125919: การสะท้อนภาพให้เห็นฮาดิษของแอ่งน้ำและกลุ่มที่ทูตสวรรค์จะผลักไสออกไปจากมัน
(وقفات مهمة مع حديث الحوض ، وبيان الطوائف التي تردهم الملائكة عنده)
ี
วันที่ลงเผยแพร่ : 28-06-2018
(وقفات مهمة مع حديث الحوض ، وبيان الطوائف التي تردهم الملائكة عنده)
ี
วันที่ลงเผยแพร่ : 28-06-2018
คำถาม
อะไรคือความหมายของฮาดิษกุดซีที่กล่าวว่าเมื่อชาวมุสลิมมาที่แอ่งน้ำของรอซูลุลลอฮ์[ในวันฟื้นคืนชีพ],อัลลอฮ์จะทรงกีดกันกลุ่มหนึ่งของประชาชน,และรอซูลุลลอฮ์(ﷺ)จะกล่าว:"โอ้ พระเจ้า,อุมมะห์ของฉัน,อุมมะห์ของฉัน!",และอัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,จะตรัส:"เจ้าไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำหลังจากเจ้าจากไป(เสียชีวิต)"?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์
ประการที่หนึ่ง:
นักวิชาการฮาดิษเรียกฮาดิษนี้ "ฮาดิษแอ่งน้ำ(ฮาดิษ อัล-เฮาด์)". มีหลายสำนวนและคำบอกเล่าของฮาดิษ,กับไม่มีความแตกต่างระหว่างกัน,ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์.
ต่อไปนี้เป็นบางส่วนของสำนวนของคำรายงาน:
عَنْ سَهْلِ بْنِ سَعْدٍ قَالَ : قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( إِنِّي فَرَطُكُمْ عَلَى الْحَوْضِ مَنْ مَرَّ عَلَيَّ شَرِبَ ، وَمَنْ شَرِبَ لَمْ يَظْمَأْ أَبَدًا ، لَيَرِدَنَّ عَلَيَّ أَقْوَامٌ أَعْرِفُهُمْ وَيَعْرِفُونِي ، ثُمَّ يُحَالُ بَيْنِي وَبَيْنَهُمْ ، فَأَقُولُ : إِنَّهُمْ مِنِّي ، فَيُقَالُ : إِنَّكَ لَا تَدْرِي مَا أَحْدَثُوا بَعْدَكَ ، فَأَقُولُ : سُحْقًا ، سُحْقًا ، لِمَنْ غَيَّرَ بَعْدِي ) .
رواه البخاري ( 6212 ) ومسلم ( 2290 ) .
มันถูกเล่าว่า สะห์ลุ อิบนุ สะดิ ได้กล่าว:ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าว:"ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำนำหน้าพวกท่าน.เขาผู้ที่มาที่ฉันจะดื่ม,และใครก็ตามดื่มจะไม่กระหายอีกเลย.จะมีมาที่ฉันประชาชนผู้ที่ฉันจะจำได้และพวกเขาจะจำฉันได้,แล้วพวกเขาจะถูกกีดกันจากการเข้าถึง(ตัว)ฉัน.ฉันจะกล่าว:'พวกเขาเป็น(อุมมะห์)ของฉัน,'แต่มันจะถูกกล่าว:'ท่านไม่รู้ดอกหรือว่าอะไรที่พวกเขาได้นำ(เข้า)มา(ในศาสนา)."'หลังจากท่านจาก(พวกเขา)ไป.'ดังนั้นฉันจะกล่าว:'ไปให้ห่าง,ไปให้ห่างกับเหล่าผู้ที่เปลี่ยนแปลง(ศาสนา)หลังจากฉันจากไป."'
رواه البخاري ( 6212 ) ومسلم ( 2290 ) .
มันถูกเล่าว่า สะห์ลุ อิบนุ สะดิ ได้กล่าว:ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าว:"ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำนำหน้าพวกท่าน.เขาผู้ที่มาที่ฉันจะดื่ม,และใครก็ตามดื่มจะไม่กระหายอีกเลย.จะมีมาที่ฉันประชาชนผู้ที่ฉันจะจำได้และพวกเขาจะจำฉันได้,แล้วพวกเขาจะถูกกีดกันจากการเข้าถึง(ตัว)ฉัน.ฉันจะกล่าว:'พวกเขาเป็น(อุมมะห์)ของฉัน,'แต่มันจะถูกกล่าว:'ท่านไม่รู้ดอกหรือว่าอะไรที่พวกเขาได้นำ(เข้า)มา(ในศาสนา)."'หลังจากท่านจาก(พวกเขา)ไป.'ดังนั้นฉันจะกล่าว:'ไปให้ห่าง,ไปให้ห่างกับเหล่าผู้ที่เปลี่ยนแปลง(ศาสนา)หลังจากฉันจากไป."'
รายงานโดยอัล-บุคอรี (6212) และมุสลิม (2290).
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَتَى الْمَقْبُرَةَ فَقَالَ : ( السَّلَامُ عَلَيْكُمْ دَارَ قَوْمٍ مُؤْمِنِينَ وَإِنَّا إِنْ شَاءَ اللَّهُ بِكُمْ لَاحِقُونَ وَدِدْتُ أَنَّا قَدْ رَأَيْنَا إِخْوَانَنَا ) قَالُوا : أَوَلَسْنَا إِخْوَانَكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ ، قَالَ : ( أَنْتُمْ أَصْحَابِي ، وَإِخْوَانُنَا الَّذِينَ لَمْ يَأْتُوا بَعْدُ ) فَقَالُوا : كَيْفَ تَعْرِفُ مَنْ لَمْ يَأْتِ بَعْدُ مِنْ أُمَّتِكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ ؟ فَقَالَ : ( أَرَأَيْتَ لَوْ أَنَّ رَجُلًا لَهُ خَيْلٌ غُرٌّ مُحَجَّلَةٌ بَيْنَ ظَهْرَيْ خَيْلٍ دُهْمٍ بُهْمٍ أَلَا يَعْرِفُ خَيْلَهُ ) قَالُوا : بَلَى يَا رَسُولَ اللَّهِ ، قَالَ : ( فَإِنَّهُمْ يَأْتُونَ غُرًّا مُحَجَّلِينَ مِنْ الْوُضُوءِ وَأَنَا فَرَطُهُمْ عَلَى الْحَوْضِ ، أَلَا لَيُذَادَنَّ رِجَالٌ عَنْ حَوْضِي كَمَا يُذَادُ الْبَعِيرُ الضَّالُّ ؛ أُنَادِيهِمْ : أَلَا هَلُمَّ . فَيُقَالُ : إِنَّهُمْ قَدْ بَدَّلُوا بَعْدَكَ . فَأَقُولُ : سُحْقًا سُحْقًا ) .
رواه مسلم ( 249 ) .
มันถูกเล่าจากอาบู ฮูรอยเราะห์ ว่า รอซูลุลลอฮ์(ﷺ)ได้มาที่สุสานและได้กล่าว:"สันติจงมีแด่ที่พำนักอาศัยของผู้ศรัธทา,และถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์เราจะร่วมกับพวกท่านในไม่ช้านี้.ขอให้เราได้เห็นพี่น้องของเรา."พวกเขาได้กล่าว:พวกเราไม่ใช่พี่น้องของท่านดอกหรือ,โอ้ รอซูลุลลอฮ์? เขาได้กล่าว:"พวกท่านเป็นสหาย(ซอฮาบะฮ์)ของฉัน.พี่น้องของเราเป็นเหล่าผู้ที่ยังไม่ได้มา(ยังไม่เกิด)."พวกเขาได้กล่าว:"ท่านจะรู้จัก(จำแนก)เหล่าผู้ที่เป็นอุมมะห์ของท่านที่ยังไม่ได้มาอย่างไร,โอ้ รอซูลุลลอฮ์? เขาได้กล่าว:"พวกท่านไม่เห็นหรือว่าถ้าคนใดมีม้าที่มีสีขาวและสีขาวในหมู่ม้าที่มีสีดำเขาจะไม่รู้จักม้าของเขาหรือ?"พวกเขาได้กล่าว:แน่นอน,โอ้ รอซูลุลลอฮ์. เขาได้กล่าว:"พวกเขาจะมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่สว่างไสวและแขนขา(เช่นเครื่องหมายสีขาวของม้า) เพราะร่องรอยของน้ำวุฎุอฺ(น้ำละหมาด)'.ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำก่อนพวกเขา,และคนจะถูกขับออกจากแอ่งน้ำของฉันเหมือนอูฐจรจัดที่ถูกขับไล่ออกไป.ฉันจะเรียกพวกเขาว่า 'มานี่สิ!' แต่มันจะถูกกล่าว,'พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงหลังจาก(ท่าน)จากพวกเขาไป.'และฉันจะกล่าว,'ออกไปให้ห่าง,ออกไปให้ห่าง!'"
رواه مسلم ( 249 ) .
มันถูกเล่าจากอาบู ฮูรอยเราะห์ ว่า รอซูลุลลอฮ์(ﷺ)ได้มาที่สุสานและได้กล่าว:"สันติจงมีแด่ที่พำนักอาศัยของผู้ศรัธทา,และถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์เราจะร่วมกับพวกท่านในไม่ช้านี้.ขอให้เราได้เห็นพี่น้องของเรา."พวกเขาได้กล่าว:พวกเราไม่ใช่พี่น้องของท่านดอกหรือ,โอ้ รอซูลุลลอฮ์? เขาได้กล่าว:"พวกท่านเป็นสหาย(ซอฮาบะฮ์)ของฉัน.พี่น้องของเราเป็นเหล่าผู้ที่ยังไม่ได้มา(ยังไม่เกิด)."พวกเขาได้กล่าว:"ท่านจะรู้จัก(จำแนก)เหล่าผู้ที่เป็นอุมมะห์ของท่านที่ยังไม่ได้มาอย่างไร,โอ้ รอซูลุลลอฮ์? เขาได้กล่าว:"พวกท่านไม่เห็นหรือว่าถ้าคนใดมีม้าที่มีสีขาวและสีขาวในหมู่ม้าที่มีสีดำเขาจะไม่รู้จักม้าของเขาหรือ?"พวกเขาได้กล่าว:แน่นอน,โอ้ รอซูลุลลอฮ์. เขาได้กล่าว:"พวกเขาจะมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่สว่างไสวและแขนขา(เช่นเครื่องหมายสีขาวของม้า) เพราะร่องรอยของน้ำวุฎุอฺ(น้ำละหมาด)'.ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำก่อนพวกเขา,และคนจะถูกขับออกจากแอ่งน้ำของฉันเหมือนอูฐจรจัดที่ถูกขับไล่ออกไป.ฉันจะเรียกพวกเขาว่า 'มานี่สิ!' แต่มันจะถูกกล่าว,'พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงหลังจาก(ท่าน)จากพวกเขาไป.'และฉันจะกล่าว,'ออกไปให้ห่าง,ออกไปให้ห่าง!'"
รายงานโดย มุสลิม (249).
عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ : سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ : ( إِنِّي عَلَى الْحَوْضِ أَنْتَظِرُ مَنْ يَرِدُهُ عَلَيَّ مِنْكُمْ ، فَلَيُقَطَّعَنَّ رِجَالٌ دُونِي ، فَلَأَقُولَنَّ : يَا رَبِّ أُمَّتِي أُمَّتِي ، فَلَيُقَالَنَّ لِي : إِنَّكَ لَا تَدْرِي مَا عَمِلُوا بَعْدَكَ ، مَا زَالُوا يَرْجِعُونَ عَلَى أَعْقَابِهِمْ ) .
رواه أحمد ( 41 / 388 ) وصححه المحققون .
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์ ได้กล่าว:ฉันได้ยินรอซูลุลลอฮ์(ﷺ)กล่าว:"ฉันจะอยู่ที่แอ่งน้ำ,รอคอยพวกท่านผู้ที่จะมาหาฉัน.ประชาชนบางส่วนจะถูกกีดกันจากการเข้าถึงฉัน,ดังนั้นฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,อุมมะห์ของฉัน,อุมมะห์ของฉัน!' แต่มันจะถูกกล่าวกับฉัน:'ท่านไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำหลังจากท่านจากไป; พวกเขาหันส้นเท้าของพวกเขา."'
رواه أحمد ( 41 / 388 ) وصححه المحققون .
มันถูกรายงานว่าอาอีชะห์ ได้กล่าว:ฉันได้ยินรอซูลุลลอฮ์(ﷺ)กล่าว:"ฉันจะอยู่ที่แอ่งน้ำ,รอคอยพวกท่านผู้ที่จะมาหาฉัน.ประชาชนบางส่วนจะถูกกีดกันจากการเข้าถึงฉัน,ดังนั้นฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,อุมมะห์ของฉัน,อุมมะห์ของฉัน!' แต่มันจะถูกกล่าวกับฉัน:'ท่านไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำหลังจากท่านจากไป; พวกเขาหันส้นเท้าของพวกเขา."'
รายงานโดย อะหมัด (41/388); ถูกจัดประเภทเป็น ซอเฮียะ โดยผู้เล่า.
عن أَنَس بْن مَالِكٍ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : ( لَيَرِدَنَّ عَلَيَّ الْحَوْضَ رِجَالٌ مِمَّنْ صَاحَبَنِي ، حَتَّى إِذَا رَأَيْتُهُمْ وَرُفِعُوا إِلَيَّ اخْتُلِجُوا دُونِي ، فَلَأَقُولَنَّ : أَيْ رَبِّ أُصَيْحَابِي أُصَيْحَابِي ، فَلَيُقَالَنَّ لِي : إِنَّكَ لَا تَدْرِي مَا أَحْدَثُوا بَعْدَكَ ) .
رواه البخاري ( 6211 ) ومسلم ( 2304 ) .
มันถูกรายงานจากอนัส อิบนุ มาลิก ว่าท่านนบี (ﷺ)ได้กล่าว:"บางส่วนของเหล่าผู้ที่มากับฉันจะมาหาฉันที่แอ่งน้ำ,และเมื่อฉันเห็นพวกเขาและพวกเขาเข้ามาใกล้ฉัน,พวกเขาจะถูกกระชากก่อนที่พวกเขาจะมาถึงฉัน.ฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,สหายของฉัน[أُصَيْحَابِي ],สหายของฉัน!' แต่มันจะถูกกล่าวกับฉัน: ท่านไม่รู้สิ่งที่พวกเขาได้แนะนำเข้ามาหลังจากท่านได้จากไป."
رواه البخاري ( 6211 ) ومسلم ( 2304 ) .
มันถูกรายงานจากอนัส อิบนุ มาลิก ว่าท่านนบี (ﷺ)ได้กล่าว:"บางส่วนของเหล่าผู้ที่มากับฉันจะมาหาฉันที่แอ่งน้ำ,และเมื่อฉันเห็นพวกเขาและพวกเขาเข้ามาใกล้ฉัน,พวกเขาจะถูกกระชากก่อนที่พวกเขาจะมาถึงฉัน.ฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,สหายของฉัน[أُصَيْحَابِي ],สหายของฉัน!' แต่มันจะถูกกล่าวกับฉัน: ท่านไม่รู้สิ่งที่พวกเขาได้แนะนำเข้ามาหลังจากท่านได้จากไป."
รายงานโดย อัล-บุคอรี (6211) และมุสลิม (2304).
عن عَبْد اللَّهِ بنِ مسعود قال : قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( أَنَا فَرَطُكُمْ عَلَى الْحَوْضِ لَيُرْفَعَنَّ إِلَيَّ رِجَالٌ مِنْكُمْ حَتَّى إِذَا أَهْوَيْتُ لِأُنَاوِلَهُمْ اخْتُلِجُوا دُونِي ، فَأَقُولُ : أَيْ رَبِّ أَصْحَابِي يَقُولُ : لَا تَدْرِي مَا أَحْدَثُوا بَعْدَكَ ) .
رواه البخاري ( 6642 ) ومسلم ( 2297 ) .
มันถูกรายงานว่า อับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ได้กล่าว:ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าว:"ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำนำหน้าพวกท่าน,และบางคนของพวกท่านจะเข้ามาใกล้ฉันกระทั่ง,เมื่อฉันใกล้จะถึง(ให้พวกเขาดื่ม),พวกเขาจะถูกกระชากออกไปก่อนที่พวกเขามาถึงฉัน.ฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,สหายของฉัน!' เขาจะกล่าว:'ท่านไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขาแนะนำเข้ามาหลังจากท่านได้จากไป."'
رواه البخاري ( 6642 ) ومسلم ( 2297 ) .
มันถูกรายงานว่า อับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ได้กล่าว:ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าว:"ฉันจะมาถึงแอ่งน้ำนำหน้าพวกท่าน,และบางคนของพวกท่านจะเข้ามาใกล้ฉันกระทั่ง,เมื่อฉันใกล้จะถึง(ให้พวกเขาดื่ม),พวกเขาจะถูกกระชากออกไปก่อนที่พวกเขามาถึงฉัน.ฉันจะกล่าว:'โอ้ พระเจ้า,สหายของฉัน!' เขาจะกล่าว:'ท่านไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขาแนะนำเข้ามาหลังจากท่านได้จากไป."'
รายงาโดย อัล-บุคอรี
(6642) และมุสลิม (2297).
(6642) และมุสลิม (2297).
(ติดตามในประการต่อไป)
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd
(ตอนที่ 2)
วันที่ลงเผยแพร่ : 28-06-2018
คำถาม
อะไรคือความหมายของฮาดิษกุดซีที่กล่าวว่าเมื่อชาวมุสลิมมาที่แอ่งน้ำของรอซูลุลลอฮ์[ในวันฟื้นคืนชีพ],อัลลอฮ์จะทรงกีดกันกลุ่มหนึ่งของประชาชน,และรอซูลุลลอฮ์(ﷺ)จะกล่าว:"โอ้ พระเจ้า,อุมมะห์ของฉัน,อุมมะห์ของฉัน!",และอัลลอฮ์,ผู้ทรงรุ่งโรจน์และสูงส่ง,จะตรัส:"เจ้าไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำหลังจากเจ้าจากไป(เสียชีวิต)"?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์
ประการที่สอง:
เมื่อสะท้อนกลับมาบนฮาดิษที่อ้างข้างต้น(ในประการที่หนึ่ง),เราพบว่าถ้อยคำอ้างอิงไปที่กลุ่มของประชาชนผู้ที่จะมุ่งหน้าไปที่แอ่งน้ำของท่านนบี(ﷺ)เพื่อดื่มจากมัน,แต่ฑูตสวรรค์(มะลาอีกะฮ์)จะผลักพวกเขากลับไป(ถอยหลัง). ท่านนบี(ﷺ)จะร้องเรียก(ตะโกนเรียก)ที่พวกเขา,พูดด้วยถ้อยคำ เช่น"อุมมาตี(อุมมะห์ของฉัน)(أمتي)หรือ(أصحابي " ، " أصيحابي). ความแตกต่างในถ้อยคำไม่ได้ขัดแย้งกัน; แต่มากกว่าที่มันต้องถูกเข้าใจว่าเป็นการอ้างไปยังประชาชนผู้ที่ถูกอ้างโดยถ้อยคำเหล่านี้,และเราสามารถสรุปประชาชนเหล่านี้[ผู้ที่จะถูกผลักออกไปจากแอ่งน้ำ]ดังต่อไปนี้:
1. บรรดาผู้ที่ละทิ้งความเชื่อจากศาสนาอิสลาม(ประชาชนที่ตกมุรตัด)หลังจากการเสียชีวิตของท่านนบี(ﷺ),และได้เป็นมุสลิมในช่วงการมีชีวิตของเขา(ﷺ)และ(พวกเขา)ได้เห็นเขา(ﷺ)ตอนที่พวกเขาเป็นมุสลิม.
2. บรรดาผู้ที่ละทิ้งความเชื่อจากศาสนาอิสลาม(ประชาชนที่ตกมุรตัด)ในช่วงบั้นปลายของชีวิตของท่านนบี(ﷺ),แต่เขา(ﷺ)ไม่ทราบถึงการปฏิเสธศรัธทาของพวกเขา.
3. คนหน้าซื่อใจคดหรือเสแสร้ง(กลุ่มมุนาฟิก)ที่ดูเหมือนจะเป็นมุสลิมภายนอก แต่ปกปิดความไม่ศรัธทาในใจของพวกเขา.
4. บรรดาผู้ทำตามอำเภอใจและความประสงค์ซึ่งได้เปลี่ยนซุนนะฮ์และคำสอนของท่านนบี,เช่น รอฝีเฎาะห์(ชีอะห์)และคอวาริจญ์.
5. นักวิชาการ,ผู้รู้(ศาสนา)บางคนรวมทั้งท่ามกลางประชาชนเหล่านี้ผู้ที่ทำบาปใหญ่.มีพยานหลักฐานจากซุนนะฮ์(ฮาดิษ)ที่สนับสนุนมุมมองนี้.อีหม่ามอะหมัดได้รายงานมุสนัดของเขา
(9/514) ว่าอิบนุ อุมาร์ ได้กล่าว: ท่านรอซูลุลลอฮ์(ﷺ) ได้กล่าว:"จะมีผู้ปกครอง(ผู้นำ)เหนือพวกท่านผู้ซึ่งจะบอกพวกท่านให้กระทำสิ่งที่พวกเขาไม่ทำด้วยตัวพวกเขาเอง.ใครก็ตามที่เชื่อใน(มัน)และยืนยันในคำหลอกลวงหรือโกหกของพวกเขา,และช่วยเหลือพวกเขาในการทำความผิด(การกระทำผิดกฎหมาย(ของชารีอะห์) เป็นต้น)ของพวกเขา,ไม่ใช่ของฉัน(เช่น กิจการที่นบีไม่มีส่วนรู้เห็น เป็นต้น)และฉันไม่ใช่ของเขา,และเขาจะไม่มีวันได้มาหาฉันที่แอ่งน้ำ."ถูกจัดประเภทเป็นซอเฮียะ(ถูกต้อง)โดย ผู้เล่าบนอัล-มุสนัด.
(9/514) ว่าอิบนุ อุมาร์ ได้กล่าว: ท่านรอซูลุลลอฮ์(ﷺ) ได้กล่าว:"จะมีผู้ปกครอง(ผู้นำ)เหนือพวกท่านผู้ซึ่งจะบอกพวกท่านให้กระทำสิ่งที่พวกเขาไม่ทำด้วยตัวพวกเขาเอง.ใครก็ตามที่เชื่อใน(มัน)และยืนยันในคำหลอกลวงหรือโกหกของพวกเขา,และช่วยเหลือพวกเขาในการทำความผิด(การกระทำผิดกฎหมาย(ของชารีอะห์) เป็นต้น)ของพวกเขา,ไม่ใช่ของฉัน(เช่น กิจการที่นบีไม่มีส่วนรู้เห็น เป็นต้น)และฉันไม่ใช่ของเขา,และเขาจะไม่มีวันได้มาหาฉันที่แอ่งน้ำ."ถูกจัดประเภทเป็นซอเฮียะ(ถูกต้อง)โดย ผู้เล่าบนอัล-มุสนัด.
ถ้อยคำ"อุมมะห์ของฉัน(อุมมาตี)"ในฮาดิษใช้กับหมายเลข 4 และ 5 ข้างต้น.ถ้อยคำ"สหายของฉัน(อัศ-ฮาบี หรืออุศอยฮาบี)"ใช้กับสามกลุ่มแรก(ข้างต้น).
สิ่งที่บ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของอุมมะห์ของเขา(ﷺ)คือความจริงที่เขาจะจำแนก(จำได้)พวกเขาโดยร่องรอยของวุฎุอ์(น้ำละหมาด)บนใบหน้าและแขนขาของพวกเขา,ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มีเอกลักษณ์พิเศษกับอุมมะห์นี้.ท่านนบี(ﷺ)จะรู้จักพวกเขาโดยลักษณะทั่วไปของพวกเขา,ไม่ใช่รายคน,เพราะพวกเขาได้มาหลังจากเขา(ﷺ)ได้จากไปแล้ว.
สิ่งที่บ่งชี้ว่ากลุ่มมุนาฟิก(เสแสร้ง)ถูกรวมในสำนวน"สหายของฉัน(อัศ-ฮาบี)"เป็นความจริงที่ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าว[ตอนที่ซอฮาบะฮ์บางคนได้เสนอแนะให้ฆ่าพวกมุนาฟิก,และเขา(ﷺ)ได้ปฏิเสธที่จะให้ทำเช่นนั้น]:"เพื่อไม่ให้ประชาชนพากันพูดว่าเขา(นบี)กำลังฆ่าสหายของเขา(อัศ-ฮาบาฮู)." รายงานโดย อัล-บุคอรี (3518).นี่คือความหมายทางภาษาอย่างหมดจด(ในลักษณะที่บริสุทธิ์)ของความรู้สึกของมิตรภาพ(ความเป็นสหาย);มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสมควรกับเกียรติของการถูกเรียกว่าสหาย(ซอฮาบะฮ์)ของท่านนบี(ﷺ),เพราะคำนิยามของศัพท์เทคนิค ซอฮาบี[สหายของท่านนบี]ไม่ได้ใช้กับผู้คนเหล่านี้.
ต่อไปนี้เป็นบางข้อคิดเห็นของนักวิชาการเกี่ยวกับฮาดิษเหล่านี้:
1. อัน-นาวาวี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว,แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับฮาดิษ:
นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งซึ่งบรรดานักวิชาการมีความแตกต่างต่ออะไรที่มันหมายถึง.มีหลายมุมมอง,เช่น ต่อไปนี้:
(1). สิ่งนั้นมันอ้างถึงพวกเสแสร้ง(มุนาฟิก)และพวกละทิ้งศาสนา(มุรตัด). พวกเขาอาจถูกรวม(ในวันฟื้นคืนชีพ)กับร่องรอยของน้ำวุฎุอฺบนใบหน้าและแขนขาของพวกเขา,ดังนั้นท่านนบี(ﷺ)จะร้องเรียกพวกเขาเพราะมีเครื่องหมายที่อยู่บนพวกเขา,แต่มันจะถูกกล่าว: ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้ที่สัญญาถูกให้กับท่าน(หมายถึงนบี),เพราะพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลังจากท่านได้จากพวกเขาไป(หมายถึงเสียชีวิต),และอื่นๆ,พวกเขาไม่ได้เสียชีวิตในฐานะเป็นมุสลิมถึงแม้ว่าพวกเขาได้แสดงออกมาเป็นมุสลิม.
(2). สิ่งนั้นมันอ้างถึงบรรดาผู้เป็นมุสลิม ณ เวลา ของท่านนบี(ﷺ),จากนั้นพวกเขาได้ละทิ้งศาสนาหลังจากเขา(นบี)ได้จากไป,ดังนั้นท่านนบี(ﷺ)จะเรียกพวกเขา,แม้ว่าไม่มีร่องรอยของน้ำวุฎุอฺบนพวกเขา,เพราะเขา(นบี)ได้รู้จักพวกเขาว่าเป็นมุสลิมในช่วงเวลาของการมีชีวิตของเขา(นบี).แต่มันจะถูกกล่าว: พวกเขาได้ละทิ้งศาสนาหลังจากท่าน(นบี)ได้จากไป.
(3). สิ่งนั้นมันอ้างถึงประชาชนผู้ที่ได้ทำบาป,รวมทั้งบาปใหญ่,แต่ตายบนความเชื่อในเตาฮีด,และผู้ทำตามของอุตริกรรม(บิดอะห์)ซึ่งอุตริกรรมของพวกเขาไม่ได้ทำให้พวกเขาออกจากอิสลาม.
ชาเราะห์ มุสลิม (3/136, 137).
2. อัล-ฮาฟิซ อิบนุ ฮาญาร์(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
อัล-ฆอตตาบี ได้กล่าว: ไม่มีใครจากบรรดาซอฮาบะฮ์ได้ละทิ้งศาสนา(ตกมุรตัด); แต่มากกว่าที่เหล่าผู้ที่ละทิ้งศาสนาเป็นบางคนของพวกเกเร(พาล),ชาวอาหรับที่มีจิตใจดื้อดึง,ผู้ที่ไม่ถูกรู้จักว่าใช้ความพยายามในการสนับสนุนในศาสนา(อิสลาม). การละทิ้งศาสนาหรือการปลีกตัวออกจากญามาอะห์ของพวกเขาไม่ได้บ่อนทำลายสถานะของเหล่าซอฮาบะฮ์ที่มีชื่อเสียง.สำนวน"สหายของฉัน[อุศอยฮาบี,ซึ่งเป็นรูปแบบที่เล็กกระจิดริดของถ้อยคำ]"บ่งบอกว่าพวกเขามีน้อยในจำนวน.
ฟัตฮุลบารี (11/385).
3. ชัยค์ อับดุล-กอดิร อัล-บัฆดาดี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
อะห์ลุซ-ซุนนะฮ์ มีมติเป็นเอกฉันท์(อิจมาอฺ)ว่าบรรดาผู้ที่ละทิ้งศาสนาหรือปลีกตัวออกจากญามาอะห์หลังการเสียชีวิตของท่านนบี(ﷺ)จากเผ่าของกินดะห์,ฮานีฟะห์,ฟาซอเราะห์,บานู อาสาด และบานู บักร์ อิบนุ วาอิล ไม่ได้อยู่ในท่ามกลางชาวอันศอร หรือมุฮาญีรีน ผู้ที่อพยพก่อนพิชิตมักกะห์; แต่มากกว่าตัวบททางศาสนาให้สมญาของชาวมุฮาญีรีนกับเหล่าผู้ที่อพยพร่วมกับท่านนบี(ﷺ)ก่อนพิชิตมักกะห์.พวกเขา - มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ - ยังคงแน่วแน่ในการปฏิบัติตามศาสนาที่แท้จริงและเส้นทางที่เที่ยงตรง.
อะห์ลุซซุนนะฮ์ มีอิจมาอฺ ว่า บรรดาผู้ที่มีชีวิตอยู่กับท่านรอซุลลุลอฮ์(ﷺ)(ในช่วงชีวิตของท่านรอซูล) ที่บาดัรจะอยู่ท่ามกลางประชาชนของสวรรค์; เช่นเดียวกันเป็นความจริงของบรรดาผู้ที่อยู่กับเขา(นบี)ที่ บัยอาต อัร-รอดวาน ใน อัล-ฮุดัยบียะห์.
" الفَرْق بين الفِرق " ( ص 353 ) .
4. อัช-ชาตีบี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
สิ่งที่ปรากฎที่จะเป็นในกรณีนี้คือว่า พวกเขาจะถูกรวมเข้าไปอยู่ในท่ามกลางของอุมมะห์นี้,เนื่องด้วยเครื่องหมายที่พวกเขาจะมีบนตัวพวกเขา[ในวันฟื้นคืนชีพ],กล่าวคือ ร่องรอยของวุฎุอฺ บนใบหน้าและแขนขาของพวกเขา.เพราะเครื่องหมายนั้นไม่สามารถมีกับประชาชนที่ปฏิเสธศรัธทาโดยสมบูรณ์,ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเป็นผู้ศรัธทามาก่อน(และยังคงเป็นเช่นนั้น)หรือละทิ้งศาสนา(จากอิสลาม),และเพราะถ้อยคำที่ว่า"พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงหลังจากท่าน(ﷺ)ได้จากไป."ถ้าสิ่งนั้นอ้างถึงการปฏิเสธศรัธทา,เขาจะกล่าวว่า,"พวกเขาได้ปฏิเสธศรัธทาหลังจากท่านได้จากไป."การอธิบายความที่เป็นไปได้มากกว่าคือ สิ่งที่มีความหมายคือ กำลังลอยหายออกไปจากซุนนะฮ์,ซึ่งสามารถใช้กับผู้ทำตามของอุตริกรรม.
เกี่ยวกับผู้ที่แนะนำว่ามันอ้างถึงคนหน้าซื่อใจคดหรือคนเสแสร้ง(คนมุนาฟิก)ที่ตกอยู่ในลักษณะพิเศษหรือวงจำกัดของสิ่งที่เรากำลังกล่าว,เพราะคนมุนาฟิก(คนเสแสร้ง)ทำหน้าที่ทางศาสนาโดยวิธีของการอำพรางไม่ใช่โดยวิธีของอีบาดัต,ดังนั้นพวกเขาดำเนินการตามข้อปฏิบัติทางศาสนาในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง,ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอุตริกรรมจริง.
เกี่ยวกับผู้ที่แนะนำว่ามันอ้างถึงคนหน้าซื่อใจคดหรือคนเสแสร้ง(คนมุนาฟิก)ที่ตกอยู่ในลักษณะพิเศษหรือวงจำกัดของสิ่งที่เรากำลังกล่าว,เพราะคนมุนาฟิก(คนเสแสร้ง)ทำหน้าที่ทางศาสนาโดยวิธีของการอำพรางไม่ใช่โดยวิธีของอีบาดัต,ดังนั้นพวกเขาดำเนินการตามข้อปฏิบัติทางศาสนาในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง,ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอุตริกรรมจริง.
สิ่งนี้ใช้กับคนที่ทำตามซุนนะฮ์และนำไปปฏิบัติโดยเป็นวิธีการของการเพิ่มพูนผลประโยชน์ในทางโลก - และไม่ใช่วิธีหรือเครื่องมือของการอีบาดัตต่ออัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,และ(ไม่ใช่วิธีหรือเครื่องมือของ)การเข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น - เพราะนั่นคือการละเล่นกับซุนนะฮ์และการปฏิบัติในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสนาอิสลาม.
" الاعتصام " ( 1 / 96 ) .
5. อัล-กุรตูบี(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวว่า:
นักวิชาการของเรา(ขออัลลอฮ์พอพระทัยกับพวกเขาทั้งหมด)ได้กล่าว: ทุกคนที่ละทิ้งศาสนาของอัลลอฮ์ หรือแนะนำบางสิ่งซึ่งอัลลอฮ์นั้นไม่เป็นที่พอพระทัยและสำหรับสิ่งซึ่งพระองค์ไม่อนุญาตจะอยู่ในท่ามกลางผู้ที่ถูกผลักไสออกไปจากแอ่งน้ำ.ผู้ที่จะถูกผลักไสออกไปอย่างรุนแรงที่สุดคือบรรดาผู้ที่แตกต่างจากส่วนหลัก(ญามาอะห์)ของชาวมุสลิมและลอยห่างไปจากแนวทางของพวกเขา,เช่น กลุ่มคอวาริจญ์ และรอฝีเฎาะห์ของกลุ่มต่างๆที่หลากหลายและมุตาซีละห์ ผู้ที่ทำตามความประสงค์และความต้องการที่แตกต่าง.ทั้งหมดของประชาชนเหล่านี้ได้แนะนำการเปลี่ยนแปลงเข้ามา(ในศาสนา).สิ่งเดียวกันใช้กับผู้กระทำความผิดผู้ไปถึงความสุดโตงในการกระทำความผิดและการกดขี่บังคับ,และพยายามยกเลิกหรือปิดความจริง,การฆ่าและการลดเกียรติประชาชนของความจริง,รวมทั้งเหล่าผู้ที่กระทำบาปใหญ่อย่างเปิดเผย,ทำเรื่องของบาปเล็กน้อย,และกลุ่มที่ลอยห่างออกไปและทำตามความประสงค์และความต้องการและอุตริกรรมของพวกเขา.
นอกจากนี้,พวกเขาอาจถูกผลักไสออกไปเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง,จากนั้นได้รับอนุญาตเข้ามาใกล้ หลังจากได้รับการอภัยโทษ,ถ้าหากว่าปัญหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดและไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ(อากีดะห์).
พิ้นฐานบนสมมุติฐานนี้,กลุ่มนี้จะถูกรู้จักโดยแสงสว่างของน้ำวุฎุอฺ',แล้วมันจะถูกกล่าว,"ออกไปให้ห่างกับพวกเขา."แต่ถ้าพวกเขาอยู่ท่ามกลางพวกมุนาฟิก(พวกกลับกลอกหรือเสแสร้ง)ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเวลาของรอซูลุลลอฮ์(ﷺ),ผู้ที่แสดงความศรัธทาภายนอกในขณะที่ปฏิเสธภายใน,พวกเขาจะถูกพาไปตามที่พวกเขาปรากฎ,จากนั้นธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกเปิดเผย,และมันจะถูกกล่าว,"ออกไปให้ห่าง,ออกไปให้ห่างกับพวกเขา."ไม่มีใครจะพำนักในนรกตลอดกาลยกเว้นผู้ปฏิเสธศรัธทา,ผู้ไม่ยอมรับและผู้ทำตามของการหลอกลวงหรือความไม่มีวาจาสัตย์ในหัวใจของพวกเขาที่ไม่มีแม้แต่น้ำหนักของอิหม่านเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด.
พิ้นฐานบนสมมุติฐานนี้,กลุ่มนี้จะถูกรู้จักโดยแสงสว่างของน้ำวุฎุอฺ',แล้วมันจะถูกกล่าว,"ออกไปให้ห่างกับพวกเขา."แต่ถ้าพวกเขาอยู่ท่ามกลางพวกมุนาฟิก(พวกกลับกลอกหรือเสแสร้ง)ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเวลาของรอซูลุลลอฮ์(ﷺ),ผู้ที่แสดงความศรัธทาภายนอกในขณะที่ปฏิเสธภายใน,พวกเขาจะถูกพาไปตามที่พวกเขาปรากฎ,จากนั้นธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกเปิดเผย,และมันจะถูกกล่าว,"ออกไปให้ห่าง,ออกไปให้ห่างกับพวกเขา."ไม่มีใครจะพำนักในนรกตลอดกาลยกเว้นผู้ปฏิเสธศรัธทา,ผู้ไม่ยอมรับและผู้ทำตามของการหลอกลวงหรือความไม่มีวาจาสัตย์ในหัวใจของพวกเขาที่ไม่มีแม้แต่น้ำหนักของอิหม่านเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด.
" التذكرة في أحوال الموتى والدار الآخرة " ( ص 352 ) .
(ติดตามในประการที่สามต่อไป)
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd
ประการที่สาม:
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่ารอฝีเฎาะห์(ชีอะห์) กำลังโกหกพวกเขาอ้างว่า อาบู บักร์,อุมาร์และอุษมาน ซึ่งเป็นซอฮาบะฮ์คนสำคัญ อยู่ในท่ามกลางพวกละทิ้งศาสนา(ตกมุรตัด) นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกพิสูจน์แล้วโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ว่าการละทิ้งศาสนาได้เกิดขึ้นและผู้ละทิ้งศาสนาถูกรบ,ดังนั้นใครรบกับใคร? เหล่าผู้ที่ละทิ้งความเชื่อในศาสนาเป็นบรรดาผู้ที่คำอธิบายเราได้อ้างถึงแล้ว(ข้างต้น),กล่าวคือ บางส่วนของเผ่าอาหรับ,และคนที่รบกับพวกเขาคืออาบู บักร์ อัซซิดดีก(รอดียัลลอฮูอันฮู)และพี่น้องของเขาในหมู่ชาวมุฮาญีรีนและอันศอร - และอาลี อิบนุ อาบี ตอลิบ(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้มีส่วนร่วมกับพวกเขาด้วยในการสู้รบกับพวกละทิ้งศาสนา(กลุ่มคนที่ตกมุรตัด); เขาจับผู้หญิงคนหนึ่งของบานู ฮานีฟะห์ เป็นภรรยาคนหนึ่งและเธอก็ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งซึ่งต่อมากลายเป็นนักวิชาการคนสำคัญ,คือมุฮัมหมัด อิบนุ อัล-ฮานาฟียะห์.ถ้าซอฮาบะฮ์ที่มีเกียรติ อาบู บักร์ และอูมาร์,และชาวมุฮาญีรีนและอันศอร ผู้ที่อยู่กับพวกเขา,เป็นผู้ละทิ้งศาสนา,จะเป็นอย่างไรในกรณีของมุซัยลีมะห์ และอัล-อันซี, และเหล่าลูกศิษย์หรือผู้ติดตามของพวกเขา?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามุมมองนี้(ของรอฝีเฎาะห์) นั้นเป็นจุดสำคัญมากของความความเสแสร้ง(มุนาฟิก)และสร้างปัญหา; มันเป็นการโกหกและการเป็นพยานเท็จ.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามุมมองนี้(ของรอฝีเฎาะห์) นั้นเป็นจุดสำคัญมากของความความเสแสร้ง(มุนาฟิก)และสร้างปัญหา; มันเป็นการโกหกและการเป็นพยานเท็จ.
ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมัยะห์(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
ขอให้อัลลอฮ์ลงโทษผู้โกหกและผู้ละทิ้งศาสนา,ผู้ทำตามหรือลูกศิษย์ของผู้ละทิ้งศาสนา(หรือผู้ปลีกตัวออกจากญามาอะห์),ผู้ที่กำลังกระเสือกกระสนอย่างหนักแข็งขืนกับอัลลอฮ์,ศาสนฑูตของพระองค์,คัมภีร์ของพระองค์และศาสนาของพระองค์; พวกเขาออกไปจากอิสลามและเขวี้ยงมันไว้ด้านหลังของพวกเขา,และพวกเขาต่อสู้กับอัลลอฮ์ และร่อซูลของพระองค์และปวงบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์,โดยยึดพันธมิตรที่เป็นผู้ปลีกตัวออกจากศาสนาและกลุ่มนอกรีต.การพูดนี้และสิ่งอื่นๆที่พวกเขากล่าว,ยืนยันว่าประชาชนเหล่านี้,ผู้ซึ่งแบกความแค้นต่ออาบู บักร์ อัซ-ซิดดีก(รอดียัลลอฮูอันฮู)และซอฮาบะฮ์ท่านอื่นๆ,เป็นเช่นเดียวกับผู้ละทิ้งศาสนาที่ปฏิเสธศรัธทา,เป็นเหมือนกันกับผู้ที่ละทิ้งศาสนาเหล่านั้นผู้ที่อาบู บักร์(รอดียัลลอฮูอันฮู)ได้สู้รบ.
" منهاج السنة النبوية " ( 4 / 490 ) .
และเขา(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
สรุป,เรื่องราวของมุซัยลามะห์ นักโกหก,และการอ้างสิทธิ์ของเขาของการเป็นนบี,และบานู ฮานีฟะห์ ใน อัล-ยามามะห์ ที่ติดตามเขา,และอาบู บักร์ สู้รบกับพวกเขาสำหรับเรื่องนั้น,เป็นบางสิ่งที่รู้จักกันดีและถูกบอกเล่าผ่านคำรายงานระดับมุตาวาตีร; มันเป็นที่ทราบกับทุกคน,คนชั้นสูงและคนทั่วไปเป็นเหมือนกัน,เช่นเหตุการณ์ที่รู้จักกันดีอื่นๆ ที่ได้รับการบอกเล่าผ่านการรายงานมุตาวาตีร.เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกรู้จักกับชนชั้นสูงเท่านั้น; แต่มากกว่าที่มันเป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนมากกว่าสงครามอูฐและซิฟฟีน.มันถูกรายงานจากนักวิชาการคนหนึ่งของกาลามว่าเขาปฏิเสธว่าสงครามอูฐและซิฟฟีนได้เกิดขึ้น,แม้ว่าการปฏิเสธนี้ไม่มีมูลความจริง;แต่ถึงกระนั้นเราไม่ทราบว่ามีใครปฏิเสธว่าชาวมุสลิมต่อสู้กับชาวอัลยามามะห์ และมุซัยลามะห์ นักโกหก ผู้ที่ได้อ้างตนว่าเป็นนบีคนหนึ่ง,และชาวมุสลิมได้ต่อสู้กับเขาเพราะเรื่องนั้น.
ในส่วนพวกรอฝีเฎาะห์เหล่านี้,การปฏิเสธของพวกเขา[ว่าอาบู บักร์ ได้ต่อสู้กับพวกละทิ้งศาสนา]มีความเกี่ยวดองกับการปฏิเสธของพวกเขาว่าอาบู บักร์ และอุมาร์ ถูกฝังติดกับท่านนบี,และการปฏิเสธของพวกเขาว่า อาบู บักร์และอูมาร์ เป็นพวกพ้องของท่านนบีและในหมู่วงในของเขา,และพวกเขาอ้างว่าท่านนบี(ﷺ)ได้แต่งตั้งอาลี เป็นผู้สืบทอดของเขา,โดยการกล่าวถึงชื่อของเขา. ในความเป็นจริงบางคนของพวกเขาถึงกับปฏิเสธว่า ไซนับ, รุกัยยะห์ และ อุมม์ กูลษูม เป็นลูกสาวของท่านนบี(ﷺ)! พวกเขาได้กล่าวว่าพวกนางเป็นลูกสาวของคอดีญะห์จากสามีคนแรกของนาง,ผู้ซึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัธทา,กับผู้ที่นางได้แต่งงานก่อนท่านนบี(ﷺ).
" منهاج السنة النبوية " ( 4 / 492 ، 493 ) .
และเขา(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าว:
พวกเขา คือรอฝีเฎาะห์ ผู้ที่อ้างว่าอาบู บักร์ และอูมาร์ และเหล่าผู้ที่ทำตามพวกเขา(อาบู บักร์ และอูมาร์),ได้ละทิ้งศาสนาอิสลาม! แต่คนชั้นสูงและชาวบ้านธรรมดาสามัญชนรู้ว่าอาบู บักร์ เป็นผู้หนึ่งที่ได้สู้รบกับพวกละทิ้งศาสนา.ถ้าพวกเขาอ้างว่าประชาชนของอัล-ยามามะห์ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมและถูกฆ่าอย่างผิดกฎหมาย,และพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีการต่อสู้กับพวกเขาและพยายามหาข้ออ้างเพื่อพวกเขา,เมื่อนั้นสิ่งนี้พิสูจน์ว่าประชาชนเหล่านี้[อะห์ลุซซุนนะฮ์ วัล-ญามาอะห์]กำลังตามรอยเท้าของคนรุ่นก่อนๆ[ซอฮาบะฮ์],และอาบู บักร์ อัซ-ซิดดีก และผู้ทำตามของเขาสู้รบกับพวกละทิ้งศาสนาในทุกยุคสมัย.
การอ้างของอิบนุ อัล-มุตะห์ฮัร อัล-ฮิลลี อัร-รอฝีดี,พวกเขามองว่าเผ่าของบานู ฮานีฟะห์เป็นพวกนอกรีต(ละทิ้งศาสนา)เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะจ่ายซากาตให้กับอาบู บักร์,เป็นหนึ่งของการโกหกที่โจ่งแจ้งและร้ายกาจที่สุด,เพราะอาบู บักร์ สู้รบกับบานู ฮานีฟะห์ เนื่องจากความเชื่อของพวกเขาในตัวมุซัยลามะห์ นักโกหก และเขา(มุซัยลามะห์)อ้างว่าเป็นนบีเท่านั้น.สำหรับผู้ที่ไม่ยอมให้ซากาต พวกเขาเป็นคนอื่นนอกจากบานู ฮานีฟะห์. เกี่ยวกับผู้คนเหล่านั้น,ซอฮาบะฮ์บางคนไม่แน่ใจเกี่ยวกับการอนุญาตให้ต่อสู้กับพวกเขา,แต่ไม่มีใครของพวกเขามีความสงสัยเกี่ยวกับภาระจำเป็นที่ต้องสู้กับบานู ฮานีฟะห์...
" منهاج السنة النبوية " ( 4 / 493 ، 494 ) .
ประการที่สี่:
มันอาจถูกกล่าวกับรอฝีเฎาะห์เหล่านี้:
ทำไมคอลีฟะห์สามคนแรกละทิ้งหลักความเชื่อในอิสลามและไม่ใช่อาลี? ทำไม คนเช่น อัมมาร์ อิบนุ ยาซีร,อัล-มักดาด อิบนุ อัล-อัสวาด,อาบู ซาร์ และ ซัลมาน อัล-ฟารีซี ได้รับการยกเว้นจากการละทิ้งความเชื่อในศาสนา? หรือสิ่งนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความประสงค์และการตามอำเภอใจ?!
ทำไมคอลีฟะห์สามคนแรกละทิ้งหลักความเชื่อในอิสลามและไม่ใช่อาลี? ทำไม คนเช่น อัมมาร์ อิบนุ ยาซีร,อัล-มักดาด อิบนุ อัล-อัสวาด,อาบู ซาร์ และ ซัลมาน อัล-ฟารีซี ได้รับการยกเว้นจากการละทิ้งความเชื่อในศาสนา? หรือสิ่งนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความประสงค์และการตามอำเภอใจ?!
เราเชื่อว่าชาวมุฮาญีรีน และชาวอันศอร จะอยู่ในสวรรค์ ตลอดไป.อัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,ตรัส:
وَالسَّابِقُونَ الْأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنصَارِ وَالَّذِينَ اتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ وَأَعَدَّ لَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي تَحْتَهَا الْأَنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا أَبَدًا ۚ ذَٰلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ ( 100 )
บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง
บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง
[อัต-เตาบะฮฺ 9:100].
เราเชื่อว่า อาบู บักร์ อยู่ในสวรรค์,อูมาร์ อยู่ในสวรรค์,อุษมาน อยู่ในสวรรค์,และสิ่งนี้ใช้กับทั้งหมดของบรรดาผู้ที่ท่านนบี(ﷺ)ได้กล่าวโดยชื่อ; ทั้งหมดของพวกเขาจะดื่มจากแอ่งน้ำของท่านนบี(ﷺ),และจะเพลิดเพลินในการดื่มนั้น.ความหายนะและการลงโทษจงมีแด่บรรดาผู้สาปแช่งพวกเขาและถือว่าพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา,เมื่อพวกเขาเองสมควรมากกว่าที่จะได้,ในวันฟื้นคืนชีพ,มากกว่าพวกนอกรีตผู้ที่เหล่าซอฮาบะฮ์ผู้มีเกียรติเหล่านี้ได้สู้รบ.
ประการที่ห้า:
ฮาดิษเหล่านี้เสนอข้อพิสูจน์ต่อรอฝีเฎาะห์,ที่พวกเขาสำทับ(กล่าวซ้ำ)ว่าซอฮาบะฮ์,ด้วยกับข้อยกเว้นสองสามสิ่ง,ว่าได้ละทิ้งศาสนา,และพวกเขาอ้างว่าพวกเขาได้แนะนำการเปลี่ยนแปลงหลังการเสียชีวิตของท่านนบี.สิ่งที่สิ่งนี้หมายถึงคือ พวกเขาเป็นผู้ศรัธทาก่อนหน้านั้น! ดังนั้นศาสนาอะไรกันเล่าที่พวกเขาศรัธทาหลังจากนั้น? พวกเขาได้ทำอะไรให้สมควรได้รับการกล่าวโทษและการกล่าวหาจากเรื่องการปฏิเสธศรัธทานี้?! หากพวกคุณ(รอฝีเฎาะห์)กล่าวว่าพวกเขาฉกฉวยตำแหน่งคอลีฟะห์ไปจากอาลี(รอดียัลลอฮูอันฮู),ที่อาจถูกบอกว่าได้ทำความผิดหนึ่ง,แต่ถ้าหากมันเป็นความผิด,ตามที่คุณอ้าง,ดังนั้นการกระทำที่ดีของพวกเขาสามารถเกินดุลมัน(มีน้ำหนักมากกว่าความผิด).มันเพียงพอสำหรับซอฮาบะฮ์ที่คุณด่าทอและสาปแช่งพวกเขา,ดังนั้นบาปทั้งหมดของพวกเขา (ที่ถูกกล่าวหา) จะถูกโอนมาให้คุณ,อินชาอัลลอฮ์.
ถ้าพวกเขา (รอฝีเฎาะห์) อ้างถึงการฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดของฟาตีมะห์ เราจะพูดว่า: คนหลายพันคนถูกฆ่าตายในเวลาของอาลี(รอดียัลลอฮูอันฮู); คุณจะใช้กฎเดียวกันและถือว่าเขาเป็นคนที่ปฏิเสธศรัธทาเหมือนกันหรือไม่?
จากข้างต้น,มันชัดเจนว่าซอฮาบะฮ์ที่มีเกียรติเป็นประชาชนผู้ที่รักษาศาสนาของอัลลอฮ์,และพวกเขาเป็นผู้คนที่หยุดยั้งการแพร่กระจายของความเชื่อนอกรีต(นอกคอก),ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมโดยเหล่าผู้เบิกทางของพวกรอฝีเฎาะห์,เช่น มุซัยละมะห์ จอมโกหก และ อัล-อัสวาด อัล-อันซี.ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธ์,อัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,ได้ยกย่องชาวมุฮาญีรีนและชาวอันศอร,ในกุรอานที่จะถูกอ่านจนกระทั่งถึงการเริ่มต้นของวันสิ้นโลก.พระเจ้าของพวกเขาได้ประกาศถึงพวกเขาว่าอยู่เหนือการตกลงไปสู่อุตริกรรม,ดังนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาสามารถพลาดพลั้งลงไปสู่ความนอกรีตหรือละทิ้งศาสนา(หรือตกมุรตัด),เมื่อพวกเขาเป็นบรรดาผู้ที่เผยแพร่ศาสนานี้ไปในพื้นที่ต่างๆที่ห่างไกลและกว้างขวาง?
และอัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
Source: Islam Q&A
แปลโดย Firdaus Msd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น