคือแนวทางของเหล่าสาวกและปราชญ์ ชาวสะลัฟผู้ดำรงมั่นอยู่บนสัจธรรม มิได้หมายถึงจำนวนคนในปริมาณมากๆหรือแนวร่วมทางการเมือง ท่านอับดุลเลาะฮฺอิบนุมัสอู๊ด สาวกของท่านนบี ได้กล่าวว่า
الْجَمَاعَةُ مَا وَافَقَ الْحَقَّ وَلَوْ كُنْتَ وَحْدَكَ
“อัลญะมาอะฮฺคือสิ่งที่อยู่บนสัจธรรมแม้ว่าจะเป็นตัวท่านคนเดียวก็ตาม!” (อ.บ.,เล่ม 8 หน้า 179) ฉะนั้นวรรคท้ายของหะดีษที่ท่านนบี ระบุห้ามการแยกตัวออกจากอัลญะมาอะฮฺ จึงหมายถึงการห้ามแยกตัวออกจากอัลญะมาอะฮฺของบรรดานักปราชญ์สะลัฟและประชาคมอิสลามที่ดำรงมั่นอยู่บนสัจธรรม แน่นอนว่าบรรดาพวกบิดอะฮฺที่อุตริแนวทางเบี่ยงเบนขึ้นมาล้วนแล้วแต่เข้าข่ายเป็นพวกที่ออกไปจากอัลญะมาอะฮฺทั้งสิ้น เพราะคนพวกนี้ต่อต้านคัดค้านคำสอนของเหล่าอุละมาอ์อิสลามตลอดจนทำลายการนับถือศาสนาของสังคมมุสลิม ความแตกแยกของประชาชาติอิสลามจึงมิได้เกิดขึ้นจากการเรียกร้องประชาชาติให้ดำรงมั่นอยู่กับแนวทางสะลัฟหรืออะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺตามที่พวกบ้องตื้นบางคนกล่าวอ้างไป หากแต่ความแตกแยกและทำลายเอกภาพของประชาชาติอิสลามเกิดขึ้นจากการแยกตัวของพวกอุตรินอกคอกจากอัลญะมาอะฮฺของเหล่าสาวกและเหล่าปวงปราชญ์ผู้สืบสายธารความรู้ในรุ่นต่อมา จนพัฒนากลายเป็นกลุ่มก๊ก(ฟิร็อก)หลงทางต่างๆขึ้นในประชาชาติ ท่าน ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺกล่าวว่า “ความเป็นซุนนะฮฺคือสิ่งที่ผูกมัดอยู่กับความเป็นญะมาอะฮฺ เช่นเดียวกับความเป็นบิดอะฮฺผูกมัดอยู่กับการแตกแยก ด้วยเหตุนี้เองที่มันจึงถูกเรียกด้วยชื่อว่าอะฮฺลุซซุนนะฮฺกับญะมาอะฮฺเช่นเดียวกับที่เรียกว่าอะฮฺลุลบิดอะฮฺกับการแยกตัว” (ซ.ฮ.,หน้า 67)
การฟื้นฟูแนวทางสะลัฟจึงมิใช่การสร้างความแตกแยกหากแต่เป็นหนทางในการรวมมุสลิมขึ้นอย่างถาวรอีกครั้งเพราะความแตกแยกในประชาชาติเกิดขึ้นจากพวกบิดอะฮฺหลงทางทั้งหลายที่แยกตัวออกจากอัลญะมาอะฮฺของอิสลามแล้วก็ไปเผยแพร่ลัทธิของตนเองเพื่อหาสมาชิกหวังสร้างอิทธิพลต่อรองในสังคมและการยอมรับจากพวกใคร่สมานฉันท์ พวกเขาแยกตัวออกไปทั้งในด้านความเชื่อ,การปฏิบัติ,การเมืองและสังคม ทั้งยังผลิตอุดมการณ์ใหม่ๆนอกกรอบของอิสลามจนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยก เพราะสังคมที่มีความไม่ลงรอยกันของอุดมการณ์และความเชื่อย่อมทำให้สังคมดังกล่าวเกิดความแตกแยกที่ไม่อาจประสานได้ ดังพวกมุชริกในสมัยก่อนหน้าอิสลามที่พวกเขาแตกแยกและรบพุ่งกันเองจนสังคมปราศจากความเป็นเอกภาพทั้งนี้ก็เพราะอุดมการณ์และความเชื่อที่แตกต่างกันสุดขั้วในระหว่างเผ่าต่างๆ การจะรวมประชาชาติอิสลามให้เกิดความเป็นหนึ่งจึงไม่ใช่การนิ่งเงียบไม่พูดความจริง การปล่อยให้เกิดความเห็นที่แตกแยกมากมายในศาสนาต่างหากที่จะยิ่งทำให้ประชาชาติไม่มีทางรวมเป็นหนึ่งได้อีก
หมวดหมู่:
มันฮัจญฺ(แนวทาง)สลัฟ
หมายเหตุ : อักษรย่อ
ศ.ส.
มุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลอัลบานีย์. เศาะฮีฮฺสุนันอัตติรมิสี้ย์. ม.ป.ท.: มักตะบะฮฺอัตตัรบียะฮฺอัลอะเราะบีย์, 1408.
อ.ญ.
อับดุรเราะฮฺมานบินอะบีบักรฺ อัซซุยูฏีย์.อัลญามิอฺอัศเศาะฆีรฟีอะฮาดีษอัลบะชีรอันนะสี้ร. เบรูต: ดารุลกุตตุบอัลอิลมียะฮฺ, ม.ป.ป.
อ.ล.
อับดุรเราะฮฺมาน อัลลุวัยฮิก. อัลฆุลูว์ฟิดดีนฟีฮะยาติลมุสลิมีนอัลมุอาศิเราะฮฺ. เบรูต : มุอัซซะซะฮฺอัรริซาละฮฺ, 1412.
อ.บ.
อับดุลอะซี้ส บินอับดุลเลาะฮฺบินอับดุรเราะฮฺมาน อิบนุบาซ. มัจมูอุฟะตาวาย์วะมะกอลาตมุตะเนาวิอะฮฺ. มุฮัมมัดบินซะอฺดฺอัชชุวัยรฺ, ผู้ตรวจทาน. ริยาฎ: ดารุลกอซิม, 1420.
ซ.ฮ.
อับดุซซะลาม ซาลิม อัซซุฮัยมีย์. กุนซะละฟียันอะลัลญาดะฮฺ. อัลมะดีนะฮฺอันนะบะวียะฮฺ : ดารุลฮิจเราะฮฺอัลอิลมียะฮฺ, 1431.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น