วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

149636 : ทำไมความเจริญของชาวมุสลิมถึงล้าหลังคนอื่น?

149636 : ทำไมความเจริญของชาวมุสลิมถึงล้าหลังคนอื่น?
ในยุคนี้เราสังเกตว่าตะวันตกก้าวหน้าไปไกลมากกว่าเราในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่อัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่งตรัส:
يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اذْكُرُوا نِعْمَتِيَ الَّتِي أَنْعَمْتُ عَلَيْكُمْ وَأَنِّي فَضَّلْتُكُمْ عَلَى الْعَالَمِينَ ( 47 ) 
วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย ! จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้า ที่ข้าได้โปรดปรานแก่พวกเจ้า และแท้จริงนั้น ข้าได้เทิดพวกเจ้าไว้เหนือประชาชาติทั้งหลาย(มนุษย์และญิน)"[อัลบากอเราะฮ์ 2:47]. 
ความโปรดปรานมากมายเหล่านี้ที่อัลลอฮ์ได้ประทานบนลูกหลานของนบียะกู๊บหยุดชะงักในเวลาของเราหรือไม่,
หรือมันจะคงมีต่อเนื่องจนถึงๆวันฟื้นคืนชีพ?
ถ้าหากมันได้หยุดชะงัก,แล้วทำไมพวกเขาถึงก้าวหน้าไปไกลมากกว่าเราในโลกนี้ และในยุคนี้ในหลายสิ่งหลายอย่างมาก? พวกเราชาติอาหรับขาดแคลนอะไรเหรอ หรืออะไรที่กำลังขัดขวางเราจากความเป็นอยู่ที่ดีกว่าในความคิดของเรา,นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์และการผลิต?

ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
มันไม่ยุติธรรมสำหรับใครที่ต้องการสอบสาเหตุของของความเอียงลงของชาติใดๆเพื่อพุ่งเป้าไปที่ลักษณะภายนอกบางอย่างของความเอียงลงของมันที่ทุกคนสามารถมองเห็น,เพราะการบรรลุความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมนั้นเป็นกระบวนการขนาดใหญ่ในปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันนับไม่ถ้วนมีบทบาท; ปัจจัยเหล่านี้มีการสะสมตลอดหลายปีและเจาะลึกลงไปในทุกด้านของชีวิต,ซึ่งนำไปสู่การยกระดับของชุมชนทีละเล็กละน้อย.มนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้านี้เพราะมันเป็นเหมือนแสงของรุ่งอรุณ;มันจะออกมาเรื่อย ๆ จนกว่าแสงจะแผ่ไปทั่วขอบฟ้า.
คัมภีร์กุรอานบอกเราลักษณะบางอย่างของความก้าวหน้าทางวัตถุที่เป็น - และยังคงเป็น - เครื่องมือของการทดลองและทดสอบ,จากสิ่งซึ่งไม่มีใครเข้าใจภูมิปัญญาที่อยู่เบื้องหลังมันและผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่มันมีบนการเปลี่ยนแปลงเสมอในทางประวัติศาสตร์ นอกจากอัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง.
อัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,ตรัส:
وَيَوْمَ يُعْرَضُ الَّذِينَ كَفَرُوا عَلَى النَّارِ أَذْهَبْتُمْ طَيِّبَاتِكُمْ فِي حَيَاتِكُمُ الدُّنْيَا وَاسْتَمْتَعْتُم بِهَا فَالْيَوْمَ تُجْزَوْنَ عَذَابَ الْهُونِ بِمَا كُنتُمْ تَسْتَكْبِرُونَ فِي الْأَرْضِ بِغَيْرِ الْحَقِّ وَبِمَا كُنتُمْ تَفْسُقُونَ ( 20 ) 
"และวันที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าไฟนรก (จะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า) พวกเจ้าได้เอาสิ่งดีงามทั้งหลายของพวกเจ้าในโลกดุนยาไปแล้ว และพวกเจ้าได้มีความสำราญกับมันแล้ว ฉะนั้นวันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทนด้วยการลงโทษอันอัปยศ เนื่องด้วย พวกเจ้าหยิ่งยะโสในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรมและเนื่องด้วยพวกเจ้าฝ่าฝืน(อัลลอฮ์)"

[อัล-อะห์กอฟ 46:20]
أَوَلَمْ يَسِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَيَنظُرُوا كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ ۚ كَانُوا أَشَدَّ مِنْهُمْ قُوَّةً وَأَثَارُوا الْأَرْضَ وَعَمَرُوهَا أَكْثَرَ مِمَّا عَمَرُوهَا وَجَاءَتْهُمْ رُسُلُهُم بِالْبَيِّنَاتِ ۖ فَمَا كَانَ اللَّهُ لِيَظْلِمَهُمْ وَلَٰكِن كَانُوا أَنفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ ( 9 ) 
พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่าบั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด เขาเหล่านั้นมีพลังที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา เขาเหล่านั้นขุดพรวนดินและก่อสร้าง (เคหสถาน) มากกว่าพวกเขาก่อสร้างมัน และบรรดาร่อซูลของพวกเขาได้มาหาพวกเขาด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง ดังนั้น แน่นอนอัลลอฮฺมิได้ทรงอธรรมต่อพวกเขา แต่ว่าพวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเองต่างหาก

ثُمَّ كَانَ عَاقِبَةَ الَّذِينَ أَسَاءُوا السُّوأَىٰ أَن كَذَّبُوا بِآيَاتِ اللَّهِ وَكَانُوا بِهَا يَسْتَهْزِئُونَ ( 10 ) 
แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วก็คือความชั่ว โดยที่พวกเขาปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺและพวกเขาเย้ยหยันมัน

[อัร-รูม 30:9-10].
อัล-อัลลามะห์ มุฮัมมัด รอชีด ริดอ(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ความเชื่อของมุสลิมยุคแรกในการให้เอกภาพกับอัลลอฮ์(เตาฮีด),ความรู้ของพวกเขาต่อพระองค์,ความรักของพวกเขาเพื่อพระองค์และความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีกับพระองค์คือสิ่งที่ทำให้วิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์,เสริมสร้างความทะเยอทะยานของพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกถึงความภาคภูมิใจและมีพลัง;ที่ทำให้พวกเขาสามารถสร้างความจริงและความยุติธรรม,และกระตุ้นพวกเขาพิชิตดินแดน,ปกครองประเทศ,ไถ่ถอนพวกเขาจากการเป็นทาสทางจิตวิญญาณและปัญญาจากนักทำนาย,พระยิว,พระและนักบวช,ปลดปล่อยพวกเขาจากความอยุติธรรมและการปกครองแบบเผด็จการของกษัตริย์,สร้างรากฐานของอารยธรรม,และฟื้นฟูและพัฒนาสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ.พวกเขาสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกที่เคยประสบความสำเร็จหรือแม้เข้ามาใกล้. กุซตาฟ เลอ บอง(Gustave le Bon), นักสังคมวิทยาที่มีชื่อเสียง,ได้กล่าว: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่แตกต่างกันนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศกำลังพัฒนาใดๆ ในเวลาไม่ถึงสามชั่วอายุคน: คนรุ่นแรกยึดติดกับอดีต; คนรุ่นที่สองเริ่มกระบวนการปลดปล่อยตัวเองจากการทำตามแบบตาบอด; และคนรุ่นที่สามคือรุ่นแห่งอิสรภาพและการทำงานหนัก.(เขาได้กล่าวว่าสิ่งนี้ใช้กับทุกประเทศ)ยกเว้นอาหรับ;พวกเขาเป็นพวกเดียวที่สามารถวางรากฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในคนรุ่นแรก.
ฉันกล่าว: สาเหตุของสิ่งนั้นเป็นคำสอนของกุรอาน,ซึ่งสอนพวกเขาใหมีอิสระในการคิดและหลีกเลี่ยงการเลียนแบบอย่างคนตาบอด.มันสอนพวกเขาให้พร้อมเพื่อนำมนุษยชาติในเรื่องทางวิญญาณและทางโลกเหมือนกัน.แต่ทั้งหมดนั้นได้สิ้นสลายไปสำหรับคนรุ่นที่มาภายหลัง.หลังจากการเสียชีวิตของคอลีฟะห์อิสลามและหลังจากอารยธรรมอาหรับหยุดชะงักกับความเจริญ,เมื่ออำนาจเปลี่ยนไปเป็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาหรับที่ไม่มีสิ่งใดของศาสนาอิสลามยกเว้นประเพณีตื้นๆหรือไม่สำคัญและไม่เกี่ยวข้องมากกับแนวทางของอัลกุรอาน.
" تفسير المنار " (11/173)
เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อผลกระทบของแผนการกบฏทั้งภายในและภายนอก,ต่ออุมมะห์ของเราตลอดหลายช่วงอายุ,ซึ่งนำศัตรูของมันให้ทำการบุกเข้ามาในเรื่องทางวัตถุ. แต่ความคิดของเราและความคิดของอุมมะห์ของเรานั้นอยู่เหนือความรู้สึกของการพ่ายแพ้,การพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและรู้สึกถูกครอบงำเมื่อเผชิญกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่,ความรับผิดชอบของการอยู่ในตำแหน่งผู้นำในความสัมพันธ์กับชาติอื่นๆ.สำหรับศัตรูของเราในหมู่ชาวยิว(อิสราเอล),พวกเขาเก่งกว่าในการสร้างทุกๆโอกาสที่มากที่สุด(หรือใช้ประโยชน์สูงสุดจากทุกโอกาส)และพวกเขาพยายามอย่างหนักในกิจกรรมทางวิศวกรรมที่มีผลกระทบทั่วโลก.พวกเขาพยายามอย่างแน่วแน่มานานหลายทศวรรษจนกระทั่งพวกเขาบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการและถึงตำแหน่งแห่งอำนาจในยุคสมัยของเรา.แต่นั่นไม่เกี่ยวข้องกับโองการ:
يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اذْكُرُوا نِعْمَتِيَ الَّتِي أَنْعَمْتُ عَلَيْكُمْ وَأَنِّي فَضَّلْتُكُمْ عَلَى الْعَالَمِينَ ( 47 ) 
วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย ! จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้า ที่ข้าได้โปรดปรานแก่พวกเจ้า และแท้จริงนั้น ข้าได้เทิดพวกเจ้าไว้เหนือประชาชาติทั้งหลาย(มนุษย์และญิน)"[อัลบากอเราะฮ์ 2:47], 
เพราะโองการนี้พูดถึงความโปรดปรานก่อนหน้านี้ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่ชนชาติอิสราเอลตลอดประวัติศาสตร์,และถูกให้ความหมายถึงการตักเตือนพวกเขาของเรื่องนั้น.ในท่ามกลางความโปรดปรานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธ์,ที่อัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,ตรัส:

وَإِذْ قَالَ مُوسَىٰ لِقَوْمِهِ يَا قَوْمِ اذْكُرُوا نِعْمَةَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ جَعَلَ فِيكُمْ أَنبِيَاءَ وَجَعَلَكُم مُّلُوكًا وَآتَاكُم مَّا لَمْ يُؤْتِ أَحَدًا مِّنَ الْعَالَمِينَ ( 20 ) 
และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้ประชาชาติของฉัน ! พึงรำลึกถึงความกรุณาเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแด่พวกท่านเถิด เพราะว่าพระองค์ได้ทรงให้มีบรรดานะบีขึ้นในหมู่พวกท่าน และได้ทรงให้พวกท่านเป็นกษัตริย์ และได้ทรงประทานแก่พวกท่าน สิ่งที่มิได้ทรงประทานให้แก่ผู้ใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย(มนุษยชาติและญิน,ในอดีต)"'
[อัล-มาอิดะฮฺ 5:20].

อัล-ฮาฟิซ อิบนุ กาษิร(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ที่ตรงนี้ อัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,เตือนพวกเขาถึงความโปรดปรานก่อนหน้านี้(แต่เก่าก่อน)ที่พระองค์ได้ทรงประทานเหนือบรรพบุรุษของพวกเขา,และความโปรดปรานที่พระองค์ได้ทรงประทานบนพวกเขาโดยการส่งบรรดาศาสนฑูตจากท่ามกลางพวกเขา,เปิดเผยคัมภีร์ต่างๆกับพวกเขาและโปรดปรานพวกเขาเหนือประชาชาติอื่นๆในเวลานั้น.จบอ้าง.
" تفسير القرآن العظيم " (1/255)
อย่างไรก็ตามเราคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเราด้วยการมองโลกในแง่ดีที่กระตุ้นให้เราก้าวหน้าต่อไปและประสบความสำเร็จโดยพยายามอย่างหนักที่จะใช้วิธีการที่เป็นไปได้ทั้งหมดทั้งทางจิตวิญญาณและทางโลก.รากฐานของสิ่งนั้นคือบุคคลที่ชอบธรรมที่มักจะรำลึกถึงอัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,กำลังเฝ้ามองดูเขาในทุกสถานการณ์.บุคคลดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สร้างสรรค์ในการปฏิรูปชุมชนและครอบครัว; พวกเขาไม่รอให้มีการฟื้นฟูปรากฏบนจานทองคำหรือหวังว่าโปรแกรมจะได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บรรลุผลนั้น.แต่พวกเขารีบเร่งที่จะใช้ความคิดริเริ่มและพยายามอย่างหนักเพื่อทำสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์โดยให้ความไว้วางใจในอัลลอฮ์ด้วยความหวังว่าพระองค์จะอวยพรการกระทำของพวกเขา,ไม่ว่าจะเล็กเพียงใดและตอบแทนรางวัลกับเหล่าผู้ปฏิบัติดีสำหรับการทำความดีของพวกเขา. อัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,รู้ว่าใครกำลังพยายามกระจายความชั่วร้ายและผู้ที่พยายามทำดีและผู้ปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์จะเหนือกว่าและได้รับชัยชนะหากพวกเขาใช้มาตรการที่นำไปสู่ชัยชนะและความก้าวหน้า.อัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,ตรัส:
وَقَدْ مَكَرُوا مَكْرَهُمْ وَعِندَ اللَّهِ مَكْرُهُمْ وَإِن كَانَ مَكْرُهُمْ لِتَزُولَ مِنْهُ الْجِبَالُ ( 46 ) 
และแน่นอนพวกเขาได้วางแผนของพวกเขา และแผนของพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ ถึงแม้ว่าแผนของพวกเขาจะทำให้ภูเขาเคลื่อนย้ายไปก็ตาม

فَلَا تَحْسَبَنَّ اللَّهَ مُخْلِفَ وَعْدِهِ رُسُلَهُ ۗ إِنَّ اللَّهَ عَزِيزٌ ذُو انتِقَامٍ ( 47 ) 
และแท้จริงเจ้าอย่าคิดเลยว่า อัลลอฮฺจะทรงเป็นผู้ผิดสัญญากับบรรดาร่อซูลของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงตอบโต้อย่างเด็ดขาด

[อิบรอฮีม 14:46-47].
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น