วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เตาฮีดของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)

 เตาฮีดของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)

สถานะเตาฮีดเป็นหลักการยึดมั่นที่สำคัญสำหรับมวลมนุษย์และเป็นเป้าหมายหลักในการดะอฺวะฮ์ของบรรดารอซูลในแต่ละสมัยนับตั้งแต่นบีอาดัมจนถึงนบีท่านสุดท้ายมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
หลักการเตาฮีดของบรรดานบีมีหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีการแตกแยก คือ เรียกร้องเชิญชวนสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) พระองค์เดียวและห้ามปรามจากการทำอิบาดะฮฺหรือสักระนอกอื่นจากอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ดังที่พระองค์ตรัสว่า
ความว่า : "และโดยแน่นอนเราได้ส่งเราะซูลมาในทุกประชาชาติ(โดยบัญชาว่า) พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮฺและจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด"
(ซูเราะฮฺอันนะฮฺลฺ : ส่วนหนึ่งอายะ 36)
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ส่งเราะซูลให้แก่ทุกประชาชาติ ทุกศตวรรและทุกกลุ่มชาติพันธ์ ซึ่งพวกเขาทั้งหมดทำหน้าที่อันเดียวกันคือ การเชิญชวนและเรียกร้องให้มวลมนุษย์เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) พระองค์เดียวและห้ามปรามจากการทำอิบาดะฮฺหรือสักระนอกอื่นจากพระองค์ (Ibn Kathir, 1991 : 2/626)
ดังนั้นการเรียกร้องเตาฮีดจึงมีมาโดยตลอด โดยเฉพาะในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อัลกุรอานที่ถูกประทานแก่ท่านในช่วงแรกนั้นล้วนกล่าวถึงเรื่องเตาฮีด สูเราะฮฺต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในอัลกุรอานส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันธ์กับเตาฮีดเป็นหลัก และเตาฮีดที่ยึดถือโดยท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) นั้น มาจากแหล่งวะฮฺยู คือ อัลกุรอานและอัลหะดีษ
อัลกุรอานคือ แหล่งเตาฮีด ที่สำคัญของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ดังที่อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า :
ความว่า : "ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังเราะซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใดก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺและเราะซูลลุลลอฮฺ หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง "
(ซูเราะฮฺ อันนิสาอ์ : อายะฮฺ 59)
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้เรียกร้องบรรดาผู้ศรัทธาให้เชื่อฟังและกลับไปหาพระองค์และเราะซูลของพระองค์ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะกรณีมีการขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุศูลหรือฟุรูอฺ วาญิบต้องกลับไปยังกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และไม่อนุญาตใช้ตัดสินกับสิ่งที่นอกเหนือจากทั้งสอง (al-Shanqitiy 1995:1/244)
การเชื่อฟังหรือการกลับไปยังอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ในเรื่องเตาฮีดเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่มีผู้ใดที่มีความรู้ในเรื่องของอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ยิ่งกว่าพระองค์เอง
ในบรรดาอายะฮฺอัลกุรอานที่กล่าวถึงเตาฮีดที่ยึดมั่นโดยท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) คือ
ความว่า : "จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คือ อัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติและไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์" (ซูเราะฮฺ อัลอิคลาศ : 1-4 )
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้แจ้งถึงความบริสุทธิ์พระนามและคุณลักษณะของพระองค์จากสิ่งบกพร่องทั้งหลาย โดยที่พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงเอกกะในเรื่องซาต พระนาม คุณลักษณะและการกระทำและซูเราะฮฺอัลอิคลาศนี้เทียบเท่ากับหนึ่งในสามของอัลกุรอาน เนื่องได้มีการเจาะจงเป็นการเฉพาะเกียวกับสิทธิของอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ในเรื่องซาตและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ที่เป็นเอกะปละเป็นที่พึ่งพร้อมปฏิเสธการถูกกำเนิด การมีบุตและความเหมือน ซึ่งทั้งหมดเป็นคุณลักษณะแห่งความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) (a;-Shanqitiy,1995: 9/148)
การรู้จักอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ด้วนพระนามและคุณลักษณะของพระองค์พร้อมยอมรับในความเป็นเอกะของพระองค์แล้ว จำเป็นต้องเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) พระองค์เดียวโดยไม่มีภาคีใดๆ ทั้งสิ้น
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า :
ความว่า : " พระองค์คืออัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก นอกจากพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย พระองค์คือผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ พระองค์คืออัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่ถูกเคารพภักดีโยยเที่ยงแท้) นอกจากพระองค์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงความศานติสุข ผู้ทรงคุ้มครองการศรัทธา ผู้ปกปักรักษาความปลอดภัย ผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงปราบให้เรียบร้อย ผู้ทรงความยิ่งใหญ่ มหาบริสุทธิ์แด่ อัลลอฮฺให้พ้นจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีต่อพระองค์ "
(ซูเราะฮฺ อัลฮัซรฺ อายะฮฺ 22-23)
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้กล่าวถึงกะลิมะฮฺเตาฮีดสองครั้งพร้อมกับมีการตัสบีฮฺ และได้กล่าวถึงพระนามอันวิจิตรและคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดของทุกประชาชาติและบรรดาเราะซูลของพวกเขา เพราะการเรียกร้องเชิญชวนของบรรดาเราะซูลต่อประชาชาติทั้งหมดคือ การให้ความเป็นเอกะต่ออัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ในเรื่องซาต พระนามและคุณลักษณะของพระองค์ พร้อมกับให้ความบริสุทธิ์ต่อพระองค์ในทุกด้านของการภาคี(al-Shanqitiy, 1995: 8/67)
การให้ความสำคัญกับเตาฮีดและการยอมรับในพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เป็นสิ่งจำเป็นกับมนุษย์ทั้งหลายที่จะต้องเรียนรู้และปฏิบัติ
นี่คือส่วนหนึ่งของเตาฮีดที่ยึดมั่นโดยท่านนบีมุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ในอัลกุรอาน และอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงสั่งใช้ให้ปฏิบัติตามเตาฮีดของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
ดังที่พระองค์ตรัสว่า :
ความว่า : "และอันใดที่เราะสูลได้นำมายังพวกเจ้าก็จงยึดเอาไว้ และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย" (ซูเราะฮฺอัลฮัซรฺ ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺ 7)
อัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้สั่งใช้ให้บ่าวของพระองค์ทั้งหลายปฏิบัติตามเราะซูลของพระองค์ในทุกกรณีโดยไม่มีการจำกัด (al-Shanqitiy, 1995 :8/40)
การปฏิบัติตามเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เป็นสิ่งที่วาญิบกับบรรดามุอ์มินทั้งหลายเพราะท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จะไม่สั่งหรือห้ามสิ่งใดเว้นแต่เป็นสิ่งที่โปรดปรานจากอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เท่านั้น
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า :
ความว่า : "ฉันจะไม่ปฏิบัติตามเว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น"
(ซูเราะฮฺยูนุส : ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺ 15)
อัลลอฮ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) สั่งให้ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวกับประชาชาติของเขาว่า ฉันจะไม่ปฏิบัติในทุกสิ่งที่ฉันสั่งใช้และสั่งห้ามกับท่านเว้นแต่สิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงประทานให้กับฉันเท่านั้น
(al-Tabariy, 2000 : 15/40)

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ สนับสนุนหรือคัดค้าน เมาลิด กันแน่ ...

 

ปราโมทย์ ศรีอุทัย (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) 
ผมเห็นนักวิชาการหลายท่าน ได้อ้างคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะฮ์มาเป็นหลักฐานเรื่องทำเมาลิด - ทั้งผู้ที่สนับสนุนให้ทำเมาลิดและผู้ที่คัดค้านการทำเมาลิด - โดยอ้างจาก "คำพูดเดียวกัน" ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์มาเป็นหลักฐานยืนยันแนวคิดของตน ...
เพราะในคำพูดของท่าน มีทั้งกล่าวถึงผลบุญที่ผู้ทำเมาลิดจะได้รับ, มีทั้งกล่าวว่า การทำเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ (ซึ่งมิใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์แน่นอน) ...
จึงทำให้สงสัยว่า ตกลง ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวอย่างนั้น เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านการทำเมาลิดกันแน่ ? ...
ผมขออธิบายเสริมนิดหนึ่งก่อนว่า เท่าที่ผมเคยอ่านคำแปลของทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันแล้ว จะมีจุดหนึ่งที่สอดคล้องกัน คือ "แปลผิด" เหมือนกันตรงข้อความที่ว่า والله قد يثيبهم ..
เพราะทั้งสองฝ่ายจะแปลออกมาในลักษณะว่า .. "ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะให้ผลบุญแก่พวกเขา" จนนำไปสู่ความเข้าใจว่า ท่านอิบนุตัยมียะฮ์รับรองว่า ผู้ทำเมาลิดจะได้รับผลบุญจากการทำเมาลิดแน่นอน ..
ขอเรียนว่า คำแปลอย่างนี้ ผิดหลักไวยากรณ์อาหรับครับ ..
เพราะคำว่า قد ในภาษาอาหรับ หากมันนำหน้าฟิอฺแอลมุฎอเรียะอฺอย่างในคำข้างต้นนี้ มันจะมีความหมาย للتقليل ...
เพราะฉะนั้น คำกล่าวข้างต้นของท่านจึงต้องแปลว่า "ซึ่งบางที พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อาจจะให้ผลบุญต่อพวกเขา" .. อย่างที่ผมแปลไปนั่นแหละครับ ...
คำพูดลักษณะนี้ เป็นเพียงการแบ่งรับแบ่งสู้ มิใช่ยืนยันครับ ...

ผมจึงขอนำเอาข้อเขียนของท่านที่เป็นตัวปัญหา - ทั้งหมด - พร้อมด้วยคำแปลของผมมาให้ท่านได้อ่านกัน แล้วกรุณาใช้ดุลยพินิจของท่านเอาเองว่า ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ สนับสนุนหรือคัดค้านการทำเมาลิด ?? ...
ท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 728) ได้กล่าวในหนังสือ “อิกติฎออุศ ศิรอฏิล มุสตะกีมฯ” เล่มที่ 2 หน้า 123 – 124 มีข้อความว่า .....
( وَكَذَلِكَ مَايُحْدِثُـهُ بَعْضُ النَّاسِ، إمَّا مُضَاهَاةً لِلنَّصَارَى فِيْ مِيْلاَدِ عِيْسَى عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَإمَّا مَحَبَّةً لِلنَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَعْظِيْمًا، وَاللَّـهُ قَدْ يُثِيْبُهُمْ عَلَى هَذِهِ الْمَحَبَّةِ وَاْلإجْتِهَادِ، لاَ عَلَى الْبِدْعَـةِ مِنِ اتِّخَـاذِ مَوْلِدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عِيْدًا، مَعَ اخْتِلاَفِ النَّاسِ فِيْ مَوْلِدِهِ، فَإنَّ هَذَا لَمْ يَفْعَلْـهُ السَّلَفُ، مَعَ قِيَامِ الْمُقْتَضِيْ لَـهُ وَعَدَمِ الْمَانِعِ مِنْهُ، لَوْكَانَ خَيْرًا مَحْضًا أَوْرَاجِحًا لَكَانَ السَّلَفُ رَضِيَ اللَّـهُ عَنْهُمْ أَحَقَّ بِـهِ مِنَّا، فَإنَّـهُمْ كَانُوْا أَشَدَّ مَحَبَّةً لِرَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَعْظِيْمًا لَـهُ مِنَّا، وَهُمْ عَلَى الْخَيْرِ أَحْرَصَ ....
وَإنَّمَا كَمَالُ مَحَبَّتِـهِ وَتَعْظِيْمِهِ فِيْ مُتَابَعَتِهِ وَطَاعَتِهِ وَاتِّبَاعِ أَمْرِهِ، وَإحْيَاءِ سُنَّتِهِ بَاطِنًاوَظَاهِرًا، وَنَشْرِمَابُعِثَ بِـهِ، وَالْجِهَادِ عَلَى ذَلِكَ بِالْقَلْبِ وَالْيَدِ واللِّسَانِ، فَإنَّ هَـذِهِ طَرِيْقَةُ السَّابِقِيْنَ اْلاَوَّلِيْنَ، مِنَ الْمُهَاجِرِيْنَ وَاْلاَنْصَارِ، وَالَّذِيْنَ اتَّبَعُوْهُـمْ بِإحْسَانٍ .....)

“และเฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่กล่าวมานี้ ก็คือ สิ่งซึ่งประชาชนบางคนได้ริเริ่มขึ้นมาใหม่ ..ในมุมมองหนึ่ง ก็เป็นการเลียนแบบชาวคริสต์ในการจัดงานฉลองวันเกิดของท่านนบีย์อีซา อะลัยฮิสสลาม (วันคริสต์มาส), แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็เป็นการแสดงความรักและเทิดทูนต่อท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ซึ่งบางที พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อาจจะให้ผลบุญต่อพวกเขาเพราะความรักและความทุ่มเทนี้บ้างก็ได้ ... แต่มิใช่ (พระองค์จะให้ผลบุญ) เพราะการทำบิดอะฮ์ ด้วยการยึดถือเอาวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นวันรื่นเริง, ทั้งๆที่พระชาชนก็ยังขัดแย้งกันอยู่เกี่ยวกับวันเกิดของท่าน, ทั้งนี้ เพราะการกระทำดังกล่าวนี้ บรรดาบรรพชนยุคแรกไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อนทั้งๆที่มีประเด็นส่งเสริมให้ทำ และไม่มีอุปสรรคอันใดเลย, สมมุติว่า หากการกระทำสิ่งนี้ เป็นเรื่องดีล้วนๆหรือมีน้ำหนักแห่งความดีอยู่บ้าง แน่นอนบรรพชนเหล่านั้น เหมาะสมที่สุดที่จะทำมันยิ่งกว่าพวกเรา,..ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขารักและเทิดทูนท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยิ่งกว่าพวกเรา, ทั้งยังเป็นผู้ที่กระหายในเรื่องการทำสิ่งดีมากที่สุดด้วย ...
ความสมบูรณ์เพียบพร้อมในเรื่องความรักและการเทิดทูนท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมนั้นมิใช่อื่นใด หากอยู่ที่การปฏิบัติตามท่าน, เชื่อฟังท่าน, กระทำตามคำสั่งของท่าน, ฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่าน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง, เผยแผ่สารของท่าน, เสียสละเพื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งใจ กาย และวาจา, เพราะสิ่งเหล่านี้ คือแนวทางของบรรดาบรรพชนยุคแรกๆ อันได้แก่ชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ็อรฺ, และบรรดาผู้ซึ่งปฏิบัติตามพวกท่านเหล่านั้นด้วยคุณธรรมความดี ......”

ท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์ ได้กล่าวอุปมา-อุปมัย ไว้ในหนังสือ “อิกติฎออุศ ศิรอฏิล มุสตะกีมฯ” เล่มที่ 2 หน้า 124 เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า .......
( وَإنَّمَـا هُمْ بِمَنْزِلَةِ مَنْ يُحَلِّي الْمِصْحَفَ وَلاَ يَقْرَأُ فِيْهِ، أَوْ يَقْرَأُ فِيْهِ وَلاَ يَتَّبِعُهُ، وَبِمَنْزِلَةِ مَنْ يُزَخْرِفُ الْمَسْجِدَ وَلاَ يُصَلَّى فِيْهِ، أَوْ يُصَلِّى فِيْهِ قَلِيْلاً .......... )
“และมันมิใช่อื่นใด นอกจากอุปมาพวกเขา --- ผู้ที่จัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์ฯเสียใหญ่โต แต่ไม่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่าน --- ก็เสมือนดั่งผู้ที่ประดับประดาอัล-กุรฺอ่านเสียดูสวยงาม แต่ไม่เคยอ่านมัน, หรือเคยอ่านบ้าง แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติตาม, ... และอุปมาเหมือนดั่งผู้ที่ตกแต่งมัสญิดจนดูเลิศหรู แต่ไม่เคยเข้าไปนมาซในมัสญิดนั้น, หรืออาจจะเคยเข้าไปนมาซบ้าง ก็แค่บางครั้งเท่านั้น ..........”

Asan Madadam เช็คบินบาซ ได้อธิยายยืนยันว่า อิบนุตัยมียะฮ
คัดค้านเรื่องเมาลิด

والشيخ تقي الدِّين أحمد بن تيمية رحمه الله ممن يُنكِرُ
ذلك (الاحتفال بذكرى المولد النبوي) ويرى أنه بدعة. ولكنه في كتابه (اقتضاء الصراط
المستقيم مخالفة أصحاب الجحيم) ذكر في حق مَن فعله جاهلاً، ولا ينبغي لأحدٍ أن
يغترَّ بمن فعله من الناس أو حبَّذ فعله أو دعا إليه ...؛ لأن الحجة ليست في أقوال
الرجال وإنما الحجة فيما قال الله سبحانه أو قاله رسولُه صلى الله عليه وسلم أو
أجمع عليه سلف الأمة

และเช็คตะกียุดดีน อะหมัด บิน ตัยมียะฮ (ร.ฮ) เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่คัดค้าน
ดังกล่าวนั้น (การเฉลิมฉลอง ด้วยการระลึกถึงวันเกิดนบี) และเขาเห็นว่ามันเป็นบิดอะฮ แต่ในตำราของเขา (อิกติฎออฺ อัศศิรอติลมุสตะกีมมุคอละฟะติ อัศหาบิลญะฮีม) เขาได้ระบุเกี่ยวกับผู้ที่ปฏิบัติ มัน เพราะความไม่รู้
และไม่สมควรหลงเชื่อด้วยบรรดาผู้คนที่ปฏิบัติมัน หรือ สรรเสริญการกระทำของเขาหรือ เรียกร้องไปสู่มัน .... เพราะหลักฐานไม่ได้อยู่ ในบรรดาคำพูด(ทัศนะ)ของผู้คน
และความจริงหลักฐาน อยู่ในสิ่งที่อัลลอฮ ซ.บ. หรือรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้กล่าวมัน
หรือ อุมมะฮยุคสะลัฟได้มีมติ(อิจญมาอ)บนมัน
مجموع فتاوى العلامة عبد العزيز بن باز (9/ 211)، أشرف
على جمعه وطبعه: محمد بن سعد الشويعر
............

Asan Madadam ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وأما اتخاذ موسم غير المواسم الشرعية كبعض ليالي شهر ربيع الأول التي يقال : إنها ليلة المولد , أو بعض ليالي رجب , أو ثامن عشر ذي الحجة , أو أول جمعة من رجب , أو ثامن من شوال الذي يسميه الجهَّال عيد الأبرار : فإنها من البدع التي لم يستحبها السلف , ولم يفعلوها. والله سبحانه وتعالى أعلم
"สำหรับการยึดเอาเทศกาลหนึ่งเทศกาลใด(มาเฉลิมฉลอง)อื่นจากบรรดาเทศกาลทางศาสนบัญัติ เช่น บางคืนของเดือนเราะบิอุลเอาวัล ซึ่ง เรียกกันว่า "คืนเมาลิด" หรือ บางคืนของเดือนเราะญับ หรือ คืนที่แปดของเดือนซุลหิจญะฮ หรือ วันศุกร์แรกของเดือนเราะญับ หรือ วันที่แปดของเดือนเชาวาล ที่บรรดาพวกโง่เขลา เรียกว่า "อีดุลอับรอ็ร" นั้น แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ ที่บรรดาชาวสะลัฟไม่ส่งเสริมให้กระทำและพวกเขาไม่ได้กระทำมัน ,วัลลอฮุซุบหานะฮูวะตะอาลา อะอฺลัม. - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 25 หน้า 298
.............
การเจตนาจงใจบิดเบือนคำพูดของอุลามาอฺ เพื่อหาความชอบธรรมให้กับทัศนะตัวเองนั้น ช่างน่าละอายยิ่งนัก ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ใครมีทัศนะอย่างไร ก็ควรนำเสนอข้อมูลวิชาการด้วยความอิคลาศและมีอามานะฮ หากมีการผิดพลาด โดยไม่เจตนาเราหวังจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ เพราะ การเจตาที่ดีเพื่อมุ่งที่จะเข้าถึงสัจธรรมที่แท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บ้านนบี بيت النبي ﷺ

 

บ้านนบี بيت النبي ﷺ

บ้านนบี  بَيْتُ النَّبِي ﷺ   หมายถึง บ้านอันเป็นที่พำนักของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ และครอบครัวของท่านหรือหมายถึงตัวท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ พร้อมด้วยภริยาและบุตรธิดาของท่าน ซึ่งในแง่นี้จะมุ่งหมายถึงตัวบุคคลที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนั้น มิได้จำกัดความเอาเฉพาะตัวบ้านหรือสถานที่อันเป็นสิ่งปลูกสร้างสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น

บ้านนบี เริ่มต้นด้วยการออกเรือนและการครองเรือนของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ กับภริยาของท่าน ต่อมาบุตรธิดาของท่านก็ถือกำเนิดและใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนั้น บ้านนบีมีอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกเป็นบ้านของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ภริยาท่านแรกของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ซึ่งตั้งอยู่ที่นครมักกะฮฺ ส่วนบ้านนบีแห่งที่สองตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของมัสยิดนะบะวียฺ ณ นครมะดีนะฮฺ

บ้านนบีหลังแรก ณ นครมักกะฮฺ

เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ มีอายุได้ 25 ปีท่านได้สมรสกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งมีอายุได้ 40 ปี นั่นหมายความว่า ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีอายุมากกว่าท่านนบี ﷺ สิบห้าปี และท่านหญิงเคยมีสามีมาก่อนหน้าการสมรสกับท่านนบี ﷺ สองคน คือ อะตีก อิบนุ อาอิซ อัล-มัคซูมียฺ ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ให้กำเนิด “ฮินด์” บุตรีแก่ อะตีก อิบนุ อาอิซ อัล-มัคซูมียฺ และบุตรที่ชื่อ อับดุลลอฮฺ หรือ อับดุมะนาฟ

ส่วนสามีคนที่สองของท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) นั้นคือ อบูฮาละฮฺ อัน-นับบ็าช อิบนุ ซุรอเซาะฮฺ อัต-ตะมีมียฺ มีบุตรกับท่านหญิง (เราฎิยัลลอฮุอันฮา) 2 คนคือ ฮินด์ เป็นบุตรชายและฮาละฮฺ เป็นบุตรี และฮินด์ บุตรของอบูฮาละฮฺได้กลายเป็นลูกเลี้ยง (เราะบีบ) ของท่านนบี ﷺ ในเวลาต่อมา (1)

ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ครองเรือนกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นเวลา 24 ปี 5 เดือนกับอีก 8 วัน โดย 15 ปีแรกแห่งการครองเรือนเป็นช่วงก่อนการได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบี และช่วงเวลาที่เหลือเป็นช่วงเวลาหลังการได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบี จนถึงการเสียชีวิตของท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ขณะมีอายุได้ 65 ปี นักประวัติศาสตร์เห็นตรงกันว่า ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นภริยาท่านแรกของท่านนบี ﷺ และท่านนบี ﷺ ไม่เคยสมรสกับสตรีใดมาก่อนหน้าท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และไม่ได้สมรสกับสตรีคนใดขณะที่ครองเรือนอยู่กับท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) (2)

บ้านนบี หลังแรกในนครมักกะฮฺเป็นบ้านของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับประตูอัลมัรวะฮฺ (3) บริเวณทางสะแอที่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดหะรอมไปแล้ว ในสมัยท่านนบี ﷺ บ้านของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ตั้งอยู่ในเขตชุมชนของตระกูลอะสัด อิบนุ อับดิลอุซซา ซึ่งอยู่ติดกับมัสยิดหะรอม

บริเวณนั้นมีบ้านของท่านอัซ-ซุบัยรฺ อิบนุ อัล-เอาว็าม (ร.ฎ.) และท่านหะกีม อิบนุ หิซาม (ร.ฎ.) รวมถึงบ้านของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งท่านนบี ﷺ ได้สมรสกับท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และใช้ชีวิตอยู่กับท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ภายในบ้านหลังนั้น(4)

บ้านนบี หลังแรกในนครมักกะฮฺเป็นสถานที่กำเนิดบุตรธิดาทุกคนของท่านนบี ﷺ กับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ยกเว้นท่านอิบรอฮีม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) ซึ่งเกิดแต่ท่านหญิงมารียะฮฺ อัล-กิบฏียะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ที่นครมะดีนะฮฺ

ทัศนะของปวงปราชญ์ที่ถูกต้องที่สุด ระบุว่า บุตรชายของท่านนบี ﷺ ที่ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ให้กำเนิดมี 2 ท่าน คือ อัล-กอสิมและอับดุลลอฮฺ เหตุนั้นท่านนบี ﷺ จึงถูกเรียกขานว่า อบู อัล-กอสิม เพราะอัล-กอสิม เป็นบุตรคนหัวปีของท่านนบี ﷺ ส่วนอับดุลลอฮฺนั้นมีฉายาว่า อัฏ-ฏอยยิบหรืออัฏ-ฏอฮิรฺ ท่านอับดุลลอฮฺ ถือกำเนิดหลังการได้รับแต่งตั้งเป็นนบีของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ แต่อิบนุ อิสหากระบุว่า บุตรชายของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ทุกท่าน –ยกเว้นท่านอิบรอฮีม-  ถือกำเนิดก่อนการประกาศศาสนาอิสลามและทั้งหมดเสียชีวิตก่อนการประกาศศาสนาอิสลาม –ยกเว้นท่านอิบรอฮีม- ในขณะที่ยังอยู่ในวัยดื่มนม (5)

ส่วนบุตรีของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ซึ่งทั้งหมดถือกำเนิดแต่ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) นั้นมีจำนวน 4 ท่านได้แก่ ท่านหญิงซัยหนับ , ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ , ท่านหญิงอุมมุกุลฮูม และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ริฎวานุลลอฮิอะลัยฮินน่า) บรรดาบุตรีของท่านนบี ﷺ ทั้ง 4 ท่านมีชีวิตอยู่จนถึงการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ และได้ร่วมอพยพสู่นครมะดีนะฮฺในเวลาต่อมา (6)

นักปราชญ์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า อัล-กอสิมเป็นบุตรชายคนหัวปีและซัยหนับเป็นบุตรีคนโต ส่วนฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺนั้นเป็นบุตรีคนสุดท้องของท่านนบี ﷺ และบรรดาลูกหลานผู้เป็นสมาชิกของบ้านนบีสืบเชื้อสายผ่านฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) (7)

สมาชิกในบ้านนบีหลังแรก ณ นครมักกะฮฺ

บ้านนบีหลังแรก ณ นครมักกะฮฺมีสมาชิกประกอบด้วย

ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ผู้ได้รับฉายาว่า อัล-อะมีน (ผู้ซื่อสัตย์) และเป็นนายของบ้านหลังนี้เมื่อสมรสกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ขณะมีอายุได้ 25 ปี ท่านใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนี้กับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นเวลาเกือบ 25 ปี โดยมีสถานะเป็นสามีของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และบิดาของบุตรธิดา 6 คน (ไม่นับรวมท่านอิบรอฮีม)

ในช่วง 15 ปีแรก ผู้คนรู้จักท่านในนามมุฮัมมัด อัล-อะมีน บุตรของอับดุลลอฮฺ บุตรอับดิลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาชิม บุตร อับดิมะนาฟ บุตรกุศอยย์ บุตรกิล็าบ บุตรมุรฺเราะฮฺ บุตรกะอฺบ์ บุตรลุอัยย์ บุตรฆอลิบ บุตรฟิฮฺริน บุตรมาลิก บุตรอัน-นัฎร์ บุตรกินานะฮฺ บุตรคุซัยมะฮฺ บุตรมุดริกะฮฺ บุตรอิลยาส บุตรมุฎ็อรฺ บุตรนิซ็ารฺ บุตรมะอัด บุตรอัดนาน และเชื้อสายของอัดนานสืบถึงท่านนบีอิสมาอีล (อะลัยฮิสสลาม) (8)

และท่านนบี ﷺ ได้ใช้ชีวิตภายในบ้านของท่านพร้อมกับสมาชิกในบ้านทุกคน (ยกเว้นท่านอบุลกอสิม บุตรชายคนหัวปีซึ่งนักปราชญ์ส่วนใหญ่ระบุว่าเสียชีวิตก่อนหน้าการประกาศศาสนาอิสลาม)  จนกระทั่งท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)

ท่านหญิงผู้เป็นมารดาแห่งศรัทธาชน เคาะดีญะฮฺ อุมมุลกอสิม บุตรีคุวัยลิด บุตรอะสัด บุตรอิบดิลอุซซา บุตรกุศ็อยย์ ผู้ได้รับฉายาว่าอัฏ-ฏอฮิเราะฮฺ (สตรีผู้บริสุทธิ์) ในสมัยก่อนการประกาศศาสนาอิสลาม (9) และเป็นเศรษฐีนีหม้าย ท่านหญิงได้สมรสกับท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ขณะมีอายุได้ 40 ปีและการสมรสนั้นเกิดขึ้นหลังจากท่านนบี ﷺ กลับจากแคว้นชามเพื่อทำการค้าให้แก่ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นเวลา 75 วัน (10)

ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีอายุมากกว่าท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ 15 ปี เพราะขณะทำการสมรสท่านหญิงมีอายุได้ 40 ปี แล้วในขณะที่ท่านนบี ﷺ มีอายุได้ 25 ปีเท่านั้น ซึ่งตามปกติผู้ชายวัยเบญจเพศมักต้องการสมรสกับสตรีที่มีอายุน้อยกว่า แต่เนื่องจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานความรักให้เกิดขึ้นระหว่างท่านนบี ﷺ กับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ดังที่ท่านนบี ﷺ เคยกล่าวกับท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราฎิยัลลอฮุอันฮา) ว่า : 

” إِنّيْ قَدْرُزِقْتُ حُبَّهَا “

“แท้จริง แน่นอนฉันได้ถูกประทานความรักที่มีต่อเคาะดีญะฮฺ”
(เศาะฮีหฺ มุสลิม : 4/1888 หะดีษเลขที่ 2436)

ฝ่ายท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เองก็มีความชื่นชมต่อความซื่อสัตย์ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ผู้ได้รับการขนานนามว่า อัล-อะมีน ในหมู่ชนชาวอาหรับในนครมักกะฮฺและความสำเร็จในการนำกองคาราวานสินค้าไปยังแคว้นชามของท่านนบี ﷺ ซึ่งท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้มอบทุนทรัพย์ให้ จนกระทั่งเมื่อท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้รับรายงานจากบ่าวที่ชื่อ มัยสะเราะฮฺ ซึ่งติดตามไปค้าขายที่แคว้นชามพร้อมกับท่านนบี ﷺ ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) จึงส่งคนไปทาบทามท่านนบี ﷺ การสู่ขอและการสมรสระหว่างท่านทั้งสองจึงเกิดขึ้นตามมาโดยมีญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ดำเนินการ

ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งในด้านเชื้อสายและความประเสริฐในตระกูลกุร็อยช์และเป็นเศรษฐินีที่ชาวอาหรับที่สูงศักดิ์ต่างก็หมายปอง แต่ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เลือกท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ เป็นคู่ครองเพราะชื่นชมในความซื่อสัตย์ มารยาทอันงดงามและการรักษาในวาจาสัตย์ของท่านนบี (11) ﷺ  การครองคู่ของบุรุษผู้มีความซื่อสัตย์ (อัล-อะมีน) กับสตรีผู้บริสุทธิ์ (อัฏ-ฏอฮิเราะฮฺ) จึงเป็นความงดงามและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ความรักและความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาระหว่างมุฮัมมัด อัล-อะมีน กับ เคาะดีญะฮฺ อัฏ-ฏอฮิเราะฮฺได้ผลิดอกออกผลเป็นบุตรธิดาจำนวน 6 คนคืออัล-กอสิม , อับดุลลอฮฺ , ซัยหนับ , รุกอยยะฮฺ อุมมุกุลษูม และฟาฏิมะฮฺ (ริฎวานุลลอฮิอะลัยฮิม) ทั้ง 6 คนคือ สมาชิกในบ้านนบีหลังแรก ณ นครมักกะฮฺ

ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) คือสตรีคนแรกที่ศรัทธาในศาสนาอิสลาม (12) เป็นภรรยาสุดที่รักซึ่งคอยให้การช่วยเหลือและปลอบประโลมใจท่านนบี ﷺ อยู่เสมอทั้งในช่วงก่อนและหลังการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของท่านนบี ﷺ ครั้งหนึ่งท่านนบี ﷺ ได้ตอบกับท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งมีอาการหึงหวงท่านนบี ﷺ ที่มักจะกล่าวถึงคุณงามความดีของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) อยู่เนือง ๆ ว่า :

” لَاوَالله مَارَزَقَنِى خَيْرًامِنْهَا ، آمنَتْ بِيْ حِيْنَ كَفَرَبِى الناسُ ، وَصَدَّقَتْنِيْ حِيْنَ كَذَّبَنِيْ النَاسُ ، وأَعْطَتْنِيْ مَالَهَاحِيْنَ حَرَّمَنِى الناسُ “

“ไม่หรอก! ขอสาบานต่อพระองค์อัลลอฮฺว่าพระองค์มิได้ประทานสตรีคนใดที่ดีกว่านางให้แก่ฉัน นางศรัทธาต่อฉันในขณะที่ผู้คนปฏิเสธศรัทธาต่อการประกาศศาสนาของฉัน นางเชื่อว่าฉันกล่าวความจริงในขณะที่ผู้คนกล่าวหาว่าฉันมุสา และนางได้มอบทรัพย์สินของนางให้แก่ฉันในขณะที่ผู้คนหักห้ามทรัพย์สินนั้นกับฉัน” (13)

หะดีษบทนี้ เป็นหลักฐานของนักปราชญ์ฝ่ายที่มีทัศนะว่าท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดในหมู่มารดาของเหล่าศรัทธาชนผู้เป็นภริยาของท่านนบี (14) ﷺ และส่วนหนึ่งจากความประเสริฐของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) คือการเป็นนายหญิงภายในบ้านนบีและเป็นภรรยาคนแรกและคนเดียวของท่านนบี ﷺ ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 25 ปี และเป็นมารดาของบุตรธิดาทั้งหมดของท่านนบี ﷺ –ยกเว้นท่านอิบรอฮีม-

และท่านหญิงเป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านญิบรออีล (อะลัยฮิสสลาม) ได้ฝากสลามถึงท่านหญิงผ่านท่านนบี ﷺ ตลอดจนได้รับข่าวดีว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงเตรียมปราสาทที่ทำจากไข่มุกกลวงในสรวงสวรรค์แก่ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งปราสาทแห่งนั้นไม่มีการส่งเสียงดังอึกทึกและไม่มีความลำบากใด ๆ(15) และมีหะดีษระบุว่า : “สตรีแห่งสวนสวรรค์ที่ประเสริฐสุดคือ ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด , ฟาฏิมะฮฺ บินตุ มุฮัมมัด , มัรยัม บินตุ อิมรอนและอาสิยะฮฺ ภรรยาของฟิรเอาวฺน์” (16)

ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เสียชีวิตก่อนการอพยพของท่านนบี ﷺ สู่นครมะดีนะฮฺเป็นเวลา 3 ปี ขณะมีอายุได้ 65 ปี ศพของท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถูกฝังที่อัล-หะญูน ณ สุสานอัล-มะอฺลาฮฺ ตรงบริเวณที่เรียกกันว่า ชะอฺบุลมักบะเราะฮฺ(17)  

อัล-กอสิม อิบนุ มุฮัมมัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ อิบนิ อับดิลมุฏเฏาะลิบบุตรชายคนหัวปีของท่านนบี ﷺ ซึ่งเกิดแต่ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ บินตุ คุวัยลิด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถือกำเนิดที่นครมักกะฮฺ ณ บ้านนบีก่อนการแต่งตั้งท่านนบี ﷺ เป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม เหตุนั้นท่านนบี     จึงถูกเรียกขานด้วยกุนยะฮฺว่า  อบูอัล-กอสิม   (บิดาของอบู-อัลกอสิม) ท่านอัล-กอสิมมีอายุได้เพียง 2 ปีก็เสียชีวิต

ท่านมุญาฮิดกล่าวว่า : อัล-กอสิมเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 7 วัน ท่านอัซ-ซุฮฺรีย์ กล่าวว่า อัล-กอสิมเสียชีวิตขณะมีอายุได้ 2 ปี และท่านเกาะตาดะฮฺ กล่าวว่า : อัล-กอสิมมีชีวิตจนเริ่มเดินได้ และนักปราชญ์เห็นตรงกันว่า อัล-กอสิมเป็นบุตรชายคนแรกของท่านนบี ﷺ ที่เสียชีวิตในขณะเยาว์วัย ศพของท่านถูกฝังที่อัล-หะญูน ณ สุสานอัล-มะอฺลาฮฺเคียงข้างหลุมศพท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ผู้เป็นมารดา (18)

อับดุลลอฮฺ อิบนุ มุฮัมมัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ อิบนิ อับดิลมุฏเฏาะลิบ ผู้ได้รับฉายาว่า อัฏ-ฏอยยิบและอัฏ-ฏอฮิรฺ ถือกำเนิด ณ นครมักกะฮฺภายในบ้านนบี  ก่อนการได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของท่านนบี ﷺ บ้างก็ว่าหลังจากนั้น และเสียชีวิตที่นครมักกะฮฺขณะมีอายุไม่ถึง 1 ปี  การเสียชีวิตของท่านอับดุลลอฮฺ อัฏ-ฏอยยิบ อัฏ-ฏอฮิรฺ เป็นเหตุแห่งการประทานสูเราะฮฺอัล-เกาษัรฺแก่ท่านนบี (19) ﷺ  บ้างก็ว่าสูเราะฮฺนี้ประทานลงมาแก่ท่านนบี ﷺ หลังการเสียชีวิตของท่านอัล-กอสิมโดยอัล-อาศ อิบนุ วาอิลได้กล่าวว่า มุฮัมมัดนั้นไร้บุตรสืบสกุลซึ่งชาวอาหรับเรียกว่า อับตัรฺ (20)

ซัยหนับ บินตุ มุฮัมมัด ﷺ ถือกำเนิด ณ นครมักกะฮฺในบ้านนบีก่อนหน้าการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ 10 ปี ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นบุตรีคนโตของท่านนบี ﷺ และได้รับการอบรมเลี้ยงดูภายในบ้านนบี ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นบุตรีสุดที่รักของท่านนบี ﷺ และท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ผู้เป็นมารดา เมื่อท่านนบี ﷺ ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสนทูต

ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้เข้ารับอิสลามและก่อนหน้าการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ และท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ยังมีชีวิต ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้สมรสกับอบุลอ็าศ อิบนุ อัรฺ-เราะบีอฺ อิบนิ อับดิลอุซซา อิบนิ อับดิชัมส์ อิบนิ อับดิมะนาฟ ซึ่งมารดาของอบุลอ็าศ คือ ฮาละฮฺ บินตุ คุวัยลิด น้าสาวของท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งให้กำเนิดอุมามะฮฺและอะลีแก่อบุลอ็าศ  อะลี อิบนุ อบิลอ็าศเสียชีวิตขณะเยาว์วัย ส่วนอุมามะฮฺนั้นมีชีวิตต่อมาและได้สมรสกับท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ตามคำสั่งเสียของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรอฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ผู้เป็นน้าสาวของอุมามะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) (21)

ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้เข้ารับอิสลามและอพยพสู่นครมะดีนะฮฺก่อนการเข้ารับอิสลามของอบุลอ็าศ เป็นเวลา 6 ปี(22) และการเป็นสามีภรรยาของบุคคลทั้งสองยังคงดำเนินอยู่ต่อมาจนกระทั่งอบุลอ็าศถูกจับเป็นเชลยศึกในสมรภูมิบัดร์ ปีฮ.ศ.ที่ 2 ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) จึงได้ส่งสังวาลย์ของท่านหญิงซึ่งเป็นของขวัญที่พระนางเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลอฮุอันฮา) มอบให้ในวันที่สมรสกับอบุลอ็าศเพื่อเป็นค่าไถ่ตัวอบุลอ็าศโดยมีเงื่อนไขว่าอบุลอ็าศต้องยอมให้ท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) อพยพไปยังนครมะดีนะฮฺ (23)  บุคคลทั้งสองจึงพรากจากกันจนกระทั่งถึงปีฮ.ศ.ที่ 6

อบุลอ็าศซึ่งเวลานั้นยังไม่ได้เข้ารับอิสลามได้ร่วมกองคาราวานสินค้าของพวกกุรอยช์ไปยังแคว้นชาม อบุลอ็าศได้นำทรัพย์สินของตนและทรัพย์สินของชาวมักกะฮฺที่ฝากเอาไว้เป็นทุนสำหรับการค้าขายที่แคว้นชาม เมื่อทราบข่าวว่ามีกองคาราวานสินค้าของกุรอยช์ผ่านมา ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ จึงส่งกองทหารที่มีซัยด์ อิบนุ หาริษะฮฺ (ร.ฎ.) เป็นแม่กองเข้ายึดทรัพย์ในกองคาราวานสินค้าและจับผู้อยู่ในกองคาราวานเป็นเชลยศึก ฝ่ายอบุลอ็าศสามารถหลบหนีและเข้าสู่นครมะดีนะฮฺในเวลากลางคืนแล้วขอความคุ้มครองกับท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) 

ต่อมาอบุลอ็าศได้กลับสู่นครมักกะฮฺเพื่อมอบทรัพย์สินคืนแก่เจ้าของและเข้ารับอิสลาม พอถึงปีฮ.ศ.ที่ 7 ก็กลับมายังนครมะดีนะฮฺและใช้ชีวิตอยู่กับท่านหญิงซัยหนับ (เราฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ 1 ปี ท่านหญิงก็สิ้นชีวิตในตอนต้นปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช (24)

รุกอยยะฮฺ บินตุ มุฮัมมัด ﷺ ถูกเรียกขานด้วยกุนยะฮฺว่า อุมมุอับดิลลาฮฺ ถือกำเนิดที่นครมักกะฮฺก่อนการประกาศศาสนาของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ 7 ปี และเข้ารับอิสลามพร้อมกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ผู้เป็นมารดาตลอดจนเข้าร่วมสัตยาบันของเหล่าสตรีที่ให้สัตยาบันกับท่านนบี (25) ﷺ

ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เคยสมรสกับอุตบะฮฺ อิบนุ อบีละฮับก่อนการอพยพ  ทว่าเมื่อสูเราะฮฺอัล-มะสัดได้ประทานลงมา อบูละฮับผู้เป็นบิดาของอุตบะฮฺได้ยื่นคำขาดให้อุตบะฮฺหย่าท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราฎิยัลลอฮุอันฮา) และพวกกุรอยช์ได้มาหาอุตบะฮฺเพื่อยื่นข้อเสนอเดียวกันนี้ อุตบะฮฺจึงกล่าวว่า หากพวกท่านสมรสบุตรีของอะบาน อิบนุ สะอีด อิบนิ อัล-อาศแก่ฉัน ฉันก็จะหย่ารุกอยยะฮฺ พวกกุรอยช์ก็ตกลง อุตบะฮฺจึงหย่าท่านหญิงรุกอยยะฮฺก่อนที่จะเข้าเรือนหอ (26)

ต่อมาท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้สมรสกับท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) และอพยพไปยังดินแดนอัล-หะบะชะฮฺ (อบิสซิเนีย) พร้อมกับท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ทั้งสองครั้ง ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่ออับดุลลอฮฺแก่ท่านอุษมาน (ร.ฎ.) เหตุนั้นท่านจึงถูกเรียกขานว่า “อบู อับดิลลาฮฺ” ต่อมาอับดุลลอฮฺได้เสียชีวิตขณะมีอายุได้ 6 ปี เนื่องจากถูกไก่จิกที่ใบหน้าและเกิดอาการอักเสบแผลติดเชื้อ ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้อพยพสู่นครมะดีนะฮฺหลังจากท่านอุษมาน (ร.ฎ.) และล้มป่วยก่อนหน้าสมรภูมิบัดร์เพียงเล็กน้อย ท่านนบี ﷺ จึงอนุญาตให้ท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ไม่ต้องออกศึกและให้พยาบาลท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) จนกระทั่งเสียชีวิตในขณะที่บรรดามุสลิมอยู่ที่ตำบลบัดร์ (27)

อุมมุกุลษูม บินตุ มุฮัมมัด ﷺ ถือกำเนิดก่อนการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ 6 ปี ณ นครมักกะฮฺ และเข้ารับอิสลามพร้อมกับสมาชิกในบ้านนบี ท่านหญิงอุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เคยสมรสกับอุตัยบะฮฺ อิบนุ อบีละฮับน้องชายของอุตบะฮฺ อิบนุ อบีละฮับที่เคยสมรสกับท่านหญิงรุกอยเยาะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) แต่ยังไม่ทันเข้าร่วมห้องหอก็หย่าท่านหญิงอุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เสียก่อนหลังการประทานสูเราะฮฺอัล-มะสัด ลงมาเป็นเหตุให้อบูละฮับบังคับบุตรชายของตนทั้งอุตบะฮฺและอุตัยบะฮฺให้หย่าบุตรีทั้งสองของท่านนบี ﷺ

ในกรณีของอุตัยบะฮฺนี้ท่านนบี ﷺ ได้ขอดุอาอฺจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ว่า : “สุนัขตนหนึ่งจากบรรดาสุนัขของพระองค์อัลลอฮฺได้สวาปามเจ้าแล้ว” คำว่าสุนัข (กัลบ์) ณ ที่นี้หมายถึงสิงโต ผลจากดุอาอฺนี้ อบูละฮับและอุตัยบะฮฺจึงมีความหวาดกลัวเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อท่านนบี ﷺ ขอดุอาอฺแล้วพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ย่อมทรงตอบรับและเรื่องนั้นต้องเกิดขึ้นจริง อุตัยบะฮฺจะออกจากบ้านโดยมีองครักษ์ 2 คนคอยคุ้มกัน ซ้ายขวาอยู่เสมอ แล้ววันหนึ่งอุตัยบะฮฺออกไปทำการค้าขาย ระหว่างทางอุตัยบะฮฺจะนอนหลับตรงกลางโดยมีองครักษ์นอนขนาบอยู่ซ้ายขวา แล้วสิงโตตนหนึ่งก็ออกมาตะปบและลากตัวอุตัยบะฮฺไปทั้ง ๆ ที่อุตัยบะฮฺหลับอยู่ สิงโตตนนั้นก็สวาปามอุตัยบะฮฺเป็นอาหารของตน สิ่งที่ท่านนบี ﷺ ขอดุอาอฺไว้จึงเป็นจริงตามนั้น (28)

ต่อมาท่านหญิงอุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้อพยพสู่นครมะดีนะฮฺและอยู่ร่วมกับท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ในตอนที่ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ล้มป่วยและเสียชีวิต หลังการเสียชีวิตของท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ในช่วงเกิดสมรภูมิบัดร์ ปี ฮ.ศ.ที่ 2 ท่านนบี ﷺ ได้มาหาท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) ณ ประตูมัสยิดนะบะวียฺแล้วกล่าวว่า : “โอ้ อุษมาน นี่คือญิบรีล แน่แท้ญิบรีลได้ใช้ให้ฉันสมรสอุมมุกุลษูมให้แก่ท่านด้วยมะฮัรเฉกเช่นมะฮัรฺของรุกอยยะฮฺและบนการครองเรือนเฉกเช่นการครองเรือนกับรุกอยยะฮฺ” (29)

การสมรสของท่านหญิงอุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) กับท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) เกิดขึ้นในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ปี ฮ.ศ.ที่ 3 ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ไม่มีบุตรธิดาให้แก่ท่านอุษมาน (ร.ฎ.) (30) และเสียชีวิตในเดือนชะอฺบาน ปี ฮ.ศ.ที่ 9 (31)  ท่านนบี ﷺ ได้กล่าวว่า : 

“لَوْكُنَّ عَشْرًالزَوَّجْتُهُنَّ عُثْمَانَ”

“หากว่าฉันมีบุตรี 10 คน แน่นอนฉันย่อมสมรสพวกนางแก่อุษมาน”(32)

ท่านหญิงอุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้อภิบาลอับดุลลอฮฺบุตรชายของท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ซึ่งเกิดแต่ท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และใช้ชีวิตคู่กับท่านอุษมาน (ร.ฎ.) เป็นเวลา 6 ปี เมื่อท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เสียชีวิต ท่านนบี ﷺ ได้ละหมาดญะนาซะฮฺให้และหลุมฝังศพท่านหญิงในสุสานอัล-บะกีอฺเคียงข้างหลุมศพท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) โดยมีท่านหญิงเศาะฟียะฮฺ บินตุ อับดิลมุฏเฏาะลิบ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ป้าของท่านนบี ﷺ และอัสมาอฺ บินตุ อุมัยส์ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ภรรยาของท่านญะอฺฟัรฺ อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) เป็นผู้อาบน้ำศพท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และมีท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ท่านอัล-ฟัฎล์ อิบนุ อัล-อับบาส (ร.ฎ.) และท่านอุสามะฮฺ อิบนุ ซัยด์ (ร.ฎ.) เป็นผู้ขุดหลุมศพ (33)

ฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ บินตุ มุฮัมมัด ﷺ ถือกำเนิด ณ นครมักกะฮฺ ในวันที่ 20 ญุมาดา อัล-อาคิเราะฮฺก่อนการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ 5 ปี และขณะนั้นท่านนบี ﷺ มีอายุได้ 35 ปีซึ่งเป็นช่วงหลังการบูรณะอาคารอัล-กะอฺบะฮฺและการวางหินดำในที่ประดิษฐานโดยท่านนบี ﷺ   ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ  (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถูกเรียกขานด้วยกุนยะฮฺ (คำนำหน้า) ว่า อุมมุ อบีฮา  , อุมมุลหะสะนัยนฺ , อุมมุลอะอิมมะฮฺ และอุมมุอัร-รอยฺหานะตัยนฺ และมีฉายาว่า อัซ-ซะฮฺรออฺ (สตรีผู้มีใบหน้าเจิดจำรัสมีผิวพรรณขาวนวล) อัล-บะตูล (สตรีผู้ตัดขาดจากโลก) อัฏ-ฏอฮิเราะฮฺ (สตรีผู้บริสุทธิ์) อัศ-ศิดดีเกาะฮฺ (สตรีผู้มีวาจาสัตย์) อัล-มุบาเราะกะฮฺ (สตรีผู้มีสิริมงคล) และอัร-รอฎิยะฮฺ อัล-มัรฎิยะฮฺ (สตรีผู้มีความยินดีต่อการประทานความโปรดปรานของอัลลอฮฺและทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย) (34)

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถือกำเนิดและเจริญวัยภายในบ้านนบีพร้อมกับพี่สาวทั้ง 3 คนคือ ซัยหนับ รุกอยยะฮฺ และอุมมุกุลษูม (ริฎวานุลลอฮิอะลัยฮินน่า) ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากท่านนบี ﷺ และพระนางเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นอย่างดี ในช่วงเยาว์วัยท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้อยู่ร่วมช่วงสมัยแรกแห่งการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ ณ นครมักกะฮฺ ได้และเห็นความทุ่มเทและการมีความขันติธรรมตลอดจนเจตจำนงค์อันแรงกล้าของท่านนบี ﷺ ผู้เป็นบิดาในการเผยแผ่ศาสนาและเผชิญหน้ากับการประทุษร้ายของพวกกุรอยช์ แน่นอนคุณลักษณะดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดสู่ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอุนฮา) อย่างไม่ต้องสงสัย (35)

เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเจริญวัยของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้แก่

1. การเริ่มต้นขึ้นสู่ยอดเขาอัน-นู็ร เพื่อปลีกวิเวกในถ้ำหิรออฺ ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ และการได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตเพื่อประกาศสาส์นอิสลามในยุคสุดท้ายของท่านนบี ﷺ

2. การเริ่มต้นเชิญชวนผู้คนในนครมักกะฮฺสู่การยอมรับในศาสนาอิสลามทั้งในช่วง 3 ปีแรกที่การเผยแผ่เป็นไปอย่างลับ ๆ และการประกาศศาสนาอย่างเปิดเผยหลังจากนั้น

3. การขัดขวางการประกาศศาสนาของเหล่าผู้ปฏิเสธและการประทุษร้ายต่อบรรดาผู้ศรัทธารุ่นแรกในนครมักกะฮฺ

4. การปิดล้อมตระกูลฮาชิมและตระกูลอัล-มุฏเฏาะลิบของพวกกุรอยช์เอาไว้ในช่องเขาของนครมักกะฮฺตลอดระยะเวลา 3 ปี จนกระทั่งคนในตระกูลทั้งสองทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิมได้รับความอดอยากอย่างแสนสาหัส การปิดล้อมทางเศรษฐกิจและการตัดสัมพันธ์ที่พวกกุรอยช์ได้กระทำกับท่านนบี ﷺ และคนใน 2 ตระกูลซึ่งเป็นญาติสนิทของท่านนบี ﷺ เริ่มต้นขึ้นในปีที่ 7 นับจากการเริ่มประกาศศาสนา  และสิ้นสุดลงในปีที่ 10 ในรายงานของมูซา อิบนุ อุกบะฮฺ บ่งชี้ว่าเหตุการณ์การปิดล้อมนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าการอพยพของสาวกรุ่นแรกสู่ดินแดนอัล-หะบะชะฮฺ (เอธิโอเปีย) หรือเกิดขึ้นในระหว่างนั้น ส่วนรายงานของอิบนุ อิสหาก บ่งชี้ว่าเกิดขึ้นหลังการอพยพของสาวกรุ่นแรกสู่ดินแดน อัล-หะบะชะฮฺและหลังการเข้ารับอิสลามของท่านอุมัรฺ อิบนุ อัล-คอฏฏอบ (ร.ฎ.) (36)

5. การสมรสของท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) พี่สาวทั้ง 2 คนของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา)

6. การอพยพครั้งแรกในอิสลามของเหล่าสาวกรุ่นแรกสู่ดินแดนอัล-หะบะชะฮฺ (เอธิโอเปีย) จำนวน 80 คนเศษโดยมีท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) และท่านหญิงรุกอยยะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ร่วมอยู่ด้วย (37)

7. การเดินทางสู่นครมักกะฮฺของกลุ่มบุคคล 30 คนเศษซึ่งเป็นชาวนะศอรอจากดินแดน อัล-หะบะชะฮฺพร้อมกับท่านญะอฺฟัร อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) เพื่อพบท่านนบี ﷺ และกลุ่มบุคคลทั้งหมดนี้ได้เข้ารับอิสลาม ณ ห้องรับรองแขกในบ้านนบี ณ นครมักกะฮฺ(38)และพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ประทานอายะฮฺที่ 52-55 สูเราะฮฺอัล-เกาะศ็อศลงมาในเรื่องของกลุ่มบุคคลดังกล่าว (39)

8. ปีแห่งความโศกเศร้า (อามุลหุซน์) อันเป็นปีที่ 10 นับแต่การประกาศศาสนาของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา)  ภริยาของท่านนบี ﷺ และอบูฏอลิบ ลุงของท่านนบี ﷺ ได้เสียชีวิตห่างกันราว 1 เดือนกับ 5 วัน (40) และขณะนั้นท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีอายุได้ 15 ปี (41)

การผ่านเหตุการณ์สำคัญ ๆ ดังกล่าวได้ส่งผลต่อบุคลิกภาพและสภาพจิตใจของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งเจริญวัยอยู่ภายในบ้านนบี ทั้งในด้านแรงศรัทธา ความขันติ และความกล้าหาญ โดยเฉพาะเมื่อท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ผู้เป็นมารดา  และอบูฏอลิบซึ่งคอยปกป้องท่านนบี ﷺ ได้เสียชีวิตในปีแห่งความโศกเศร้า พวกกุรอยช์ได้กระทำการประทุษร้ายต่อท่านนบี ﷺ หลายต่อหลายครั้ง

และผู้ที่ปัดป้องการประทุษร้ายนั้นให้พ้นไปจากท่านนบี ﷺ ก็คือท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และเมื่อพวกกุรอยช์ประทุษร้ายและกระทำทารุณกรรมหนักข้อมากขึ้นกับบรรดาผู้ศรัทธาในนครมักกะฮฺ ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) จึงได้อพยพสู่นครมะดีนะฮฺในช่วงเวลาที่ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ได้สมรสกับท่านหญิงเสาดะฮฺ บินตุ ซัมอะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) หลังการสิ้นชีวิตของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) (42) 

หลังการอพยพสู่นครมะดีนะฮฺและภายหลังสมรภูมิบัดร์ในปีฮ.ศ.ที่ 2 เดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้สมรสกับท่านอิมามอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) (43)

และท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ได้ร่วมห้องหอกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) หลังสมรภูมิอุหุด และให้กำเนิด อัล-หะสัน , อัล-หุสัยนฺ , มุหฺสิน , อุมมุกุลษูม และซัยหนับ (ริฎวานุลลอฮิอะลัยฮิม) แก่ท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) (44)

และท่านนบี ﷺ ได้แสดงความไม่พอใจเมื่อท่านทราบว่า อบุลหะสัน อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ได้ตั้งใจจะสู่ขอบุตรีของอบูญะฮฺล์ โดยกล่าวว่า : “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ บุตรีของผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺจะไม่ร่วมกันกับบุตรีของศัตรูอัลลอฮฺ และอันที่จริงฟาฏิมะฮฺนั้นคือเนื้อก้อนหนึ่งจากฉัน สิ่งที่ทำให้นางแคลงใจก็ทำให้ฉันแคลงใจ และสิ่งที่ประทุษร้ายนางก็ย่อมประทุษร้ายต่อฉันด้วย” (45) ท่านอะลี (ร.ฎ.) จึงล้มเลิกการสู่ขอบุตรีของอบูญะฮฺล์เพื่อรักษาความรู้สึกของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็มิได้สมรสกับสตรีคนใดหรือมีบาทบริจาริกาคนใดในช่วงครองคู่กับท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) (46)

เชื้อสายของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ได้ขาดตอนลงยกเว้นจากทางด้านท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เพราะท่านหญิงอุมามะฮฺ บุตรีของอบุลอ็าศ อิบนุ อัรฺเราะบีอฺกับท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) พี่สาวคนโตของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งท่านนบี ﷺ เคยอุ้มท่านหญิงอุมามะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ในขณะที่ท่านทำการละหมาด(47) ได้เจริญวัยจนกระทั่งได้สมรสกับท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.)

แล้วต่อมาเมื่อท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้เสียชีวิต ท่านหญิงอุมามะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้สมรสกับอัล-มุฆีเราะฮฺ อิบนุ เนาว์ฟัล อัล-ฮาชิมียฺ ซึ่งเคยเห็นท่านนบี ﷺ ท่านหญิงอุมามะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ให้กำเนิดบุตรหลายคนแก่ท่าน อัล-มุฆีเราะฮฺ (ร.ฎ.) แต่ต่อมาการสืบเชื้อสายจากท่านหญิงอุมามะฮฺบุตรีท่านหญิงซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ก็ขาดตนลงตามที่อัซ-ซุบัยรฺ อิบนุ บุก็ารฺ ได้กล่าวไว้(48) คงเหลือแต่ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) แต่ฝ่ายเดียวที่ยังคงสืบเชื้อสายของท่านนบี ﷺ ต่อมา

ท่านนบี ﷺ รักและให้เกียรติท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นอันมาก ความประเสริฐของท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีมากมาย อาทิ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้กล่าวว่า : “ฟาฏิมะฮฺได้เดินมาหาท่านนบี ﷺ ท่วงท่าการเดินของนางไม่ได้ผิดเพี้ยนจากการเดินของท่านนบี ﷺ แล้วท่านนบี ﷺ ก็ลุกขึ้นยืนไปหานางและกล่าวว่า : ยินดีต้อนรับ บุตรีของฉัน” (49) และมีรายงานจากท่านหุซัยฟะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า : ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า : “มีมะลักทานหนึ่งลงมาแล้วบอกข่าวดีแก่ฉันว่า แท้จริงฟาฏิมะฮฺนั้นเป็นนายหญิง เหล่าสตรีของชาวสวรรค์” (50)

บุตรีของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) คือ อุมมุกุลษูม (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) นั้นเป็นภรรยาของท่านอุมัรฺ อิบนุ อัล-คอฏฏอบ (ร.ฎ.) และซัยหนับ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นภรรยาของอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญะอฺฟัร อิบนิ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) (51) ส่วนบุตรชายที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ให้กำเนิดแก่ท่านอะลี (ร.ฎ.) คือ อัล-หะสัน อิบนุ อะลี , อัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี และมุหฺสิน อิบนุ อะลี (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม) ซึ่งมุหฺสิน อิบนุ อะลีเสียชีวิตขณะเยาว์วัย คงเหลือพี่ชายทั้งสองคืออัล-หะสันและอัล-หุสัยน์ที่สืบเชื้อสายต่อมา

ในปีฮ.ศ.ที่ 8 ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ร่วมไปพร้อมกับท่านนบี ﷺ เพื่อพิชิตนครมักกะฮฺ ท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้ไปเยี่ยมหลุมฝังศพท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ในครั้งนั้น (52) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีชีวิตอยู่ 24 หรือ 28 ปี และเสียชีวิตหลังจากท่านนบี ﷺ ได้เสียชีวิต 6 เดือน บ้างก็ว่าน้อยกว่านั้น (53) ศพของท่านหญิง (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถูกฝังในเวลากลางคืน ณ สุสานอัล-บะกีอฺ นครมะดีนะฮฺ   

อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ถือกำเนิดก่อนการประกาศศาสนาของท่านนบี ﷺ 8 ปี บ้างก็ว่า 10 ปี ณ นครมักกะฮฺ (54) ในตอนแรกเกิดมารดาของท่านอะลี (ร.ฎ.) คือท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บินตุ อะสัด อิบนิ ฮาชิม อิบนิ อับดิมะน็าฟ ได้ตั้งชื่อท่านอะลี (ร.ฎ.) ว่า “อะสัด” ตามชื่อบิดาของท่านหญิงคืออะสัด อิบนุ ฮาชิม แต่ท่านอบูฏอลิบได้เปลี่ยนชื่อนั้นเสียใหม่ว่า “อะลี” ท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นบุตรลุงของท่านนบี ﷺ คือ อบูฏอลิบ จึงมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของท่านนบี ﷺ

ในตอนแรกท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้รับการเลี้ยงดูอยู่กับอบูฏอลิบพร้อมกับพี่น้องของท่านคือญะอฺฟัรและอะกีล แต่อบูฏอลิบมีฐานะยากจน ท่านนบี ﷺ เมื่อออกเรือนกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) แล้วจึงรับท่านอะลี (ร.ฎ.) มาอุปการะภายในบ้านนบี ท่านอะลี (ร.ฎ.) จึงเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านนบี ส่วนญะอฺฟัร (ร.ฎ.) นั้นท่านหัมซะฮฺ (ร.ฎ.) ลุงของท่านนบี ﷺ ได้รับไปอุปการะ ยังคงมีแต่อะกีลและพี่น้องผู้หญิงเท่านั้นที่อยู่กับอบูฏอลิบ (56)

เมื่อท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) มีอายุได้ 10 ปีท่านได้เข้ารับอิสลามในวันถัดมาเมื่อนับจากการได้รับวะหิยฺของท่านนบี ﷺ ท่านจึงเป็นเด็กคนแรกที่เข้ารับอิสลามและเคยถ่ายทอดคำสอนของท่านนบี ﷺ แก่เหล่าสาวกรุ่นแรกในบ้านของอิบนุ อัล-อัรฺก็อม (ร.ฎ.) ทั้ง ๆ ที่มีอายุน้อย (57) ความประเสริฐของท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) มีมากมาย อาทิ 

ท่านเป็นญาติสนิทกับท่านนบี ﷺ เพราะเป็นบุตรชายของลุงของท่านนบี ﷺ คือ อบูฏอลิบซึ่งอุปการะเลี้ยงดูท่านนบี ﷺ มาแต่เยาว์วัยและปกป้องท่านนบี ﷺ จากการคุกคามและประทุษร้ายของพวกกุรอยช์ ท่านนบี ﷺ จึงรับท่านอะลี (ร.ฎ.) มาอุปการะเป็นสมาชิกในบ้านนบีเพื่อตอบแทนลุงของท่าน

ท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นเด็กชายคนแรกในอิสลามที่ศรัทธาต่อท่านนบี ﷺ ยืนละหมาดทางขวาของท่านนบี ﷺ นับตั้งแต่แรกเริ่มการประกาศศาสนาอิสลามในนครมักกะฮฺ

ท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นบุตรเขยของท่านนบี ﷺ ซึ่งสมรสกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และเป็นบิดาของหลานสุดที่รักของท่านนบี ﷺ ทั้งสองท่านคือ อัล-หะสัน (ร.ฎ.) และอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.)

ท่านอะลี (ร.ฎ.) คือผู้ที่นอนในที่นอนของท่านนบี ﷺ คืนในเหตุการณ์การอพยพของท่านนบี ﷺ และทำหน้าที่ส่งมอบของฝากที่พวกกุรอยช์ฝากไว้กับท่านนบี ﷺ ต่อมาได้อพยพตามท่านนบี ﷺ ไปในภายหลังยังนครมะดีนะฮฺพร้อมกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บินตุ อะสัด (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มารดาของท่านและฟาฏิมะฮฺ บินตุ อัซ-ซุบัยรฺตลอดจนผู้ศรัทธาอีกจำนวนหนึ่ง (58) เป็นต้น

จึงสรุปได้ว่า ภายในบ้านนบีหลังแรก ณ นครมักกะฮฺมีสมาชิกทั้งหมด 9 ท่านรวมท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ และท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ด้วย

บ้านนบีแห่งที่สอง ณ นครมะดีนะฮฺ

เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ได้อพยพสู่นครมะดีนะฮฺหลังการประกาศศาสนา ณ นครมักกะฮฺราว 13 ปี ท่านได้สร้างมัสยิดกุบาอฺและมัสยิดนะบะวียฺที่ตัวเมืองมะดีนะฮฺเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม การประกอบศาสนกิจและการสั่งสอนผู้คน ที่บริเวณด้านข้างมัสยิดนะบะวียฺนี่เอง บ้านหลังที่สองของท่านนบี ﷺ ได้ถูกสร้างขึ้น

สถานที่สร้างมัสยิดนะบะวียฺเป็นสถานที่ว่างเปล่า มีต้นอินทผลัมและหลุมศพโบราณ พวกคนในตระกูลอัน-นัจญารฺได้ตากอินทผลัมที่นั่น อูฐของท่านนบี ﷺ ได้ลงพัก ณ บริเวณนั้น ท่านนบี ﷺ ประสงค์จะสร้างมัสยิดในที่ดินแปลงนั้น ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเด็กกำพร้า 2 คนที่ท่านมุอาซ อิบนุ อัฟรออฺ อัล-คอซเราะญียฺ เป็นผู้ปกครอง ท่านมุอาซได้บริจาคที่ดินแปลงนั้น แต่ท่านนบี ﷺ ยืนกรานที่จะขอซื้อจากเด็กกำพร้า 2 พี่น้องซึ่งก็เป็นไปตามนั้น (59)

ท่านนบี ﷺ ได้ใช้ให้ปรับสภาพที่ดินผืนนั้นทำความสะอาดและตัดต้นอินทผลัมพร้อมกับขุดสุสานโบราณแล้วย้ายกระดูกที่เหลือไปยังสถานที่อื่น เมื่อเกลี่ยดินเสมอแล้ว ท่านนบี ﷺ ได้กำหนดเขตแนวที่จะสร้างตัวมัสยิดและท่านได้ร่วมกับเหล่าสาวกในการสร้างมัสยิดอย่างเรียบง่ายโดยสร้างจากก้อนหิน ดิน และทางอินทผลัม ตรงกลางมัสยิดมีเสาหลายต้นที่ทำจากต้นอินทผลัมที่ถูกตัด ท่านนบี ﷺ ได้กำหนดทิศกิบละฮฺซึ่งหันไปทางบัยตุลมักดิสและนำบรรดาสาวกละหมาดก่อนที่จะมุงหลังคาของมัสยิดด้วยทางอินทผลัม (60)

เมื่อสร้างมัสยิดนะบะวียฺเสร็จแล้ว จึงได้มีการสร้างห้องพักของท่านนบี ﷺ ติดกับผนังมัสยิดด้านทิศตะวันออกโดยในช่วงแรกมีเพียงห้องเพียง 2 ห้องคือ ห้องพักของท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และห้องพักของท่านหญิงเสาดะฮฺ บินตุ ซัมอะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งอยู่ติดกันทางด้านมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมัสยิด

ต่อมาในภายหลังได้มีการสร้างห้องพักของท่านหญิงหัฟเศาะฮฺ บินตุ อุมัรฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งอยู่ติดกับห้องท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถัดมาทางด้านทิศตะวันออกมีห้องพักของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งมีตรอก (คูเคาะฮฺ) ของท่านอะลี (ร.ฎ.) คั่นระหว่างห้องท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) กับห้องของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และติดกับห้องท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) มีห้องของท่านหญิงอุมมุสละมะห์ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งติดกับห้องของท่านหญิงซัยหนับ บินตุ ญะหฺช์ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งติดกับห้องของท่านหญิงซัยหนับ บินตุ คุซัยมะฮฺ อุมมุลมะสากีน (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ตรงปลายตรอก (คูเคาะฮฺ) ของท่านอะลี (ร.ฎ.)

และบริเวณท้ายมัสยิดตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเพิงที่พักของเหล่าสาวกผู้อพยพ (มุฮาญิรูน) ที่เรียกว่า อะฮฺลุศศุฟฟะฮฺ ถัดมาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นห้องพักของท่านหญิงญุวัยรียะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ถัดมาคือห้องพักของท่านหญิงรอมละฮฺ บินตุ อบีสุฟยาน (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และห้องพักของท่านหญิงเศาะฟียะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ตรงมุมมัสยิดด้านที่อยู่ใกล้กับประตูอัรฺ-เราะหฺมะฮฺ (61) 

บ้านนบีแห่งที่สองในนครมะดีนะฮฺจึงหมายถึงกลุ่มของห้องพักบรรดาภริยาของท่านนบี ﷺ และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) กับท่านอะลี (ร.ฎ.) ซึ่งอยู่รายล้อมอาคารมัสยิดนะบะวียฺ นับตั้งแต่มุมมัสยิดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และจากทางด้านทิศตะวันออก ตลอดจนจากทิศเหนือจนถึงมุมมัสยิดทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ณ ประตูอัรฺ-เราะหฺมะฮฺ ท่านนบี ﷺ จะพักอยู่ในห้องของภรรยาของท่านตามเวรที่ถูกจัดสรรเอาไว้และบรรดาสมาชิกภายในบ้านนบีแห่งที่สอง ณ นครมะดีนะฮฺนี้คือท่านนบี ﷺ และบรรดาภริยาของท่านที่สมรสกับท่านหลังการเสียชีวิตของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) รวมถึงท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ท่านอะลี (ร.ฎ.) และบุตร-ธิดาของท่านทั้งสอง เช่น ท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) และอัลหุสัยนฺ (ร.ฎ.) เป็นต้น

ตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังการอพยพสู่นครมะดีนะฮฺ  มัสยิดนะบะวียฺและบ้านนบีคือศูนย์กลางของรัฐอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺ ความสัมพันธ์ระหว่างมัสยิดนะบะวียฺกับบ้านนบีเคียงคู่กันอย่างเด่นชัด ในยามที่ท่านนบี ﷺ มิได้ออกศึกหรือเดินทางไกลภาระกิจของท่านจะวนเวียนอยู่ระหว่างบ้านและมัสยิดของท่านทั้งสองแห่งเป็นพื้นที่เดียวกันในการแสดงบทบาทและการวางแบบอย่างในทุกมิติ ทั้งความเป็นศาสนทูต ประมุขของรัฐ ผู้ตัดสินชำระคดีความ ผู้สั่งสอนและผู้ให้การศึกษา ผู้นำครอบครัวในฐานะสามี บิดา และตาของหลาน รวมถึงความเป็นเครือญาติและมิตรสหาย ทั้งหมดเกิดขึ้นและดำเนินไปในพื้นที่นี้ตราบจนกระทั่งบ้านนบีได้กลายเป็นหลุมฝังศพของท่านในเวลาต่อมาเมื่อท่านได้สิ้นชีวิต

สมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยตินนะบะวียฺ) คือผู้ใด?

นักปราชญ์มีความเห็นต่างในการกำหนดว่า สมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยต์) หมายถึงผู้ใด? เป็น 4 ทัศนะ ดังนี้

สมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยต์) คือบรรดาบุคคลที่ทานบริจาค (เศาะดะเกาะฮฺ) เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา เป็นทัศนะของอิมามอบูหะนีฟะฮฺ , อัช-ชาฟิอียฺ , อะหฺมัดและนักวิชาการในมัซฮับอัล-มาลิกียฺบางส่วน (62)

สมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยต์) หมายถึง ลูกหลานผู้สืบเชื้อสาย และบรรดาภรรยาของท่านนบี ﷺ โดยเฉพาะอิบนุ อับดิลบัรฺ ได้เล่าไว้ในอัต-ตัมฮีด เป็นทัศนะของอิมามอิบนุ อัล-อะเราะบียฺ อัล-มาลิกียฺและเป็นริวายะฮฺของอิมามอะหฺมัด ตลอดจนชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺได้เลือกทัศนะนี้ (63)

หมายถึงบรรดาผู้ปฏิบัติตามท่านนบี ﷺ จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลก อัล-บัยฮะกียฺเล่าจากท่านญาบิรฺ อิบนุ อับดิลลาฮฺ (ร.ฎ.) และจากอิมามสุฟยาน อัษ-เษารียฺ เป็นทัศนะของนักปราชญ์บางส่วนในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ และอัล-อัซฮะรียฺได้เลือกทัศนะนี้ รวมถึงอัส-สะฟารินียฺระบุไว้ในละวามิอุล อันว็ารฺ และอิมามอันนะวาวียฺได้ให้น้ำหนักไว้ในชัรหุ เศาะฮีหฺ มุสลิม (64)

หมายถึง บรรดาผู้มีความยำเกรงจากประชาคมของท่านนบี ﷺ อัล-กอฎียฺ หุสัยนฺและอัร-รอฆิบและปราชญ์ท่านอื่น ๆ ได้เล่าไว้ แต่หลักฐานของทัศนะนี้อ่อนถึงอ่อนมาก (65)

และทัศนะที่มีน้ำหนักคือ สมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยต์) หมายถึง บรรดาญาติสนิทของท่านนบี ﷺ ซึ่งการทำทานบริจาคแก่พวกเขาเป็นที่ต้องห้าม เช่น ครอบครัวของท่านอะลี , อะกีล , ญะอฺฟัรและอับบาส เป็นต้น รวมถึงบรรดาภรรยาและลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของท่านนบี (66) ﷺ

ความเชื่อ ทัศนคติ และท่าทีของอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ต่อสถานภาพของสมาชิกบ้านนบี

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ จะมีความรักต่อสมาชิกบ้านนบี (อาลุลบัยต์) ให้เกียรติและยกย่องตามสถานะอันควรซึ่งอัล-กุรอานและสุนนะฮฺระบุไว้โดยไม่มีการยกย่องจนเลยเถิดหรือจาบจ้วง บริภาษหรือชิงชัง แต่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺจะยอมรับถึงความประเสริฐ คุณงามความดีและสถานภาพอันเป็นพิเศษของเหล่าสมาชิกในบ้านนบีทุกท่าน

ความรักที่มีต่อสมาชิกในบ้านนบีเป็นผลมาจากความรักที่มีต่อท่านนบี ﷺ และความรักที่มีต่อท่านนบี ﷺ เป็นผลมาจากความรักที่มีต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพราะพระองค์ทรงรักท่านนบี ﷺ และท่านนบี ﷺ เป็นที่รักของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เราจึงรักท่านนบี ﷺ และท่านนบี ﷺ รักบรรดาสมาชิกในบ้านของท่านและบรรดาสมาชิกในบ้านของท่านรักอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และรักท่านนบี ﷺ และเป็นกลุ่มบุคคลอันเป็นที่รักของท่านนบี ﷺ เราจึงรักบรรดาบุคคลที่เป็นสมาชิกในบ้านนบีเนื่องด้วยความรักในพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และความรักต่อสมาชิกในบ้านนบี เป็นเครื่องหมายของความศรัทธาเป็นสิ่งจำแนกระหว่างผู้ศรัทธากับกลุ่มชนผู้กลับกลอก

เมื่อบรรดาภรรยาของท่านนบี ﷺ เป็นเหล่ามารดาของปวงศรัทธาชน เป็นผู้ที่เลือกพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านนบี ﷺ เมื่อถูกเสนอให้เลือกเอาระหว่างความสุขในดุนยากับความบรมสุขในอาคิเราะฮฺที่ตั้งอยู่บนการเลือกพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านนบี ﷺ บรรดาภรรยาของท่านนบี ﷺ ก็เลือกความบรมสุขและความประเสริฐในอาคิเราะฮฺ บรรดาภรรยาของท่านนบี ﷺ ย่อมได้รับการชื่นชมและยกย่องในฐานะภรรยาของท่านนบี ﷺ ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺและเป็นมารดาของเหล่าศรัทธาชนที่จำต้องได้รับเกียรติ การยกย่องในฐานะผู้เป็นมารดา เมื่อท่านนบี ﷺ เป็นผู้ประเสริฐ บรรดาภรรยาทั้งหมดของท่านนบี ﷺ ก็ย่อมเป็นผู้ประเสริฐที่คู่ควรกับท่านนบี ﷺ และมีศักดิ์และสิทธิที่เป็นพิเศษต่างจากบรรดาสตรีอื่น ๆ

และเมื่อท่านนบี ﷺ เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากวงศ์ตระกูลที่ดีที่สุดของกุรอยช์ บรรดาบุตรีและบุตรชายตลอดจนบรรดาลูกหลานของท่านนบี ﷺ ก็ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขและสืบสายตระกูลบ้านนบี ความประเสริฐของสมาชิกในบ้านนบีจึงเป็นสิ่งที่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺถือเป็นความเชื่อและวิถีในความประเสริฐนั้น แต่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่มีความเชื่ออย่างชนกลุ่มอื่นที่ว่า การมีความรักต่อสมาชิกบ้านนบีเพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่ทำให้รอดพ้นจากการลงทัณฑ์หรือทำให้พ้นภาระหน้าที่ในการประกอบศาสนกิจหรือการทำบาปไม่ส่งผลร้ายต่อผู้ที่มีความรักในบุคคลเหล่านั้น

และอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่มีความเชื่อว่าบรรดาสมาชิกในบ้านนบีโดยเฉพาะท่านอะลี (ร.ฎ.) อัล-หะสัน (ร.ฎ.) และอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ตลอดจนลูกหลานของท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด (มะอฺศูม) เพราะอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺเชื่อว่า ไม่มีผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด (มะอฺศูม) นอกจากท่านนบี ﷺ และบรรดานบีทั้งหลาย หลังจากท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ แล้วย่อมไม่มีผู้ใดที่มีสถานภาพเป็นมะอฺศูมหรือเป็นผู้วางบัญญัติศาสนาอีกแล้ว

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺมีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า บรรดาสาวกของท่านนบี ﷺ ต่างก็รักและยกย่องให้เกียรติบรรดาสมาชิกในบ้านนบีทุกคน  ท่านอบูบักรฺ (ร.ฎ.) และท่านอุมัร (ร.ฎ.) ต่างก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับสมาชิกในบ้านนบีทุกคน และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ซึ่งอาจจะขุ่นเคืองต่อท่านอบูบักรฺ (ร.ฎ.) ในเรื่องมรดกของท่านนบี ﷺ ในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วบุคคลทั้งสองก็ยินดีต่อกัน และท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็คือที่ปรึกษาคนสำคัญของเคาะลีฟะฮฺอบูบักร (ร.ฎ.) และอุมัรฺ (ร.ฎ.) อีกทั้งยินดีและเต็มใจในการให้สัตยาบันแก่บุคคลทั้งสอง  รวมถึงท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ก่อนที่ท่านอะลี (ร.ฎ.) จะได้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่เชื่อว่ามีการอธรรมใด ๆ หรือการคุกคามใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างบุคคลทั้ง 4 ท่านและระหว่างทั้ง 3 ท่านกับลูกหลานของท่านอะลี (ร.ฎ.)    ดังนั้นความเชื่อที่ว่าบรรดาสาวกของท่านนบี ﷺ ได้ตกศาสนาและกลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาหลังการสิ้นชีวิตของท่านนบี ﷺ การประทุษร้ายและกดขี่สมาชิกในบ้านนบี การอธรรมต่อท่านอะลี (ร.ฎ.) ด้วยการให้สัตยาบันแก่เคาะลีฟะฮฺทั้งสามก่อนหน้าท่าน

การทำร้ายท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) ที่บ้านของท่านหญิงทั้งหมดเป็นความมุสาเป็นเรื่องเท็จที่ศัตรูของอิสลามได้กุขึ้น ความเชื่อใด ๆ ที่อ้างว่า  บรรดาสาวกของท่านนบี ﷺ คือผู้ที่สังหารท่านอะลี (ร.ฎ.) และท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) เป็นความเชื่อที่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺปฏิเสธและถือเป็นความผิดพลาดโดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เพราะความประเสริฐของเหล่าสมาชิกในบ้านนบีถูกรายงานและถ่ายทอดโดยบรรดาสาวกของท่านนบี ﷺ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่บรรดาสาวกจะกระทำการประทุษร้าย ละเมิดและอธรรมต่อกลุ่มบุคคลที่เหล่าสาวกได้รายงานและถ่ายทอดถึงความประเสริฐของบุคคลเหล่านั้น

ความเชื่อใด ๆ ที่อ้างว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) เป็นศัตรูกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) และอาฆาตพยาบาทต่อท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นสิ่งที่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฏิยัลลอฮุอันฮา) จะมีพฤติกรรมเช่นนั้นแล้วก็รายงานถ่ายทอดความประเสริฐของบุคคลทั้งสองจากท่านนบี ﷺ ให้ผู้ศรัทธาได้รับรู้และยอมรับถึงความประเสริฐของบุคคลทั้งสอง

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ มีทัศนคติที่ดีต่อบรรดาภรรยาของท่านนบี ﷺ และมองว่าพระนางเหล่านั้นคือปุถุชนมิใช่ผู้บริสุทธิ์ไร้บาป (มะอฺศูม) ความเป็นสตรีที่ร่วมสามีคนเดียวกัน การรวมกลุ่มเข้าพวกระหว่างท่านหญิงอาอิชะฮฺ , หัฟเศาะฮฺ , เศาะฟียะฮฺ และเสาดะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุนน่า) ฝ่ายหนึ่ง กับท่านหญิงอุมมุสละมะฮฺพร้อมด้วยภรรยาของท่านนบี ﷺ ที่เหลืออีกฝ่ายหนึ่ง การเรียกร้องสิทธิเพิ่มเติม การมีวิวาทะระหว่างกัน เป็นเรื่องปกติของสตรีที่ร่วมสามีเดียวกัน เมื่อมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็จะได้รับการขัดเกลา อบรม สั่งสอนจากท่านนบี ﷺ อยู่เสมอ ตามวาระโอกาสและเหตุการณ์ เพราะเหล่าพระนางยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนซึ่งย่อมมีความผิดพลาดและบกพร่องเป็นธรรมดา

เหล่าพระนางมิใช่ผ้าที่ถูกพับไว้ในตู้และมิใช่สตรีผู้เลอเลิศ สมบูรณ์ดั่งนางในวรรณคดีหรือเป็นมะลัก แต่ด้วยการปกครองอันยุติธรรมของท่านนบี ﷺ ในฐานะสามีผู้เป็นศาสนทูตและการอบรมสั่งสอนและชี้แนะศีลธรรมจรรยาอันงดงามแก่พระนางเหล่านั้นตลอดการครองเรือนของท่าน ได้หล่อหลอมและปั้นพระนางเหล่านั้นให้กลายเป็นสตรีผู้สมบูรณ์และงดงาม กลายเป็นแบบที่สามารถปฏิบัติตามเอาอย่างได้จริงสำหรับบรรดาสตรีผู้ศรัทธา

และความอดทนอดกลั้นของท่านนบี ﷺ ในการเผชิญกับปัญหาของเหล่าภรรยาในบ้านของท่านและความสามารถอย่างเอกอุในการรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกและการปฏิบัติตนของภรรยาแต่ละคนของท่านนบี ﷺ ซึ่งมีความแตกต่างในด้านลักษณะนิสัย วุฒิภาวะและและอายุ ทั้งหมดเป็นเรื่องของสภาวะแห่งความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในทุกครอบครัว เป็นธรรมชาติของสตรีที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงใส่ไว้ในความเป็นสตรีแต่ละคน

เมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสภาวะแห่งความเป็นจริงก็ย่อมสามารถสัมผัสจับต้องและเทียบเคียงเอามาเป็นแบบอย่างได้ การมีอารมณ์หึงหวง เป็นต้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตการครองเรือนของเหล่าสตรีผู้เป็นภรรยาของท่านนบี ﷺ และมีการปฏิบัติของท่านนบี ﷺ ในการรับมือกับพฤติกรรมดังกล่าวเป็นแบบอย่าง คำสอนของท่านนบี ﷺ ที่ชี้แนะตักเตือน ว่ากล่าวและอบรมภรรยาของท่านในเรื่องนี้ก็กลายเป็นหลักการครองเรือนตามสภาวะความเป็นจริงสำหรับผู้ศรัทธาที่เป็นผู้ครองเรือน เป็นแบบอย่างที่สามารถนำมาใช้ได้จริงเพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

และความสมบูรณ์แบบของเหล่าภรรยาของท่านนบี ﷺ ก็เกิดขึ้นผ่านการอบรมสั่งสอนของท่านนบี ﷺ จากข้อบกพร่องสู่การเติมเต็ม จากความไม่มีเหตุผลและการเอาแต่ใจสู่ความตรึกตรองและยอมรับในเหตุผล จากปุถุชนสามัญสู่ความเป็นสตรีผู้อุดมด้วยศรัทธาและปัญญา และจากความเป็นภรรยาของท่านนบี ﷺ และความเป็นมารดาแห่งเหล่าศรัทธาชนในโลกนี้สู่ความเป็นชาวสวรรค์อันสูงส่งในอาคิเราะฮฺ

วัลลอฮุอะอฺลัม


เชิงอรรถ

(1) อัส-สัมฏุ อัษ-ษะมีน ฟี มะนากิบ อุมมะฮาต อัล-มุอฺมินีน หน้า 30

(2) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ เซาญาตุนนบี ว่า อาลุลบัยต์ ; หน้า 128

(3) ฮิชาม อัล-กามิล หามิด มูซา : อาลุลบัยต์ อัล-มุซัมมา บัดรุตตะมาม ฟี อาลิ บัยตินนะบียฺ อัล-กิรอม ; หน้า 273)

(4) มุฮัมมัด ซะกียฺ อับดุลหะลีม อัล-คูลียฺ : มิสกุลกะลาม ฟี อัคบารฺ อัล-บะลัด อัล-หะรอม หน้า 392

(5) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 268

(6) อ้างแล้ว หน้า 267

(7) อ้างแล้ว หน้า 268 , 300

(8) ฮิชาม อัล-กามิล หามิด มูซา หน้า 22

(9) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 121

(10) ฮิชาม อัล-กามิล หามิด มูซา หน้า 272

(11) อิบนุ กะษีรฺ : อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; เล่มที่ 1 ภาคที่ 2 หน้า 251

(12) อัล-มะวาฮิบ อัล-ละดุนนียะฮฺ 1/403

(13) บันทึกโดยอะหฺมัด ในมุสนัด (6/188) และอัล-ฮัยษะมียฺระบุในมัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด (9/277) ว่าเป็นสายรายงานที่ดี (หะสัน)

(14) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 131

(15) บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ (3820) มุสลิม (2432/71)

(16) บันทึกโดย อะหฺมัด ในอัล-มุสนัด (1/293,316)

(17) มุฮัมมัด ซะกียฺ อับดุลหะลีม อัล-คูลียฺ หน้า 425

(18) ฮิชาม อัล-กามิล หามิด มูซา หน้า 42

(19) อ้างแล้ว หน้า 43

(20) ดูมุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 270..

(21) ฮิชาม อัล-กามิล หามิด มูซา หน้า 259-260

(22) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 277

(23) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 259

(24) อ้างแล้ว หน้า 260

(25) อ้างแล้ว หน้า 262

(26) สัมฏุนนุญูม อัล-อะวาลียฺ 1/420 , 421 

(27) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 286-287

(28) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 266

(29) สัมฏุนนุญูม อัล-อะวาลียฺ 1/423 บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ

(30) อิบนุสะอฺด์ ในอัฏ-เฏาะบะกอต อัล-กุบรอ : 8/38 , อัล-หากิม ในอัล-มุสตัดร็อก : 4/53 , อัล-ฮัยษะมียฺ ในมัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด : 9/217 ระบุว่าสายรายงานเชื่อถือได้

(31) อิบนุ สะอฺด์ อ้างแล้ว 8/38

(32) อิบนุ สะอฺด์ อ้างแล้ว

(33) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 267

(34) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 248 , 249

(35) อ้างแล้ว หน้า 249

(36) ดร.มุฮัมมัด สะอีด เราะมะฎอน อัล-บูฏียฺ ฟิกฮุสสิเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ สำนักพิมพ์ดารุสสลาม (กรุงไคโร) หน้า 86

(37) อ้างแล้ว หน้า 91

(38) อ้างแล้ว หน้า 95

(39) อ้างแล้ว หน้าเดียวกัน 

(40) อ้างแล้ว หน้า 97 , อิบนุ ฮิชาม อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ 2/263-264

(41) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 250

(42) อ้างแล้ว หน้า 251

(43) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 297

(44) อัล-อิศอบะฮฺ 8/55 , บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ (2375) และมุสลิม 1/975

(45) บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ (3714) มุสลิม (2449/93,96) อบูดาวูด (2069,2071) อัต-ติรมิซียฺ (3866) 

(46) มุฮัมมัด นุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 297 

(47) บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ (516) มุสลิม (543/41) 

(48) อัซ-ซะฮฺบียฺ : สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺ 3/427)

(49) บันทึกโดยมุสลิม (2450/98)

(50) บันทึกโดยอัล-หากิมในมะอฺริฟะฮฺ อัศ-เศาะหาบะฮฺ (4721) , (4722/3) อัซ-ซะฮฺบียฺระบุในอัต-ตัลคีศ ว่า เศาะฮีหฺ

(51) สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺ : 3/429

(52) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 255 

(53) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 46

(54) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 307

(55) ฮิชาม อัล-กามิล หน้า 45

(56) อ้างแล้ว หน้า 46

(57) อ้างแล้ว หน้า 47

(58) อ้างแล้ว หน้า 50

(59) ดร.อับดุลบาสิฎ บัดร์ อัต-ตารีค อัช-ชามิล ลิลมะดีนะฮฺ อัล-มุเนาวะเราะฮฺ ; 1/141-142

(60) อ้างแล้ว หน้า 142

(61) อุด-ดุรฺษะมีน ฟี มะอาลิม ดารฺ อัร-เราะสูล อัล-อะมีน ฆอลียฺ : มุฮัมมัด อัล-อะมีน อัช-ชังกีฏียฺ หน้า 28,30

(62) มุฮัมมัด มุตะวัลลียฺ อัช-ชะอฺรอวียฺ หน้า 31

(63) อ้างแล้ว หน้า 32

(64) อ้างแล้ว หน้า 34-35

(65) อ้างแล้ว หน้า 35

(66) อ้างแล้ว หน้า 36