วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ท่านอิกริมะห์ อิบนุ อะบีญะฮฺล

 ท่านอิกริมะห์ อิบนุ อะบีญะฮฺล 

          ท่านผู้นี้มิได้เข้ารับนับถืออิสลามในสมัยแรกๆ หากแต่ท่านยอมเข้ารับอิสลามในตอนสุดท้าย หลังจากท่านร่อซูล   พิชิตเมืองมักกะห์ ในราว ฮ.ศ.ที่ 8 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่ ท่านร่อซูล  จะเสียชีวิตเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง

          บิดาของท่านชื่อ อะบูญะฮฺล นั้น นับเป็นศัตรูตัวฉกาจในการเผยแผ่อิสลามของ ท่านร่อซูล แม้ในระยะแรกๆท่านอิกริมะห์จะเคยเป็นศัตรูต่ออิสลาม แต่ก็มิได้หมายความว่าท่านจำเป็นจะต้องดำเนินตามแนวทางของบิดาของท่านตลอดไปก็หาไม่ ดังนั้น ประวัติชีวิตของศอฮาบะห์ผู้นี้จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขอให้เราติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด

          ก่อนที่เราจะกล่าวถึงประวัติของท่านศอฮาบะห์ที่สำคัญท่านนี้ ก็ใคร่ที่จะนำท่านผู้อ่านไปสัมผัส กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กล่าวคือ ในสมัยที่ท่านร่อซูล ประกาศศาสนาอิสลามที่นครมักกะห์ ซึ่ง ณ ที่นั้นมีชาวอาหรับอยู่หลายเผ่าหลายตระกูล ที่นับว่าสำคัญที่สุดก็คือตระกูลกุเรช เพราะเป็นตระกูลที่ใหญ่และยังแบ่งออกเป็นหลายก๊ก หลายเหล่า และท่านอิกริมะห์ก็เป็นคนหนึ่งในตระกูลบะนีมัคซูม ซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง สองประการด้วยกัน กล่าวคือ

          1. ผู้ชายในตระกูลนี้เป็นผู้มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว คราใดที่มีศึกสงคราม พวกกุเรชจะให้ ตระกูลนี้เป็นผู้วางแผนและจัดกองทัพ 


           2. ผู้หญิงในตระกูลนี้มีความสวยงามเป็นเลิศ จนได้รับฉายาว่า "เป็นดอกกุหลาบของกุเรช"

          แม้แต่ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ซึ่งมีกิตติศัพท์เลื่องลือกันไปทั่วว่า ไม่เคยแพ้ใคร ทั้งก่อนที่ท่าน จะเข้ารับอิสลามหรือในสมัยที่ท่านเป็นมุสลิมแล้วก็ตามนั้น ท่านเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในตระกูลมัคซูม ท่านร่อซูลจึงตั้งฉายาให้แก่ท่านคอลิดว่า "ซัยฟุลเลาะห์" แปลความได้ว่า "ดาบของอัลเลาะห์" ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในการรบทุกครั้งไม่เคยที่ท่าน จะพ่ายแพ้ผู้ใดเลย เพราะดาบของอัลเลาะห์นั้นจะแพ้ใครไม่ได้ทั้งสิ้น

          ส่วนท่านอิกริมะห์นั้น บิดาชื่ออบูญะฮฺล แปลว่า "พ่อโง่เง่า" หรือ "พ่องมงาย" เป็นฉายาที่ถูกประนาม เพราะเป็นศัตรูของอิสลาม ชื่อจริงของเขาก็คือ อัมรฺ อิบนิ ฮิชาม นับเป็น บุคคลสำคัญของชาวกุเรช กิจการทุกๆอย่างที่จะมีขึ้นจะต้องผ่านการเห็นชอบจากบุคคลผู้นี้ก่อน ทั้งนี้เนื่องจากเขาเป็นผู้มีฐานะ และเป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญของชาวมักกะห์ ท่านร่อซูล  จึงปรารถนา ที่จะให้ อัมรฺ อิบนิ ฮิชาม เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

           ท่านจึงขอดุอาอฺต่ออัลเลาะห์ให้อิสลามมีความเข้มแข็ง ด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่งในสองคนนี้ นั่นก็คือ 


           1. อุมัร อิบนุ ค็อบฎ็อบ

           2. อัมรฺ อิบนุ ฮิชาม

          เดิมทีเดียวนั้น ท่านอุมัร อิบนุล ค็อบฎ็อบ เป็นผู้ต่อต้านท่านนบี ไม่แพ้อัมรฺ อิบนุ ฮิชาม เหมือนกัน แต่แล้วอัลเลาะห์ทรงรับดุอาอฺของท่านนบีด้วยการให้ ท่านอุมัร อิบนุ ค็อบฎ็อบ เป็นมุสลิม และเป็นผู้ ช่วยเหลือท่านนบีอย่างดียิ่ง

          ท่านอิกริมะห์ เกิดมาในครอบครัวที่มีแต่การอิจฉาริษยา และผูกใจเจ็บต่อบรรดามุสลิม และยังข่มเหง ทำลายล้างผู้ศรัทธาอยู่เสมอ บิดาของท่านที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอิสลามเรื่อยมาจนกระทั่งจบชีวิตลง ในสงครามบัดรฺ เมื่ออบูญะฮฺล ซึ่งเห็นบิดาถูกฆ่าตายในสงครามบัดรฺ ท่านจึงมุ่งที่จะแก้แค้นแทนชีวิตบิดาของตน ด้วยการร่วมมือกับชาวมักกะห์ในสงครามอุฮุด เพียงเพื่อจะแก้แค้นแทนบิดาของตนให้จงได้เท่านั้น

          เขาไม่เคยลดราวาศอกที่จะแสดงตนเป็นศัตรูต่อท่านนบี ดังจะเห็นได้ว่า ในสงครามทุกครั้งที่เกิดขึ้นระหว่างมุชริกกับมุสลิมนั้นอิกริมะห์ ต้องมีส่วนร่วม ด้วยเสมอมิได้ขาด จวบจนกระทั้งอัลเลาะห์ได้ทรงให้อิสลามมีชัยชนะเหนือ ฝ่ายมุชริกีน
        
          ท่านร่อซูล เคยฝันไปว่า อัลเลาะห์ให้ท่านได้เข้ายึดครองเมืองมักกะห์ได้ และบรรดาศอหะบะห์ก็ทราบด้วยว่าในอีกไม่ช้าจะต้องได้เข้าเมืองมักกะห์ ในคราวที่ท่านร่อซูล และบรรดาศอฮาบะห์ไปทำอุมเราะห์ แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่กล่าวคือ ได้มีการทำสนธิสัญญาสงบศึกฮุดัยบิยะห์ขึ้น และบรรดามุสลิมจะต้องมาทำอุมเราะห์กอฎอ(ชดใช้) ในปีถัดไป
          

         และแล้วจากการที่พวกกุเรชมักกะห์ ละเมิดสัญญาที่ได้ให้ไว้กับมุสลิม จึงทำให้มุสลิมสามารถเข้ายึดครองมักกะห์ได้สำเร็จ สมดังที่ท่านร่อซูลเคยฝันเอาไว้ และแทนที่ท่านร่อซูล จะถือโอกาสแก้แค้นด้วยการฆ่าฟันฝ่ายศัตรู ท่านกลับแสดงความเมตตากรุณาต่อพวกเหล่านั้น ด้วยการยกโทษให้โดยหมดสิ้น และปล่อยให้เป็นอิสระ

           การให้อภัยของท่านนบีแก่ฝ่ายศัตรูนี้เอง นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แต่มีบุคคลไม่กี่คนเท่านั้น ที่ท่านนบีไม่ยอมอภัยให้ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็มีอิกริมะห์ อิบนิ อะบีญะฮฺล รวมอยู่ด้วย เมื่ออิกริมะห์ รู้เช่นนั้นจึงเตลิดหนีไปยังประเทศยะมันทันที

          ในคราวที่ท่านนบียกกำลังมามักกะห์ อิกริมะห์รู้ข่าวจึงนำกำลังกลุ่มหนึ่งไปต่อต้านกองทัพ ของท่านนบี ซึ่งมีท่านคอลิด อิบนิล วะลีด จากตระกูลมัคซูมซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับอิกริมะห์นั่นเอง และเกิดการต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายอิกริมะห์ไม่สามารถจะต้านทานกำลังของฝ่ายมุสลิมได้ จึงแตกพ่ายหนีไป


           ฝ่ายภรรยาของอิกริมะห์ ซึ่งมีชื่อว่า "อุมมุฮะกีม" นั้นได้เข้ารับอิสลาม แม้นางจะรักสามีมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ความรักนั้นก็มิได้ทำให้ตาของนางบอด นางจึงไม่ดำเนินตามสามีแต่อย่างใด กล่าวคือทั้งๆที่สามีของนางเป็นกาเฟร ผู้ปฎิเสธการศรัทธา แต่นางก็หาได้เป็นกาเฟรตามสามี ของนางไม่

           ดังนั้นการที่ท่านร่อซูล ให้อภัยแก่นาง นางจึงไม่หมดหวังที่จะให้ท่านร่อซูล  ให้อภัยแก่สามีของนางด้วย นางกลับมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าหากนางได้พบสามีของนาง นางก็คิดว่าสามารถจะนำสามีของนาง กลับมารับแสงสว่างจากท่านนบีและท่านนบีก็ให้สัญญาและจะให้อภัย

          เมื่ออิกริมะห์ไม่สามารถจะต้านทานกำลังของท่านคอลิดได้จึงหนีไปที่ทะเลแดง ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ใกล้ระหว่างญิดดะห์กับยะมัน และโดยสารเรือลำหนึ่งไป ขณะที่อยู่บนเรือเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ เรืออย่างรุนแรงทำท่าว่าเรือจะไปไม่รอดเป็นแน่

กัปตันเรือจึงพูดขึ้นว่า :

           ให้ขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเพราะอื่นจากพระองค์แล้วหามีผู้ใดจะช่วยเหลือได้ไม่

อิกริมะห์จึงกล่าววิงวอนขึ้นว่า :

             หากอัลเลาะห์ทรงช่วยให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ ตนจะกลับไปหาท่านนบีในฐานะเป็นผู้ศรัทธา

          และเขามั่นใจว่าผู้ที่ช่วยเหลือตนให้พ้นจากภัยอันตรายในท้องทะเลได้นั้นแหละจะเป็นผู้ช่วยเหลือตนให้พ้นจากภัยอันตรายบนบกได้เช่นเดียวกันด้วย
       
           เมื่ออุมมุฮะกีมซึ่งเป็นภริยาของอิกริมะห์ได้รับสัญญาจากท่านร่อซูล นางจึงสืบเสาะดูว่า สามีของนางหนีไปอยู่ที่ไหนจึงติดตามไปถึงยะมัน ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก แม้แต่ผู้ชายที่จะเดินทางไปนั้น ก็ได้รับความลำบากยิ่งนัก แต่ด้วยความต้องการที่จะให้สามีได้พบกับทางสว่าง นางจึงพยายามดั้นด้นไปจนถึงยะมัน และได้เจรจากันจนสามีของนางยอมจำนน และเดินทางกลับมาหา ท่านร่อซูล และเมื่อเดินทางมาถึงมักกะห์ก็ทราบว่า ท่านร่อซูล เดินทางกลับไปยังมะดีนะห์เสียแล้ว นางจึงรีบ เดินทางไปยังมะดีนะห์พร้อมกับสามีทันที


 ในระหว่างทาง อิกริมะห์ รู้สึกมั่นใจว่า ท่านนบีจะต้องให้อภัยแก่ตนดังที่ภรรยาของตนได้บอกกล่าวเอาไว้ แต่อีกใจหนึ่งเห็นว่าตนเคยเป็นศัตรูกับท่านนบีมาก่อน และตนเองนั้นเคยฆ่าฟันผู้ศรัทธา มาเป็นจำนวนมากต่อมาก แล้วท่านนบีจะให้อภัยกับตนละหรือ?

แต่ในขณะที่เขาก้าวเท้าไปพบท่านนบีนั้น ก็ได้ยินเสียงของท่านนบีกล่าวต้อนรับขึ้นว่า :

          ขอต้อนรับผู้ที่กำลังอพยพมา

อิกริมะห์ได้ให้คำมั่นสัญญากับท่านร่อซูล ว่า :

          โอ้ท่านร่อซูลของอัลเลาะห์ แท้จริงฉันขอยืนยันต่อท่านและบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับท่านด้วยว่า ฉันให้คำมั่นสัญญาต่ออัลเลาะห์ว่า เงินทองค่าใช้จ่ายใดๆที่ฉันเคยใช้ไปมากมายเท่าใดในสมัย ญาฮิลียะห์ ในการต่อต้านศาสนาของอัลเลาะห์นั้น ต่อไปนี้ฉันจะทุ่มเทกำลังความสามารถ และทรัพย์สินเงินทองไปในหนทางของอัลเลาะห์ ยิ่งเสียกว่า ที่ได้เคยเป็นมาแล้วเสียอีก

          หลังจากที่อิกริมะห์เข้ารับอิสลาม เขาเป็นผู้ที่มีอีหม่านศรัทธาอย่างจริงใจ จนได้รับความไว้วางใจจาก ท่านนบีให้เป็นผู้รวบรวมซะกาตของตระกูลฮะวาซิน แสดงให้เห็นว่า ท่านนบีไว้ใจต่ออิกริมะห์มากเพียงใด

          และหลังจากนั้นไม่นานท่านนบีก็สิ้นชีวิต และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในระหว่างมุสลิม ดังที่เป็นที่ทราบกัน

           กล่าวคือ บางกลุ่มก็กลับไปสู่สภาพเดิมด้วยการเป็นมุรตัด บางกลุ่มก็ไม่ยอมจ่ายซะกาต และในขณะนั้นเองที่เปอร์เซีย และโรม ก็ต้องการกำจัดมุสลิมให้สิ้นไปจากโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ท่านคอลีฟะห์อบูบักรฺ อัศศิกดิ๊กจึงได้คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถ ให้ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ เพื่อต่อต้านศัตรูของอิสลาม และบุคคลผู้นั้นจะต้องมีลักษณะดังที่ อัลเลาะห์ ตรัสไว้ว่า :

จะต้องเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงสัญญาไว้แก่เขา และผู้นั้นจะปฎิบัติตามความจริงที่ได้ ให้สัญญาไว้กับอัลเละห์

          และอิกริมะห์ก็เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ท่านอบูบักรฺ จึงแต่งตั้งให้ อิกริมะห์เป็นแม่ทัพยกไปปราบพวกที่ตกเป็นมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมที่อยู่ในโอมาน ยะมัน และฮัฏรอลเม้าตฺ ฯลฯ จนเป็นผลสำเร็จ โดยให้พวกเขาเหล่านั้นกลับมาเป็นมุสลิมดังเดิม

          ภายหลังที่ท่านอิกริมะห์เดินทางกลับมายังมะดีนะห์ก็ได้พบว่า มีการเตรียมกองทัพไว้พร้อมแล้ว ท่านอบูบักรฺบอกแก่อิกริมะห์ว่า จะต้องเผชิญกับศึกใหญ่ และยังถามอีกว่า :

          ท่านต้องการกองกำลัง เพิ่มอีกหรือไม่

อิกริมะห์ตอบว่า :

         ไม่ต้อง เพราะกองกำลังที่มีอยู่นั้นเพียงพอแล้วในการที่จะเผชิญ กับกองกำลังอันมหาศาลของฝ่ายศัตรู

      ขณะที่อิกริมะห์เคลื่อนทัพออกไปจะรบกับพวกโรมันอยู่นั้น กองกำลังของมุสลิมที่ยกไปล่วงหน้าก็ได้ ประจัญบานกับศัตรู และถูกตีถอยออกมาไม่เป็นขบวน พอดีที่กองทัพของอิกริมะห์ไปถึงจึงได้ออกสกัด บรรดาข้าศึกศัตรูเอาไว้ได้

         ในการทำสงครามกับโรมัน ซึ่งเรียกว่าสงครามยัรมู๊ก หลังจากที่ท่านนบีวะฟาตไปแล้วนั้น มุสลิม มีกำลังประมาณสี่หมื่นคน แต่ฝ่ายโรมันมีมากกว่ามุสลิมถึงห้าเท่า นอกจากนั้นพวกนั้นยังได้เปรียบ มุสลิมทางด้านอาวุธอันมากมายอีกด้วย

         ในการรบครั้งนี้ ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพเห็นว่า แม้มุสลิมจะด้อยกว่าทั้งทางด้านกำลังคน และอาวุธก็ตามแต่ด้วยพลังความอีหม่านเท่านั้นที่ทำให้มุสลิมเข้มแข็งกว่าฝ่ายข้าศึก 
  
         ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพจึงได้เห็นชัดว่า บุรุษเหล็กที่ใจเกร่งกล้านั้นมีอยู่สองคนด้วยกัน คือ ท่านอิกริมะห์ และท่านก็อฺก็ออฺ บิน อัมรฺ อัตตะมีมียฺ ทั้งนี้ก็เพราะในการประจัญบานกับฝ่ายศัตรู ซึ่งหน้านั้น ทั้งสองคนนี้เองเป็นผู้จู่โจมเข้าใส่ศัตรูดุจสายฟ้าแลบ ทำให้ศัตรูซึ่งมีจำนวนมากกว่า แตกพ่ายไป

         ในการทำสงครามครั้งนี้ ถ้ามุสลิมแพ้ ก็หมายความว่า อิสลามจะต้องหมดสิ้นไปด้วย ซึ่งมุสลิมจะยอม ไม่ได้เป็นอันขาด ขณะที่ท่านอิกริมะห์เห็นสภาพการณ์เช่นนั้นจึงตะโกนขึ้นว่า :

          มีใครบ้างที่จะสละชีวิตเพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่นี้

          มีคนประมาณ 400 คน ได้เสนอตัวขึ้นมา และได้ให้สัญญาแก่ท่านอิกริมะห์ว่า จะสละชีวิตเพื่อการนี้ และในจำนวนคน 400 คนนี้ ก็มีญาติของท่านอิกริมะห์ กล่าวคือมี ลุง อา และลูกชายของท่านอิกริมะห์ ร่วมอยู่ด้วยท่านอิกริมะห์ได้พูดปลุกใจบรรดาทหารมุสลิมว่า :

         ฉันนี่แหละได้ต่อสู้กับท่านร่อซูลในทุกๆสมรภูมิในวิถีทางที่ผิด ซึ่งในขณะที่ฉันยังไม่ได้เป็นมุสลิม และในเมื่อเราต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ อันเป็นวิถีทางที่ถูกต้องแล้วเรายังจะออมแรงเอาไว้ อีกกระนั้นหรือ ?

อิกริมะห์ยังพูดอีกว่า :

         ฉันเคยอุทิศชีวิตของฉันเพื่อป้องกันเจว็ต รูปปั้นอัลล้าต และอัลอุซซามาก่อนแล้ว แล้วฉันจะต้อง ตระหนี่ชีวิตของฉันเอาไว้ทำไมอีก ในเมื่อจะป้องกันศาสนาของอัลเลาะห์

          การที่บุคคลอุทิศชีวิตเพื่อสู้รบในหนทางของอัลเลาะห์ และยอมตายเพื่อพระองค์นั้น คมหอกคมดาบ จากฝ่ายศัตรูที่เขาจะได้รับย่อมไม่ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใดเลย และด้วยพลังอีหม่านนี้เองที่ฝายข้าศึก(โรมัน) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะประสบกับการต่อต้าน อย่างเหนียวแน่นเข้มแข็งจนในที่สุดพวกโรมันเองต้องพ่ายแพ้แตกกระเจิงไปอย่างไม่เป็นขบวน บาดเจ็บและถูกฆ่าฟันล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

          จากการสู้รบในครั้งนี้ทำให้อิสลามยืนอยู่อย่างแข็งแกร่งต่อไป แม้จะต้องสูญเสียบุคคลเช่นอิกริมะห์ไป ก็ตามแต่ก็เป็นไปตามความปรารถณาของท่านที่จะเป็นชะฮีด เพื่อให้อิสลามยังคงอยู่ พร้อมกันนั้น อา ลูก และลุงของท่านอิกริมะห์ก็เป็นชะฮีดในการรบครั้งนี้ด้วย เมื่อท่านอิกริมะห์จะสิ้นใจ ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพได้ยกศรีษะ ของท่านอิกริมะห์มาพาดไว้ ที่ขา เอาลูกชายของอิกริมะฮฺมาพาดไว้ที่หน้าแข้ง และหยอดน้ำให้ทั้งสองคนจนกระทั่งชีวิตออกจากร่างไป

          นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจลืมได้ สงครามยัรมู๊ก เป็นสงครามที่ชี้ชะตากรรมว่า มุสลิมจะอยู่หรือจะไป การที่ท่านอิกริมะฮห์แสดงการอีหม่านอันชัดแจ้งออกมา จึงสามารถกอบกู้สถานการณ์ไว้ได้อย่างทันท่วงที และทำให้แสงสว่างของอัลเลาะห์ตกทอดสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ว่าสมรภูมินี้เกิดขึ้นใน ฮ.ศ.ที่ 13 ในปลายสมัยของท่านคอลีฟะห์ อบูบักรฺก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกเหตุการณ์ ดังกล่าวไว้ ผู้ที่เป็นมุสลิมยังคงกล่าวถึง และสดุดีวีรกรรมของท่านอิกริมะห์ และผู้ต่อสู้เพื่ออิสลาม อยู่เสมอมิได้ขาด

          เราในฐานะมุสลิมและเป็นประชาชาติของ นบีมุฮัมมัด และเป็นผู้ปฎิบัติ ตามแนวทางของท่านร่อซูล หากเราคำนึงถึง มรดกที่ท่านร่อซูล และบรรดาศอฮาบะห์ทิ้งไว้ให้เรา ด้วยการศึกษา เรียนรู้ และใส่ใจต่อกันอย่างจริงจังแล้ว แน่นอนเหลือเกินเราจะต้องต่อสู้และป้องกันจนสุดความสามารถ ด้วยทุกวิถีทางเพื่อให้ศาสนาอิสลาม ของเราตกทอดมาถึงลูกหลานของเราสืบไป

          หากเราไม่ศึกษา ไม่หาความรู้ ไม่ยอมยากลำบาก เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งอันทรงคุณค่ามหาศาลนี้แล้ว แน่นอนเราอาจจะไม่เห็นคุณค่า และความสำคัญของอิสลามและบางทีการเป็นมุสลิมก็อาจจะเป็นไปในทำนองที่ไม่มีชีวิตชีวาไม่มีความรู้สึกหวงแหน ไม่มีความภาคภูมิใจในการที่เราเป็นมุสลิม 

         ฉะนั้นผู้ที่อ้างตนว่าปฎิบัติตามแนวทางของท่านร่อซูล จึงสมควรจะแสดงตนว่าได้ศึกษาสิ่งที่บรรดา บรรพบุรุษผู้มีพระคุณได้อุทิศชีวิตเพื่อปกป้องให้เป็น มรดกสืบทอดต่อมาแก่ลูกหลานในอนาคตกาล ข้างหน้าแม้จะเพียงสักเล็กน้อยก็ตามมิใช่หรือ?

วัสลาม


                    

จาก หนังสือประวัติซอฮาบะห์ 1

พิมพ์เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น