วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564

ตัดเเต่งเคราได้หรือไม่ ?





ตัดเเต่งเคราได้หรือไม่ ?





การไว้เครานั้น เป็นซุนนะฮ์ของท่านนบีมุฮัมหมัดﷺเเละบรรดานบีทุกท่าน ซึ่งได้ปรากฏหลักฐานมากมายจากซุนนะฮ์ของท่านนบีﷺ ด้วยสำนวนที่เเตกต่างกันออกไป ที่ล้วนเเล้วเเต่บ่งชี้ว่าการไว้เครานั้นเป็นซุนนะฮ์ เเละถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติ ดังหะดีษต่อไปนี้ :



หะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

خَالِفُوا الْمُشْرِكِينَ، أَحْفُوا الشَّوَارِبَ، وَأَوْفُوا اللِّحَى.

จงทำให้เกิดความเเตกต่างกับบรรดามุชริกีน จงตัดหนวด เเละจงไว้เครา
(บันทึกโดยมุสลิม)


หะดีษของท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

جُزُّوا الشَّوَارِبَ، وَأَرْخُوا اللِّحَى، خَالِفُوا الْمَجُوسَ.

"จงตัดเล็มหนวด เเละจงไว้เครา จงทำให้เเตกต่างกับบรรดาผู้บูชาไฟ"
(บันทึกโดยมุสลิม)

หะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านนบีﷺกล่าวว่า :

خَالِفُوا الْمُشْرِكِينَ، وَفِّرُوا اللِّحَى، وَأَحْفُوا الشَّوَارِبَ.

"จงทำให้ต่างกับบรรดามุชริกีน จงไว้เคราให้มาก เเละจงตัดหนวด"
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)


หะดีษของอิบนุอุมัรเช่นเดียวกัน
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

أَعْفُوا اللِّحَى، وَأَحْفُوا الشَّوَارِبَ.

"จงไว้เครา เเละจงตัดหนวด" 
(บันทึกโดยอันนะซาอีย์)


เเละ
อิบนุ อัซซะอ์ด ได้รายงานว่า :มีชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้บูชาไฟได้มาหาท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ซึ่งเขาเป็นคนที่โกนเคราเเละไว้หนวดเยอะมาก ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็ได้ผินออกจากเขา เเละเมื่อเขาได้มายังท่าน ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวว่า :"ผู้ใดสั่งให้เจ้ากระทำเช่นนี้" เขาก็ได้ให้คำตอบเเก่ท่านนบี เเละท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวว่า : "เเต่อัลลอฮ์ทรงสั่งใช้ให้ฉันตัดสิ่งนี้(หมายถึงหนวด) เเละไว้สิ่งนี้(หมายถึงเครา)


หลักฐานข้างต้น ล้วนเเล้วได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ามีซุนนะฮ์ให้ไว้เคราเเละตัดหรือขลิบหนวดเพื่อให้เกิดความเเตกต่างกับบรรดามุชริกีน ...


การโกนเครานั้นเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม)
โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์(อิจมาอ์)


อิหม่ามอิบนุฮัซม์ได้รายงานอิจมาอ์ไว้ถึงการ
ห้ามการโกนเคราใน"مراتب الإجماع"ว่า :

"พวกเขาเห็นพ้องกันว่าการโกนเคราทั้งหมดนั้นเป็นบาป ไม่อนุญาต"


อิหม่ามอิบนุอับดิลบัร อัลมาลิกีย์ กล่าวไว้ใน"التمهيد" ว่า :
"การโกนเคราเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) 
ไม่มีผู้ใดกระทำนอกจากบรรดากระเทย"


ชัยค์ อะลีย์ มะห์ฟูซ เป็นหนึ่งในนักวิชาการของ
มหาวิทยาลัยอัลฮัซฮัร ได้กล่าวว่า :
"มัซฮับทั้งสี่ได้เห็นพ้องกันว่าจำเป็นต้องไว้เคราเเละห้ามโกนมัน"
(الإبداع في مضار الابتداع)จึงทราบได้ว่าทรรศนะนี้เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก(ญุมฮูร)


การตัดเคราบางส่วนออก หรือการตกเเต่งเคราที่ไม่ถึงขั้นของการโกนนั้น เป็นประเด็นที่นักวิชาการได้มีข้อขัดเเย้งกัน ออกเป็น 3 ทรรศนะ ซึ่งเกิดจากการขัดเเย้งในเป้าหมายของคำว่า "ไว้เครา-الإعفاء" ที่ปรากฏในหะดีษ ว่าการไว้เคราในที่นี้คือการไว้ยาวขนาดไหน 
มีขอบเขตในการไว้หรือไม่


ซึ่งชัยค์ ศอลิห์ บิน อับดุลอะซีซ อาลุชชัยค์ หะฟิซอฮุลลอฮ์ 
ได้เเจกเเจงเรื่องนี้ไว้
(อธิบายอะกีดะฮ์อัฏฏอหาวียะฮ์ เทปที่ 28) ดังนี้ :


ทรรศนะที่หนึ่ง : 
เป็นทรรศนะของนักวิชาการของเรา ที่ได้มีความเห็นว่าการไว้เคราคือการปล่อยไปตามสภาพของมัน โดยไม่มีการตัดเเต่งใด ๆ ทั้งสิ้น ดังกล่าวนี้เนื่องจากยึดตามผิวเผินของตัวบทหลักฐานต่าง ๆ



ทรรศนะที่สอง :
เป็นทรรศนะของ อิหม่ามอะหมัด(รอหิมาฮุลลอฮ์) เเละบรรดาสหายของท่าน ได้มีความเห็นว่าการไว้เคราโดยการปล่อยมันไปตามสภาพของมันนั้นเป็นซุนนะฮ์ เเละการตัดเคราออกบางส่วนที่ไม่ถึงขั้นการโกนนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ(มักรูฮ์) ซึ่งอิหม่ามอะหมัดก็ได้ตัดเคราของท่านเหมือนกัน ดังที่อิซฮาก บิน ฮานิอ์ ได้กล่าวไว้ใน"المسائل" อีกทั้งมีรายงานมาจากบรรดาศอหาบะฮ์บางท่าน ว่าพวกเขาได้ตัดเคราที่เกินหนึ่งกำมือ เช่น ท่านอิบนุอุมัร ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา



ทรรศนะที่สาม :
มีความเห็นว่าการไว้เครายาวเกินหนึ่งกำมือเป็นบิดอะฮ์ ไม่เป็นที่อนุญาต ซึ่งเป็นทรรศนะของอิหม่ามอัลอัลบานีย์ รอหิมาฮุลลอฮ์ ซึ่งเป็นทรรศนะที่ไม่มีหลักฐานรองรับ

ดังกล่าวนี้คือทรรศนะของบรรดาอุลามาอ์เกี่ยวกับการไว้เครา(الإعفاء)


จึงสามารถกล่าวได้ว่า :
เป้าหมายของคำว่าไว้เครา(الإعفاء)นั้น ที่ใกล้เคียงที่สุดโดยการพิจารณาจากการกระทำของบรรดาศอหาบะฮ์นั้น การไว้เคราไม่ได้มีขอบเขต(ไม่ว่าจะด้วยกำมือหรือสิ่งใดก็ตาม-ผู้แปล) 

เเต่ทว่าสิ่งที่ถูกบัญชาใช้ให้ปฏิบัติคือการที่จะต้องไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่โกนมัน หรือตัดมันให้สั้นจนใกล้เคียงกับการโกน
(สรุปใจความสำคัญจากคำพูดชัยค์ ศอลิห์ อาลุชชัยค์






จากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถที่จะสรุปได้ว่า :
เป้าหมายของการไว้เครา คือการทำให้เกิดความเเตกต่างกับ
บรรดามุชริกีนที่พวกเขาทำการโกนเครากัน เเละดังที่ได้ทราบไปเเล้วว่าการไว้เครานั้นไม่ได้มีขอบเขต กล่าวคือ จะต้องไว้เคราในปริมาณที่เป็นที่รู้กันว่ามันคือการไว้เครา เเละอนุญาตให้ตัดเคราที่ยาวเกินหนึ่งกำมือได้ ดังที่เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

ส่วนการตัดเคราที่สั้นกว่าหนึ่งกำมือนั้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตเช่นเดียวกัน ดังที่ปรากฏจากท่านอิหม่ามหะซัน อัลบัศรีย์ เเละอิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏฏ็อบรีย์ ว่าอนุญาตให้ตัดเคราสั้นกว่าหนึ่งกำมือได้ 
เเต่จะต้องไม่สั้นมากจนน่าเกลียด 
หรือสั้นจนถึงระดับเดียวกับการตัดหนวด 
(ดังที่อิบนุหะญัรได้ถ่ายทอดคำพูดของอิหม่ามอัฏฏ็อบรีย์ไว้ในฟัตหุลบารีย์ 11/428)


อย่างไรก็ตาม 
ที่ประเสริฐที่สุดคือการปล่อยเคราให้ยาวโดยไม่ตัดส่วนใด
ของมันเลย ดังการกระทำของท่านนบีﷺ
วัลลอฮุอะลัม - อัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

การให้สลามด้วยคำว่า "สลาม" ได้หรือไม่ ?

การให้สลามด้วยคำว่า "สลาม" ได้หรือไม่ ?

อัสลามุอาลัยกุมวะเราะฮฺมาตุลลอฮ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ

เรามาดูถึงความสำคัญของการให้สลามกันเสียก่อนนะ

จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ...

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم: «وَالَّذي نَفْسي بِيَدِهِ لاَ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا، وَلاَ تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا، أَوَلاَ أَدُلُّكُمْ عَلَى شَىْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ؛ أَفْشُوا السَّلاَمَ بَيْنَكُمْ»

ความว่า 

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า ...

ขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่ศรัทธาจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ปรองดองกัน พวกท่านจะเอาไหม ฉันจะบอกวิธีหนึ่งที่เมื่อพวกท่านปฏิบัติแล้ว พวกท่านก็จะรักใคร่ซึ่งกันและกัน ? จงแพร่สลามในหมู่พวกท่าน” 
(บันทึกโดยมุสลิม : 54)

จากคำถามข้างต้น คงต้องรวมประเด็นการตอบไว้ดังนี้

ที่ถามว่า ...

1.การเขียนคำให้สลามและรับสลาม หากเราจะเขียนเพียงคำว่าสลามหรือรับสลาม ถือว่าใช้ได้ไหม ?

2.และหากเขาส่งคำเพียงคำว่า "สลาม" ถือว่าเขาได้ให้สลามเราแล้วหรือยัง และหากเขาตอบเพียงคำว่า "รับสลาม" ถือว่าเขานั้นได้รับสลามเราแล้วหรือยังและการใช้ไอคอนในการให้สลามและรับ สามารถทำได้ไหม (การให้สลามของเราสมบูรณ์ไหม) ?

ก่อนอื่นเราคงต้องมาดูหลักการศาสนาก่อนว่า การทักทายพี่น้องมุสลิมนั้น หลักการได้ส่งเสริมและมีรูปแบบ วิธีการที่ศาสนากำหนดนั้นไว้อย่างไร

วิธีการและรูปแบบตามฉบับของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมในการให้สลาม

จากอิมรอน บิน หุศ็อยน์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ...

جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِىِّ صلى الله عليه وسلم، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ. فَرَدَّ عَلَيْهِ السَّلاَمَ، ثُمَّ جَلَسَ. فَقَالَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم: «عَشْرٌ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «عِشْرُونَ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «ثَلاَثُونَ».

ความว่า : 

มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า “อัสสลามมุอะลัยกุม” ท่านจึงตอบสลาม แล้วเขาก็นั่งลง แล้วท่านนบีก็บอกว่า “ได้สิบ”
ต่อมามีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ” ท่านจึงตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้ยี่สิบ”

ต่อมาก็มีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านก็ตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้สามสิบ” 

( เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5195 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4327, 
อัต-ติรมิซีย์ : 2689 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2163 )

และมาดูตัวอย่างของการรับสลาม ผู้ที่ไม่อยู่ต่อหน้า

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ได้รายงานว่า ...
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวกับเธอว่า ...

«يَا عَائِشَةُ، هَذَا جِبْرِيلُ يَقْرَأُ عَلَيْكِ السَّلاَمَ» . فَقَالَتْ : وَعَلَيْهِ السَّلاَمُ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ . تَرَى مَا لاَ أَرَى.

ความว่า 

“โอ้ อาอิชะฮฺ ! มลาอิกะฮฺญิบรีลนี่ได้ให้สลามแก่เธอ” เธอจึงตอบว่า “วะอะลัยฮิสสะลาม วะเราะฮฺมะตุลลอฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ”  ท่านมองเห็นในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น 

(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 3217 สำนวนนี้เป็นของท่าน, มุสลิม : 2447)

-----------------------

และดั่งคำฟัตวาจาก Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri ณ กรุงริยาด 
ประเทศซาอุดี อาระเบีย

"อัสลามุอาลัยกุม" หรือ เพียงแค่ "สลาม"

ถามว่า 

บางคนมีแนวโน้มว่าจะกล่าว เพียงแค่ "สลาม" หรือ "สลาม อาลัยกุม" 
แทนที่จะพูดว่า "อัสลามุอาลัยกุม" สิ่งนี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?

Zein al-Abideen, Halifax
------------------------
คำตอบ 

"สลาม อาลัยกุม" เป็นที่อนุญาตเช่นกัน แต่ไม่เป็นที่แนะนำให้ใช้แทน "อัสลามมุอาลัยกุม" 
ผู้ที่กล่าวเพียงคำว่า "สลาม" นั้นไม่ถูกต้อง และ เป็นเพียงแฟชั่นสมัยใหม่ อัลกุรอานได้สั่งว่า เราควรทักทายซึ่งกันและกันด้วยคำที่เหมาะสมนั่นก็คือ คำว่า "อัสลามุอาลัยกุม วะเราะมะตุลลอฮ วะบารอกาตุฮ"
Country Of Origin : Saudi Arabia
State : Riyadh
Author/Scholar : The Late Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri

-----------------------
http://infad.usim.edu.my/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=3064

ฉะนั้น 

จากคำฟัตวาข้างต้นและหลักฐานจากหะดิษที่นำเสนอมานั้น ย่อมบ่งบอกว่า 
เรื่องของการให้สลามนั้น เป็นเรื่องของ อิบาดะห์

ดังนั้น 

การให้สลามหรือการรับสลาม หากมิได้เป็นไปตามแบบอย่างและวิธีการกล่าวตามที่ศาสนากำหนดไว้ ก็ไม่เป็นที่อนุญาตในการที่เรานั้นจะใช้คำอื่นแทน หรือถ้อยคำใดๆอื่น หรือสัญลักษณ์(ไอคอน)อื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆสำหรับบรรดาหนุ่มๆสาวในปัจจุบัน เพราะการให้สลามนั้น ถือเป็นอิบาดะห์ ที่จะนำมาซึ่งการได้รับผลบุญในการให้สลาม และนำมาซึ่งการที่ผู้รับสลามนั้น จำเป็นที่จะต้องรับสลาม เพราะการให้สลามนั้นเป็นสุนนะห์ แต่การรับสลาม คือ วาญิบนั่นเอง

3. หรือจะต้องให้เขาเขียนว่า "อัสลามุอาลัยกุม" ถึงจะเป็นการให้สลาม และรับว่า "วะอาลัยกุมสลาม" ถึงจะเป็นการรับ อย่างที่น้อยที่สุดในการเขียน

ดั่งที่นำเสนอหล่ะนะ....หรือจะ“ได้แค่สิบ”หรือจะ “ได้ยี่สิบ” แล้วใครเล่าจะไม่เอา "สามสิบ"...
ว่าไหม
--------------------------------------

ข้อแนะนำและฉุดคิด

การให้สลามหรือการรับสลาม โดยใช้ถ้อยคำเพียงสั้น ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายดายและไม่ยุ่งยากต่อ การกล่าวหรือการพิมพ์ หรือสาเหตุใดก็ตามแต่ ดั่งที่ปรากฎต่อบรรดาหนุ่ม ๆ สาว ๆ ในปัจจุบันนั้น ไม่เพียงแต่ จะไม่ได้รับผลบุญซึ่งการกระทำที่ผิดรูปแบบและวิธีการที่ศาสนาได้กำหนดไว้มาก่อนแล้วว่า จะต้องกล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ ถึงจะได้รับผลบุญเท่านั้นเท่านี้ 

แต่เกรงว่าจะเป็นการอุตริกรรมในเรื่องราวของศาสนา อันเนื่องจากเราได้บัญญัติรูปแบบ วิธีการ สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ และเกิดความเข้าใจที่ผิด คิดว่านั่นคือสิ่งที่ศาสนาอนุญาตและสามารถกระทำได้เพราะมันคือรูปแบบหนึ่งที่ท่าน รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมเคยกล่าวย่อเป็นสัญลักษณ์ไว้หรือบรรดาศอฮาบะห์เคยใช้ในการกล่าวเช่น เดียวกัน..

หากเราจะคิดว่า 

ใช่ซิ ความล้าหลังในสมัยอดีตที่ยังไม่มีเทคโนโลยีอย่างสังคมปัจจุบันจะเป็นเหตุ หนึ่งของการที่เรานั้นจะคิดว่า ในสมัยนั้น ก็ต้องใช้ คำกล่าว ถ้อยคำแบบนั้นอยู่แล้วก็ในเมื่อเทคโนโลยีในการผลิตไอคอน หรือสัญลักษณ์ต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆนั้น ก็คงจะมีขึ้นไม่ได้เป็นแน่ แต่พึงทราบเถิดนะว่า ปัจจัยความเอื้ออำนวยในสมัยอดีต ต่อการที่จะคิดค้น ไอคอนของการกล่าวการให้สลามหรือการรับสลามนั้น ก็คงมีไม่น้อยกว่าในสมัยปัจจุบันเหมือนกัน เพราะใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งที่สามารถจดบันทึกและการสรรหาคำพูด มากล่าวเช่นเดียวกัน.....

ว่าไหม....

วัลลอฮฮุอะลัม


วัสลามุอาลัยกุม วะเราะฮฺมาตุลลอฮิ วะบะเราะฮฺกาตุฮฺ
-----------------------------------------------------------------------------------------------

ท้ายด้วย วัสสลามุอาลัยกุม หรือเพียงแค่ "วัสสลาม"

ถาม - อนุญาตให้ลงท้ายจดหมายด้วย "วัสลาม"แทนที่จะกล่าวว่า “วัสสลามุอาลัยกุม” หรือไม่?
--------------------------------------------------------

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

ตอบ - 

การลงท้ายจดหมายด้วยคำว่า “วัสลาม” ถือว่ากระทำได้ และไม่จำเป็นต้องเขียนให้จบประโยค (เช่น วัสลามุอะลัยกุม) เพราะการเขียนย่อว่า “วัสลาม” นั้น เจตนาของผู้เขียนก็คือ “วัสลามุอะลัยกุม” แต่ถ้าผู้ส่งจะลงท้ายด้วย “วัสลามุอะลัยกะ” หรือ “วัสลามุอะลัยกุม” ก็เป็นการดีกว่า 
ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้เขียนคำลงท้ายจดหมายที่ท่านส่งไปยังท่านชุร็อยหฺ ว่า “วัสลามุอะลัยกะ” 
[บันทึกโดย อันนะสาอีย์ 5304] 

เช่นเดียวกับท่านอุมัรฺ บิน อับดิลอะซีซ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ที่ลงท้ายจดหมายของท่านไปหาคนหนึ่งจากคนงานของท่านด้วยประโยคดังกล่าวเช่น เดียวกัน 
[ดู อัลมุวัฏเฏาะอ์ บท การญิฮาด]


Credit : http://www.muslimcool.com/forum/index.php?topic=229.0

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เตาบะฮฺจากบาปเดิมซ้ำเเล้วซ้ำเล่านับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

เตาบะฮฺจากบาปเดิมซ้ำเเล้วซ้ำเล่า 
นับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

คำถาม : 

ท่านผู้นี้ถามว่า : 

เขามักจะพลั้งพลาดไปทำบาปใหญ่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เเต่หลังจากนั้นเขาก็ทำการอาบน้ำละหมาด ละหมาดสองร็อกอะฮฺ เเละขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺจากบาปนั้น หลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำบาปเดิมอีกครั้งหนึ่ง เเล้วเขาก็อาบน้ำละหมาดอีก เเละละหมาดสองร็อกอะฮฺ เเละขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺเช่นเคย อยากทราบว่าอะไรคือทางออกของเรื่องนี้ ?

คำตอบ : 

ทางออกของมันก็คือสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้นั่นแหละ นั่นคือเตาบะฮฺกลับเนื้อกลับตัว เเละอย่าได้สิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ เขาจงเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่เขาทำบาปนั้นซ้ำ เขาก็จงเตาบะฮฺซ้ำอีก นี่คือเครื่องหมายของความดีงาม การที่เขาเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่า เเละเขาก็เกรงกลัวอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล

ผู้ถาม : 
เเล้วสิ่งนี้ถูกนับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

คำตอบ : 

ไม่ใช่ มันไม่ใช่การเย้ยหยันหรอก นี่เป็นความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺต่างหากเล่า การที่เขาเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่านั้น นี่เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเขายำเกรงอัลลอฮฺ เเละในหัวใจของเขายังมีชีวิตอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เอาศาสนามาเล่นการเมือง



เอาศาสนามาเล่นการเมือง

มีคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยในแวดวงการเมืองคือ
"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"
"พอทัศนะไม่ตรงกันก็ตีจากพอทัศนะตรงกันก็จูบปาก"

ใครมีนิสัยแบบนี้ ก่อนจะศึกษาความรู้จากผม และขอเป็นเพื่อนก็คิดให้ดีก่อนเพราะผม ไม่ได้สอนและเผยแพร่ศาสนาให้ถูกใจคนทุกเรือง บางทีเห็นตรงกันและบางที่เห็นต่างกัน จะมาบีบบังคับว่าถ้าตามฉันคือเอานบีถ้าไม่ตามฉันไม่เอานบี ผมมีวุฒิภาวะที่จะตัดสินใจว่า อะไรควรหรือไม่ควร ไม่ใช่พอไม่ตรงกันแล้วมาแสดงความก้าวร้าวใส่

ท่านอิหม่ามอิบนุลก็อยยิม(ร.ฮ)กล่าวว่า

وقوع الاختلاف بين الناس امر ضروري لابد منه لتفاوت اغراضهم وافهامهم وقوى ادراكهم ولكن المذموم بغي بعضهم على بعض وعدوانه.

ความเห็นขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์คือสิ่งที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาแตกต่างกัน,ความเข้าใจของพวกเขาแตกต่างกันและพลังความสามารถแห่งการรับรู้ของพวกเขาแตกต่างกัน แต่สิงที่ถูกตำหนิคือการละเมิดซึ่งกันและกันและการเป็นศัตรูกัน
- الصواعق المرسلة» (2/519).

อนึ่งการตามผู้รู้ไม่ว่าใครก็ตามอย่าผูกขาดว่าคนนี้ต้องถูกเสมอ ไม่มีผิด

وقال الإمام مالك رحمه الله تعالى: «كل يؤخذ من قوله ويردّ إلا صاحب هذا القبر

และอิหม่ามมาลิก(ร.ฮ)กล่าวว่าทุกคนคำพูดของเขาถูกเอาและถูกปฏิเสธยกเว้นเจ้าของหลุมศพนี้(หมายถึงท่านร่อซูล)

- มัจญมัวะอัรรอสาอีลอัลหะดีษียะฮ หน้า 807

__________

เพราะฉะนั่นอย่าผูกติดกับคนใดคนหนึ่งแล้วมองว่าคนที่ไม่เหมือนกับคนที่ตนยึดคือคนที่ผิด โดยไม่ศึกษารายละเอียดในประเด็นนั้น ๆ

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64











การฝังมัยยิตบริเวณบ้านได้ไหม?



การฝังมัยยิตบริเวณบ้านได้ไหม?

ถาม

อยากทราบหู่ก่มการฝังมายัตใว้ที่บริเวณบ้านหน่อยครับ/ว่ามีตัวบทหลักฐานหรือไม่

ตอบ

อัลหัมดุลิลละฮขอตอบดังนี้

قال النووي رحمه الله : " يجوز الدفن في البيت وفي المقبرة ، والمقبرة أفضل بالاتفاق.." انتهى من شرح المهذب (5/245

อันนะวาวีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า ...
"อนุญาตให้ฝังในบ้านและในสุสาน(กุโบร์)และสุสานนั้นประเสริฐกว่าด้วยการเห็นฟ้องของปราชญ์
- มัจญมัวะชัรหอัลมุฮัซซับ 5/245

هل يجوز دفن الميت داخل فناء الدار؟

อนุญาตให้ฝังคนตายในลานบ้านได้หรือไม่?

الجواب :
نعم يجوز، لكن الدفن في مقابر المسلمين أولى وأفضل، وإذا دفن في فناء الدار فتجب المحافظة على القبر وعدم إهانته، كما لا يجوز تعظيمه.

คำตอบ :

ครับ อนุญาต แต่การฝังศพในสุสานของชาวมุสลิมนั้นดีกว่าและประเสริฐกว่า ถ้าฝังศพไว้ที่ลานบ้าน ต้องรักษาหลุมศพไว้ไม่ดูถูกดูหมิ่นหลุมศพ ดังเช่นไม่อนุญาตให้เทิดทูนบูชาหลุมศพ

"فتاوى الشيخ نوح علي سلمان" (فتاوى الجنائز / فتوى رقم/8




ถามหาหลักฐานละหมาดที่บ้านช่วงวิกฤตโควิด

ถามหาหลักฐานละหมาดที่บ้านช่วงวิกฤตโควิด 


ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า ...

مَنْ سَمِعَ النِّدَاءَ فَلَمْ يَأْتِهِ فَلَا صَلاةَ لَهُ إِلا مِنْ عُذْرٍ

ใครก็ตามที่ได้ยินอะซาน (ได้ยินการประกาศเวลาละหมาด) และไม่ตอบรับ (คือไม่ไปละหมาดที่มัสยิด)การละหมาดของเขาใช้ไม่ได้ นอกจากจะมีอุปสรรค
(บันทึกโดย อิบนุมาญะและท่านอื่นๆ ด้วยสายรายงานที่ดี)

: عبدالله بن عباس | المحدث : الألباني | المصدر : صحيح ابن ماجه
الصفحة أو الرقم: 652 | خلاصة حكم المحدث : صحيح
التخريج : أخرجه أبو داود (551) مطولاً، وابن ماجه (793) واللفظ له
عن ابن عباس أن النبي - صلى الله عليه وسلم - قال: من سمع النداء فلم يأته، فلا صلاة له إلا من عذر. قالوا: يا رسول الله، وما العذر؟ قال: خوف أو مرض"؛ رواه أبو داود.

และรายงานจากอิบนิอับบาสว่า ...
แท้จริงท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า ...
ผู้ใดได้ยินการอาซาน แล้วเขาไม่ไปมัน ก็ไม่มีละหมาดใด ๆ แก่เขา ยกเว้นมีอุปสรรค์ พวกเขา กล่าวว่า "โอ้รซูลุลลอฮ อุปสรรคนั้นคืออะไร ? ท่านรอซูล ตอบว่า " การกลัวและการเจ็บป่วย 
-รายงานโดยอบูดาวูด

อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
يُعْذَرُ فِي تَرْكِهِمَا الْخَائِفُ، لِقَوْلِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: الْعُذْرُ خَوْفٌ أَوْ مَرَضٌ ـ....... وَالْخَوْفُ، ثَلَاثَةُ أَنْوَاعٍ، خَوْفٌ عَلَى النَّفْسِ، وَخَوْفٌ عَلَى الْمَالِ، وَخَوْفٌ عَلَى الْأَهْلِ،

และ ผู้ที่กลัว ถูกอนุญาต ในการทิ้งมันทั้งสอง (หมายถึงละหมาดญะมาอะฮและละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด) เพราะการกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า อุปสรรคนั้น คือ การกลัว หรือ เจ็บป่วย ...

(อิบนุกุดามะฮกล่าวว่า) การกลัวมี 3 ประเภทคือ
1.กลัวจะเกิดอันตรายกับตัวเอง
2.กลัวจะเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน
3. กลัวจะเกิดอันตรายแก่ครอบครัว

- ดูอัลมุฆนีย์ 1/451 และดูอัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ ยุซ 27/29-30(ดูสำเนาที่แนบมา)


ตกลงคำว่า อนุญาตให้ละทิ้งละหมาดญะมาอะฮที่มัสยิด ด้วยเหตุการกลัว และกรณีโรคระบาดก็เป็นส่วนหนึ่งจากการกลัว ถ้าไม่ละหมาดที่มัสยิดจะละหมาดที่ใหนครับ ถ้าไม่ละหมาดที่บ้าน



อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64

ศาสนาอคติอารมณ์นิยมและเอาชนะคะคาน

ศาสนาอคติอารมณ์นิยมและเอาชนะคะคาน

นักฟิตนะฮและอันธพาลในคราบนักเผยแพร่ศาสนาและคนญาเฮลในคราบของสุนัขรับใช้โต๊ะครู ยังคงวนเวียนอยู่กับการสร้างฟิตนะทำลายคนเห็นต่างกับหัวหน้าแก๊งครูศาสนาของพวกเขาอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ถัดจากเริ่องนั้นเอาเรื่องนี้ ถัดจากเรื่องนี้เอาเรื่องนั้น วนเวียนพายเรือในอ่างจนไม่รู้จักจบ

อัลอิสลามเป็นศาสนาที่มีเกียรติสูงส่งและบริสุทธิ์ คนเผยแพร่ศาสนาก็ต้องมีหัวใจบริสุทธิ์ และต้องยกศาสนาให้สูงส่ง จรรโลงศาสนาไม่ใช่ทำลายศาสนา

อัลลอฮตรัสว่า ...

قُلْ هَٰذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّهِ عَلَىٰ بَصِيرَة أَنَا وَمَنِ اتَّبَعَنِي وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้งทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮ์ ฉันมิได้อยู่ในหมู่ตั้งภาคี
- ยูซุฟ/108

คำว่า "บะศีเราะฮ" หมายถึง:
1. บนหลักฐานอันชัดเจน - ตัฟสีรญะลาลัยนฺ
2. บนความแน่นอนและความจริง -(ตัฟสีรอัลกุรฏบีย์
3. บนหลักฐาน - ตัฟสีรอัรรอซีย์
4. ในตัฟสัรอัลบะเฆาะวีย์ระบุว่า

والبصيرة : هي المعرفة التي تميز بها بين الحق والباطل

และบะศีเราะฮคือ การรู้จักที่แบ่งแยกด้วยมันระหว่างความจริงและความเท็จ
.....

จะทำงานศาสนาแต่สร้างความเท็จทำลายใส่ร้ายและดิสเครดิตคนเห็นต่างกับคนที่ตนตะอัศศุบและคลั่งใคล้ และเป็นนักวิชาการแต่มักใหญ่ใฝ่สูงเหยียบหัวคนอื่นใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายคนอืน แบบนี้คือ "ศาสนาแห่งอารมณ์และอคติ" ชื่งเป็นแนวทางของมาร ไม่ใช่แนวทางนบี(ศ๊อล)

قال ابن زيد , في قوله: ( قل هذه سبيلي أدعو إلى الله على بصيرة ) ، قال: " هذه سبيلي" , هذا أمري وسنّتي

อิบนุเซดได้กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า (“นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้ง)เขากล่าวว่า นี่คือแนวทางของฉัน หมายถึง กิจการของฉันและสุนนะฮของฉัน 
- ตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64

การใช้คำว่า"อัลมัรฮูม" นำหน้าชื่อคนตาย



การใช้คำว่า"อัลมัรฮูม" นำหน้าชื่อคนตาย

حكم عبارات (المغفور له) أو (المرحوم) للمتوفى
المشروع في هذا أن يقال: (غفر الله له) أو (رحمه الله) ونحو ذلك إذا كان مسلما، ولا يجوز أن يقال (المغفور له) أو (المرحوم)؛ لأنه لا تجوز الشهادة لمعين بجنة أو نار أو نحو ذلك، إلا لمن شهد الله له بذلك في كتابه الكريم أو شهد له رسوله عليه الصلاة والسلام، وهذا هو الذي ذكره أهل العلم من أهل السنة،

ข้อตัดสิน เกี่ยวกับสำนวนที่ว่า (อัลมัฆฟูรอะลัยฮิ/ผู้ที่ได้รับการอภัยโทษ) หรือ (อัลมัรฮูม/ผู้ได้รับความเมตตา) ให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตสิ่งที่ชอบด้วยศาสนบัญญัติ ในกรณีนี้ คือเขา(มัยยิต) จะถูกกล่าวว่า (ขออัลลอฮโปรดอภัยโทษแก่เขา) หรือ (ขอให้อัลลอฮโปรดเมตตาแก่เขา) และในทำนองนั้น เมื่อเขา(ผู้ตาย)เป็นมุสลิม ไม่อนุญาตให้ถูกกล่าวว่า (ผู้ที่ได้รับการอภัยโทษ)หรือ( ผู้ที่ได้รับความเมตตา) เพราะไม่อนุญาต ให้เป็นพยานยืนยันที่เจาะจง ด้วยสวรรค์ หรือ นรก หรือในทำนองนั้น ยกเว้น ผู้ที่อัลลอฮ ได้เป็นพยานยืนยัน แก่เขาด้วยดังกล่าวนั้น ในคำภีร์ของพระองค์ อันทรงเกียรติ หรือรอซูลของพระองค์ อะลัยฮิสเศาะลาตุวัสสลาม ได้เป็นพยานยืนยันแก่เขาไว้ และนี้คือที่นักวิชาการชาวอะลุสสุนนะฮได้ระบุเอาไว้ 

- ฟัตวาชัยค์บินบาซ (ร.ฮ) 
- มัจญมัวะฟะตาวาวะมะกอลาตมุตะเนาวิอะฮ 5/365



ชัยค์อิบนุอุษัยมีน(ร.ฮ)กล่าวว่า ...
إذا كان القائل وهو يتحدث عن الميت قال: "المرحوم، أو المغفور له" أو ما أشبه ذلك، خبراً فإنه لا يجوز؛ لأنه لا يدري هل حصلت له الرحمة أم لم تحصل له

เมื่อปรากฏว่าผู้กล่าวบอกกล่าวเกี่ยวผู้ตายโดยเขากล่าวว่า "อัลมัรฮูม" หรืออัลมัฆฟูรอะลัยฮิ" หรือสิ่งที่คล้ายกันนั้นเป็นการบอกเล่า 
แท้จริงมันไม่อนุญาตเพราะเขาไม่รู้ว่าเขา(ผู้ตาย)ได้รับเราะหมัต(ความเมตตา)หรือไม่หรือเขาไม่ได้รับ

والشيء المجهول لا يحل للإنسان الجزم به؛ لأن هذه شهادة له بالرحمة والمغفرة من غير علم، والشهادة من غير علم محرمة.

และสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้ไม่อนุญาตให้มนุษย์แสดงความแน่ใจด้วยมันเพราะนี้คือการเป็นพยานแก่มัยยิตด้วยการได้รับความเมตตาและการอภัยโทษโดยปราศจากความรุู้และการเป็นพยานโดยปราศจากความรู้นั้นคือ สิ่งต้องห้าม...

المصدر:
مجموع فتاوى الشيخ ابن عثيمين(17/451)

สรุป

ไม่ควรใช้คำว่า อัลมัรฮูม หรืออัลมัฆฟูรอะลัยฮ นำหน้าชื่อคนตาย เพราะเป็นการยืนยันฟันธงในสิ่งที่เราไม่รู้ ว่าคนตาย จะได้รับสิ่งนี้หรือไม่ 
แต่ควร กล่าวเป็นคำดุอา คือ (ขออัลลอฮโปรดอภัยโทษแก่เขา) หรือ (ขอให้อัลลอฮโปรดเมตตาแก่เขา) 


สถานะหะดิษที่มีการอ้างว่าอบูฮุรัยเราะฺฮนับตัสเบียะด้วยเชือกที่ผูกเป็นปม 1,000 ปม



สถานะหะดิษที่มีการอ้างว่าอบูฮุรัยเราะฺฮนับตัสเบียะด้วยเชือกที่ผูกเป็นปม 1,000 ปม

อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า ...

وَكَانَ لِأَبِىْ هُرَيْرَةَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ خَيْطٌ فِيْهِ أَلْفُ عُقْدَةٍ لاَ يَنَامُ حَتَّى يُسَبِّحُ بِهِ

ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน(พันครั้ง)" 

- ดู หนังสือ อัลหุลยะฮ์ เล่ม 1 หน้า 383

วิจารณ์ เป็นหะดิษเฏาะอีฟดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ บักรฺ บิน อับดุลลอฮ อบูเซด(بكر بن عبد الله أبو زيد) ได้กล่าวว่า ...

وأما الأثر عن أبي هريرة – رضي الله عنه الذي أسنده عبد الله بن الإِمام أحمد في ((زوائد الزهد)) ومن طريق أبو نعيم في: ((الحلية)), وكلاهما: من طريق نعيم بن محرر بن أبي هريرة,عن جده أبي هريرة: ((أنه كان له خيط فيه ألفا عقدة فلا ينام حتى يُسبح به)). فنعيم مجهول, لذا فلا يصح

และสำหรับหะดิษรายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ เราะฏิยัลลอฮุอันฮู ซึ่ง อับดุลลอฮ บิน อิหม่ามอะหมัดได้อ้างอิง ใน(ซะวาอิดุดซะฮดิ) และจากสายรายงานของอบูนะอีม ใน(อัลหุลลียะฮ ) โดยที่ทังสองหะดิษ มาจากสายรายงานของนะอีม บิน มะหัรเราะริน บิน อบีฮุรัยเราะฮ จากปู่ของเขา คือ อบูฮุรัยเราะฮ ระบุว่า (เขา(ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.)) มีเชือกที่มีหนึ่งพันปม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน ) เพราะว่า นะอีม (นะอีม บิน มะหัรเราะริน ) นั้น มัจญฮูล(ไม่มีใครรู้จักประวัติความเป็นมาของเขา) เพราะเหตุนี้ จึงไม่ถูกต้อง (ไม่เศาะเฮียะ) 

– ดู ซุบหะฮ ตาริคุฮา วาหุกมุฮา หน้า 26

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
9/8/64







คนนั้นคนนี้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ...แล้วเราฟันธงได้อย่างไรว่าเขาได้รับความเมตตา?

คนนั้นคนนี้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ...
แล้วเราฟันธงได้อย่างไรว่าเขาได้รับความเมตตา?

อิบนุอัลอุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวไว้ตอนหนึ่งในฟัตวาของท่านว่า ...

وأما "انتقل إلى رحمة الله"، فهو كذلك فيما يظهر لي أنه من باب التفاؤل، وليس من باب الخبر، لأن مثل هذا من أمور الغيب ولا يمكن الجزم به، وكذلك لا يقال: "انتقل إلى الرفيق الأعلى

และสำหรับสำนวนที่ว่า (กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ) มันคือในทำนองเดียวกัน กับดังกล่าวนั้น (หมายถึงเช่นเดียวกับการใช้คำว่า อัลมัรฮูม) ในสิ่งที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า แท้จริง มันเป็นส่วนหนึ่งจากการมองในแง่ดี(หรือเป็นแค่ความหวัง) และไม่ใช่ เรื่องของการบอกเล่า(กับคนอื่น) เพราะ เช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ บรรดาสิ่งที่เร้นลับ(อยู่นอกญานวิสัย) และไม่สามารถที่จะยันยันความแน่นอน(หรือฟันธง)ด้วยมันได้ และในทำนองเดียวกันนั้น จะไม่ถูกกล่าว (แก่ผู้ตาย)ว่า " เขากลับไปสู่ อัร-เราะฟีกอัลอะฮลา (หมายถึง คณะบรรดานบี บรรดารอซูล และบรรดากัลญานชน ที่ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด) 

- มัจญมัวะฟะตาวา อิบนุอุษัยมีน 17/452

สรุปฟัตว่าของอิบนุอุษัยมีน

1. การใช้คำว่า อัลมัรฮูม หรือ คำว่า กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮ ในแง่ของการมองโลกในแง่ดี หรือตั้งความหวังต่ออัลลอฮ นั้นไม่เป็นไร

2. หากการใช้คำว่า อัลมัรฮูม หรือ คำว่า กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮ ในการบอกเล่าแก่คนอื่นนั้น ไม่อนุญาต เพราะมันเป็นฆัยบฺ (สิ่งพ้นญานวิสัย) ไม่สามารถที่จะยืนยันความแน่นอน และฟันธงได้

3. ไม่อนุญาตบอกเกี่ยวกับมัยยิตว่า เขาได้กลับไปสู่ อัร-เราะฟีกอัลอะฮลา (หมายถึงได้ไปอยู่กับ คณะบรรดานบี บรรดารอซูล และบรรดากัลญานชน ที่ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด) ทั้งนี้เพราะเป็นสิ่งเร้นลับที่ไม่มีใครรู้ได้

ดังที่อิบนุอุษัยมัน (ร.ฮ)กล่าวไว้อีกที่หนึ่งว่า

وهذا الإنكار في محله إذا كان الإنسان يخبر خبراً أن هذا الميت قد رحم أو غفر له، لأنه لا يجوز أن نخبر أن هذا الميت قد رحم، أو غفر له بدون علم، قال الله تعالى: {ولا تقف ما ليس لك به علم}،

และการปฏิเสธนี้ถูกต้อง เมื่อ ปรากฎว่า เขาบอกเป็นการบอกเล่า (ผู้คน)ว่าผู้ตายนี้ ได้รับความเมตตาหรือได้รับการอภัย (จากอัลลอฮ) เพราะว่าไม่อนุญาตให้เราบอก(คนอื่น)ว่าผู้ตายคนนี้ ได้รับความเมตตาหรือได้รับการอภัย (จากอัลลอฮ) โดยปราศจากความรู้ เพราะอัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (และเจ้าอย่าตาม สิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ด้วยมัน
مجموع فتاوى و رسائل الشيخ محمد صالح العثيمين المجلد الثالث - باب المناهي اللفظية
رابط المادة: http://iswy.co/e3pcq


ทางที่ดีควรจะเป็นการดุอาให้คนตายได้รับการอภัยหรือความเมตตาจะดีกว่าบางคนตาย ไม่คอยสนใจเรื่องศาสนา ไม่คอยสนใจละหมาด แล้วเราบอกชาวบ้านได้อย่างไรว่า "เขาได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ" หรือได้ไปอยู่สวรรค์แล้ว

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/8/64




ตัวอย่างของการญาเฮลยกกำลังสอง

ตัวอย่างของการญาเฮล(ความเขลา)ยกกำลังสอง

บาบอเจ้าเก่าอ้างว่า ...

อุลมาอ์ ในทุกมัสฮับ จากมัสฮับทั้งสี่ ได้หูกมมูยัซซีมะฮ์ เป็นคนที่หลุดออกจากศาสนาอิสลาม ( เป็นกาเฟร ) การให้ที่อยู่ การให้ทิศ การนิ่งเคลือนไหว การอยู่ติดกับสิ่งหนึ่ง อยู่ห่างจากสิ่งหนึ่ง มีสีต่างๆ เป็นชิ้นส่วน เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ นี้เป็นสิ่งที่บ่งถึงยิซม์
ท่านอีมาม กามาล อัลกานาฟีย์ ได้กล่าวว่า
قال الكمال بن الهمام الحنفي في فتح القدير ١/ ٤٠٣
من قال الله جسم لا كالأجسام كفر
ความว่า ผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นยิซม์ ที่ไม่เหมือนบรรดายิซม์ใดๆ เขานั้นเป็นกาเฟร

______________

ชี้แจง

คนอ้างข้างต้น มีความญเฮล 2 ญาเฮลคือ

1. ไม่รู้ไม่เข้าใจคำว่า "มุญัสสิม"
2. ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจคำว่ามุญัสสิม แล้วไปยกตรรกมาหุกุมคนที่ยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามที่อัลลอฮและนบี ศ็อลฯอธิบายไว้ว่า เป็นพวกมุญญิม เป็นกาเฟร นี้แหละเขลา ยกกำลังสอง"

อิบนุอัลบะนา อัลหัมบะลี (ฮ.ศ. 417) กล่าวว่า ...

وأما المشبهة والمجسمة فهم الذين يجعلون صفات الله -عز وجل- مثل صفات المخلوقين، وهم كفار

และสำหรับ มุชับบิฮะฮ และมุญัสสิม นั้น พวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ ให้คุณลักษณะ ของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง เหมือนกับบรรดาลักษณะของมัคลูค และพวกเขาคือ บรรดากาเฟร 

- อัลมุคตัร ฟิอุศูลิดสุนนะฮ ของ อิบนุอัลบะนา หน้า 81

มุญัสสิมะฮคือ ผู้เปรียบอัลลอฮว่ามีคุณลักษณะเหมือสิ่งที่ถูกสร้าง

อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า

ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...

ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การมีรูปร่าง) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....

- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104

การเชื่อตามความหมายตามที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและหะดิษ โดยเชื่อว่าไม่เหมือนกับมัคลูค ไม่ถือว่า เป็นพวกมุชับบิฮะฮและมุญัสสิมะฮ ดังการกล่าวหาของบาบอท่านนี้ กล่าวหาและตัดสินว่าเป็นกาเฟร


อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)ท่านมีแนวคิดอะชาอิเราะฮ ยุคแรกแต่ไม่สุดโต่ง กล่าวว่า ...

صفات الله تعالى توقيفية لا مجال للعقل فيها
فلا نثبت لله تعالى من الصفات إلا ما دل الكتاب والسنة على ثبوته، قال الإمام أحمد رحمه الله تعالى: "لا يوصف الله إلا بما وصف به نفسه، أو وصفه به رسوله، لا يتجاوز القرآن والحديث

บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮฺตาอาลานั้น คือ เตากีฟียะฮ ไม่มีช่องทางแก่สติปัญญา(การใช้ความคิดเห็นทางปัญญา)ในมัน
เราจะไม่ยืนยันให้แก่อัลลอฮ ตาอาลา จากบรรดาสิฟาต นอกจาก สิ่งที่อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน) และอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกบนการรับรองมัน ,อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า "อัลลอฮจะไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ นอกจากด้วย สิงที่พระองค์ ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน หรือ รอซูลของพระองค์ ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์ ด้วยมัน เขาจะไม่เกินเลยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ 

- อัลอัสนา ฟี ชัรหอัสมาอิลหุสนา ของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ หน้า 167

ในอัลกุรอ่านและอัสสุนสุนนะฮ ไม่สักอักษรเดียว ที่กล่าวถึง เกี่ยวกับอัลลอฮ ว่าเป็นรูปร่าง(جسم )ในเชิงยืนยัน หรือ ไม่เป็นรูปร่าง (جسم ) ในเชิงปฏิเสธ แต่คำนี้พวกแนวตรรกอุปโลกป์ขี้นมาเอง ว่า อัลลอฮไม่เป็นรูปร่าง แล้วมโนว่า ใครแปลสิฟาตอัลลอฮตามตัวบทไม่ตีความคือ พวกให้รูปร่างแก่อัลลอฮ

อับดุรเราะหมาน บิน อัล-กอสิม (ฮ.ศ 191) ศิษย์อิหม่ามมาลิกกล่าวว่า

لا ينبغي لأحد أن يصف الله إلا بما وصف به نفسه في القرآن ، ولا يشبه يديه بشيء ، ولا وجهه بشيء ، ولكن يقول : له يدان كما وصف نفسه في القرآن، وله وجه كما وصف نفسه ، يقف عندما وصف به نفسه في الكتاب ، فإنه تبارك وتعالى لا مثل له ولا شبيه ولكن هو الله لا إله إلا هو كما وصف نفسه

ไม่สมควรแก่คนใด ที่จะพรรณา(อธิบาย)คูณลักษณะแก่อัลลอฮ นอกจากด้วยสิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณาคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน(ด้วยคุณลักษณะดังกล่าว)ในอัลกุรอ่าน และเขาจะไม่เปรียบ สองมือของพระองค์ด้วยสิ่งใดๆ และ(ไม่เปรียบ)ใบหน้าของพระองค์ด้วยสิ่งใดๆ แต่ให้เขากล่าว ว่า "พระองค์ทรงมีสองมือ เช่นสิ่งที่พระองค์พรรณาคุณลักษณะให้แก่พระองค์เองในอัลกุรอ่านและพระองค์มีใบหน้า ดังเช่นสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เอง ,เขาหยุด ณ สิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาให้แก่ตัวของพระองค์ด้วยมันในคัมภีร์ เพราะแท้จรงพระองค์ผู้ทรงจำเริญและทรงสูงส่ง ไม่มีการเสมอเหมือนสำหรับพระองค์ และไม่มีผู้คล้ายคลึงสำหรับพระองค์ แต่ว่า พระองค์คือ อัลลอฮ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาคุณลักษณะ แก่พระองค์เอง 

- อุศูลุสสุนนะฮ ของ อิบนุสะมะนัยนฺ หน้า 75

1.การอธิบายคุณลักษณะให้แก่อัลลอฮนั้นจะต้องอธิบายคุณลักษณะด้วยสิ่งที่อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะของพระองค์ในอัลกุรอ่าน
2. สะลัฟกล่าวว่าอัลลอฮทรงมีสองมือ และใบหน้า ตามที่อัลลอฮอธิบายคุณลักษณะในอัลกุรอ่าน โดยไม่เปรียบกับสิ่งใดๆ
3. ให้หยุดกับสิ่งที่อัลลอฮอธิบายคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เอง ที่ระบุในคัมภีร์


อิบนุตัยมียะฮได้อ้างถึงคำพูดอิหม่ามอะหมัดว่า

قال الإمام أحمد: "لا يوصف الله إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسوله، لا يتجاوز القرآن والحديث

อิหม่ามอะหมัด ได้กล่าวว่า “อัลลอฮจะไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ ยกเว้นด้วยสิงที่ พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน หรือ รซูลของพระองค์ได้อธิบายคุณลักษณะแก่พระองค์ ด้วยมัน เขาจะไม่เกินเลยอัลกุรอ่านและอัลหะดิษ 

– ดูมัจญมัวอัลฟะตาวา เล่ม 5 หน้า 26

อีกประการหนึ่งคือ 

การยืนยันความหมายบรรดาสิฟาตในทางภาษาตามรูปคำที่มีมาตามตัวบทไม่มีสะลัฟคนใด บอกว่า คือการเอาอัลลอฮตาอาลาไปเปรียบกับมัคลูค (ตัชบีฮ)อย่างที่พวกแนวคิดมุอตะซิละฮและญะฮมียะฮมโน

นุอัยมฺ บิน หัมมาด (ฮ.ศ 288)กล่าวว่า

مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِشَيْءٍ مِنْ خَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ أَنْكَرَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ ، وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولُهُ تَشْبِيهٌ

และ นุอัยมฺ บิน หัมมาด กล่าวว่า “ ผู้ใดเปลียบเทียบอัลลอฮ ว่าคล้ายคลึงด้วยสิ่งใด ๆ จากมัคลูคของพระองค์ แน่นอน เขาเป็นกุฟุร และผู้ใด ปฏิเสธ สิ่งที่อัลลอฮทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน แน่นอนเขาเป็นกุฟุร และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ (พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน)นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ(หมายถึงไม่ใช่เป็นเปรียบเทียบว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัคลูค) 

– ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม หน้า 85 และ ดู ชัรหุอุศูลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เล่ม 2 หน้า 532 หะดิษหมายเลข 936

บาบอสายตรรก ไม่ได้เอาหลักฐานอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และอะกีดะฮสะลัฟ มาตัดสิน แต่เอาตรรกที่มาจากความคิดเห็น และอคติ มาอุปโลกน์คำสอน ตัดสินคนที่ยืนยันสิฟาตอัลลอฮตามตัวบทว่าเป็นกาเฟร

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/8/64

เมื่อหนอนในตัวราชสีห์ทำลายราชสีห์เอง



เมื่อหนอนในตัวราชสีห์ทำลายราชสีห์เอง

ในอดีตคนที่เผยแพร่ศาสนา ที่ถูกฉายาให้เป็นคณะใหม่ และวาฮาบีย์ มีเป้าหมายเดียวในการเผยแพร่ศาสนาคือ ให้ชาวบ้านรู้จัก เข้าถึงคำสอน อัลกุรอานและอัสสุนนะฮ ที่เป็นคำสอนดั่งเดิม แม้ใครจะประนามและอุปโลกน์ให้เป็นคณะใหม่ และคอยใส่ใคล้ป้ายสี พวกเขาก็ไม่หวั่นไหวและเกรงขาม พวกอเขายู่อย่างราชสีห์ และยิ่งในความเป็นราชสีห์ของตนแม้บางครั้งจะหิวโซก็ตาม

แต่มาวันนี้ ราชสีห์ทัวร์ลง เพราะเป้าหมายในการทำงานศาสนาเปลียนไป คือ เป้าหมายการทำงานศาสนา เพื่อปากท้อง การรักษาผลประโยชน์และหัวโขนที่สังคมสวมให้ ความรักดุนยาและกิเลส จึงเป็นหนอนในตัวราชสีร์ ที่ทำลายตัวราชสี์เอง เมื่อคนๆหนึ่ง มือหนึ่งจับคัมภีร์ แต่มือหนึ่ง ปกป้องผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางการศึกษา ธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจการฮัจญ์ ธุรกิจการค้าและ ธุรกิจการเมือง สิ่งเหล่านี้ มีมวลชนทุกทัศนะความเชื่อในศาสนา คอยเป็นนั่งร้าน ค้ำผลประโยชน์อยู่ ศาสนาจึงถูกย้อมและชงให้ไปตามความต้องการของสังคม เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ โดยการสร้างวาทกรรมปกป้องผลประโยชน์ตนเองแต่ให้ดูว่าเพื่อส่วนรวมคือ "ให้ยอมรับทัศนะเห็นต่าง"
การปกป้องผลประโยชน์ เชื่อเสียง และหัวโขน บางครั้งก็ต้องกัดกันเอง และการทำลายความเชื่อถือคนที่ขวางแนวทางของตน การสร้างมวลชนไว้เพื่อปกป้องตนเอง และคอยเห่าใส่ปฏิปักษ์

มาวันนี้ ผู้ที่ต่อต้านราชสีห์ ที่หวังที่จะทำลายราชสีห์ แทบไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย คอยตบมือสะใจและสมน้ำหน้าก็พอเพราะ 

"หนอนในตัวราชสีห์ได้ทำลายคัวมันเอง"

อัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า ...

فَلَا تَغُرَّنَّكُمُ الْحَيَاةُ الدُّنْيَا وَلَا يَغُرَّنَّكُم بِاللَّهِ الْغَرُورُ

ดังนั้นอย่าให้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ล่อลวงพวกเจ้า และอย่าให้หัวหน้าพวกล่อลวง (ชัยฏอน) มาหลอกลวงพวกเจ้าเกี่ยวกับอัลลอฮฺเป็นอันขาด

- ลุกมาน/33

ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า ...

ما ذِئبانِ جائعانِ أُرْسِلا في غنَمٍ ، بأفسدَ لَها من حِرصِ المَرءِ علَى المالِ والشَّرَفِ لدينِهِ

หมาป่าสองตัวที่หิวโหย ถูกส่งไปยังแกะ จะไม่สร้างความเสียหายได้เท่ากับความโลภของคน ๆ หนึ่งในทรัพย์สินและชื่อเสียงที่จะมีต่อศาสนาของเขา

- รายงานโดยอัตติรมิซีย์ และอัลอัลบานีย์ 
ได้ให้สถานะมันว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะ


คนที่ที่มีความโลภในทรัพย์สินทางดุนยาและชื่อเสียง อันตรายต่อศาสนายิ่งกว่า หมาป่าสองตัวที่หิวโหย ถูกส่งไปยังฝูงแกะเสียอีก....

มีสติกันสักนิดในการรับสิ่งที่เป็นศาสนาของท่าน. 

อย่าสนองตัณหา พวกมือถือสากปากถือศีล!!!!

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
12/8/64





เมื่อกิบารอุลามาอซาอุดีย์กลับมาเห็นด้วยกับการจ่ายเงินสดแทนอาหารในซะกาตฟิตเราะฮ



เมื่อกิบารอุลามาอซาอุดีย์กลับมาเห็นด้วยกับการจ่ายเงินสดแทนอาหารในซะกาตฟิตเราะฮ

وذكر الشيخ أن القول بإخراجها نقداً قولٌ يُحترم، لاسيما وهو قول جماعة من كبار التابعين والفقهاء، وقول لجان الفتوى في العالم الإسلامي،

และชัยค์(ดร.อับดุลลอฮอัลมุฏลัก)แท้จริงทัศนะที่ให้จ่ายเป็นเงินสดถือเป็นคำกล่าว(ทัศนะ)ที่น่านับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนะของคณะตาบิอีนอาวุโสและบรรดาฟุเกาะฮาอฺ(นักกฏหมายอิสลาม)และทัศนะของคณะกรรมการฟัตวาในโลกอิสลาม

وبه يقول الشيخ عبدالوهاب أبو سليمان، عضو هيئة كبار العلماء، وكذلك يفتي به الشيخ قيس المبارك، عضو هيئة كبار العلماء سابقاً، حيث قال: «ويحسن إخراج زكاة الفطر نقداً فهذا أنفع للفقير».

และ ชัยค์อับดุลวาฮาบ อบูสุลัยมาน สมาชิกสภานักวิชาการอาวุโสได้กล่าวด้วยมัน(ด้วยทัศนะนี้)และในทำนองเดียวกันนั้น ชัยค์กัยส์ อัลมุบาร็อก อดีตสมาชิกสภานักวิชาการอาวุโส โดยที่เขากล่าวว่า: “การที่จะจ่ายซะกาตฟิตรีเป็นเงินสด เป็นการดีกว่าเพราะวิธีนี้เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนยิ่งกว่า”



การจ่ายอาหาร การจ่ายเงินสดแทนราคาอาหารเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำได้เพราะมีประโยชน์ยิ่งกว่าในบางสถานการณ์โดยพิจารณาจากเป้าหมายตัวบทเป็นหลัก ไม่ใช่ทิ้งตัวบทไปเอาทัศนะ อย่างที่มีการโจมตี แต่มันเป็นมุมมองเกี่ยวกับตัวบทที่เป้าหมายของซะกาตฟิตรีคือสนองความจำเป็นและความพอเพียงตลอดจนสร้างความสุขให้คนยากจนในวันอีด



วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

โทษการทิ้งหะดิษไปยึดความคิดเห็นปราชญ์



โทษการทิ้งหะดิษไปยึดความคิดเห็นปราชญ์

อิหม่ามอะหมัด(ร.ฮ)กล่าวว่า ...

عَجِبْتُ لِقَوْمٍ عَرَفُوا اَلْإِسْنَادَ وَصِحَّتَهُ، وَيَذْهَبُونَ إِلَى رَأْيِ سُفْيَانَ، وَاَللَّهُ تَعَالَى يَقُولُ: ”فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَن تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ“ النُّورُ، ٦٣؛ أَتَدْرِي مَا اَلْفِتْنَةُ؟ اَلْفِتْنَةُ اَلشِّرْكُ لَعَلَّهُ إِذَا رَدَّ بَعْضَ قَوْلِهِ أَنْ يَقَعَ فِي قَلْبِهِ شَيْءٌ مِنَ اَلزَّيْغِ فَيَهْلَكَ

ข้าพเจ้าประหลาดใจกับคนพวกหนึ่งพวกเขารู้จักบรรดาสายรายงานและความถูกต้อง(เศาะเฮียะ)ของมัน แล้วพวกเขาไปเอาความคิดเห็นของซุฟยานทั้ง ๆ ที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา(มุฮัมมัด)จงระวังตัวด้วยเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาหรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่เขาเช่นกัน” (อันนูร : 63) 

ท่านรู้ไหมว่า "ฟิตนะฮคืออะไร? ฟิตนะฮคือ ชิริก บางที่เมื่อเขาปฏิเสธบางส่วนของคำพูดของเขา(หมายถึงของนบี) จะมีมีสิ่งหนึ่งจากการเบี่ยงเบน เกิดขึ้นในหัวใจของเขา แล้วเขาก็จะหายนะ 

- สะบีลุุรรอชาด ฟี ค็อยริลอิบาด ของ อับดุลกอเดร อัลฮิลาลี 3/294


การละทิ้งหะดิษที่เศาะเฮียะ ทั้งที่รู้ แล้วไปยึดเอาความคิดเห็นปราชญ์ ก็จะนำไปสู่การชิริกเกิดการเบี่ยงเบนในหัวใจที่จะนำพาไปสู่ความหายนะ โปรดระวังการคลั่งปราชญ์ จนเชื่อว่าความเห็นปราชญ์คือ ศาสนาบัญญัติ มีซ่อนเร้น ออกมาวิจารณ์ ที่ใช้คำว่า "บูชาปราชญ์" ซึ่ง ไม่แปลกเลย เพราะคำว่าบูชาที่หมายถึงคือ ยกย่องจนเลยเถิด 

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64


เอาภาษาไทยไปเทียบอาหรับแล้วกล่าวหาว่าผมโง่



เอาภาษาไทยไปเทียบอาหรับแล้วกล่าวหาว่าผมโง่

ผมใช้คำว่า "พวกบูชาปราชญ์ ไม่ได้เจาะจงใคร แต่ตัวนี้เดือดจัด คำว่า "บูชา มีความหมายสองความหมายคือ บูชา

คำกริยา
1. แสดงความเคารพด้วยเครื่องสักการะ.
"บูชาพระ บูชาครู"

2. ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใส.
"บูชาฝีมือ"


ผมต้องการสื่อกับผู้ที่เทิดทูนปราชญ์จนเลยเถิด เกินฐานะ แถมกล่าวหาว่าเราไม่เอาปราชญ์ ทั้งที่ปราชญ์สะลัฟเช่นท่านมุญาฮิด (ร.ฮ)สอนว่า

عن عبدالكريم عن مجاهد قال ليس أحد إلا يؤخذ من قوله ويترك إلا النبي صلى الله عليه وسلم

จากอับดุลการีม จากมุญาฮิด เขากล่าวว่า ไม่มีคนใด นอกจาก คำพูดของเขาถูกเอามาและถูกทิ้ง นอกจากท่านนบี ศ็อลฯ

- ดูอัลมัดค็อลอิลาอัสสุนันกุบรอ ของ อิหมามอัลบัยฮะกีย์1/107


คนที่ตามปราชญ์ในเรื่องศาสนาที่อัลลอฮและนบี ศ็อลฯ ไม่ได้สอนไม่ได้บัญญัติไว้ เท่ากับเขา ยกปราชญ์มาเป็นหุ้นส่วน(الشركاءْกับอัลลอฮในการบัญญัติศาสนา

أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ

หรือพวกเขา มีบรรดาภาคี พวกนั้นกำหนดศาสนบัญญัติแก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้อนุญาต

ชัยค์มุหัมหมัด บิน ศอลิห บิน อุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า

البدعة شرعاً: ضابطها التعبد لله بما لم يشرعه الله، وإن شئت فقل: التعبد لله تعالى بما ليس عليه النبي صلى الله عليه وسلم، ولا خلفاؤه الراشدون. فالتعريف الأول مأخوذ من قوله تعالى: {أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ}[الشّـورى: 21]،

บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติความหมายของมันคือ การอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ด้วยสิ่งที่อัลลอฮไม่ได้ทรงกำหนดบทบัญญัติไว้ และหากท่านประสงค์(ที่จะกล่าว)ก็จงกล่าวว่า "หมายถึงการอิบาดะฮต่ออัลลอฮตาอาลา ด้วยสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลฯและบรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดูน ของท่าน ไม่ได้ดำเนินอยู่บนสิ่งนั้น เพราะนิยาม(คำว่าบิดอะฮ )นิยามแรก คือสิ่งที่ถูกเอามาจากคำตรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า"(หรือพวกเขามีบรรดาภาคี พวกนั้นกำหนดบทบัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้ทรงอนุญาต - อัชชูรอ/๒๑

- อัลฟะตาวาชัรอียะฮ ฟี มะสาอิลอัลอัศรียะฮ มิน ฟะตาวาอัลอุลามาอฺ อัลบะละดิลหะรอม หน้า 3 เรื่องความหมายบิดอะฮ


เราใช้ภาษาไทย มันเอาไปเทียบกับภาษาอาหรับ แล้วให้ร้ายว่าผมกล่าวหาว่าอิบาดะฮหรือกราบไหว้ปราชญ์ แล้ว บอกว่า เราโง่ และมีการกล่าวว่าอ่านหนังสือไม่ชัด ไปตำหนิปราชญ์
ถ้าไม่ชี้แจง บ้างก็ดูกะไรอยู่

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) 
10/3/64

เอาข้อมูลผมและชื่อไปนินทาเยาะเย้ย แต่พอผมจะเอ่ยชื่อบ้าง บอกว่า ไม่มาอัฟ



เอาข้อมูลผมและชื่อไปนินทาเยาะเย้ย แต่พอผมจะเอ่ยชื่อบ้าง บอกว่า ไม่มาอัฟ

เข้ามาดูถูกเหยียดหยามว่าเคย สอนโรงเรียน อิสลาม หรือ ปอเนาะ ที่ไหน มั่งม่าย นิ แล้วยกหะดิษบทนี้มา สอนผม

ท่านนบีﷺกล่าวว่า :

إِنَّ اللَّهَ لَا يَقْبِضُ الْعِلْمَ انْتِزَاعًا يَنْتَزِعُهُ مِنَ الْعِبَادِ، وَلَكِنْ يَقْبِضُ الْعِلْمَ بِقَبْضِ الْعُلَمَاءِ، حَتَّى إِذَا لَمْ يُبْقِ عَالِمًا اتَّخَذَ النَّاسُ رُءُوسًا جُهَّالًا، فَسُئِلُوا فَأَفْتَوْا بِغَيْرِ عِلْمٍ، فَضَلُّوا وَأَضَلُّوا .

"แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงเก็บคืนวิชาความรู้ออกไปจากหัวอกของบรรดาปวงบ่าว เเต่พระองค์จะทรงเก็บคืนความรู้ด้วยการเก็บคืนชีวิตของบรรดาผู้รู้ จนกระทั่งเมื่อพระองค์ไม่เหลือผู้รู้เอาไว้เเล้ว บรรดามนุษย์ก็จะยึดเอาบรรดาคนโง่เขลามาเป็นผู้รู้ เเละพวกเขาก็ถูกถาม เเล้วได้พากันตอบปัญหา(ฟัตวา)ไปโดยที่ไม่มีความรู้ สุดท้ายพวกเขาเองก็หลงผิด เเละยังทำให้ผู้อื่นหลงผิดด้วย"

(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ : 100)

__________

ขอชี้แจงว่า

หะดิษบทนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผม เพราะผมสอนให้ตามกิตาบุลลอฮและอัสสุนนะฮ ไม่ได้สอนให้หลง แต่จงนำไปไปสอนหัวหน้าของท่านและบริวาร ที่ปิดตาตามปราชญ์ แล้ว เชิญชวนให้ชาวบ้านปิดตาตาม นี่คือที่ควรเอาหะดิษข้างต้นไปสอน

ส่วนที่ถามว่า ผมสอนปอเนาะบ้างไหม ผมไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะศาสนาสอนให้ดูที่เนื้อหาและหลักฐาน ไม่ใช่ดูที่ตัวคนขอมาอัฟพี่น้องผู้อ่าน ที่ต้องตอบกับเรื่องไร้สาระ ช่วงนี้คงเป็นเทศกาลปล่อยผี เห็น มาหลอกมาหลอนผมยั้วเยี้ยไปหมด พี่น้องรู้บ้างใหม? ว่าเป็นพวกผีของหมอผีตนใด?

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/3/64

สิ่งที่วาญิบเหนือผู้ศรัทธา และผู้ที่ตักลิดโดยปราศจากหลักฐานไม่ถือเป็นนักวิชาการ



สิ่งที่วาญิบเหนือผู้ศรัทธาและผู้ที่ตักลิดโดยปราศจากหลักฐานไม่ถือเป็นนักวิชาการ

ชัยค์อัลลามะฮ สุลัยมาน อิบนิอับดิลละฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า

ﺑﻞ ﺍﻟﻔﺮﺽ ﻭﺍﻟﺤﺘﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻤﺆﻣﻦ ﺇﺫﺍ ﺑﻠﻐﻪ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻠﻪ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﻟﻠﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻋﻠﻢ ﻣﻌﻨﻰ ﺫﻟﻚ ، ﻓﻲ ﺇﻱ ﺷﻲﺀ ﻛﺎﻥ ، ﺃﻥ ﻳﻌﻤﻞ ﺑﻪ ، ﻭﻟﻮ ﺧﺎﻟﻔﻪ ﻣﻦ ﺧﺎﻟﻔﻪ ، ﻓﺒﺬﻟﻚ ﺃﻣﺮﻧﺎ ﺭﺑﻨﺎ ﺗﺒﺎﺭﻙ ﻭﺗﻌﺎﻟﻰ ، ﻭﻧﺒﻴﻨﺎ ﺻﻠﻰ ﺍﻟﻠﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ، ﻭﺃﺟﻤﻊ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻗﺎﻃﺒﺔ ، ﺇﻻ ﺟﻬﺎﻝ ﺍﻟﻤﻘﻠﺪﻳﻦ ﻭﺟﻔﺎﺗﻬﻢ ، ﻭﻣﺜﻞ ﻫﺆﻻﺀ ﻟﻴﺴﻮ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻛﻤﺎ ﺣﻜﻰ ﺍﻹﺟﻤﺎﻉ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻬﻢ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺒﺮ ﻭﻏﻴﺮﻩ

ยิ่งไปกว่านั้นวาญิบและจำเป็นเหนือผู้ศรัทธาเมื่อ คัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศ็อลฯ ได้มาถึงเขา และเขารู้ความหมายดังกล่าวนั้น ในสิ่งใดก็ก็ตามที่มันมี เขาจะต้องปฏิบัติด้วยมัน และแม้จะมีผู้ขัดแย้งกับมันขัดแย้งกับเขาก็ตามเพราะด้วยดังกล่าวนั้น พระเจ้าของเรา ผู้ทรงจำเริญและทรงสูงส่ง และ นบีของเรา ศ็อลฯ ได้สั่งเรา และบรรดาอุลามาอฺทั้งหมดได้มีมติบนดังกล่าวนั้น นอกจากบรรดาผู้โง่เขลา ที่ตักลิดตามและความแห้งกร้านของพวกเขา และที่เหมือนกับพวกเขาเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่นักวิชาการ ดังที่ อบูอุมัร บิน อิบดิลบัร และคนอื่นจากเขา ได้รายงานว่า แท้จริงพวกเขาไม่ใช่ ส่วนหนึ่งจากนักวิชาการ 

- ตัยสีร อัลอะซีซอัลหะมีด หน้า 546

1.วาญิบและจำเป็นเหนือผู้ศรัทธาเมื่อคัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศ็อลฯ ได้มาถึงเขา และเขารู้ความหมายดังกล่าวนั้น ในสิ่งใดก็ก็ตามที่มันมีเขาจะต้องปฏิบัติด้วยมัน และแม้จะมีผู้ขัดแย้งกับมันขัดแย้งกับเขาก็ตาม

2.พวกโง่เขลาที่ตักลิดตามโดยปราศจากหลักฐานไม่นับว่าเป็นนักวิชาการ

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64





เขากลัวไม่มีพลังเถียง เพราะไม่มีใครช่วย.....



เขากลัวไม่มีพลังเถียง เพราะไม่มีใครช่วย.....

ศิษย์หัวหน้าสายห่างอ้อนวอนว่า #ขออนุญาต อาจารย์ นะ ว่า อย่าได้เอาคอมเมนท์ของข้าพเจ้าไป ประจานหน้าเฟส เพราะ ในเฟสของท่าน ผมไม่มีพลังและความสามารถพอที่จะเถียง เพราะ มีแต่คนของท่านเกือบทั้งหมดเมื่อโต้อย่างไร ผมก็ไม่มีใครมาช่วย เหมือนว่าจะโดนยำหรือถล่มฝ่ายเดียว

@@@@@

ชี้แจง

อุตสาห์ แอดเข้ามาเป็นเพื่อน เพราะให้เกียรติและนับถือว่า เป็นพี่น้องในอิสลาม เพื่อจะได้โต้แย้งผมด้วยหลักฐาน ผู้อ่านจะได้ ศึกษาคู่ขนาน เพราะเป็นครูบาอาจารย์คงจะมีวิชาแก่กล้า แต่อ้างว่า "ไม่มีพลังเถียง" ช่างน่าเอ็นดู  เรื่องศาสนาเขาให้คุยด้วยหลักฐาน ไม่ใช่เอาตรรกมาเถียง เถียงเพื่อเอาชนะ แล้วมันได้อะไร

รักนะครับ หยุดทำตัวปกป้องตัวบุคคล และ กลุ่มตน เสียเถอะ แล้วมาปกป้องศาสนาของอัลลอฮจะดีกว่า หากยังศรัทธาในวันอาคีเราะฮ
ท่านนบี ศ็อลฯ เตือนเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวก ต่อสู้ บนการเล่นพรรคเล่นพวกยอมตายบนการเล่นพรรคเล่นพวก ว่า

مَنْ قُتِلَ تَحْتَ رَايَةٍ عِمِّيَّةٍ، يَدْعُو عَصَبِيَّةً، أَوْ يَنْصُرُ عَصَبِيَّةً، فَقِتْلَةٌ جَاهِلِيَّةٌ

“บุคคลใดถูกฆ่าภายใต้ธงแห่งพวกพ้องของตน (ยึดแต่เฉพาะพวกพ้องตน), เรียกร้องไปสู่พรรคพวกของตน (อะเศาะบียะฮฺ) หรือช่วยเหลือเฉพาะพวกพ้องของตน เช่นนี้การเสียชีวิตของเขา เฉกเช่นการเสียชีวิตในสภาพญาฮิลียะฮฺ (ตายในสภาพประหนึ่งอยู่ในยุคงมงาย,ไร้ทางนำ)” 
[หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 1850]

และหะดิษอีกบทหนึ่ง เป็นหะดิษเฎาะอีฟ แต่ความหมายถูกต้องเพราะสอดคล้องกับหะดิษเศาะเฮียะคือ
لَيْسَ مِنَّا مَنْ دَعَا إِلَى عَصَبِيَّةٍ

ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวกเรา ผู้ที่เรียกร้องไปสู่การถือพรรคถือพวก

ท่านอันมะนาวีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า ...
أَيْ مَنْ يَدْعُو النَّاس إِلَى الِاجْتِمَاع عَلَى عَصَبِيَّة وَهِيَ مُعَاوَنَة الظَّالِم

หมายถึง ผู้ที่เรียกร้องบรรดาผู้คน ไปสู่การรวมตัวกัน บนการถือพรรคถือพวก และเขาคือผู้ที่สนับสนุนผู้อธรรม/ผู้ที่ทำผิด 

- ดูฟัยฎุลเกาะดิร ชัรหอัลญามิอิศเศาะฆีร 5/386

ผู้ที่ยึดสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของท่านรอซูลนั้น ต้องรู้จักแยกถูกแยกผิด ไม่สนับสนุนช่วยเหลือในทางที่ผิดแม้คนทำผิดนั้นจะเป็นญาติพี่น้องหรือพรรคพวกตัวเองก็ตาม

"การถือพรรคถือพวก แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายไม่ใช่ส่วนหนึ่งอัลอิสลาม"

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/11/64

ศาสนาตรรก



ศาสนาตรรก

ครูอาจารย์กำมะลอย่อมสอนศิษย์ให้ใช้ตรรกโต้แย้งหลักฐานศาสนา และใช้วิธีการอันธพาลในการเอาชนะคะคานเรื่องศาสนา ต้องอ้างอิงหลักฐาน ไม่ใช่ ใช้ศาสนาตรรก

والحق ما وافق الدليل من غير التفات إلى كثرة المقبلين، أو قلتهم،

และความจริงนั้น คือ สิ่งที่สอดคล้องกับหลักฐาน โดยไม่ใส่ใจจำนวนมากของบรรดาผู้ที่ยอมรับ หรือจำนวนน้อยของพวกเขา

- มะสาอิลอัลเอียะติกอด อินดัลอะมีรอัศศ็อนอานีย์ หน้า 56

อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า ...

ليس لأحد دون رسول الله أن يقول إلا بالاستدلال.......ولا يقول بما استحسن ، فإن القول بما استُحسِن شيء يُحدِثه لا على مثالٍ سابق .

ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด อื่นจากรซูลุลลอฮ ต่อการที่เขาจะกล่าว นอกจากด้วยการแสดงหลักฐาน .... และเขาจะไม่กล่าว สิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดี เพราะแท้จริง คำกล่าว ด้วยสิ่งที่คิดเห็นว่าดี คือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน 
- อัรริสาละฮ /29

อ้างปราชญ์ว่า

เป็นผู้พาไปหาหลักฐาน พาไปหาอัลกุรอานและอัสสุนนะฮ เหยียดหยามว่าครูไทย ไม่ใช่ปราชญ์ เชื่อไม่ได้ เป็นพวกไม่เอาปราชญ์ 

ณ วันนี้ หลักฐานจากปราชญ์ไม่มี ไม่สามารถเอามาแสดงได้นอกจากหลักฐานชงด้วยตรรก แต่กลัวเสียหน้า จึงสร้างหมาไว้กัดคน เพื่อให้ตนมีที่ยืน

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
11/4/64

ความหมายอัลอิบาดะฮ



ความหมายอัลอิบาดะฮ 

สืบเนื่องมาจาก ผมได้ใช้คำว่า "พวกบูชาปราชญ์" คือผมหมายถึง การให้การเทิดทูนปราชญ์จนเลยเถิด เอาคำพูดที่เป็นความเห็นปราชญ์ มาเป็นศาสนบัญญัติ

ในปทานุกรมวิกีพิเดีย ได้ให้ความหมายว่า บูชา คือ การแสดงความเคารพ การกราบไหว้ การยกย่องนับถือบุคคลที่ควรเคารพนับถือ เช่น พระพุทธรูป พระสงฆ์ บิดามารดา คณุอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ ถือเป็นเหตุนำความสุข ความเจริญ และความก้าวหน้าในชีวิตมาให้แก่ผู้ทำ
และในปทานุกรม Oxford Languages and Google คือ

คำกริยา
1. แสดงความเคารพด้วยเครื่องสักการะ. "บูชาพระ บูชาครู"
2. ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใส.

จะเห็นได้ว่า คำว่าบูชา ไม่ใช่หมายถึง การสักการะกราบไหว้ อย่างเดียว แต่หมายถึง การยกยอ่งนับถือ บุคคล ที่เคารพนับถือ

แต่มี 2 ท่านเข้ามาโจมตีผม ว่าผมกล่าวหาว่า "มุสลิมทำชิริก กราบไหวสักการระปราชญ์ โดยเอาคำว่า "บูชา" ไปเทียบกับภาษาอาหรับที่แปลว่า "عبد (อะบะดะ) يعبد (ยะอบุดุ) แปลว่าเคารพภักดี

ได้ทีขี่แพะไล่ กล่าวหาว่า "ผมโง่ และดูถูกว่า อ่านหนังสือไม่ชัดจะเถียงปราชญ์ ไม่มีความรู้ ไม่มีมารยาท เรียกไลค์จากลูกสมุน
ขอบอก ว่า คำว่าอิบาดะฮ ไม่ใช้การเคารพ สักการะกราบไหว้อย่างเดียวนะท่าน มาดูครับ

وقال الزجاج (ومعنى العبادة في اللغة: الطاعة مع الخضوع)

และอัซซัจญาจญ์ ได้กล่าวว่า " ความหมายอิบาดะฮ ในทางภาษาคือ การภักดี(เชื่อฟัง) พร้อมกับการนอมน้อม/ยอมจำนน 
-ดูลิซานุลอัรบ 3/273 หมวดคำศัพท์ อะบะดะ

وقال الجوهري (أصل العبودية: الخضوع والتذلل)

อัลเญาฮะรีย์ ได้กล่าวว่า รากศัพท์ของคำว่าอุบูดียะฮคือ การนอบน้อมและการยอมจำนน

- ลิซานุลอัรบ 3/271

ومن التعريف اللغوي السابق يمكن أن يقال عن العبادة الشرعية إنها: الانقياد والخضوع لله تعالى على وجه التقرب إليه بما شرع مع المحبة

และจากนิยามทางภาษา ที่กล่าวมาก่อนแล้ว สามารถจะถูกกล่าวเกี่ยวกับคำว่าอิบาดะฮในทางศาสนบัญญัติว่า " คือ การยอมเชื่อฟังและการจำนนต่ออัลลอฮตาอาลา บนจุดประสงค์ของการกระทำตนให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติ พร้อมกับความรัก (ต่อพระองค์) - ที่มาข้างล่าง
نهج أهل السنة والجماعة ومنهج الأشاعرة في توحيد الله تعالى لخالد عبد اللطيف– 1/55


จะเห็นได้ว่า ในทางภาษา ความหมายคำว่าอิบาดะฮ" ไม่ใช่ การเคารพสักการะหรือการกราบไหว้อย่างเดียว แต่หมายถึงการยอมจำนนและยอมเชื่อฟัง ด้วยในทำนองเดียวกัน คำว่า "ยึดปราชญ์เป็นพระเจ้า" ไม่ได้หมายถึง การกราบไหว้ เสมอไปเช่น 

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِّن دُونِ اللَّهِ

พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮ์ 
(อัตเตาบะฮฺ 9 : 31)

คำว่า "ยึดปราชญ์"เป็นพระเจ้าในที่นี้คือ

عَنْ عَدِيِّ بْنِ حَاتِمٍ ، قَالَ : أَتَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَفِي عُنُقِي صَلِيبٌ مِنْ ذَهَبٍ ، فَقَالَ : " يَا عَدِيُّ اطْرَحْ هَذَا الْوَثَنَ مِنْ عُنُقِكَ " ، فَطَرَحْتُهُ ، فَانْتَهَيْتُ إِلَيْهِ وَهُوَ يَقْرَأُ سُورَةَ بَرَاءَةٌ ، فَقَرَأَ هَذِهِ الآيَةَ : اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِنْ دُونِ اللَّهِ سورة التوبة آية 31 حَتَّى فَرَغَ مِنْهَا ، فَقُلْتُ : إِنَّا لَسْنَا نَعْبُدُهُمْ ، فَقَالَ : " أَلَيْسَ يُحَرِّمُونَ مَا أَحَلَّ اللَّهُ فَتُحَرِّمُونَهُ وَيُحِلُّونَ مَا حَرَّمَ اللَّهُ ، فَتَسْتَحِلُّونَهُ ؟ " قُلْتُ : بَلَى ، قَالَ : " فَتِلْكَ عِبَادَتُهُمْ

รายงานจากอาดีย์ บิน หาติม กล่าวว่า 
ข้าพเจ้าไปหาท่านนบี ศอ็ลฯ โดยทีคอของข้าพเจ้ามีรูปกางเขนทองคำ แล้วท่านนบี กล่าวว่า "โอ้อาดีย์ ท่านจงเอาเจว็ดนี้ออกจากคอของท่านเสีย, แล้วข้าพเจ้าก็โยนมันทิ้ง แล้วข้าพเจ้าก็ ได้ได้มายังท่านนบี ในขณะที่ท่านอ่านซูเราะฮบะรออะฮ แล้วท่านนบีได้อ่านอายะฮนี้ "พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮ์ "
- ซูเราะฮเตาบัต/31 

จนกระทั่งท่านได้อ่านเสร็จ แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า "พวกเราไม่ได้เคารพภักดี(อิบาดะฮ)ต่อพวกเขาเลยนะ แล้วท่านนบีกล่าวว่า " พวกเขาห้ามในสิ่งที่อัลลอฮอนุมัติ แล้วพวกท่านก็ถือมันให้เป็นสิ่งต้องห้ามมิใช่หรือ? และพวกเขาอนุมัติสิ่งที่อัลลอฮทรงห้าม แล้วพวกท่าน ได้ถือว่าเป็นสิ่งอนุมัติมิใช่หรือ ? ข้าพเจ้าตอบว่า "ครับ ,ท่านนบีจึงกล่าวว่า " นั้นแหละคือการอิบาดะฮต่อพวกเขา 

- ตัฟสีรอัลวะสีฏ 2/491 أخرجه الترمذي (3020) و الطبراني في الكبير (13673) وصححه الألباني في الصحيحة برقم ( 3293
_____ 


สรุปคือ 

การยอมเชื่อฟังปราชญ์ในสิ่งที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ คือ การยึดปราชญ์เป็นพระเจ้า เช่น เมื่อปราชญ์ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮอนุมัติ พวกเขาก็ยอมตามปราชญ์ และปราชญ์อนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮห้าม พวกเขาก็ยอมตามปราชญ์

นี่คือความหมายหนึ่งของคำว่าอิบาดะฮ ไม่ใช่หมายถึง เคารพสักระอย่างเดียว ตามที่เอามาอ้าง แล้วกล่าวหาว่า ผมโง่ ไม่มีความรู้ จึงถามว่า "ตกลงใครโง่ครับ ผมนั่งทนมานาน คิดว่าจะหยุด แต่มาด่าซ้ำเติมผมเป็นรอบที่สอง จึงขอชี้แจง ให้บางจำพวกหายโง่

อะสัน หหมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
10/4/64